บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 114 The Last Decree
“เห~ มาอยู่ที่นี่เองหรอเนี่ยรีมินัส ก็เสียเวลาไปตามหาอยู่ตรงนั้นตั้งนาน… แต่ถึงในรายงานจะบอกว่าหัวหน้าเพิ่งจะมาก่อเรื่องที่นี่แต่ก็ดูเหมือนว่าการเฝ้าระวังจะไม่ได้เข้มงวดสักเท่าไหร่เลยนี่นา…”
ในช่วงเช้ามืดของวันเดียวกันนั้น ที่บริเวณหน้าประตูเมืองรีมินัสทางฝั่งตะวันตกเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวผมสีเขียวที่มัดผมเป็นทรงหางม้าผู้ที่มีนัยน์ตาสีเหลืองในชุดเครื่องแบบสาวใช้เดินผ่านประตูเมืองชั้นนอกของรีมินัสที่มีทหารยามเฝ้าอยู่เพียงแค่สองคนมาได้อย่างสบายๆ
ซึ่งเด็กสาวก็ได้หันซ้ายหันขวามองสำรวจดูสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนไปจากที่เธอจำได้ไม่มากก็น้อยอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงออกเดินไปตามถนนหลักทางฝั่งทิศตะวันตกที่ส่วนมากแล้วจะเป็นร้านขายอุปกรณ์ต่างๆ มากมายหลายชนิดด้วยความเพลิดเพลิน
“เห… ถึงบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตั้งเยอะแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังคงใช้วิซเป็นหลักเหมือนเมื่อก่อนอยู่สินะเนี่ย…”
หมับ—
“หว๋าาา—”
ในขณะที่เด็กสาวผมสีเขียวกำลังเดินชมนกชมไม้อยู่อย่างสบายอารมณ์นั้นอยู่ๆ ก็ได้มีมือเล็กๆ ยื่นออกมาจากตรอกเล็กๆ ที่เธอกำลังจะเดินผ่านไปและคว้าตัวเธอเข้าไปในตรอกที่ว่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของมือที่ว่านั่นก็คือสาวใช้ผมสีดำที่มีแววตาว่างเปล่าที่ชื่อว่านิโคลนั่นเอง
“……”
“พ–พี่นิโคล—!? นี่พี่มาอยู่ที่นี่ได้ไงน่ะ? ไม่สิ— นี่พี่ทำยังไงให้พี่ฮานะยอมปล่อยให้พี่ออกมาตามหาตัวหนูเนี่ย?”
“……”
“เอ๋? พี่นูลิสงั้นหรอคะ? ทั้งๆ ที่พี่นิโคลยังอยู่ในสภาพนี้เนี่ยนะ!?”
“…….”
“เฮ้อ… ถ้าพี่นูลิสเขาอนุมัติแล้วงั้นหนูก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านหรอกค่ะ เอาเป็นว่าพี่นิโคลคอยเดินตามหนูมาใกล้ๆ ก็แล้วกันนะคะ แล้วถ้าเป็นไปได้พี่ก็พยายามอย่าแวบไปแวบมาตรงนู้นตรงนี้ก็แล้วกันไม่งั้นเดี๋ยวจะมีคนสงสัยเอาได้น่ะค่ะ”
เด็กสาวผมสีเขียว หรือก็คือไอวี่ที่หนีออกมาจากฐานจนทำให้นูลิสต้องส่งคนมาตามตัวนั้นได้พูดตอบนิโคลผู้ที่ไม่เคยมีคำพูดหลุดออกมาจากปากเลยแม้แต่สักครั้งเดียวกลับไปเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งนั่นก็คงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่นักเพราะว่าที่จริงแล้วเหล่าแฟรี่อย่างพวกเธอไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูดหรือว่าภาษากายเพื่อติดต่อสื่อสารกันเลยซะด้วยซ้ำ
“เอ๋? พี่นิโคลอยากรู้ว่าหนูจะไปที่ไหนจะได้ส่งรายงานกลับไปให้พวกพี่ฮานะได้ถูกงั้นหรอคะ? มันก็ต้องแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรอคะว่าหนูจะลองไปหาท่านเอริกะกับทุกๆ คนดูน่ะ… ถ้าจำไม่ผิดคนที่อยู่ในเมืองนี้ก็มีท่านเอริกะ ท่านอารอน คุณแม็กซิส คุณแคทเธอรีน แล้วก็คนอื่นๆ อีกสองสามคนใช่มั้ยล่ะคะ ส่วนท่านเซซิเรียน่าจะยังกลับมาไม่ถึงล่ะมั้งเพราะเห็นว่าเพิ่งจะไปเจอกับหัวหน้ามาเมื่อวันก่อนนี้เองนี่คะ”
คำพูดของไอวี่ได้ทำให้นิโคลเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัยถึงสาเหตุที่เด็กสาวผมสีเขียวรีบหนีออกมาโดยไม่อยู่รอรับการตรวจสภาพจากนัวร์ก่อนมีเพียงเท่านี้จริงๆ หรือไม่ หรือว่าที่จริงแล้วไอวี่มีสาเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อยากจะได้รับการตรวจสอบหรือเปล่า
“แหม่ ก็ตั้งแต่ที่พวกเราแยกตัวออกไปเวลามันก็ผ่านไปตั้งนานแล้วนี่คะ หนูก็เลยสงสัยว่าท่านเอริกะกับทุกๆ คนจะยังอยู่ดีกันอยู่หรือเปล่าก็แค่นั้นล่ะค่ะ”
“…….”
