บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 12
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในขณะที่นากา พรีมูล่า และอัศวินหนุ่มคอนแนลกำลังช่วยกันจัดเก็บห้องออฟฟิศของเอริกะกันอยู่นั้น อยู่ๆ อุปกรณ์อะไรบางอย่างของเอริกะที่นักประดิษฐ์สาวผู้เป็นเจ้าของวางทิ้งเอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งให้ทุกคนได้ยินจนทำให้พรีมูล่าส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เอ๋? พี่นากาๆ เจ้าแผ่นเหล็กนั่นมันส่งเสียงออกมาอีกแล้วอ่ะ!”
เสียงร้องที่แฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นของพรีมูล่านั้นได้ทำให้นากาต้องรีบหันกลับไปมองดูน้องสาวของเขาในทันที และเมื่อนากาเห็นว่าพรีมูล่าได้ถือวิสาสะหยิบเจ้าแผ่นเหล็กติดกระจกที่กำลังเรืองแสงและกำลังส่งเสียงเตือนเป็นจังหวะออกมาจากลิ้นชักโต๊ะโดยไม่รอให้ใครอนุญาตแบบนั้นเขาก็ได้แต่ต้องพูดดุว่าเธอออกมา
“อย่าซนสิพรีมูล่า”
“นั่นสิครับ ถ้าเกิดว่าเผลอไปทำอะไรพังเข้าระวังจะโดนคุณเอริกะดุเอานะครับ”
คอนแนลที่ได้ยินคำพูดดุว่าของนากาเองก็ได้เอ่ยปากพูดเตือนเด็กสาวแสนซนขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเด็กสาวผมสีชมพูก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจคำเตือนของพี่ๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อยและใช้นิ้วของเธอจิ้มเข้าไปที่ตัวกระจกเรืองแสงแบบที่เธอเห็นเอริกะทำก่อนหน้านี้ด้วยท่าทีมั่นใจ
ปิ๊บ
“อ๊ะ… มันเงียบไปแล้วอ้ะพี่นากา แถมแสงก็ดับไปแล้วด้วย”
“นี่เธอทำมันพังแล้วหรือเปล่าเนี่ย?”
เสียงร้องด้วยความตกใจของพรีมูล่าได้ทำให้นากาต้องรีบจัดเก็บแฟ้มเอกสารที่เขากำลังจัดเรียงอยู่อย่างรวดเร็วและรีบเดินเข้าไปช่วยน้องสาวของเขาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องมือของเอริกะใกล้ๆ จนทำให้พรีมูล่าที่ได้ยินนากาพูดเหมือนกับมั่นใจว่ามันพังไปแล้วอย่างแน่นอนต้องพูดเถียงกลับไปเสียงดัง
“แต่หนูแค่เอานิ้วจิ้มมันเฉยๆ เองนะ!!”
“ของบางอย่างแค่เผลอจิ้มไปโดนมันก็พังได้แล้วนะครับ แถมเจ้านี่ยังเป็นอุปกรณ์อะไรแปลกๆ ของคุณเอริกะที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วยต่างหาก…”
“แต่หนูไม่ได้ทำมันพังสักหน่อยนี่! ถ้าแค่โดนนิ้วจิ้มแล้วพังเลยแบบนี้นี่ งั้นตอนที่พี่เอริกะจิ้มมันไปตั้งหลายทีมันก็ต้องพังไปแล้วสิ!!”
คำพูดของคอนแนลที่ผละมือออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมประหลาดๆ จำนวนมากเพื่อเดินมามุงดูด้วยอีกคนหนึ่งได้ทำให้พรีมูล่าหันไปพูดเถียงเขาขึ้นมาในทันทีก่อนที่เธอจะพองแก้มจนป่องและใช้นิ้วจิ้มเข้าใส่ตัวอุปกรณ์ในมือไปอีกหลายๆ ทีจนทำให้คอนแนลถึงกับตกใจตาเหลือก
“อ—อย่าไปจิ้มเล่นแบบนั้นสิครับพรีมูล่า ถ้าเกิดว่ามันระเบิดขึ้นมาเดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอกครับ!”
คำพูดของคอนแนลที่ฟังดูหวาดๆ นั้นได้ทำให้สองพี่น้องชะงักไปในทันทีก่อนที่นากาจะพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก
“นายหมายความว่ายังไงที่ว่าเดี๋ยวมันระเบิดขึ้นมานั่นน่ะคอนแนล…?”
“นั่นสิๆ กล่องเล็กๆ แบนๆ แบบนี้ไม่น่าจะระเบิดได้หรอกมั้งพี่คอนแนล!”
“เอ่อ… ถ้าเกิดว่ามันเป็นอุปกรณ์ของคุณเอริกะล่ะก็อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นนั่นแหล่ะครับ ผมไม่กล้ายืนยันอะไรหรอก…”
“………”
คำตอบของคอนแนลได้ทำให้สองพี่น้องนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่พรีมูล่าจะวางอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ของเอริกะกลับไปที่เดิมและปิดลิ้นชักกลับไปให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาเสียงใส
“เอาล่ะ~ ทำความสะอาดๆ ~ ไหนใครจิ้มอุปกรณ์อะไรเล่นกัน ไม่มีๆ เนอะพี่นากา เนอะพี่คอนแนล~”
“…เอาเป็นว่าฝากนายไปบอกเอริกะให้หน่อยก็แล้วกันนะคอนแนล”
“…ได้เลยครับ”
“เอ๋!? ไหงงั้นอ้ะ!?”
พรีมูล่าที่เห็นว่าพี่ๆ ทั้งสองคนของเธอเหมือนจะเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ร้องโวยวายออกมาเสียงดัง แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้มีโอกาสพูดเกลี้ยกล่อมอะไรทั้งสองคนออกมานั้นประตูห้องออฟฟิศก็ได้ถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่งโดยเอริกะผู้เป็นเจ้าของห้องเข้าเสียก่อน
“นี่คอนแนล คุณเวก้าเขาเรียกหาน่ะ~”
“เอ๋ะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าน่ะครับ?”
