บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 133 Correlative Needs
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น นากาที่หยุดพักการเรียนเพื่อมาดูแลโมโกะเองก็ได้พาโมโกะที่สวมใส่ชุดคลุมกันฝนแบบคลุมหัวเพื่อปิดบังบริเวณศีรษะของเธอที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้เดินตรงไปเคาะประตูบ้านของเอริกะเพื่อไปรับตัวเด็กสาวจากทุ่งดอกไม้ที่เอริกะตั้งชื่อให้ว่า อีฟ ด้วยกัน
ซึ่งหลังจากที่สิ้นเสียงเคาะประตูของนากาไปสักพักหนึ่งประตูบ้านของเอริกะก็ได้ถูกเปิดออกโดยตัวเจ้าของบ้านที่โผล่มาทักทายเขาด้วยท่าทีร่าเริงอย่างที่เธอมักจะทำเป็นประจำ
“มาแล้วหรอนากาคุง~ อ้าว– เธอพาโมโกะจังเขามาด้วยหรอ”
“อื้ม… ฉันยังไม่อยากปล่อยโมโกะเขาไว้ที่บ้านคนเดียวน่ะ”
“ส…สวัสดี…ค่ะ…”
โมโกะที่ยังคงมีสภาพจิตใจที่ไม่สามารถนับว่าปกติได้นั้นก็ได้เอ่ยปากพูดทักทายเอริกะกลับไปอย่างตะกุกตะกัก ซึ่งท่าทางสุภาพอันผิดปกติของโมโกะนั้นก็ได้ทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดี
“อื้มๆ สวัสดีจ้ะโมโกะจัง ว่าแต่ไหนๆ เธอก็มาถึงที่นี่แล้วขอฉันตรวจดูอาการของเธอหน่อยเลยก็แล้วกันนะ~”
“—-!?”
ทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบเธอก็ยื่นมือไปเลื่อนผ้าคลุมกันฝนที่โมโกะสวมใส่อยู่ออกจนทำให้บาดแผลไฟไหม้และหูแมวที่หายไปข้างหนึ่งของเธอปรากฏออกมาให้เห็น และนั่นก็ทำให้โมโกะถึงกับสะดุ้งไปและรีบหลบไปอยู่ด้านหลังนากาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“……”
ซึ่งโมโกะที่เผลอตัวสะดุ้งหลบไปก็ได้ยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังนากาเพื่อแอบมองดูเอริกะอยู่สักพักหนึ่ง และเมื่อเธอเห็นว่าเอริกะไม่มีท่าทีเหมือนกับว่าจะรังเกียจบาดแผลไฟไหม้ของเธอแล้วเธอจึงได้ยอมเดินออกมาให้เอริกะตรวจดูอาการแต่โดยดี
“อื้ม… ดูแล้วเดี๋ยวอีกสักพักนึงแผลพวกนี้ก็จะอาการดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันคงจะต้องตรวจดูอาการของดวงตาเธอสักหน่อยเพื่อความแน่ใจหน่อยก็แล้วกันนะ เอาเป็นว่ายังไงก็เข้ามาก่อนสิ”
“อื้อ…”
โมโกะพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปเบาๆ แล้วหลังจากนั้นทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปด้านในตัวบ้านของเอริกะกัน และเมื่อนากาก้าวเท้าเข้ามาภายในแล้วเขาก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามหาเด็กสาวผมสีขาวที่เอริกะบอกว่าให้เขามารับตัวเธอที่นี่ขึ้นมา
“แล้วอีฟอยู่ไหนล่ะเอริกะ ไหนเธอบอกว่าเธอพาเด็กคนนั้นมารอพวกฉันที่นี่แล้วนี่”
“อีฟ…?”