“….เรื่องนั้นหนูก็รู้แหล่ะค่ะว่าเวลามันผ่านไปตั้งนานจนพวกเขาอาจจะไม่อยู่บนโลกนี้กันครบทุกคนแล้วก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าหนึ่งในความรู้ที่หัวหน้ามอบให้กับพวกเขาไปมันก็มีวิธีการต่ออายุอยู่ไม่ใช่หรอคะ ถึงแม้ว่าวิธีการมันจะไม่ค่อยน่าพูดถึงสักเท่าไหร่ก็เถอะนะคะ…”
“…….”
“แหะๆ หนูก็เข้าใจแหล่ะค่ะว่าตอนนี้พวกเราเป็นศัตรูกันแล้วน่ะ แต่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาพวกเราก็เป็นเพื่อนที่ดีของกันและกันไม่ใช่หรอคะ โดยเฉพาะคุณแคทเธอรีนคนนั้นน่ะ เฮ้อ… แต่ว่าเวลามันก็ผ่านไปนานตั้งขนาดนี้แล้วต่อให้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะจำหนูได้อยู่หรือเปล่าเหมือนกันนะ…”
ไอวี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่ทางด้านนิโคลที่รู้ดีว่าแคทเธอรีนนั้นเพิ่งจะถูกทางเมืองกราวิทัสจัดฉากเพลิงไหม้ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้จนเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอต้องออกไปปฏิบัติภารกิจที่เมืองกราวิทัสกันเมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนนั้นก็ไม่คิดที่จะบอกอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยและทำเพียงแค่นิ่งเงียบอยู่เฉยๆ จนดูราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาสาวใช้ตัวใหญ่ที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจอย่างไรอย่างนั้น
“ว่าแต่ไหนๆ พี่นิโคลก็อุตส่าห์ตามหนูมาถึงที่นี่แล้วงั้นเดี๋ยวพวกเราก็ออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยเถอะค่ะ”
ไอวี่ที่เห็นว่านิโคลนิ่งเงียบไปเฉยๆ แบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะยื่นมือไปจับมือของพี่สาวของเธอเอาไว้และเดินจูงมือเธอไปตามถนนจนดูราวกับว่าพวกเธอเป็นเพียงแค่สาวใช้ฝึกหัดสองคนที่ถูกสั่งให้ออกมาจ่ายตลาดในยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น
“ว่าแต่ที่นี่ก็ดูเงียบสงบดีเหมือนกันนี่คะ ไม่เห็นจะมีวี่แววของการประท้วงแบบที่พี่นูลิสเขารายงานเอาไว้เลยนี่นา”
“……..”