“อ๋อ~ เปล่าหรอกๆ เห็นคุณเวก้าเขาบอกว่าได้เวลากลับกันแล้วเฉยๆ น่ะ”
เอริกะพูดตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่เธอจะเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองและเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบเอาอุปกรณ์ของเธอออกมา แต่ทว่าทันใดนั้นเองเอริกะก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยและพูดถามพวกเด็กๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“นี่มีใครเล่นได้มาเล่นซนอะไรกับอุปกรณ์ของฉันหรือเปล่าเอ่ย~”
“เมื่อกี้นี้พรีมูล่าเขาเล่นซนแล้วก็หยิบมันมาจิ้มเล่นน่ะครับ”
“ก็ตามนั้นแหล่ะเอริกะ”
“งื้อ… ก็หนูเห็นว่ามันส่งเสียงอะไรก็ไม่รู้ออกมาอีกแล้วก็เลยกะจะหยิบมันมาดูแค่นิดเดียวเอง แต่ว่าพอหนูจิ้มใส่มันแล้วมันก็เงียบไปเลยอ้ะ… หนูขอโทษนะพี่เอริกะ…”
พรีมูล่าที่เห็นว่าพี่ๆ ของเธอปากโป้งโดยไม่มีท่าทีว่าจะช่วยเธอปกปิดเลยแม้แต่น้อยได้แต่ต้องยอมรับความผิดแต่โดยดี ซึ่งนั่นก็ทำให้แววตาของเอริกะฉายแววเอ็นดูออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาลูบหัวของเด็กสาวตัวแสบและพูดบอกเธอไปพร้อมกับถือโอกาสนี้พูดเตือนพวกเด็กๆ ไปด้วย
“แหม่~ มันก็แค่เครื่องมือสื่อสารเองน่ะไม่มีอะไรมากหรอก~ อ๊ะ— แต่ถ้าเกิดว่าพวกเธอเห็นของอะไรที่มันดูอันตรายก็อย่าไปจับเล่นล่ะเข้าใจมั้ยเอ่ย โดยเฉพาะพวกของที่เรืองแสงหรือว่าปล่อยความร้อนความเย็นออกมาได้อะไรพวกนั้นน่ะ~”
หลังจากที่เอริกะพูดเตือนพวกเด็กๆ ออกมาเสร็จแล้วเธอก็ได้จิ้มไปที่แผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เธอเรียกมันว่าเครื่องมือสื่อสารสองสามทีจนฝั่งที่เป็นกระจกของมันเรืองแสงออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะเลิกคิ้วเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยท่าทียุ่งยากใจจนทำให้นากาต้องรีบพูดถามเธอขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะเอริกะ หรือว่าอุปกรณ์ของเธอมันพังไปแล้วจริงๆ น่ะ?”
“เปล่าหรอกๆ แค่ว่ามันมีเรื่องอะไรนิดหน่อยน่ะ ถ้ายังไงรบกวนฝากพวกเธอบอกลาคุณเวก้าแทนฉันให้หน่อยสิ พอดีว่าฉันต้องคุยธุระก่อนสักแป๊บนึงน่ะ”
“คุยธุระ…? อ๋อ… เธอเรียกเจ้าอุปกรณ์นั่นว่าเครื่องมือสื่อสารนี่นะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้เองก็แล้วกัน ไปกันเถอะคอนแนล”
“ถ้างั้นเอาไว้ค่อยเจอกันใหม่โอกาสหน้าละกันนะครับคุณเอริกะ”
“เอ๋~!? พี่คอนแนลจะกลับแล้วหรอ?”
พรีมูล่าที่ได้ยินเอริกะและนากาพูดเหมือนกับว่ามันได้เวลาที่เธอจะต้องจากลากับคอนแนลแล้วได้ร้องขึ้นมาเสียงดังด้วยความเสียดาย เพราะว่าที่หมู่บ้านโมริโกะนั้นนอกจากนากาและโมโกะแล้วก็ไม่มีเด็กคนอื่นๆ ที่อายุพอๆ กับตัวเธอเองเลย
ซึ่งท่าทางเสียใจของพรีมูล่าที่ดูราวกับลูกสุนัขตัวน้อยนั้นก็ทำให้คอนแนลอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปลูบหัวของเธอด้วยความเอ็นดูและพยายามพูดปลอบใจเธอขึ้นมา
“มันได้เวลาที่ผมจะต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะครับ แต่ว่าถ้าพรีมูล่ากับนาการู้จักกับคุณเอริกะแบบนี้พวกเราก็น่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกบ่อยๆ อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะงั้นไม่ต้องเศร้าไปหรอก”
คำพูดปลอบใจของคอนแนลได้ทำให้พรีมูล่าพองแก้มของเธอเล็กน้อยจนคอนแนลหลุดยิ้มออกมาแล้วจึงเดินตามหลังนากาออกจากห้องออฟฟิศไป
แต่ว่าทันใดนั้นเองคอนแนลก็ได้เดินกลับเข้ามาในห้องออฟฟิศอีกครั้งนึงและลูบหัวตัวเองพูดบอกเอริกะไปด้วยท่าทีเกรงใจ
“เอ่อ… คือว่าตอนที่ผมเข้ามาข้างในผมเผลอกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างนี่นะครับ แหะๆ ”
“อ่ะ—รองเท้าหนูก็อยู่นอกหน้าต่างเหมือนกันนี่นา~”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของคอนแนลได้ร้องออกมาเสียงใสก่อนที่เธอจะปีนหน้าต่างตามคอนแนลออกไปใส่รองเท้าของเธอข้างนอกท่ามกลางสีหน้ายิ้มๆ ของเอริกะและสีหน้าเหนื่อยใจของนากา
“เฮ้อ… ถ้างั้นก็ไปเจอกันที่หน้าประตูบ้านก็แล้วกันนะ”
“ค่าาา~~”
เสียงขานรับของพรีมูล่านั้นได้ทำให้นากาถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่งและเดินตรงไปเปิดประตูของตัวบ้านออกก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปเมื่อมีเสียงร้องโวยวายของอลิซดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน
“เนี่ย! เอาแค่ตาแว่นที่กำลังเดินมานั่นคนเดียวก็ได้! ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นเป็นอัศวินใหม่เพราะงั้นก็น่าจะยังไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่อะไรมากนักไม่ใช่หรือไง!”
“เอ่อ… นี่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับเนี่ยคุณเวก้า?”
ในขณะที่นากากำลังจะเอ่ยปากพูดถามอลิซขึ้นมาด้วยความสงสัยนั้น คอนแนลที่เดินนำพรีมูล่าอ้อมตัวบ้านมาก็ได้พูดถามเวก้าที่ดูเหมือนว่าจะกำลังมีปากเสียงกับเด็กสาวผมสีขาวที่เขาไม่รู้จักอยู่ขึ้นมาจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นหันกลับไปพูดต่อว่าเขาขึ้นมาในทันที
“นี่นายอยู่ในห้องนั่นตั้งนานไม่เห็นหรือไงว่าหน้าต่างห้องออฟฟิศมันเป็นรูน่ะหะ!? เหมือนว่าเช้านี้ตอนที่เอริกะเขาออกไปข้างนอกแล้วพวกฉันกำลังยืนเถียงกับเจ้าหมอนี่อยู่ที่หน้าบ้านมันจะมีโจรแอบย่องเข้าไปขโมยของข้างในห้องออฟฟิศนั่นน่ะสิ ฉันก็เลยอยากจะขอให้ ท่าน-ขุน-นาง-ยศ-บา-รอน-คุณ-เวก้า-ผู้-สูง-ศักดิ์ช่วยแบ่งอัศวินในหน่วยของเขามาคุ้มครองเพื่อนตัวน้อยของเขาแค่สักคนสองคนแต่เขาก็ขี้เหนียวไม่ยอมอยู่นั่นนั่นแหล่ะ!”
