บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 128 Imbricated World
“เมื่อกี้นี้นายบอกว่าเสื้อหรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“อื้ม… ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นเสื้อกาวน์ของอารอนน่ะ…”
เสียงร้องถามของเอริกะที่ดังผ่านเครื่องสื่อสารออกมานั้นได้ทำให้นากาได้แต่ต้องรีบพูดตอบเธอกลับไปพร้อมๆ กับที่เขาได้เดินตรงเข้าไปหาเสื้อกาวน์ที่ดูคุ้นตาตัวนั้นที่ดูเหมือนว่ามันจะถูกอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้จากภายในจนทำให้มันไม่ปลิวหายไปตามสายลม
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะลองจับมันเปิดออกดูข้างในด้วยความหวังที่ว่าอารอนอาจจะทิ้งเบาะแสอะไรบอกใบ้เอาไว้ถึงสาเหตุที่เขาไม่ได้รีบกลับไปที่เมืองรีมินัสหลังจากที่เรื่องเมื่อวานนี้จบลงไปแล้ว
“เฮ้ย—!?”
แต่ทว่าในทันทีที่นากาเปิดตัวเสื้อกาวน์บนพื้นออกมาแล้วเขาก็ได้แต่ต้องหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา เพราะว่าสิ่งที่ถูกเสื้อกาวห่อหุ้มเอาไว้นั้นกลับไม่ใช่สิ่งของแต่อย่างใด แต่ว่ากลับเป็นร่างกายอันเปลือยเปล่าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีขาวยาวสลวยที่กำลังนอนขดตัวอยู่ภายในนั้นอย่างสงบสุข
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้นากาที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ต้องรีบกระชากชายเสื้อกาวน์ในมือของเขาให้ห่อหุ้มร่างกายของเด็กสาวกลับไปตามเดิมในทันทีอีกทั้งมันยังทำให้เอริกะที่ได้ยินเสียงร้องของเขาต้องรีบพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะนากา!?”
“ป—-เปล่า! ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหล่ะ!! เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเอริกะ!!”
“…….”
ในขณะที่นากากำลังร้องตอบเอริกะกลับไปด้วยความลนลานอยู่นั้น เด็กสาวผมสีขาวที่นอนขดตัวอยู่ภายในเสื้อกาวน์เองก็ได้ค่อยๆ ยันร่างกายของเธอให้ลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงียก่อนที่เธอจะหันมาทางนากาทั้งๆ ที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้นและเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทีสงสัย
“…….”
แต่ทว่าเด็กสาวผมสีขาวที่หันมามองทางด้านนากาทั้งๆ ที่เธอยังหลับตาอยู่นั้นก็ได้ละความสนใจไปจากนากาภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีและก้มลงไปมองแขนขาอันเรียวเล็กของเธออยู่สักพักหนึ่งพร้อมกับกำมือและแบมือสลับกันไปมาก่อนที่เธอจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ซึ่งท่าทางการยืนของเธอที่ยืนเอนไปเอนมาจนดูราวกับว่าเธอเป็นเด็กทารกที่กำลังหัดยืนเป็นครั้งแรกนั้นก็ทำให้นากาได้ตัดสินใจที่จะยื่นมือออกไปช่วยพยุงตัวเธอเอาไว้
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้ขยับตัว เด็กสาวผมสีขาวเบื้องหน้าของเขาก็ได้ก้าวขาออกไปเบื้องหน้าเหมือนกับว่าเธอกำลังจะก้าวเดินจนทำให้ร่างกายของเธอเสียหลักเอนไปทางด้านหลังอย่างน่าหวาดเสียวจนนากาต้องรีบปล่อยดาบเปื้อนเลือดในมือของเขาออกเพื่อรีบพุ่งเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายเอาไว้ในทันที
“อ่ะ—ระวัง!!”
หมับ!
“……?”