“อ่าว… นั่นมันที่กราวิทัสหรอกหรอคะ? สงสัยหนูจะรีบอ่านรายงานของพี่นูลิสเขาเกินไปหน่อยล่ะมั้งคะเนี่ย แหะๆ”
บรื่นนนนนน—
“หืม? เสียงรถยนต์นี่นา… นี่เดี๋ยวนี้พวกเขาสร้างอะไรแบบนั้นกันได้แล้วหรอคะเนี่ย”
ในขณะที่ไอวี่กำลังพูดตอบพี่สาวของเธอกลับไปอยู่นั้นก็ได้มีเสียงรถกระบะของทางเมืองที่บรรทุกเด็กหนุ่มสาวในชุดนักเรียนกว่ายี่สิบคนกับกล่องอุปกรณ์จำนวนหนึ่งเอาไว้ที่กระบะด้านหลังดังขึ้นมาดึงความสนใจของเธอไป ซึ่งรถกระบะคันนั้นก็ได้วิ่งไปจอดอยู่ที่แถวๆ ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่ามกลางสายตาไม่พอใจของทหารยามทั้งสองคน
และหลังจากที่รถกระบะคันนั้นดับเครื่องยนต์ลงไปแล้วก็ได้มีเด็กสาวผมสีเหลืองทองทรงทวินเทลกระโดดลงมาจากห้องคนขับก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าไปสั่งงานเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่โดยสารมาด้วยกัน
“เอาล่ะ~ อากิคุงกับริวโตะคุงแล้วก็สมาชิกของหน่วยสื่อสารจัดการยกเสาสัญญาณกับกล่องอุปกรณ์ขึ้นไปติดตั้งเอาไว้ที่ด้านบนกำแพงกันได้เลยจ้ะ ส่วนคนอื่นๆ ก็ลงมาตั้งแถวกันก่อนจะได้ไม่เกะกะคนอื่นๆ นะจ๊ะ”
“รับทราบครับ!! / ได้เลยครับคุณไดเอน่า!”
ทันทีที่เด็กนักเรียนหญิงผมสีทองพูดสั่งออกมาก็ได้มีเสียงพูดตอบรับจากเด็กนักเรียนชายอีกสองคนที่มีเส้นผมสีแดงกับสีน้ำเงินเข้มก่อนที่พวกเขาและนักเรียนอีกคนหนึ่งจะช่วยกันขนย้ายกล่องอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีหน้าปัดต่างๆ เรียงกันอยู่เต็มไปหมดและแท่งโลหะจำนวนหนึ่งที่ดูแล้วน่าถูกนำมาประกอบกันจนกลายเป็นเสาที่มีลักษณะเหมือนกับโครงเหล็กยาวหลายเมตรได้หายเข้าไปด้านในด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยที่ไม่ได้สนใจท่าทีไม่พอใจของทหารยามทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
“เสานั่นมันน่าจะเป็นเสาสัญญาณอะไรสักอย่างสินะคะ… พี่นิโคลลองตรวจสอบดูให้หน่อยสิว่ามันคือเสาสัญญาณอะไรกันแน่น่ะ พอดีว่าหนูยังไม่อยากเปิดการเชื่อมต่อเพื่อตรวจสอบดูเองน่ะ…”
“…….”
“เอ๋? ไม่ตรงกับรุ่นที่พวกเรามีในฐานข้อมูลเลยหรอคะ…? ถ้างั้นแบบนี้มันก็อาจจะเป็นของที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเองก็ได้สินะคะเนี่ย…”
ไอวี่พูดตอบนิโคลกลับไปเบาๆ ในขณะที่ทางด้านเด็กสาวผมสีเหลืองทองทรงทวินเทลนั้นก็ได้หันไปพูดสั่งกับเด็กนักเรียนอีกสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอขึ้นมาก่อนจะเดินหายไปตามถนนเส้นหลักของเมือง
“ถ้างั้นอัลเบิร์ตคุงกับนากาคุงช่วยพาคนอื่นๆ เข้าไปสำรวจดูเส้นทางด้านในกำแพงกันสักหน่อยสิ เพราะเดี๋ยวทางฉันคงจะต้องขอตัวกลับไปดูสภาพของมายะจังเขาที่ประจำการอยู่ที่โรงเรียนก่อนน่ะ”
“ถ้าปล่อยเอาไว้คนเดียวก็คงจะสติแตกเอาได้สินะยัยนั่นน่ะ… เอาเถอะ ถ้าเกิดด้านในมันเหมือนกับประตูทางทิศใต้หรือว่าทิศเหนือฉันก็น่าจะพอรู้ทางอยู่บ้างนั่นล่ะ”
“เห… นี่นายเคยเข้าไปดูด้านในกำแพงเมืองด้วยหรอน่ะ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูคุ้นหูอย่างน่าประหลาดของเด็กหนุ่มผมสีดำที่มีนัยน์ตาสองสีนั้นถึงกับทำให้ไอวี่ชะงักไปในทันทีก่อนที่เธอจะเพ่งมองดูหน้าตาของเขาแล้วจึงเอ่ยปากถามพี่สาวของเธอขึ้นมาด้วยความประหลาดใจปนตกตะลึงราวกับว่าเธอได้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะเห็นเข้า
“พ—พี่นิโคล เด็กนักเรียนผมดำคนนั้นนั่—”
“……..”
“ม–ไม่ใช่หรอคะ…. แต่ว่า—”
“…….”