คำพูดของอลิซที่ดูเหมือนว่าจะเน้นย้ำตรงชื่อและตำแหน่งของเวก้าเป็นพิเศษจนดูเหมือนเป็นการแดกดันนั้นได้ทำให้พวกอัศวินรุ่นพี่ของคอนแนลที่ยืนเรียงอยู่ด้านหลังเวก้ามีท่าทีฮึดฮัดกันเล็กน้อยราวกับว่าพวกเขารู้สึกไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงอย่างนั้นคอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจในประโยคท่อนแรกๆ และท่อนหลังๆ ของอลิซมากกว่าก็ได้พูดถามเวก้าขึ้นมาราวกับว่าอยากจะขอคำยืนยันจากเขา
“ที่ว่ามีโจรบุกเข้าไปข้างในบ้านของคุณเอริกะนั่นมันเป็นความจริงหรอครับคุณเวก้า?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เพราะว่านอกจากกระจกที่แหว่งไปกับคำพูดของคุณหนูอลิซแล้วคุณเอริกะเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจริงมั้ยล่ะครับ…”
บทสนทนาที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเครื่องตัดกระจกที่หายไปนั้นได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะยื่นมือไปอุดปากพรีมูล่าเอาไว้ก่อนเพื่อที่น้องสาวของเขาจะได้ไม่เผลอหลุดปากพูดอะไรออกมา ในขณะเดียวกันทางด้านอลิซที่ได้ยินคำที่เวก้าใช้เรียกเธอนั้นก็ถึงกับคิ้วกระตุกและพูดเถียงกลับไปเสียงดัง
“อย่ามาเรียกฉันว่าคุณหนูนะ! แล้วนี่สรุปว่านายเป็นคนรู้จักที่ชอบมาขอคำแนะนำจากเอริกะเขาจริงๆ หรือเปล่าน่ะหะ ดูๆ ไปแล้วขนาดนากาที่เพิ่งจะรู้จักกับเอริกะมาได้ไม่ถึงวันก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าจะเป็นห่วงเอริกะมากกว่านายอีกไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดของอลิซนั้นได้ทำให้เวก้าชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะแสดงท่าทีลำบากใจออกมา จนทำให้คอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มรู้สึกเป็นห่วงเอริกะขึ้นมาและกลัวว่าหัวขโมยคนนั้นอาจจะย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่งตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดขอร้องเวก้าขึ้นมาตรงๆ
“คุณเวก้าครับ ถ้าผมจะขออาสาเฝ้าที่นี่ให้คุณเอริกะเขาจะได้หรือเปล่าครับ… อย่างน้อยขอแค่สักคืนเดียวก็ยังดี…”
“……..”
เวก้าที่ได้ยินคำพูดอาสาตัวของคอนแนลได้นิ่งเงียบมองหน้าคอนแนลอยู่ชั่วขณะเหมือนกับคาดไม่ถึงว่าลูกน้องของตนเองจะกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาจนทำให้คอนแนลถึงกับแอบเหงื่อตกเล็กน้อย เพราะว่าเอาจริงๆ แล้วตัวเขาเองก็เพิ่งจะได้รับเลือกจากเวก้าให้มาเข้าร่วมหน่วยได้ไม่นานสักเท่าไหร่นักจนไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเวก้าจะคิดยังไงกับการแสดงออกของเขากันแน่
ซึ่งหลังจากที่ความเงียบอันน่าอึดอัดของคอนแนลดำเนินผ่านไปสักพักหนึ่งทางด้านเวก้าก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา
“ความจริงแล้ววันนี้ผมคิดจะมอบหมายหน้าที่ใหม่ในคฤหาสน์ให้กับคุณน่ะครับ แต่ดูท่าทางว่าเรื่องของคุณเอริกะจะกวนใจคุณอยู่ไม่ใช่น้อยสินะครับคอนแนล”
“ครับ…”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ วันนี้คุณอยู่เฝ้ายามให้คุณเอริกะไปก่อนดีกว่า เพราะว่าจริงๆ แล้วผมเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน… ส่วนเรื่องหน้าที่ใหม่ของคุณก็ไม่ต้องกังวลนะครับเดี๋ยวเอาไว้ผมจะหาเวลาเรียกคุณไปคุยเรื่องนี้วันหลังแทนให้เอง”
“ครับ! ขอบคุณมากครับคุณเวก้า!!”
คอนแนลที่ได้รับคำอนุญาตจากเวก้าได้พูดตอบเจ้านายของเขากลับไปเสียงดังด้วยความดีใจในขณะที่ทางด้านตัวเวก้าเองก็ได้หันกลับไปหาอลิซและพูดบอกเธอไป
“แต่ว่าผมคงจะแบ่งให้ได้แค่คอนแนลคนเดียวจริงๆ นะครับเพราะว่าเดี๋ยวหลังจากนี้ผมจะมีงานให้ทุกๆ คนทำน่ะครับ”
“เฮ้อ… ได้ตาแว่นนี่มาสักคนก็ยังดีล่ะ ยังไงก็ขอบใจละกัน”
เวก้ายิ้มรับคำของอลิซเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเพราะเมฆฝนแล้วจึงเอ่ยปากพูดบอกลาเด็กสาวผมสีขาวออกมา
“ถ้างั้นพวกผมขอตัวกลับกันก่อนที่ฝนจะเทลงมาก็แล้วกันนะครับ ส่วนคอนแนลเอาเป็นว่าไว้วันพรุ่งนี้สักช่วงบ่ายๆ คุณก็ค่อยกลับไปรายงานตัวกับผมที่คฤหาสน์ก็แล้วกันครับ”
“ได้เลยครับคุณเวก้า!”
คอนแนลยกมือขึ้นมาทำความเคารพเวก้าและมองไล่หลังเจ้านายกับกลุ่มอัศวินรุ่นพี่ของเขาเดินหายไปตามถนนด้วยความเลื่อมใส เพราะถึงแม้ว่าเวก้าจะได้ยินคำขอร้องที่ฟังดูเห็นแก่ตัวของเขาเข้าไปแล้วเจ้านายของเขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองเลยแม้น้อยแถมยังยอมอนุญาตโดยไม่ต่อว่าเขาอะไรอีกด้วย ส่วนทางด้านที่นากาเห็นว่าเรื่องทุกอย่างจบลงไปแล้วก็ได้ปล่อยมือของเขาออกจากปากของพรีมูล่าและพูดถามอัศวินหนุ่มขึ้นมา
“แล้วนายจะเอายังต่อล่ะคอนแนล?”