เด็กสาวผมสีขาวที่ได้นากาช่วยเอาไว้จากการล้มกระแทกพื้นได้เงยหน้าขึ้นมามองดูนากาด้วยเปลือกตาที่ปิดสนิทของเธอโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาจนดูราวกับว่าเธอไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำว่าเมื่อสักครู่นี้เธอเพิ่งจะเกือบล้มหงายหลังลงไปจนอาจจะได้รับบาดเจ็บขึ้นมาได้
ซึ่งท่าทางของเด็กสาวผมสีขาวที่ดูไร้เดียงสาราวกับเด็กทารกแรกเกิดอีกทั้งยังหลับตาอยู่ตลอดเวลานั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องตัดสินใจที่จะก้มลงไปหยิบเอาเสื้อกาวน์ของอารอนขึ้นมาคลุมตัวเธอเอาไว้และพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นี่เธอมองเห็นหรือเปล่าเนี่ย…”
“…..?”
เด็กสาวผมสีขาวที่กำลังถูกนากาจับแต่งตัวได้เอียงคอเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถามขึ้นมาจนทำให้นากาตัดสินใจที่จะลองยกมือขึ้นมาโบกไปมาที่เบื้องหน้าของเธอ ซึ่งสิ่งที่นากาทำนั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวหันไปหันมาตามจังหวะการโบกมือของเขาและยื่นมือของเธอออกมาเบื้องหน้าเพื่อพยายามที่จะคว้ามือของเขาเอาไว้ราวกับเด็กทารกที่เห็นอะไรขยับไปมาอยู่เบื้องหน้าก็สนใจไปซะหมด
“มองเห็นด้วยงั้นหรอ… ทั้งๆ ที่หลับตาอยู่แบบนั้นน่ะนะ…”
“ฮัลโหลๆ นากา ได้ยินหรือเปล่า? เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้นหรือน่ะ ตอบฉันกลับมาหน่อยสิ”
“อ่ะ—”
ในขณะที่นากากำลังรู้สึกแปลกใจอยู่กับการที่เด็กสาวผมสีขาวเบื้องหน้าของเขาเหมือนจะสามารถมองเห็นได้ทั้งๆ เธอกำลังหลับตาอยู่อยู่นั้นเอง เอริกะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายการสื่อสารที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจของนากาและเหมือนจะเริ่มต้นพูดอะไรพึมพำอยู่คนเดียวก็ได้ร้องเรียกนากาขึ้นมาเสียงดังจนทำให้นากาต้องรีบพูดตอบเธอกลับไปในทันที
“เอริกะ! ฉันเจอผู้รอดชีวิตด้วยน่ะ!! เป็นเด็กผู้หญิงผมสีขาวอายุน่าจะสักประมาณ… เอ่อ… สิบขวบได้ล่ะมั้ง”
“เด็กผู้หญิง? ข้างในทุ่งดอกไม้ที่อยู่ตรงกลางทุ่งหญ้าที่ดูดวิซออกจากร่างกายเหมือนกับภายในทะเลมรกตเนี่ยนะ?”
“ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันนั่นแหล่ะ…”
“……..”
คำพูดยืนยันของนากาได้ทำให้เอริกะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายการสนทนาเงียบเสียงลงไปเป็นเวลานานซะราวกับว่าเธอกำลังใช้ความคิดอยู่ ซึ่งในขณะที่นากากำลังเฝ้ารอคำสั่งต่อไปจากเอริกะอยู่นั้นเขาก็เผลอหยุดมือของตนที่โบกไปโบกมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กสาวผมสีขาวจนทำให้อีกฝ่ายคว้ามือของเขาเอาไว้ได้
ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวที่บรรลุเป้าหมายแล้วเอามือของนากาไปจับเล่นดูด้วยท่าทีสงสัยอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะอ้าปากออกและทำท่าเหมือนกับว่าจะนำมือของนากาเข้าปากไปจนทำให้นากาถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
“ด—เดี๋ยว—!?”