“งั้นหรอคะ… ถ้าเกิดแม้แต่หัวหน้าก็ยังพูดแบบนั้นงั้นก็คงจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ นั่นแหล่ะค่ะ… แล้วนี่พี่นิโคลคิดว่ายังไงบ้างหรอคะ คิดว่าการที่กลุ่มเด็กนักเรียนพวกนี้มาที่กำแพงเมืองนี่จะส่งผลกระทบอะไรกับแผนการของหัวหน้าเขาหรือเปล่า?”
ไอวี่ที่ได้ยินคำยืนยันจากนิโคลได้หันกลับมาสอบถามความคิดเห็นจากพี่สาวของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กสาวผมสีเขียวเองก็ยังคงเหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มผมสีดำอยู่เป็นระยะๆ ด้วยความไม่มั่นใจ
“…..”
“ถ้าเกิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเป้าหมายของหัวหน้าพวกเราก็ต้องรายงานกลับไปอยู่แล้วสิคะ… แต่ว่านี่เรายังไม่มีหลักฐานเลยนี่คะว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องหรือเปล่าน่ะ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะแค่มาทัศนศึกษาที่กำแพงเมืองเฉยๆ ก็ได้นะคะ เพราะงั้นพี่นิโคลอย่าเพิ่งรีบรายงานกลับไปน่าจะดีกว่าค่ะ”
“…..”
นิโคลที่ถูกน้องสาวของตนพูดห้ามเอาไว้ได้พยักหน้ากลับไปให้เป็นคำตอบก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินหลบเข้าไปในตรอกใกล้ๆ กันเพื่อแอบมองดูการกระทำของพวกเด็กนักเรียนเบื้องหน้าต่อไป
“แต่ว่าปัญหาจริงๆ น่าจะเป็นเจ้าอุปกรณ์สำหรับรับส่งสัญญาณอะไรสักอย่างนั่นมากกว่าสินะคะ… ถึงในตอนนี้มันจะอยู่ในมือของพวกเด็กนักเรียนก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าทางเมืองหรือว่าทางการทหารได้มันไปล่ะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะเอามันไปพัฒนาต่อไปเป็นอะไรบ้างน่ะ”
“ถ้าเกิดพวกคุณกลัวว่าทางวังหลวงจะได้มันไปล่ะก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกนะคะ เพราะของพวกนี้มันเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนรีมินัส และทางเราจะไม่มีทางปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของทางวังหลวงอย่างแน่นอนค่ะ”
“—!?”
เสียงที่ดังตอบมาจากเบื้องหลังนั้นถึงกับทำให้ไอวี่ชะงักไปด้วยความตกใจ ในขณะที่ทางนิโคลที่เหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าของเสียงก่อนแล้วแต่ว่ายังไม่ทันจะได้ส่งข้อความเตือนน้องสาวของเธอก็ได้ขยับเดินมาเบื้องหน้าเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะปกป้องเธอ
ซึ่งเจ้าของเสียงพูดเมื่อสักครู่นี้นั้นก็คือไดเอน่าที่เดินปลีกตัวออกไปจากกลุ่มของเด็กนักเรียนได้สักพักหนึ่งแล้วนั่นเอง
“ถ้าเกิดว่าฉันทำให้ตกใจก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่พอดีว่าฉันเห็นพวกคุณกำลังแอบมองเด็กนักเรียนของฉันอยู่ก็เลยเกิดสงสัยขึ้นมาน่ะค่ะ อ๋อ ฉันชื่อว่าไดเอน่าค่ะ เป็นประธานนักเรียนจากโรงเรียนของเด็กพวกนั้นเองค่ะ”
“……”
“ด—เดี๋ยวหนูคุยให้เองค่ะพี่นิโคล”
ในทันทีที่นิโคลได้ยินว่าเด็กสาวผมสีเหลืองทองเบื้องหน้าเป็นใครมาจากไหน เธอก็ขยับมือของตนล้วงเข้าไปด้านในกระเป๋ากระโปรงอย่างรวดเร็วจนทำให้ไอวี่ถึงกับต้องรีบพูดห้ามพี่สาวของเธอเอาไว้ก่อนแล้วจึงค่อยหันไปยิ้มให้กับไดเอน่าอย่างเป็นธรรมชาติ
“คือพอดีว่าตอนที่พวกฉันออกมาจ่ายตลาดพวกฉันเห็นรถกระบะขนพวกเด็กนักเรียนผ่านไปก็เลยเกิดสนใจขึ้นมาจนเผลอแอบตามมาดูน่ะค่ะ แหะๆ”
“เห… อย่างนั้นเองหรอคะ”
ไดเอน่าพยักหน้าตอบไอวี่กลับไปสั้นๆ พร้อมกับเหลือบตาไปมองดูนิโคลที่ยังคงล้วงมือเข้าไปกำอะไรสักอย่างหนึ่งในกระเป๋ากระโปรงอยู่แล้วจึงเอ่ยปากชวนสาวใช้ทั้งสองคนที่ดูมีอายุไม่ได้ห่างไปจากเธอมากนักขึ้นมาด้วยความเป็นมิตร
“ถ้าเกิดว่าพวกคุณสงสัยจริงๆ ล่ะก็… สนใจจะเข้าไปดูตัวเสาสัญญาณกันใกล้ๆ มั้ยล่ะคะ? ถือซะว่าเป็นรางวัลให้กับคุณสาวใช้ผมดำคนนี้อุตส่าห์เดินทางมาซะไกลขนาดนี้ก็แล้วกันน่ะค่ะ”
“เอ๋? พี่นิโคลรู้จักเด็กนักเรียนคนนี้ด้วยหรอคะ?”