“อันดับแรกก็คงจะต้องไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก่อนนั่นแหล่ะครับเผื่อว่าคนร้ายจะทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บ้าง”
“ถ้านายหมายถึงห้องออฟฟิศของเอริกะล่ะก็ไม่เหลืออะไรให้นายตรวจสอบแล้วล่ะมั้ง เพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งจะช่วยเอริกะเก็บกวาดไปแล้วเวก้าเขาก็พาพวกนายมาค้นจนต้องทำความสะอาดกันอีกรอบนั่นน่ะ”
“ช่ายๆ พวกหนูทำความสะอาดเก็บกวาดหลักฐานจนเกลี้ยงไปแล้วล่ะ!”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของพี่ชายได้ยืดอกพูดสนับสนุนขึ้นมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจจนทำให้อลิซที่ยังคงหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปดึงแก้มนิ่มๆ ของเธอเล่น
“ไม่ใช่ว่าเธอเอาแต่เล่นตอนที่คนอื่นเขาทำความสะอาดกันหรือไงน่ะ?”
“โอ๊ยๆๆๆ มันเจ็บนะพี่อลิซ! แล้วไม่ใช่ว่ามันก็เป็นหนูเองหรอที่เก็บกวาดเศษแจกันหน้าบ้านซะจนเรียบแบบนั้นอ้ะ!”
“เอาน่าๆ ยังไงตอนนี้พวกเราก็รีบกลับเข้าไปข้างในตัวบ้านกันก่อนเถอะ ฝนมันใกล้จะตกเต็มที่แล้วนะ”
นากาที่ได้ยินพรีมูล่าพูดทวงผลงานขึ้นมานั้นได้พูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาจนทำให้อลิซต้องยอมปล่อยมือออกจากแก้มของพรีมูล่าแต่โดยดีในขณะที่ทางด้านคอนแนลก็ได้หลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้สะกิดใจอะไรกับคำพูดของพรีมูล่าเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาเห็นว่าพรีมูล่าชอบพูดจาอะไรประหลาดๆ แบบนี้อยู่แล้ว
“ฮะฮะ เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราเข้าไปหลบฝนด้านในตัวบ้านกันก่อนเถอะครับ”
“อ๋อใช่~ คุณเวก้าแล้วเรื่องที่— อ้าว คุณเวก้าเขากลับไปแล้วหรอ… แล้วไหงคอนแนลยังอยู่ที่นี่อยู่ล่ะ?”
ทันใดนั้นเองเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะจัดการธุระของเธอเสร็จแล้วก็ได้โผล่มาที่ด้านหน้าบ้านและทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดถามเวก้าเกี่ยวกับเรื่องธุระของเขาเมื่อเช้านี้ขึ้นมาก่อนที่เธอจะชะงักไปเมื่อได้พบว่ามีเพียงแค่คอนแนลเท่านั้นที่เหลืออยู่ที่นี่
“อ๋อ พอดีว่าคอนแนลเขาเป็นห่วงเรื่องที่ว่ามีโจรมาขึ้นบ้านเธอเมื่อเช้านี้เขาก็เลยจะมาอยู่เฝ้าให้คืนนี้น่ะ”
“เห… นี่อย่าบอกนะว่าคุณเวก้าเขาส่งเธอมาเฝ้าบ้านให้ฉันน่ะคอนแนล?”
“ม่ายอ่ะ~ หนูเห็นตอนแรกคุณเวก้าอะไรนั่นเขาทำท่าเหมือนว่าจะไม่ยอมซะด้วยซ้ำ แต่ว่าพอพี่คอนแนลลองขอร้องดูคุณเวก้าเขาก็ทนไม่ไหวจนใจอ่อนอ้ะ~”
คำพูดของพรีมูล่าที่ชิงพูดตอบขึ้นมาก่อนใครนั้นได้ทำให้เอริกะเผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมาจนทำให้อลิซและนากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา
“ได้หมอนี่มาช่วยเฝ้าบ้านให้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นสิ หรือว่าถ้าเวก้าเขาเป็นคนสั่งให้คอนแนลมาช่วยเฝ้าบ้านให้เธอมันจะมีปัญหา—อ๊ะ…”
ในขณะที่นากากำลังพูดถามเอริกะขึ้นมาอยู่นั้นเขาก็นึกถึงท่าทีแปลกๆ ของเวก้าในตอนที่พวกเขาเจอขุนนางหนุ่มที่หน้าบ้านของเอริกะและท่าทีร้อนรนของอีกฝ่ายในตอนที่อารอนกำลังจะเปิดประตูเข้าไปดูข้างในตัวบ้านรวมถึงท่าทีมั่นใจของเวก้าที่ดูราวกับว่าเขามั่นใจแน่ๆ ว่าเอริกะไม่ได้เป็นคนร้ายที่แอบหยิบเครื่องตัดกระจกออกมาจากห้องเก็บผลงานในวังขึ้นมาได้
ซึ่งเอริกะที่เห็นว่านากาเหมือนจะสะกิดใจอะไรขึ้นมาได้แล้วก็ได้ยกนิ้วขึ้นมาจ่อปากเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรออกมา
“ชู่วๆ ~”
“เอ่อ… นี่มีเรื่องอะไรที่ผมควรจะรู้เอาไว้หรือเปล่าครับเนี่ย…?”
ท่าทางลับลมคมในของเอริกะได้ทำให้คอนแนลพูดถามเธอขึ้นมาด้วยความงงงวย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่ดูเหมือนว่าจะไว้ใจคอนแนลอยู่ไม่ใช่น้อยตัดสินใจที่จะพูดถามเขากลับไปตรงๆ
“อื้ม… เอาจริงๆ ถ้าเป็นคอนแนลคุงก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง เพราะว่ายังไงพวกเราก็รู้จักกันมาได้ตั้งนานแล้วแถมเธอเองก็เพิ่งจะเริ่มทำงานให้กับคุณเวก้าเขาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะ…”
“มันก็ใช่นั่นแหล่ะครับ คุณเวก้าเขาเพิ่งจะรับผมไปเข้าร่วมกองอัศวินได้ไม่ถึงอาทิตย์เลยน่ะครับ… ว่าแต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรอครับ?”