ในขณะที่นากากำลังหันซ้ายหันขวามองหาตัวอีฟอยู่นั้น ทางด้านโมโกะที่ได้ยินชื่อที่เธอไม่รู้จักเองก็ได้เอ่ยปากถามนากาขึ้นมาด้วยความสงสัยจนทำให้นากาต้องหันไปพูดอธิบายขึ้นมาให้เธอฟัง
“อ๋อ พอดีว่าเมื่อวานนี้ฉันไปทำธุระกับเอริกะมาใช่มั้ยล่ะ พวกฉันไปเจอเด็กที่อาจจะเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่ผ่านไปแถวนั้นตอนที่เกิดเรื่องเข้าพอดี เอริกะเขาก็เลยพาตัวกลับมาดูแลก่อนจนกว่าจะเจอญาติหรือครอบครัวของเขาน่ะ”
“อืม…”
โมโกะพยักหน้าตอบนากากลับไป ส่วนทางด้านเอริกะที่เห็นว่าโมโกะดูเหมือนจะไม่มีปัญหากับคำอธิบายของนากาก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าอีฟจังล่ะก็ตอนนี้อยู่ข้างใน—”
แอ๊ด—
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้น อยู่ๆ ประตูห้องออฟฟิศของเอริกะก็ได้ถูกเปิดออกก่อนที่จะมีร่างของเด็กสาวผมสีขาวยาวสลวยเดินออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่โดยที่ในมือของเธอเองก็มีไขควงอันหนึ่งที่เธอกำลังชูมันขึ้นสูงและมองมันอยู่ด้วยท่าทีสนอกสนใจ
“….!”
และทันใดนั้นเอง อยู่ๆ อีฟก็ได้ละความสนใจออกมาจากไขควงในมือของเธอและรีบวิ่งตรงเข้าไปหานากาด้วยท่าทีดีใจจนทำให้นากาต้องรีบเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายและคว้ามือข้างที่เด็กสาวใช้ถือไขควงเอาด้วยความตกใจพร้อมกับพูดเตือนออกมา
“อย่าถือของแบบนี้วิ่งไปวิ่งมาสิ มันอันตรายนะเข้าใจมั้ย… แล้วเธอเองก็อย่าวางของแบบนี้เอาไว้ใกล้มือเด็กสิเอริกะ”
“แหม่~ ก็ปกติแล้วที่นี่มีเด็กซนๆ เหมือนอีฟจังเขาซะที่ไหนกันล่ะ ใครๆ เขาก็ต้องเผลอกันบ้างใช่มั้ยล่า~”
“เฮ้อ… เธอเองก็หัดระวังๆ สักหน่อยบ้างสิ… ว่าแต่เมื่อวานนี้อีฟเขายังเดินไม่คล่องอยู่เลยไม่ใช่หรอ ไหงวันนี้ถึงวิ่งปรื๋อแล้วล่ะ?”
นากาที่ได้ยินคำตอบที่ฟังดูไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยของเอริกะได้แต่ต้องถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะพูดถามเอริกะขึ้นมาบ้าง เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้อีฟสามารถวิ่งตรงเข้ามาหาเขาได้อย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอยังยืนแทบจะไม่ได้เลยแท้ๆ จนทำให้เอริกะต้องยักไหล่กลับมาให้เขาอย่างจนปัญญา
“ก็ไม่รู้สิ เหมือนว่าเมื่อวานนี้อีฟจังเขายังมึนๆ อยู่ก็เลยขยับตัวได้ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง เมื่อคืนนี้ฉันแค่สอนนิดๆ หน่อยๆ อีฟจังเขาก็วิ่งเล่นซะทั่วบ้านฉันแล้วนั่น”
“งั้นหรอ… ว่าแต่แล้วเรื่องที่อีฟเขาหลับตาแล้วก็ไม่ยอมพูดนี่ล่ะ?”
“เรื่องนั้นฉันลองตรวจดูแล้ว ร่างกายของอีฟจังเขาก็ปกติดีนั่นแหล่ะ แค่ว่าเธอไม่ยอมพูดเฉยๆ น่ะ… ส่วนเรื่องตานี่… เหมือนว่าตาของอีฟจังเขาก็ปกติดีเหมือนกันนั่นแหล่ะมั้ง… คือฉันเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่เพราะดูเหมือนว่าอีฟจังเขาจะเห็นสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องลืมตามองน่ะ”
“มองเห็นได้ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่นี่มันก็ฟังดูไม่ปกติดีแล้วมั้งนั่น…”
คำตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่ของเอริกะได้ทำให้นากาต้องเลิกคิ้วมองเธอด้วยความประหลาดใจก่อนที่เขาจะหันกลับไปลูบหัวของอีฟที่ดูเหมือนว่าจะอยากเอาไขควงไปเล่นแล้วจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องพูดอธิบายออกมา
“แหม่ ก็ถ้าเกิดว่าอีฟจังเขามองเห็นได้ปกติดีก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าเป็นห่วงเลยนี่นา เอาเป็นว่าเอาไว้อีฟจังเขายอมพูดเมื่อไหร่เธอก็ค่อยลองถามดูละกันว่าเขาทำได้ยังไงน่ะ”
“……?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้น ทางด้านอีฟที่เอาไขควงกลับมาเล่นไม่ได้ก็ได้ละความสนใจไปจากไขควงที่อยู่ในมือของนากาเมื่อเธอสังเกตเห็นเด็กสาวหูแมวสวมเสื้อกันฝนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังนากาเข้า เธอจึงได้เดินตรงเข้าไปหาโมโกะจนทำให้เด็กสาวต้องเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ม…มีอะไรหรือเปล่า…”
พรึบ
“—!?”