“……?”
“คิกคิก เอาจริงๆ ฉันก็แค่อยากจะอวดของเล่นใหม่ให้กับสาวใช้จากต่างเมืองอย่างพวกคุณเห็นกันนั่นล่ะค่ะ เพราะว่าก่อนหน้านี้คุณน่าจะได้บังเอิญไปเจอกับกลุ่มเด็กนักเรียนของฉันที่ไปเยือนปราสาทกราวิทัสมากันแล้วใช่มั้ยละคะ… หนึ่งในเด็กนักเรียนของฉันเขาถึงกับเอ่ยปากชมเลยนะคะว่าสาวใช้ของที่นั่นแต่งตัวได้น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลยน่ะค่ะ แล้วถ้าดูจากลักษณะที่เด็กนักเรียนอีกคนนึงบอกว่าเป็นสาวใช้ผมสีดำยาวสลวยแต่ว่ามีแววตาแปลกๆ หน่อยนึงแล้วก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาก็น่าจะเป็นคุณไม่ผิดแน่ๆ แล้วล่ะค่ะ พวกคุณคงจะลำบากเหมือนกันสินะคะที่ถูกสั่งให้มาทำงานตั้งไกลขนาดนี้น่ะ”
“……”
“อ—อ่า…. มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ”
ไอวี่ที่เห็นว่าไดเอน่าเข้าใจผิดไปไกลได้ตัดสินใจที่จะตามน้ำกับอีกฝ่ายไปด้วย ในขณะที่นิโคลที่ในตอนแรกนั้นก็จ้องมองไดเอน่าอยู่ด้วยท่าทีระแวดระวังด้วยแววว่างเปล่าของเธอก็กลับค่อยๆ เบนสายตาของตนเองจากไดเอน่าไปยังร้านขนมที่ตั้งอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเตรียมตัวเปิดร้านอยู่ จนทำให้ไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นได้เหลือบไปมองทางด้านหลังของตัวเองก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“คิกคิก งั้นถ้าเกิดว่าพวกคุณไม่สนใจตัวเสาสัญญาณนั่นล่ะก็สนใจจะให้ฉันพาชมเมืองดูสักหน่อยมั้ยล่ะคะ ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฉันเองก็พอจะรู้จักร้านขนมดีๆ อยู่บ้างเหมือนกันนะคะ”
“เอ่อ… ถ้ายังไงพวกฉันขอปรึกษากันก่อนจะได้หรือเปล่าคะ?”
“เชิญตามสบายเลยค่ะ แต่ถ้ายังไงก็รีบตัดสินใจสักหน่อยก็ดีนะคะ เพราะว่าอีกสักประมาณชั่วโมงนึงจะได้เวลาเริ่มเรียนแล้วน่ะค่ะ”
ไดเอน่าที่ได้ยินไอวี่พูดตอบกลับมาแบบนั้นได้ยิ้มพูดตอบไปด้วยท่าทางใจดีพร้อมกับเดินเว้นระยะออกไปเล็กน้อยเพื่อให้สาวใช้ทั้งสองคนได้มีเวลาพูดคุยปรึกษากันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ไอวี่ได้โน้มตัวเข้าไปพูดคุยปรึกษากับพี่สาวของเธอในทันที
“เอาไงดีคะพี่นิโคล ถ้าเราตามไปก็อาจจะได้รู้ข้อมูลอะไรดีๆ ก็ได้นะคะว่าพวกเด็กนักเรียนกำลังวางแผนอะไรกันอยู่น่ะ”
“…….”
“ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งลงมาเพราะงั้นก็เลยให้ทำตามที่คิดว่าจะมีประโยชน์กับแผนของหัวหน้าที่สุดไปเลยงั้นหรอคะ…? เข้าใจแล้วค่ะ… แต่ว่าเวลาคุยกันนี่ต่อให้พี่นิโคลไม่ใช้ปากพูดอย่างน้อยก็ช่วยหันมามองกันสักหน่อยสิคะ”
“……”
“โธ่เอ๊ย… แค่เห็นรู้แล้วล่ะค่ะว่าพี่อยากจะแวะกินขนมน่ะ เอาเป็นว่าพวกเราลองตามเด็กนักเรียนคนนั้นไปดูก่อนแล้วก็ค่อยขอให้เขาแนะนำร้านขนมอร่อยๆ ให้สักร้านนึงก็แล้วกันนะคะ”
ไอวี่ที่เห็นว่าพี่สาวของเธอมีท่าทีสนใจร้านขนมร้านนั้นอย่างออกหน้าออกตานั้นถึงกับอดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงออกแรงลากพี่สาวของเธอที่ยังคงจับจ้องร้านขนมอยู่อย่างไม่วางตาให้เดินตามเธอไปหาไดเอน่าที่ยืนรออยู่ด้านนอกตรอกที่พวกเธอแอบหลบอยู่เพื่อตอบตกลงให้อีกฝ่ายพอเธอเดินชมเมืองแต่โดยดี
“ปกติแล้วที่นี่จะไม่อนุญาตให้คนทั่วไปขึ้นมาได้หรอกนะคะ แต่ว่าในครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษน่ะค่ะ พวกคุณคิดว่ายังไงบ้างล่ะคะ?”
หลังจากที่ไดเอน่าได้รับคำตอบรับจากสาวใช้ทั้งสองคนแล้วเธอก็ได้พาสาวใช้ทั้งสองคนขึ้นรถม้าตรงไปยังประตูกั้นเขตเมืองชั้นในของรีมินัสก่อนที่เธอจะลงจากรถม้าเพื่อเดินนำทั้งสองคนขึ้นไปทางด้านบนกำแพงเมืองชั้นที่สองของรีมินัสที่ตั้งอยู่ระหว่างตัวเมืองชั้นในและชั้นนอกพร้อมเอ่ยปากถามทั้งสองคนขึ้นมา
ซึ่งไอวี่ที่ได้ยินคำถามของไดเอน่านั้นก็ได้เดินไปหยุดอยู่ที่ริมกำแพงทางฝั่งตัวเมืองชั้นนอกเพื่อมองลงไปยังเบื้องล่างที่มีชาวเมืองจำนวนมากกำลังทำกิจวัตรประจำวันของพวกเขาอยู่อย่างสงบสุขราวกับว่าเหตุวินาศกรรมเมื่อวานนี้ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเป็นเรื่องโกหกที่ห่างไกลตัวพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนทางด้านนิโคลผู้ที่เป็นหนึ่งในตัวการของเหตุโจมตีทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้นในรีมินัสในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเองก็ได้เดินไปยืนอยู่เคียงข้างไอวี่เพื่อก้มหน้าลงไปมองดูกิจวัตรประจำวันของชาวเมืองอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
และเมื่อไดเอน่าเห็นว่าสาวใช้ทั้งสองคนได้ใช้เวลามองดูบรรยากาศของเมืองรีมินัสในยามเช้ามาได้สักพักหนึ่งแล้วเธอก็ได้เอ่ยปากถามทั้งสองคนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“พวกคุณคิดว่ายังไงบ้างล่ะคะ? ถึงมันอาจจะดูวุ่นวายไปสักหน่อยก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันก็เป็นเมืองที่สงบสุขดีใช่มั้ยละคะ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนมาพยายามทำลายความสงบสุขแบบนี้ไปแล้วถึงสองครั้งด้วยกันก็เถอะ…”
“…คุณไดเอน่าแค่อยากจะให้พวกฉันขึ้นมาดูวิวข้างบนนี้แค่นั้นเองหรอคะ?”