“เกี่ยวสิ เพราะว่านายเพิ่งจะเริ่มต้นทำงานรับใช้เวก้าได้ไม่ทันไรมันก็หมายความว่าเขาน่าจะยังไม่ไว้ใจนายเต็มที่ยังไงล่ะ”
ในขณะที่เอริกะกำลังจะพูดตอบคำถามของคอนแนลออกมาอยู่นั้นเอง อลิซที่ยืนอยู่ข้างๆ เอริกะก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาแบบไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อยจนทำให้คอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพูดแก้ต่างขึ้นมาให้กับเจ้านายของเขาในทันที
“แต่ว่าคุณเวก้าเขาก็เป็นเจ้านายของผม—”
“แค่มีคนรับนายเข้าไปทำงานด้วยกันมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะนับนายเป็นพรรคพวกกันในทันทีหรอกนะ ถ้าจะให้ฉันเดาฉันว่าที่ผ่านมาอีตาเวก้านั่นคงจะเอาแต่ให้นายยืนเฝ้าประตูหน้าใช่มั้ยล่ะ”
“เรื่องนั้นมันก็…”
คอนแนลที่กำลังจะพูดเถียงอลิซกลับไปได้ชะงักคำพูดของเขาไปกลางคันเพราะว่าในช่วงเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เขาเริ่มต้นทำงานให้กับเวก้า งานของเขาก็มีเพียงแค่การยืนเฝ้าประตูหน้าคฤหาสน์หรือไม่ก็เป็นการเดินตรวจตราในสวนเท่านั้นราวกับว่าเวก้าไม่ต้องการที่จะให้เขาเข้าไปภายในตัวคฤหาสน์นอกจากในเวลาพักผ่อนสักเท่าไหร่นักอย่างที่อลิซพูดขึ้นมาจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่คอนแนลยังคงเชื่อมั่นในตัวของเวก้าที่เป็นเจ้านายของเขาอยู่ เขาจึงได้พูดเถียงเธอกลับไปได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“เรื่องนั้นมันน่าจะเป็นเพราะว่าคุณเวก้ายังเห็นว่าผมเป็นเด็กใหม่อยู่นั่นล่ะครับ อย่างเมื่อกี้นี้คุณเวก้าเขาก็บอกว่าจะเริ่มต้นมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้ผมแล้วไม่ใช่หรอครับ”
“หึ ถ้ามันได้อย่างงั้นจริงก็ดีไป แต่นายลองคิดดูให้ดีๆ ก่อนเถอะว่านายจะไว้ใจคนอย่างเวก้าที่ส่งคนมาคอยประกบติดนายตลอดเวลาในตอนที่นายอยู่ในคฤหาสน์ของเขาได้จริงๆ หรือเปล่าน่ะ”
“ประกบติด…? เรื่องแบบนั้นมันมีซะที่… ไม่สิ…”
คอนแนลที่กำลังจะพูดเถียงอลิซกลับไปได้ชะงักไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าในทุกๆ ครั้งที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในตัวคฤหาสน์ก็มักจะมีหนึ่งในอัศวินรุ่นพี่ของเขาสักคนหนึ่งอยู่ด้วยกันเสมอ ซึ่งถึงแม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนเรื่องบังเอิญแต่ว่าเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาไม่เคยเดินไปตามโถงทางเดินในคฤหาสน์ด้วยตัวคนเดียวโดยปราศจากรุ่นพี่อัศวินหรือว่าหนึ่งในพวกสาวใช้ที่บังเอิญเดินผ่านมาทางเดียวกันเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
“พี่อลิซยังไหวมั้ยอ้ะ?”
ซึ่งในขณะที่คอนแนลกำลังรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นนั้นเองก็ได้มีเสียงใสๆ ของพรีมูล่าร้องถามอลิซขึ้นมาให้เขาได้ยินจนทำให้เขาได้พบว่าในขณะนี้อลิซกำลังยืนโงนเงนไปมาเหมือนกับจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่แล้ว
“ก็อาจจะ…มั้ง…”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของอลิซดีร่างของเธอก็ได้ทรุดล้มลงไปอย่างกะทันหันจนทำให้นากาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องรีบเข้าไปพยุงเอาไว้และร้องถามขึ้นมาในทันที
“อลิซ?”
“……..”
“พี่อลิซเขาหลับไปแล้วอ่ะพี่นากา~”
“เอ๋ะ? ไหนเอาอลิซจังเขามานอนที่โซฟานี่ก่อนมานากาคุง เดี๋ยวฉันจะช่วยดูอาการให้ก่อนเอง”
คำตอบของพรีมูล่าที่ยื่นหน้าเข้าไปมองดูอลิซใกล้ๆ นั้นได้ทำให้เอริกะพูดสั่งสองพี่น้องขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะว่าปกติแล้วคงจะไม่มีใครที่ไหนผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่แบบนั้นได้ ซึ่งหลังจากที่นากาอุ้มอลิซไปวางลงบนโซฟาแล้วเอริกะก็ได้ก้มลงไปดูอาการของเด็กสาวอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับผ้าพันแผลจำนวนมากที่อลิซซ่อนเอาไว้ภายใต้เสื้อผ้าของตัวเอง
“อื้ม… ผ้าพันแผลเนี๊ยบขนาดนี้นี่คงจะเป็นฝีมือของอารอนงั้นสินะ นากาคุง เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้อารอนเขาได้ให้ยาอะไรอลิซจังไปบ้างน่ะ?”
“เอ่อ… เรื่องยานี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่ก่อนหน้านี้ฉันเห็นอารอนเขาฉีดยาอะไรก็ไม่รู้ให้อลิซแล้วก็มีให้ยาเม็ดไปกินน่ะ เสร็จแล้วพออลิซออกไปสู้จนแผลฉีกกลับมาอารอนก็ฉีดยาอะไรเพิ่มให้อีกเข็มนึงก่อนจะจับไปทำแผลน่ะ”
“อืมมม~ ถ้าทำแผลตั้งสองรอบติดกันแบบนั้นแต่ว่าอลิซจังไม่แสดงอาการอะไรเลยแบบนี้ก็น่าจะเป็นพวกยาชากับพวกยาแก้ปวดล่ะมั้ง… เอาเป็นว่าเธอพักผ่อนให้สบายก็แล้วกันนะอลิซจัง เดี๋ยวฉันจะไล่ต้อนคอนแนลคุงต่อให้เอง~ ไหนๆ เมื่อกี้นี้พวกเธอคุยกันถึงไหนแล้วน่ะ~”
“เห็นว่าเกี่ยวกับเรื่องที่อีตาเวก้าเขาไม่ไว้ใจพี่คอนแนลก็เลยส่งคนมาตามประกบตอนที่พี่เขาอยู่ในคฤหาสน์อ้ะ!”
“สุภาพหน่อยสิพรีมูล่า…”
นากาที่ได้ยินพรีมูล่าหันไปเรียกเวก้าด้วยคำนำหน้าแบบเดียวกับที่อลิซใช้ได้พูดต่อว่าเธอออกมาเล็กน้อยจนพรีมูล่าต้องพุ่งมือทั้งสองข้างไปอุดปากตัวเองเอาไว้ ส่วนทางด้านเอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็พอจะคาดเดาอะไรได้เธอจึงได้พูดอธิบายถึงสิ่งที่อลิซต้องการจะสื่อออกมาให้คอนแนลฟัง
“ก็อลิซเขาน่าจะอยากบอกอะไรราวๆ ว่าเพราะเธอเพิ่งจะเข้าร่วมทำงานกับคุณเวก้าเขาได้ไม่ทันไร คุณเวก้าเขาก็เลยยังไม่ยอมให้เธอรับหน้าที่อะไรสำคัญๆ เฉยๆ นั่นแหล่ะ~”
“เรื่องนั้นผมก็เข้าใจได้อยู่แล้วล่ะครับว่าคงไม่มีใครไว้ใจให้เด็กใหม่อย่างผมทำหน้าที่สำคัญๆ อะไรอยู่แล้ว… แต่ว่าถึงขั้นส่งคนมาตามประกบตอนที่ผมอยู่ในคฤหาสน์นี่มันก็ออกจะ… เฮ้อ… เอาเถอะครับ… ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าเรื่องที่คุณเวก้าเขายังไม่ไว้ใจผมมันเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่มีขโมยขึ้นบ้านคุณเอริกะกันล่ะครับ?”