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ อีฟก็ได้ยื่นมือออกไปดึงฮู้ดของเสื้อคลุมกันฝนออกจากศีรษะของโมโกะจนทำให้เด็กสาวหูแมวสะดุ้งเฮือกตัวแข็งไปด้วยความตกใจ
“……?”
แต่ถึงอย่างนั้นอีฟก็ไม่ได้สนใจท่าทีของโมโกะเลยแม้แต่น้อยและยื่นมือออกไปจับหูแมวข้างที่เหลืออยู่ของโมโกะด้วยท่าทีสนอกสนใจในสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน จนทำให้นากาต้องรีบพูดห้ามขึ้นมาเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าอีฟไม่ได้ระมัดระวังไม่ให้โดนบาดแผลของโมโกะเลยแม้แต่น้อย
“อย่าซนสิอีฟ”
“ย—อย่ามองนะ!!”
ทันใดนั้นเองโมโกะที่กำลังตกใจจนตัวแข็งอยู่ก็ได้สังเกตเห็นว่านากากำลังมองตรงมาที่บาดแผลของเธอ และนั่นก็ทำให้โมโกะหลุดเสียงร้องออกมาด้วยสีหน้าหวาดผวาและปัดมือเล็กๆ ของอีฟออกไปอย่างแรงก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งเอามือพยายามปิดบังบาดแผลของตัวเองด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกรังเกียจ
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้ทุกคนชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่เอริกะจะเดินตรงเข้าไปดึงตัวอีฟออกมาและดันหลังเธอไปหานากาเบาๆ พร้อมกับกระซิบสั่งงานเขาขึ้นมา
“เธอพาอีฟจังไปสอนตรงนู้นก่อนไปนะนากาคุงเดี๋ยวโมโกะจังนี่ฉันจัดการเอง”
“อ…อื้ม เธอมานี่ก่อนมาอีฟ”
“….?”
อีฟที่ถูกดึงตัวออกมาอย่างกะทันหันได้เดินตามนากาไปทางโซฟาของห้องนั่งเล่น ส่วนทางด้านเอริกะนั้นก็ได้ก้มตัวลงไปพูดอะไรสักอย่างกับโมโกะอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินหายเข้าไปด้านในห้องออฟฟิศจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ… เธออย่าซนนักสิอีฟ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนคนอื่นๆ ดุเอานะ”
“….?”
อีฟที่ได้ยินคำพูดของนากาได้เอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทีสงสัยเหมือนกับไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงถูกต่อว่าและกระโดดลงจากโซฟาพร้อมกับเดินตรงไปทางห้องออฟฟิศราวกับอยากจะเดินเข้าไปดูว่าเอริกะพาโมโกะเดินเข้าไปข้างในนั้นทำไมจนทำให้นากาต้องรีบคว้าตัวเด็กสาวเอาไว้และยกขึ้นมานั่งตักเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปซนกับโมโกะตอนนี้
“…..”
แต่ถึงอย่างนั้นอีฟก็กลับยอมนั่งอยู่บนตักของนากาอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่แค่สักพักเดียว ก่อนที่เธอจะหันไปทางประตูห้องครัวแล้วจึงหันกลับมามองนากาและชี้นิ้วเข้าไปในปากของตัวเองพร้อมกับอ้าๆ หุบๆ ปากราวกับว่าอยากจะพูดบอกอะไรนากาสักอย่างหนึ่ง
“หืม? เธอหิวหรอ? จะกินอะไรสักหน่อยมั้ยล่ะ?”
“….!”