“…….!!”
เสียงร้องของนากาที่ดังใช่ย่อยนั้นได้ทำให้เด็กสาวผงะไปจนหงายหลังล้มปุ๊กลงไปกับพื้น ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องพูดบ่นออกมาพร้อมกับจับตัวของเด็กสาวให้ลุกกลับขึ้นมานั่งอีกครั้งหนึ่งอย่างจนปัญญา
“ให้ตายสิ… แล้วนี่เธอจะเอายังไงต่อล่ะเอริกะ ถ้าเธอไม่ว่าอะไรฉันขอพาเด็กคนนี้กลับไปด้วยจะได้หรือเปล่า?”
“นายไม่ต้องขอฉันก็กะจะสั่งให้นายพาตัวเด็กคนนั้นกลับมาอยู่แล้วล่ะ ถ้าอย่างงั้นก็เอาเป็นว่านายรีบพาเด็กคนนั้นกลับออกมาจากทุ่งดอกไม้นั่นก่อนก็แล้วกัน เพราะพวกเราเองไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นอยู่ข้างในนั้นมานานเท่าไหร่จนเสียวิซในร่างกายไปมากขนาดไหนแล้วน่ะ”
“อื้ม… ถ้างั้นเดี๋ยวขอฉันรีบเอาเสื้อกาวน์ของอารอนนี่ใส่ให้เด็กคนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ”
“หา…? นายก็พูดซะอย่างกับว่าเด็กคนนั้นเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซะอย่างงั้นแหล่ะ”
“มันก็…. ใช่อ่ะนะ…”
นากาที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้ลังเลเล็กน้อยแล้วจึงค่อยพูดตอบเอริกะกลับไปตามจริงแบบที่เขารับปากเอาไว้ก่อนจะเดินเข้ามาข้างในนี้ ซึ่งคำตอบของนากาก็ได้ทำให้เอริกะนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวน
“ถ้าอย่างงั้นนายก็เอาเสื้อของอารอนใส่ให้เด็กคนนั้นไปก่อนแล้วก็รีบพาตัวออกมาก็แล้วกัน เพราะดูท่าทางว่าสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับเด็กคนนั้นคงจะไม่ใช่เพราะวิซไหลออกจากร่างซะแล้วสิเนี่ย~”
“โอ๊ย ตลกตายล่ะนั่น…”
นากาพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปจัดการสวมใส่เสื้อกาวน์ให้กับเด็กสาวผมสีขาวเบื้องหน้า ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็ยืนอยู่นิ่งๆ ยอมให้เขาสวมเสื้อกาวน์ให้แต่โดยดีอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะยื่นมือออกมาคลำไปทั่วใบหน้าของนาการาวกับว่าเธอกำลังสำรวจสิ่งแปลกใหม่อยู่อย่างไรอย่างนั้นจนทำให้นากาต้องพยายามยกมือขึ้นมาบังใบหน้าของตนเองและพูดรายงานเอริกะกลับไป
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะอุ้มเด็กคนนี้กลับไปหาพวกเธอเลยก็แล้วกันนะ”
“เอ… ฉันว่าถึงระยะทางมันจะไกลพอสมควรก็เถอะแต่คงไม่ต้องถึงขั้นอุ้มออกมาก็ได้ล่ะมั้งนากาคุง ฉันอยากให้นายเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้เผื่อว่านายจะไปเจออะไรประหลาดๆ ข้างในนั้นอีกมากกว่าน่ะ”
“ฉันก็เข้าใจนะว่าเธอเป็นห่วงเรื่องอะไรน่ะ แต่ดูท่าทางว่าเด็กคนนี้เขาจะเดินได้ไม่คล่องสักเท่าไหร่น่ะสิ…”
“เดินได้ไม่คล่อง? เด็กคนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บมาหรือไงน่ะ?”