ไอวี่ที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าเธอจะยังอ่านรายงานปฏิบัติการที่เหล่าแฟรี่คนอื่นๆ ไปทำมาไม่ครบทุกเรื่องแต่ว่าเธอก็สามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้นก็คงจะหมายถึงหนึ่งในแผนการที่หัวหน้ามอบหมายให้กับเหล่าพี่น้องแฟรี่ของเธอไปจัดการอย่างแน่นอน
“อ๋อ ไม่ใช่หรอกค่ะ จริงๆ แล้วคนที่อยากจะให้ฉันพาพวกคุณไอวี่มาที่นี่คือเธอคนนั้นต่างหากล่ะค่ะ”
คำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้ไอวี่ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะว่าในตอนที่นั่งรถม้ามาด้วยกันเธอเองก็ยังไม่ได้บอกชื่อของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ทราบเลยซะด้วยซ้ำ อีกทั้งสิ่งที่ไดเอน่าพูดออกมานั้นก็หมายความว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังของการที่ไดเอน่าเข้ามาเอ่ยปากทักทายพวกเธออีกด้วย
“เอ๋ะ? คุณรู้ชื่อของฉัน—”
“ว่าไง… พวกเราไม่ได้เจอกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้มากันตั้งนานแล้วนะ ไอวี่… นิโคล…”
เสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากทางบันไดทางลงกำแพงนั้นถึงกับทำให้ไอวี่เบิ่งตากว้างในทันที เพราะว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคนที่ถึงกับทำให้เธอขัดคำสั่งของหัวหน้าของเธอและรีบหนีออกมาก่อนที่จะได้รับการตรวจสภาพร่างกายนั่นเอง
“ท่านเอริกะ…”
“ถ้างั้นทางด้านฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะคุณเอริกะ เพราะถ้าเกิดช้าไปกว่านี้เดี๋ยวมายะจังเขาจะกังวลจนทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมาก็ได้น่ะค่ะ”
“อื้อ ถ้ายังไงก็ขอบใจที่อุตส่าห์พาพวกเขามาตามที่ฉันขอนะไดเอน่าจัง”
เอริกะที่ถูกไดเอน่าเอ่ยปากพูดคุยด้วยนั้นได้พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไป และเมื่อไดเอน่าเดินหายลงบันไดทางขึ้นกำแพงไปแล้ว นักประดิษฐ์สาวจึงได้หันกลับไปมองแฟรี่สาวใช้เจ้าปัญหาทั้งสองคนก่อนจะพบว่านิโคลนั้นได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกนิโคล ถึงฉันจะยังโมโหที่เธอระเบิดทหารพวกนั้นไปเมื่อวานนี้อยู่ก็เถอะ แต่ว่าที่ฉันบอกให้ไดเอน่าจังเขาพาตัวเธอขึ้นมาที่นี่มันเป็นเพราะว่าฉันแค่อยากจะเจอพวกเธอเฉยๆ น่ะ”
“ต้องการจะพบพวกฉันงั้นหรอคะ…?”
“อื้ม อย่างน้อยก็ในฐานะที่ฉันเคยเป็นเจ้านายของเธอนั่นแหล่ะนะไอวี่”
เอริกะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับเดินตรงเข้าไปลูบหัวไอวี่ที่ตัวสูงกว่าเธอเล็กน้อยเบาๆ ซึ่งท่าทีเป็นมิตรและน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้ดวงตาของไอวี่เริ่มที่จะมีน้ำตาไหลคลอออกมาก่อนที่เธอจะทรุดลงไปกับพื้นและคว้าตัวเอริกะเข้ามากอดเอาไว้แล้วจึงร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“’เคย’ เป็นงั้นหรอคะ…!? ฮึก… ท่านเอริกะน่ะเป็นเจ้านายของฉันตลอดมาแล้วก็จะเป็นตลอดไปนะคะ…!! ทำไมเมื่อตอนนั้นท่านเอริกะถึงต้องทอดทิ้งฉันไปแบบนั้นด้วยล่ะค่ะ… ทั้งๆ ที่ถ้าเกิดว่าเมื่อตอนนั้นขอแค่ท่านเอริกะออกคำสั่งมาล่ะก็… ฉันก็คง…. ฉันก็คงจะ… ฮึก…”
“……….”