หมับ
คำพูดของนากาได้ทำให้อีฟกระตุกแขนเสื้อของนากาเบาๆ ราวกับเธอกำลังจะบอกว่าใช่ และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพาเด็กสาวไปหาอะไรทานเล่นในห้องครัวอย่างที่เธอต้องการก่อน
“อย่างเอริกะคงจะไม่ได้ทำอาหารอะไรเก็บเอาไว้หรอกล่ะมั้ง… แต่ถ้าเป็นขนมก็น่าจะตรงนั้น…”
นากาที่เดินเข้าไปข้างในห้องครัวได้หันซ้ายหันขวามองดูห้องครัวที่สะอาดเอี่ยมเรียบร้อยเหมือนกับไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเดินไปคว้าเอาไหคุกกี้ที่เอริกะซ่อนเอาไว้บนหลังตู้เย็นลงมา
“…..!!”
ซึ่งในทันทีที่อีฟเห็นของที่ถูกบรรจุอยู่ในไหนั้นเธอก็ได้มองสลับไปมาระหว่างไหคุกกี้กับใบหน้าของนากาด้วยท่าทีตื่นเต้นจนทำให้นากาหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงเปิดไหคุกกี้ออกก่อนจะยื่นมันไปให้เด็กสาวพร้อมกับเอ่ยปากพูดบอกเธอไป
“ตามสบายเลย”
“….!”
อีฟที่ได้ยินคำพูดของนากาก็ได้คว้าไหคุกกี้มากอดเอาไว้พร้อมกับหยิบขนมข้างในออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าในจังหวะที่เธอกำลังจะส่งมันเข้าไปในปากเล็กๆ ของเธอนั้นเอง เธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหักครึ่งมันแล้วจึงยื่นคุกกี้ครึ่งชิ้นในมือตรงไปทางนาการาวกับอยากจะให้เขากินด้วยกันอย่างไรอย่างงั้น
“หืม? โอ้… ขอบใจนะ แต่ถ้ายังไงเดี๋ยวเอาออกไปนั่งกินข้างนอกรอสองคนนั้นกันดีกว่านะ”
“…….”
คำพูดของนากาได้ทำให้อีฟพยักหน้าหงึกๆ กลับไปก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินกลับออกไปจากห้องครัวในจังหวะเดียวกันกับที่เอริกะและโมโกะที่ดูเหมือนว่าจะถูกจับไปทำแผลใหม่จนสงบใจลงบ้างแล้วเดินกลับออกมาจากห้องออฟฟิศพอดี
“อ่ะ—ไม่ได้นะๆ เมื่อคืนนี้ก็กินไปตั้งเยอะจนฉันต้องเอาไปซ่อนแล้วไม่ใช่หรออีฟจัง นี่ไปหลอกนากาคุงเขาให้เอาลงมาจากหลังตู้เย็นให้ใช่มั้ยเนี่ย~”
“หะ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้เลิกคิ้วหันไปมองทางด้านอีฟด้วยความตกใจ ซึ่งเมื่อเขาได้เห็นว่าเด็กสาวกำลังนั่งกอดไหคุกกี้ราวกับว่าไหนี้เป็นของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็ได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้มเพราะไม่รู้ว่าตัวเองถูกความใสซื่อของอีฟหลอกเข้าให้อย่างที่เอริกะพูดล้อเล่นขึ้นมาหรือเปล่า
“…..?”
ซึ่งในขณะที่นากากำลังทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น ทางด้านอีฟก็ได้หันมาทางนากาด้วยท่าทีใสซื่อก่อนที่เธอจะยื่นคุกกี้ไปให้เขาอีกชิ้นหนึ่งจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นต้องรีบร้องต่อว่าขึ้นมา
“นี่ตัวแค่นี้ก็ติดสินบนคนอื่นเขาเป็นแล้วหรอเนี่ย เอาขนมของฉันคืนมานี่เลยนะเจ้าเด็กจอมตะกละ~”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
“อ่ะ ซวยล่ะงานงอก… เดี๋ยวฉันมาแป๊บนึงนะ”
ในขณะที่เอริกะกำลังจะเดินตรงเข้าไปแย่งไหคุกกี้กลับคืนมาจากอีฟอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังออกมาจากห้องออฟฟิศของเธอจนทำให้เอริกะถึงกับต้องเบ้ปากแล้วจึงเอ่ยปากขอตัวเดินตรงหายเข้าไปในห้องออฟฟิศด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
ส่วนทางด้านนากาเองก็ได้หันไปหาโมโกะที่เดินมานั่งอยู่บนโซฟาทางฝั่งตรงข้ามของเขาแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“เป็นไงบ้างโมโกะ เอริกะเขาพูดอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“ก…ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ… นะ…”
“อื้ม… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันฝากเธอดูอีฟเขาให้หน่อยนะโมโกะ ขอฉันเข้าไปถามเอริกะหน่อยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าน่ะ”
“ด-เดี๋ยวสิ…”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้สะดุ้งไปเล็กน้อยและเหลือบตาไปมองอีฟอย่างหวาดๆ แต่ถึงอย่างนั้นนากาก็กลับไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจเพราะว่าเขาต้องการให้โมโกะทำความรู้จักกับอีฟบ้าง เนื่องจากว่าหลังจากนี้เขาคิดจะพาตัวอีฟไปเลี้ยงดูจนทั้งสองคนน่าจะต้องเจอกันแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว เขาจึงได้อุ้มอีฟออฟจากตักและวางลงไปที่โซฟาข้างๆ ตัวและรีบเดินตรงไปทางห้องออฟฟิศของเอริกะในทันที
“…….”