“เท่าที่ฉันดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีรอยแผลอะไรนะ.. จะว่ายังไงดีล่ะ คือแบบดูท่าทางแล้วเหมือนจะเดินด้วยตัวเองไม่เป็นซะด้ว—- เดี๋ยวๆๆๆ ดอกไม้นั่นไม่ใช่ของกินนะ!!”
“…..!”
ในขณะที่นากากำลังพูดอธิบายสภาพของเด็กสาวผมสีขาวให้เอริกะฟังอยู่นั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นว่าเด็กสาวคนที่ว่านั้นกำลังเงยหน้าอ้าปากโดยที่ในมือของเธอมีดอกไม้สีแดงดอกหนึ่งที่เธอไปคว้ามาและกำลังจะถูกหย่อนลงไปในปากเล็กๆ ของเธอ ซึ่งเสียงร้องห้ามของนากาที่ดังไม่ใช่น้อยนั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวสะดุ้งตกใจจนนากาสามารถเดินตรงเข้าไปหยุดมือของเธอได้อย่างทันท่วงที
“ให้ตายสิ… อย่าเที่ยวเอาของเข้าปากสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้สิไม่งั้นเดี๋ยวจะปวดท้องเอานะ”
นากาเอ่ยปากพูดเตือนเด็กสาวผมสีขาวออกมาพร้อมกับหยิบเอาดอกไม้สีแดงจากมือของเด็กสาวมาถือเอาไว้เองเพื่อป้องกันไม่ให้เธอได้มีโอกาสพยายามส่งมันเข้าปากอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการกระทำของนากานั้นก็เหมือนกับว่าจะทำให้เด็กสาวผมสีขาวเข้าใจไปว่าเขาอยากได้ดอกไม้มาถือเอาไว้ เธอจึงได้ก้มลงไปเด็ดดอกไม้ขึ้นมาอีกหนึ่งดอกและยื่นมันตรงมาให้กับเขา
“หือ…? ให้ฉันหรอ?”
“…….”
เด็กสาวผมสีขาวที่กำลังยื่นดอกไม้ออกมาให้กับนากาไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาและโบกดอกไม้สีขาวในมือของเธอไปมาจนทำให้นากาได้แต่ต้องลองยื่นมือออกไปรับดอกไม้ดอกนั้นมาจากเธอดู ซึ่งการกระทำให้นากานั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวโยกตัวไปมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอกำลังอารมณ์ดีอยู่
“…ขอบใจนะ”
นากาที่เห็นเด็กสาวผมสีขาวมีท่าทางอารมณ์ดีได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวของเธอด้วยความเคยชินเหมือนกับที่เขาทำให้คนอื่นเป็นประจำโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าบนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเอริกะดังออกมาจากเครื่องสื่อสารขนาดเล็กอีกครั้งหนึ่ง
“เห็นตอนแรกนายบอกว่าเด็กคนนั้นน่าจะอายุสักประมาณสิบขวบใช่มั้ย… แต่ถ้าฟังจากที่นายโวยวายอยู่นี่แล้วดูท่าทางว่าการกระทำของเธอจะเหมือนกับเด็กเล็กเลยงั้นสินะ?”
“อ่า… จะว่าแบบนั้นก็ได้แหล่ะมั้ง…”
“อื้ม…ถ้างั้นนายรีบพาตัวเธอออกมาจากที่นั่นก่อนเถอะ เด็กคนนั้นอาจจะเป็นคนที่โชคดีรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้แต่ก็เกิดความกระทบกระเทือนทางจิตใจจนมีสภาพแบบนั้นก็ได้น่ะ…”
“กระทบกระเทือนทางจิตใจงั้นหรอ…”
นากาที่ได้ยินข้อสันนิษฐานของเอริกะได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ พลางเหลือบตาไปมองดูเด็กสาวผมสีขาวที่เดินเตาะแตะตรงมายืนจ้องมองเขาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พบเจออะไรที่น่าดึงดูดความสนใจของเธอในทุ่งดอกไม้ใกล้ๆ นี้แล้ว
ซึ่งในขณะที่นากากำลังเหลือบตามองดูเด็กสาวผมสีขาวอยู่นั้นเธอก็ได้ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาจับแขนของนากาเอาไว้ก่อนจะยื่นใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ๆ จนทำให้นากาต้องรีบเอ่ยปากเตือนออกมา
“อ่ะ— อย่ากัดเชียวนะ”
“…….”