คอนแนลที่พอจะทำใจได้แล้วได้เอ่ยปากพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นยิ้มอ่อนๆ ออกมาเล็กน้อยแล้วจึงพูดตอบเขากลับไป
“เอาจริงๆ ถึงจะยังไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันถึงขนาดจะไปกล่าวหาใครเขาได้ก็เถอะ แต่ว่าคนที่รู้จักห้องเก็บผลงานในวังของฉันดีจนน่าจะแอบเข้าไปหยิบของที่ต้องการออกมาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคุ้ยหามันจนดูน่าสงสัยมันก็มีอยู่ไม่กี่คนหรอกน่ะสิ…”
“คุณเอริกะกำลังจะบอกว่าเป็นคุณเวก้าเองที่แอบเข้าไปเอาเครื่องตัดกระจกออกมาจากห้องเก็บผลงานเพื่อใช้มันแอบเข้ามาขโมยอะไรบางอย่างออกไปจากบ้านของคุณเอริกะงั้นหรอครับ…?”
“มันก็แค่น่าจะมีความเป็นไปได้เฉยๆ นั่นแหล่ะ เพราะว่าเจ้าตัวเครื่องตัดกระจกเนี่ยปกติแล้วคนที่เพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกเขาจะดูกันไม่ออกหรอกนะว่ามันมีเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่น่ะ เพราะงั้นคนที่รู้จักมันก็น่าจะอยู่ในหมู่คนที่เคยเห็นฉันสาธิตการใช้งานมันให้ดูมาก่อนน่ะ… แล้วยิ่งคนที่รู้ว่ากลอนประตูห้องของฉันมันพิเศษกว่าของทั่วๆ ไป จนรู้ว่าถ้าคิดจะบุกเข้ามาจริงๆ สู้ไปเข้าทางหน้าต่างจะง่ายกว่ามันก็ยิ่งมีจำนวนน้อยจนแทบจะระบุตัวคนร้ายได้แล้วล่ะ…”
“งั้นหรอครับ… ถึงผมจะไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่แต่ว่าถ้าคุณเอริกะพูดแบบนั้นมันก็คงจะ… เอาเป็นว่าเอาไว้วันพรุ่งนี้ตอนที่ผมไปพบกับคุณเวก้าเดี๋ยวผมจะไปทวงของที่หายไปนั่นคืนมาให้ก็แล้วกันนะครับ”
คอนแนลที่ได้ยินข้อสันนิษฐานของเอริกะได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความอับอายที่เจ้านายของเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยแบบนี้ แต่ว่าด้วยความที่คอนแนลเองก็รู้จักเอริกะดีจนเชื่อว่าเธอคงจะไม่กล่าวปรักปรำใครง่ายๆ อีกทั้งความสามารถและมันสมองของเอริกะเองก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งวังหลวงในฐานะนักประดิษฐ์สาวอัฉริยะมันก็ทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมามันเป็นความจริงไปแล้ว
“เธอไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นะ ของที่หายไปนั่นมันไม่ใช่อะไรสำคัญขนาดนั้นหรอก~ ถ้าเกิดว่าเธอไปทำให้คุณเวก้าเขาไม่ชอบหน้าตั้งแต่วันแรกๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็ได้โดนเขาไล่ออกเอาหรอก~”
“เอ๋ะ แต่ว่ามัน—”
“แหม่~ ก็ตัวเจ้าของของมันเขาไม่ได้ติดใจเอาความอะไรนี่นา เพราะงั้นเธอไม่ต้องทำอะไรหรอกนะคอนแนลคุง~ เอาล่ะ ตอนนี้เรามาคิดเรื่องปวดหัวอย่างการแบ่งห้องนอนกันก่อนดีกว่าเนอะ~”
“เอ่อ…ถ้าคุณเอริกะว่างั้นมันก็ได้แหล่ะครับ… ส่วนเรื่องที่นอนนี่ถ้าผมจำไม่ผิดที่ชั้นสองน่าจะมีห้องนอนสำหรับแขกอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ ถ้างั้นเดี๋ยวให้พรีมูล่ากับคุณอลิซขึ้นไปนอนข้างบนกันก็น่าจะได้นะครับ แล้วเดี๋ยวผมกับนากาจะอยู่นอนเฝ้าข้างล่างให้เอง นากาคิดว่าแบบนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้แต่ต้องพูดตกลงตามที่เธอว่ามา เพราะถ้าเกิดว่าผู้เสียหายไม่ได้มีท่าทีว่าจะต้องการลงโทษคนผิดแบบนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีเหมือนกันเขาจึงได้หันไปพูดปรึกษาเรื่องที่นอนกับนากาที่เป็นเด็กผู้ชายอีกเพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้ขึ้นมา แต่ทว่าทางด้านนากานั้นก็กลับนิ่งเงียบไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาจนทำให้คอนแนลต้องพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความสงสัย
“นากาว่ายังไงบ้างครับ เรื่องที่นอนน่ะ?”
“……..หะ? อ–อ๋อ ฉ….ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ นายว่ายังไงฉันก็เอาตามนั้นนั่นแหล่ะ”
คำพูดของนากาที่ฟังดูเหม่อๆ เล็กน้อยนั้นได้ทำให้คอนแนลต้องหันไปมองดูนากาด้วยความประหลาดใจก่อนที่เขาจะพบว่านากาเพิ่งจะละสายออกมาจากเบื้องหน้าของเขาหรือว่าก็คือบริเวณที่อลิซนอนสลบอยู่บนโซฟานั่นเอง
ซึ่งภาพของอลิซที่ชุดเดรสหลุดลุ่ยด้วยฝีมือการตรวจของเอริกะนั้นก็ทำให้คอนแนลหน้าแดงก่ำและรีบหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งด้วยอีกคนในทันที
“หืมมม? อุ้ยแหม่~ ถ้าเกิดว่าถึงตอนเย็นแล้วอลิซจังยังไม่ยอมตื่นนี่สงสัยว่าพวกเธอสองคนจะต้องออกไปนอนนอกบ้านกันแทนแล้วล่ะมั้ง เพราะว่าฉันคงจะไม่ยอมให้พวกเด็กหนุ่มๆ จอมฉวยโอกาสอย่างพวกเธออุ้มหนูน้อยอลิซที่นอนสลบไสลจนป้องกันตัวเองไม่ได้ขึ้นไปนอนข้างบนหรอกนะ~”
“พ–พูดเรื่องอะไรอยู่กันครับเนี่ยคุณเอริกะ!!”