“ไอวี่…”
นิโคลที่เห็นว่าน้องสาวของเธอกำลังร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจนั้นได้ตัดสินใจที่จะล้วงมือออกมาจากกระเป๋ากระโปรงเพื่อที่จะเข้าไปปลอบใจอีกฝ่าย แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ก้าวเท้าออกไปนั้น เอริกะที่เห็นสาวใช้ผมสีเขียวร้องไห้ออกมาก็ได้ย่อตัวลงเพื่อโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับลูบหัวของเธอไปด้วยราวกับหญิงสาวที่พยายามปลอบประโลมลูกน้อยของตัวเองจนทำให้นิโคลได้แต่ต้องหยุดเท้าของตัวเองเอาไว้และตัดสินใจที่จะเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ แทน
“ฉันขอโทษ… แต่ว่าเส้นทางที่ฉันเลือกมันยังไม่ใช่เส้นทางที่แฟรี่อย่างเธอจะก้าวเดินไปด้วยกันได้น่ะ…”
“ถ…ถ้างั้นทำไม… ทำไมท่านเอริกะถึงต้องเลือกหนทางแบบนั้นด้วยล่ะคะ…”
“ก็เพราะว่าถึงฉันจะไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายที่หัวหน้าของเธอตัดสินใจเลือก… แต่ว่าฉันเองก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆ ปล่อยให้มนุษย์ของที่นี่ถูกกำจัดไปโดยไม่ลงมือทำอะไรได้เหมือนกันน่ะ…”
“ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะต้องทำยังไงต่อไปล่ะคะ… ตัวฉันที่มีตัวตนอยู่เพียงเพื่อรับใช้ท่านเอริกะคนนี้จะต้องทำยังไงล่ะคะ… ถ้าเกิดว่าฉันจะต้องไปยืนอยู่คนละฝั่งกับท่านเอริกะแบบนี้น่ะ…”
ไอวี่ที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้แต่แหงนหน้าขึ้นมามองเอริกะที่กำลังโอบกอดเธออยู่ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่เผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะตัดสินใจลูบหัวของอดีตสาวใช้ของเธออีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ไอวี่หยุดจ้องหน้าของเธอไปก่อนและฉวยโอกาสนี้มองไปทางด้านนิโคลที่ยังคงยืนนิ่งเงียบมองดูพวกเธออยู่
ซึ่งนิโคลที่เห็นว่าเอริกะได้หันมามองทางเธอนั้นก็เหมือนกับว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เอริกะต้องการจะสื่อเธอจึงได้พยักหน้ากลับไปให้หญิงสาวผมแดงเล็กน้อยเป็นการตอบรับจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นได้ผละมือออกจากศีรษะของไอวี่เพื่อใช้มือทั้งสองข้างของเธอจับแก้มของไอวี่ให้หันมามองหน้าเธอเอาไว้และพูดบอกเธอไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไอวี่… ฟังฉันนะ… ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะยังคงเป็นสาวใช้ของฉันไม่มีวันเปลี่ยน…”
“ท่านเอริกะ…”
คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้แววตาของไอวี่เปล่งประกายด้วยความยินดี แต่ว่าทันใดนั้นเองแววตาของเธอก็ต้องกลับกลายเป็นตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดถัดไปของเอริกะ
“เพราะแบบนั้นในฐานะเจ้านายของเธอ… ฉันขอสั่งให้เธอกลับไปที่นั่นด้วยกันกับนิโคล—”
“ไม่ไม่ไม่.. ไม่นะคะท่านเอริกะ…”
“—และจนกว่าโลกใบนี้จะกลับมาเป็นโลกที่สงบสุข… จนกว่ามันจะกลับมาเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความฝัน ความรัก หรือแม้แต่น้ำตา—”
“ได้โปรดเถอะค่ะท่านเอริกะ…”
“—หรือจนกว่าโลกใบนี้จะถูกทำลายลงไปด้วยแผนการของเธอคนนั้น ฉันขอสั่งให้เธอกลับไปทำหน้าที่แฟรี่เคียงข้างเหล่าพี่น้องของเธอซะ…”
ไอวี่ที่เห็นว่าการขอร้องของเธอไม่เป็นผลนั้นได้แต่ต้องซุกหน้าของเธอเข้าไปในอ้อมกอดของเอริกะอีกครั้งเพื่อที่จะซึมซับอ้อมกอดที่เธอโหยหานี้เอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้
“ถ…ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับท่านเอริกะน่ะหรอคะ…?”
“ใช่… ต่อให้เธอจะต้องลงมือสู้กับฉันหรือว่าลงมือจบชีวิตฉันก็ตาม… ถ้าเกิดว่านั่นมันเป็นสิ่งที่หัวหน้าหรือว่าคุณแม่ของพวกเธอมอบคำสั่งให้ล่ะก็ให้ถือว่ามันเป็นเสมือนกับคำสั่งของฉันโดยตรง… เข้าใจแล้วนะไอวี่…?”
“ร…รับทราบ…คำสั่ง…”