คำพูดเตือนของนากาที่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงดุๆ ได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยื่นใบหน้าของเธอเข้าไปใกล้แขนของนากาและใช้แก้มนิ่มๆ ของเธอถูไปถูมากับแขนของเขาจนดูราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังทำความคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมอยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ซึ่งท่าทางของเด็กสาวผมสีขาวที่เข้ามาเกาะแกะแขนของเขาก็ได้ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงพรีมูล่าผู้ที่อยู่ดีๆ ก็มักจะชอบทำตัวแบบเดียวกันนี้อย่างหาสาเหตุไม่ได้อยู่บ่อยๆ จนทำให้นากาเผลอยกมือขึ้นมาเพื่อที่จะได้ลูบหัวของเด็กสาวข้างกายแบบที่เขาเคยทำเป็นประจำด้วยความลืมตัว
แต่ว่าก่อนที่มือของนากาจะได้สัมผัสกับศีรษะของเด็กสาวผมสีขาวก็ได้มีเสียงของเอริกะดังลอดผ่านเครื่องสื่อสารขนาดเล็กออกมาอีกครั้งหนึ่งจนทำให้เขาต้องหยุดมือลงก่อน
“ว่าแต่นอกจากเสื้อกาวน์ของอารอนกับเด็กคนนั้นแล้วนายเจออะไรอย่างอื่นด้วยหรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“อ—อื้ม… เท่าที่ฉันดูแล้วข้างในทุ่งดอกไม้นี่มันก็มีอยู่แค่นี้นะ…”
“ถ้างั้นก็เป็นว่าเดี๋ยวนายเตรียมตัวเดินกลับมาได้เลยก็ละกัน แล้วก็อย่าลื—ฟุ๊บ—ซ่าาาาาาา—”
“โอ๊ยๆ —!?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดสั่งงานออกมานั้นอยู่ๆ เสียงของเธอก็ขาดหายไปก่อนที่มันจะถูกแทรกด้วยเสียงที่คล้ายกับเสียงฝนตกดังลั่นแสบแก้วหูแทนจนทำให้นากาต้องรีบดึงมันออกมาจากหูด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้มันก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเมื่อตอนที่พาเทียซ์พยายามติดต่อมาหาเขาในระหว่างการสอบนั่นเอง
“ให้ตายสิ… ฝีมือพาเทียซ์อีกแล้วหรือไงเนี่ย… หือ?”