“ว๊าย~ พวกหนุ่มๆ เขาโมโหแล้วล่ะพรีมจัง~ พวกเรารีบหนีเข้าไปทำข้าวเย็นในครัวกันดีกว่าเนอะ~”
“เย้~~”
พรีมูล่าที่ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าเอริกะและพวกพี่ๆ ของเธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่นั้นได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างร่าเริงและรีบวิ่งตามเอริกะหายเข้าไปในห้องครัวที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่นในทันที
ซึ่งที่ภายในห้องครัวนั้นเอง พรีมูล่าก็ได้พบเข้ากับตู้สี่เหลี่ยมสองประตูขนาดใหญ่พอประมาณที่เอริกะเดินตรงเข้าไปเปิดมันออกเผยให้เห็นวัตถุดิบทำอาหารต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่ภายใน
“เอ๋? ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำแข็งใส่อยู่แท้ๆ แต่ว่าทำไมเจ้าตู้แช่เย็นนี่มันถึงได้เย็นจังเลยอ่ะพี่เอริกะ?”
พรีมูล่าที่ได้พบว่าตู้เก็บวัตถุดิบทำอาหารของเอริกะได้แผ่ไอเย็นออกมาทั้งๆ ที่มันไม่มีน้ำแข็งบรรจุอยู่ภายในได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาโดยไม่เก็บอาการเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าตามปกติแล้วการถนอมอาหารในโลกใบนี้ที่มีพลังวิซอันแสนจะสะดวกสบายมันมักจะเป็นการทำอาหารตากแห้งหรือไม่ก็การหมักดองที่ทำให้สามารถเก็บอาหารเอาไว้ได้เป็นเวลานาน
หรือถ้าเกิดว่าเป็นใครที่มีฐานะสักหน่อยพวกเขาก็จะสามารถเก็บอาหารสดเอาไว้ได้ด้วยการเก็บรักษาพวกมันไว้ในตู้แช่อาหารที่มีหลักการทำงานก็คือการส่งพลังให้คริสตัลวิซธาตุน้ำแข็งที่ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในตัวตู้สร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อใช้ความเย็นในการถนอมอาหาร ซึ่งเจ้าตัวตู้แช่ที่ว่ารวมถึงก้อนคริสตัลวิซธาตุน้ำแข็งและอุปกรณ์สำหรับแปรธาตุวิซเพื่อให้คนทั่วไปสามารถใช้คริสตัสวิซธาตุน้ำแข็งได้ก็มีราคาไม่ใช่น้อยๆ จนไม่ใช่บ้านทุกหลังที่จะยอมตัดใจซื้อมันมา
แต่ว่าตัวตู้แช่เย็นของเอริกะนั้นเมื่อดูจากภายนอกแล้วมันก็มีลักษณะที่ไม่เหมือนกับตู้แช่ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วๆ ไปตามท้องตลาด อีกทั้งทั้งๆ ที่มันไม่มีวี่แววของก้อนน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อยแต่ว่ามันก็ยังมีไอเย็นถูกแผ่ออกมาให้พรีมูล่าสัมผัสได้จนเด็กสาวผมชมพูได้แต่รู้สึกสับสนกับตู้แช่เย็นขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งก้อนน้ำแข็งเบื้องหน้าของเธอ
“อ๋อ~ เจ้าตู้เย็นนี่มันเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของฉันเองน่ะ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือว่าเจ้านี่มันจะใช้พลังวิซธาตุไฟฟ้าที่ฉันเก็บสะสมเอาไว้ในการสร้างความเย็นออกมาน่ะสิ~ แต่ว่านะ ที่เจ๋งจริงๆ สำหรับเจ้านี่ก็คือทางฝั่งด้านบนนี้นี่ต่างหาก~”
เอริกะพูดอธิบายตัวอุปกรณ์ที่เธอตั้งชื่อมันว่าตู้เย็นออกมาให้พรีมูล่าฟังก่อนที่เธอจะเอื้อมมือขึ้นไปเปิดฝาด้านบนของมันที่มีขนาดเล็กกว่าฝาชั้นล่างออกเผยให้เห็นไอศกรีมจำนวนหนึ่งที่เธอแช่เก็บเอาไว้ภายในจนทำให้เด็กสาวผมชมพูที่เห็นแบบนั้นถึงกับตาเป็นประกาย
“อ้ะ! ไอติมล่ะ!!”
“จุ๊ๆ ยังกินไม่ได้นะจ๊ะ ของดีก็ต้องเก็บไว้หลังอาหารสิ~”
เปรี๊ยง!!
ในขณะที่เอริกะกำลังหยอกล้อพรีมูล่าเล่นอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีแสงสว่างวาบลอดผ่านหน้าต่างของห้องครัวเข้ามาและตามมาด้วยเสียงดังสนั่นที่ถึงกับทำให้พรีมูล่าสะดุ้งตกใจไปเล็กน้อย จนทำให้เอริกะต้องเหลือบตาไปมองดูด้านนอกหน้าต่างที่ในบัดนี้เกือบจะมืดสนิทไปแล้วด้วยเมฆฝนสีดำหนาทึบที่ดูราวกับว่าจะมีพายุเข้าก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ท่าทางว่าพายุจะเข้าซะแล้วสิเนี่ย… เฮ้อ… ถ้าเกิดว่าคุณเวก้าเขาจะไม่เอาเจ้าของนั่นไปก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็คงจะดีสิ…”
เปรี๊ยง!! ครืนนน…
ในขณะเดียวกันที่ด้านในสวนหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านนอกตัวเมืองรีมินัสเองก็ได้มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งหักโค่นลงมาด้วยประกายแสงเกรี้ยวกราดที่ถูกส่งลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้มซะราวกับว่ามันคือคำเตือนที่ถูกส่งลงมาจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
“ท่านเวก้ารีบเข้าไปหลบฝนด้านในก่อนเถอะครับ”
หัวหน้าอัศวินเดเมี่ยนได้เอ่ยปากพูดเร่งรัดเวก้าที่เหลือบหันไปมองต้นไม้ในสวนของเขาที่หักโค่นลงมาอยู่ด้วยท่าทีเสียดายขึ้นมา ซึ่งเวก้าก็ได้เดินตรงไปหยุดที่หน้าประตูของตัวคฤหาสน์แล้วจึงค่อยหันกลับมาพูดสั่งงานกับหัวหน้าอัศวินของเขา
“ถ้างั้นฝากคุณเดเมี่ยนไปแจ้งข่าวให้กับคนอื่นๆ ด้วยนะครับว่าพวกเราจะเริ่มต้นทำตามแผนกันในวันนี้เลย… ส่วนตำแหน่งของคอนแนลที่ขาดไปให้บอกคนอื่นๆ ไปว่าผมส่งคอนแนลไปทำธุระด่วนให้กับทางวังหลวงก็แล้วกันนะครับ พวกเขาจะได้ไม่โวยวายกันน่ะ”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ… แต่ว่าพวกเราจะทำตามแผนกันในวันนี้จริงๆ งั้นหรอครับท่านเวก้า… คือผมหมายความว่าในสภาพอากาศแบบนี้เนี่ยนะครับ?”