ในตอนที่นากากำลังพูดบ่นออกมาอยู่นั้น สายตาของเขาก็ได้เหลือบไปเห็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นร่างของเด็กสาวผมสีดำยาวในชุดเสื้อกาวน์กำลังยืนนิ่งจ้องมองมาทางเขาจากจุดที่อยู่ห่างออกไปจนเกือบจะสุดทุ่งดอกไม้อีกฝั่งหนึ่งและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็กำลังจะก้าวขาตรงเข้ามายังจุดที่พวกเขายืนอยู่อีกด้วย
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เพ่งมองดูร่างของคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาให้ชัดๆ นั้นเสียงเสียดแหลมแทงแก้วหูที่ดังลากยาวออกมาจากเครื่องสื่อสารขนาดเล็กก็ได้เงียบลงไปและกลับกลายเป็นเสียงของเอริกะที่กำลังพูดสั่งงานกับเขาตามเดิม
“—-เป็นไปได้ฉันเองก็ไม่อยากให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างในนรกสีเขียวนั่นนานกว่านี้เหมือนกัน เพราะงั้นนายรีบพาตัวเด็กคนนั้นกลับออกมาก่อนเถอะ”
“หือ…? หายไปไหนแล้วล่ะ…”
นากาที่ละสายตาจากเด็กสาวผมสีดำที่กำลังเดินตรงเข้ามาจากที่ไกลๆ เพื่อเหลือบตากลับไปมองยังเครื่องสื่อสารได้เผลอหลุดพูดพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจเพราะว่าเด็กสาวผมดำคนที่เขาสังเกตเห็นเมื่อสักครู่นี้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ซึ่งคำพูดของนากานั้นก็ได้ทำให้เอริกะได้แต่ต้องรีบร้องถามกลับมาด้วยความตกใจในทันที
“อะไรหายน่ะนากาคุง? เด็กคนนั้นหายตัวไปแล้วงั้นหรอ!?”
“เอ๋ะ— เปล่าๆ แค่ว่าเมื่อกี้นี้น่าจะตาฝาดไปน่ะ… นี่ อย่าเอามือคนอื่นไปเข้าปากสิ!”
คำพูดด้วยความตกใจของเอริกะได้ทำให้นาการีบหันกลับไปมองทางด้านเด็กสาวผมสีขาวในทันที และเมื่อเขาเห็นว่าเด็กสาวผมสีขาวกำลังพยายามที่จะส่งมือของเขาเข้าไปในปากอีกครั้งหนึ่งแล้วเขาก็ได้แต่ต้องพูดดุว่าเธอออกมาอีกครั้งหนึ่งจนเด็กสาวผมสีขาวชะงักมือของเธอและหันมาทางเขาอยู่ชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเอาแก้มถูกกับมือของเขาต่อไปแทนในขณะที่ทางด้านเอริกะเองก็ได้พูดถามถึงสิ่งที่เขาคิดว่าเขาเห็นเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา
“ถ้าเด็กคนนั้นยังอยู่ก็ดีไป… ว่าแต่เมื่อกี้นี้นายคิดว่านายเห็นอะไรหรอนากา?”
“เอ่อ… ฉันคิดว่าฉันเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนนึงยืนอยู่ที่ไกลๆ น่ะ… แต่ว่าพอละสายตาออกมาแค่แวบเดียวเด็กคนนั้นก็หายไปแล้ว คิดว่าน่าจะตาฝาดไปเองล่ะมั้ง…”
“งั้นหรอ… ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่านายรีบกลับออกมาจากที่นั่นก่อนเถอะ แล้วฝากนายหยิบเอาดอกไม้แถวๆ นั้นมาด้วยล่ะ ถ้าเป็นไปได้ขอเอาเป็นดอกที่หน้าตาหรือว่าสีไม่ซ้ำกันด้วยนะ”
“ดอกไม้งั้นหรอ? ได้สิ… เดี๋ยวเธอรออยู่ตรงนี้ก่อนแป๊บนึงนะ”
นากาพูดตอบเอริกะกลับไปและก้มลงไปเด็ดดอกไม้ตรงจุดที่ใกล้ๆ กับบริเวณที่เขาอยู่ขึ้นมาก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วจึงเดินตรงไปเพื่อเด็ดเอาดอกไม้อีกดอกหนึ่งที่หน้าตาและสีคนละแบบขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวผมสีขาวที่เห็นนากาเดินออกห่างไปจากเธอยันตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนและก้าวเดินเตาะแตะตามหลังเขามาอย่างทุลักทุเลราวกับเด็กเพิ่งหัดเดินก่อนที่เธอจะเสียหลักจนเอนล้มไปทางด้านข้างภายในไม่กี่ก้าวเดิน
“….!!”
“อ่ะ—ระวัง!!”
ตุ๊บ
เด็กสาวผมสีขาวที่เอนล้มไปทางด้านข้างได้ล้มลงไปในอ้อมแขนของนากาที่พุ่งเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งนากาที่เห็นว่าเด็กสาวผมสีขาวดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองตัดสินใจที่จะช่วยแบกเธอขึ้นหลังเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเดินด้วยตัวเองจนเสี่ยงที่จะหงายล้มไปอีก
“เธอเดินเองไม่ไหวสินะ… ถ้างั้นก็ขึ้นหลังฉันมาสิ…”
“……..”
เด็กสาวผมสีขาวที่ได้ยินคำพูดของนากาได้จ้องมองดูเขาอย่างนิ่งๆ อยู่สองสามวินาทีแล้วจึงปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังของนากาก่อนที่เธอจะออกแรงเกาะเอาไว้ไม่อยู่จนไถลร่วงลงไปนั่งอยู่กับพื้นแทน
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้นากาได้แต่ต้องยื่นดอกไม้ที่เขาเดินไปเด็ดมาไปให้เด็กสาวผมสีขาวถือเอาไว้ก่อนแล้วจึงออกแรงอุ้มเธอขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนไปด้วย
“อย่าเอามันเข้าปากนะเข้าใจมั้ย…?”
“…….”
เด็กสาวผมสีขาวที่ได้รับดอกไม้สองสามดอกไปจากนากาได้ยกมันขึ้นมาจ้องมองดูด้วยความสงสัยอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะนำมันมาถือแนบอกเอาไว้โดยไม่มีท่าทีว่าจะส่งมันเข้าปากไปเหมือนกับที่เธอทำเมื่อสักครู่นี้ และนั่นก็ทำให้นากาได้ตัดสินใจที่จะรีบเดินตรงกลับไปทางทิศใต้เพื่อกลับไปรวมกลุ่มกับพวกเอริกะที่รอเขาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทุ่งหญ้าและทุ่งดอกไม้แห่งนี้โดยมีเด็กสาวผมสีขาวคอยหันไปหันมาสลับกับเอาหน้าซุกเสื้อของเขาอยู่ในอ้อมแขน
“โธ่เอ๊ย~ ทำอะไรของเธอกันเนี่ยนูลิส… เรื่องน่าสนใจแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ นะ~”
ในขณะที่นากากำลังอุ้มเด็กสาวผมสีขาวออกไปจากทุ่งดอกไม้ที่เคยเป็นหมู่บ้านโมริโกะมาก่อนอยู่นั้นเอง ทางด้านบนฟากฟ้าเหนือหัวของพวกเขาไปก็ได้มีเสียงบ่นของเด็กสาวผมสีดำยาวยุ่งๆ ในชุดเสื้อกาวน์ที่ชื่อว่านัวร์ร้องบ่นขึ้นมาในขณะที่ตัวของเธอนั้นได้ถูกสาวใช้ผมสีเทาที่ชื่อว่านูลิสหิ้วแขนทั้งสองข้างเอาไว้และพาอีกฝ่ายบินตัดฝ่าทุ่งหญ้ากว้างไกลไปด้วยปีกแสงสีฟ้าทรงผีเสื้อที่มีรอยแตกร้าวอยู่จางๆ
“ท่านนัวร์เองนั่นแหล่ะค่ะที่ทำอะไรอยู่กันแน่… ที่นั่นเพิ่งจะถูกทำลายไปเมื่อวานนี้เองนะคะเพราะงั้นท่านนัวร์เองก็น่าจะรู้ดีว่าท่านเอริกะคงจะส่งคนมาสำรวจที่นี่แน่ๆ อยู่แล้ว ทำไมท่านนัวร์ถึงยังจะมาที่นี่อีกล่ะคะ…”
“แหม่~ ฉันก็แค่อยากจะมาดูผลงานที่เพื่อนเก่าของพวกเราทำไว้สักหน่อยก็แค่นั้นเอง~”