“ก็เพราะว่าสภาพอากาศมันเป็นแบบนี้นี่ล่ะครับพวกเราถึงได้ต้องรีบลงมือทำตามแผนน่ะ… ถึงเมื่อกี้นี้คุณเอริกะจะไม่ได้พูดอะไรก็เถอะแต่ก็ดูเหมือนว่าคุณเอริกะเขาจะรู้ว่ามันเป็นฝีมือของพวกเราแล้วล่ะครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็น่าจะ—”
“พายุเข้าแบบนี้มันเป็นโอกาสดีที่สุดแล้วล่ะครับ! ฝนตกหนักแบบนี้น่ะต่อให้จะเป็นคุณเอริกะหรือว่าใครที่ต้องการของนั่นเหมือนกันก็คงจะแอบลอบเข้ามาข้างในโดยที่พวกเราไม่รู้ตัวไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นรบกวนคุณเดเมี่ยนช่วยไปแจ้งให้ทุกคนเริ่มทำตามแผนด้วยครับ!”
“รับทราบครับ!!”
คำพูดขึ้นเสียงของเวก้าได้ทำให้เดเมี่ยนชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนจะรีบพูดตอบเจ้านายเขากลับไปแล้วจึงเดินแยกไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมา เพราะว่าโดยปกติแล้วเวก้าจะดูเป็นคนที่ดูสุภาพและใจเย็นที่ไม่ค่อยจะได้แสดงออกทางอารมณ์อย่างรุนแรงแบบนี้บ่อยครั้งสักเท่าไหร่นัก
ส่วนทางด้านเวก้าที่เผลอหลุดตวาดออกมาก็ได้พยายามที่จะทำใจให้เย็นลงและปรับสีหน้าของเขาให้กลับเป็นปกติก่อนแล้วจึงเปิดประตูเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขาเอง
“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะท่านเวก้า”
คำพูดต้อนรับที่ดังมาจากหญิงสาวผมสีทองในชุดเครื่องแบบสาวใช้สีดำประดับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ถือผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งเอาไว้ในมือได้ทำให้สีหน้าของเวก้าฉายแววอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะมองตรงไปยังเธอและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ว่าไงครับเจน หวังว่าที่บ้านคงจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะนายท่าน ฉันสั่งให้คนเตรียมอ่างอาบน้ำกับเสื้อผ้าเอาไว้ให้แล้ว เชิญใช้งานได้ตามสะดวกเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ ว่าแต่แล้วนี่ ‘ของ’ มาถึงแล้วหรือยังน่ะครับ”
“ถ้าหมายถึงของที่มีคนเอามาวางไว้ที่ด้านหน้าคฤหาสน์ล่ะก็ฉันจัดการไปตามที่ท่านเวก้าสั่งแล้วก็ ‘ให้รางวัล’ คนส่งของเขาไปแล้วล่ะค่ะ”
“ดีมากครับสาวใช้คนเก่งของผม…”
เวก้าพูดตอบเจนกลับไปและดึงร่างบอบบางของเธอเข้ามาสวมกอดเบาๆ จนทำให้ใบหน้าของสาวใช้คนเก่งขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนที่เขาจะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนและเดินตรงลึกเข้าไปข้างในตัวคฤหาสน์พร้อมกับเอ่ยปากพูดสั่งงานทิ้งท้ายเอาไว้
“ถ้างั้นระหว่างที่ผมไปอาบน้ำ ผมฝากคุณเจนไปแจ้งคนรับใช้ทุกคนให้เริ่มทำตามระเบียบปฏิบัติเวลาที่มีพวกคุณหมอจากวังหลวงมาที่นี่ด้วยก็แล้วกันนะครับ…”
คำสั่งของเวก้าได้ทำให้ใบหน้าของเจนเปลี่ยนไปเป็นซีดเผือดก่อนที่เธอจะรีบเอ่ยปากรั้งตัวเขาเอาไว้ก่อน
“ท่านเวก้าคะ!”
“หืม… ว่าไงครับ?”
ถึงแม้ว่าเวก้าจะยอมหยุดฝีเท้าลงตามเสียงร้องเรียกของเธอแล้วก็ตาม แต่ว่าเจนก็กลับก้มหน้าลงราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกลำบากใจที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งเจนจึงได้เงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพูดถามเวก้าขึ้นมาตรงๆ
“ท่านเวก้าแน่ใจแล้วหรอคะว่าจะทำมันทั้งๆ ที่สภาพอากาศเป็นแบบนี้น่ะคะ… มันจะดีกว่าหรือเปล่าถ้าเกิดว่าพวกเรารอ—”
คำพูดของเจนได้ขาดห้วงไปกลางคันเมื่อเวก้าได้เดินตรงกลับเข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้อีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“พวกเราควรจะรีบลงมือก่อนที่จะมีใครจับได้หรือมีคนได้ข่าวว่าพวกเรามีของนั่นอยู่กับตัวนะครับ… แล้วอีกอย่างนึง… ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่ยอมทำมันสักทีล่ะก็พวกเราก็จะต้องทำตามที่พวกเขาสั่งไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้นนะครับ”
“ต…แต่ว่า—”
เสียงของเจนได้เงียบหายลงไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อเวก้าได้ช้อนคางเธอให้เงยหน้าขึ้นและประกบริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของเธอเพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดอะไรออกมาอีก ซึ่งถึงแม้ว่าในทีแรกเจนจะยังมีท่าทีขัดขืนเพื่อพยายามที่จะพูดในสิ่งที่เธอต้องการออกมาอยู่ก็ตาม แต่ว่าในไม่ช้าเธอก็กลับเป็นฝ่ายรุกไล่ริมฝีปากของเวก้ากลับไปบ้าง
และหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักใหญ่เจนก็ได้ดันตัวเวก้าให้ถอยห่างไปด้วยสีหน้าแดงก่ำและลมหายใจที่สั่นระรัวจนทำให้เวก้าตัดสินใจที่จะยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เชื่อผมเถอะนะครับเจน… ครั้งนี้มันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน… แล้วหลังจากนี้พวกเราจะได้เป็นอิสระกันสักที…”
“ค่ะ… ดิฉันทราบแล้วค่ะท่านเวก้า…”
เจนพูดตอบเวก้ากลับไปก่อนจะเอื้อมมือไปโอบกอดเขาเอาไว้ แต่ว่าใบหน้าของเจนที่เธอพยายามจะซ่อนมันเอาไว้จากเวก้านั้นก็กลับไปเต็มไปด้วยความลำบากใจอีกทั้งมือของเจนเองก็กำลังกำแน่นจนสั่นน้อยๆ ราวกับว่าเธอกำลังอัดอั้นอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับเจน… ครั้งนี้มันจะต้องสำเร็จแน่ๆ … ผมสัญญา…”
เวก้าที่ดูเหมือนจะรู้ได้ว่าสาวใช้ของเขากำลังรู้สึกลำบากใจเพราะอะไรได้พยายามพูดปลอบเธอขึ้นมาท่ามกลางเสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีประกายแสงขนาดใหญ่ถูกส่งลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้งหนึ่งจนเกิดเสียงดังสนั่นที่ฟังดูน่าหวาดกลัว
เปรี๊ยง!!