“เฮ้อ… มันก็เป็นเพราะเพื่อนเก่าของท่านนัวร์เองไม่ใช่หรอคะที่ทำให้แผนการของพวกเรารวนกันไปขนาดนี้น่ะ…”
นูลิสที่ได้ยินนัวร์พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาได้แต่ต้องถอนหายใจออกมากับความไร้สำนึกของอีกฝ่ายจนทำให้นัวร์ที่กำลังสะบัดแขนเสื้อกาวน์ของเธอที่ห้อยต่องแต่งอยู่ต้องเงยหน้า
ขึ้นไปพูดถามสาวใช้ตัวน้อยออกมา
“มัวแต่มาว่าฉันแล้วเธอเองล่ะนูลิส~ ไม่ใช่ว่าหัวหน้าเพิ่งจะสั่งให้เธอเฝ้าระวังที่ฐานเอาไว้ไม่ใช่หรอไง~ ขัดคำสั่งของหัวหน้าแบบนี้มันจะดีแล้วจริงๆ หรอ~”
“ฉันไม่อยากจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากคนที่เคยขัดคำสั่งของหัวหน้าจนถูกถอนสิทธิในการสั่งการพวกฉันไปอย่างท่านนัวร์หรอกนะคะ…”
“แหม่~ ยังพูดจาตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเลยนะเธอเนี่ย~ ก็สมกับที่เป็นแฟรี่ประจำตัวของหัวหน้าเขาดีล่ะนะ~”
“ท่านนัวร์เองก็สมกับเป็นคนที่หัวหน้าเขาไว้ใจเหมือนกันค่ะ… ฉันหมายถึงไว้ใจแค่ในเรื่องฝีมือน่ะนะคะ…”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็เป็นคนที่สนิทกับหัวหน้าที่สุดถ้าไม่นับเขาคนนั้นเลยนะ~”
นัวร์ที่ได้ยินคำพูดค่อนแคะจากนูลิสได้พูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับแกว่งมือไปตีใส่ก้อนเมฆที่ลอยอยู่รอบกายด้วยท่าทีสบายอารมณ์แล้วจึงพูดขึ้นมาต่อ
“นี่นูลิส~ ฉันเองก็รู้นะว่าเธอไม่จำเป็นต้องรับฟังคำสั่งจากฉันอีกต่อไปแล้วน่ะ แต่ว่าถ้ายังไงก็ช่วยฟังคำขอของฉันสักหน่อยสิ~”
“เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะหลุดออกมาจากปากของท่านนัวร์นะคะ…”
“อื้มๆ ถ้างั้นฉันจะพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน~ ฉันอยากให้เธอปล่อยฉันลงตรงนี้เลยฉันจะได้ไปตรวจสอบข้อมูลของเด็กสองคนที่ทุ่งดอกไม้นั่นดูสักหน่อยน่ะ~”
“ตรวจสอบ…? อย่างท่านนัวร์เนี่ยนะคะ?”
“ช่าย~ เพราะถึงเธอจะส่งคนแอบตามสองคนนั้นไปจนกว่าพวกเขาจะออกไปจากที่นี่แล้วก็เถอะ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบที่มาที่ไปของพวกเขาใช่มั้ยล่ะ~ ฉันเองก็รู้นะว่าเธอเองก็อยากรู้เรื่องของสองคนนั้นเหมือนกันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ได้รับคำสั่งลงมาน่ะ เอาเป็นว่าถ้าเกิดเธอยอมปล่อยฉันลงตรงนี้แล้วถ้าฉันสืบได้เรื่องอะไรขึ้นมาฉันจะเอามาบอกเธอเป็นคนแรกเลยเอ้า~”
“เอาเป็นว่าท่านนัวร์กลับไปนั่งฟังพวกฉันประชุมวางแผนตามเดิมดีกว่าค่ะ…”