และนั่นก็ทำให้อีฟที่ถูกยกออกจากที่นั่งส่วนตัวกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ข้างๆ โมโกะจนทำให้โมโกะจำเป็นต้องเอ่ยปากถามขึ้นมา
“อ–เอ่อ…. ว…ว่าไงจ๊ะ….”
“….?”
อีฟที่เห็นว่าโมโกะมีท่าทีเหมือนกับว่าจะทำอะไรไม่ถูกและหวาดๆ เธอเล็กน้อยได้เอียงคอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะล้วงเอาคุกกี้ออกมาชิ้นหนึ่งจากในไหและยื่นมันตรงไปให้โมโกะราวกับว่าอยากจะขอโทษที่เธอเผลอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหวาดกลัวเมื่อสักครู่นี้
“ห…ให้ฉันหรอ…?”
“……”
“ขอบใจนะ…”
โมโกะที่เห็นว่าเด็กสาวที่ไม่ยอมพูดจาคนนี้มีท่าทีเหมือนกับว่าอยากจะขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ได้ยื่นมือออกไปรับคุกกี้มาจากอีกฝ่ายแต่โดยดี ซึ่งนั่นก็ทำให้อีฟพยักหน้าด้วยความอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างๆ โมโกะแล้วจึงคว้าคุกกี้ขึ้นมานั่งแทะเล่นต่อไป
ในขณะเดียวกัน ทางด้านนากาที่ยืนแอบฟังอยู่เองก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเขาเห็นว่าอีฟไม่ได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกและเหมือนจะพยายามขอโทษโมโกะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสักครู่นี้แล้ว เขาจึงเปิดประตูห้องออฟฟิศของเอริกะและก้าวเข้าไปภายในอย่างเงียบๆ
และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังที่กำลังยืนขมวดคิ้วพูดใส่เครื่องมือสื่อสารของเธอที่มีลักษณะเหมือนกับแผ่นกระจกสีดำด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอยู่เข้า
“สรุปว่าหาตัวเขาไม่เจอจริงๆ หรอ? เธอลองไปตรวจสอบที่เขตการค้าหรือว่าพวกโบสถ์แถวชานเมืองดูแล้วหรือยัง ถ้ายังไงก็ลองไปตรวจสอบแถวนั้นดูก่อนแล้วถ้าเกิดว่าไม่เจอจริงๆ ก็ค่อยลองออกไปค้นหาที่นอกเมืองดู… ฉันเข้าใจหน่าว่าพวกทหารรับจ้างได้รับบาดเจ็บกันเยอะ แต่ว่ายังไงเราก็ต้องตามหาตัวเขาให้เจอให้ได้นะเข้าใจมั้ย”
หลังจากที่เอริกะพูดจบแล้วเธอก็ได้วางเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเธอลงไปบนโต๊ะและหันมาพูดกับนากาด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“แหม่~ แอบฟังสาวๆ คุยกันแบบนี้มันเสียมารยาทนะจ๊ะนากาคุง~”
“อ–อ่า โทษที พอดีฉันเห็นเธอพูดเหมือนกับว่าซวยอีกแล้วก็เลยสงสัยว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง แต่ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทีมที่ฉันส่งไปทำงานที่แพนเทร่าน่ะ เธอไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก~”
“งั้นหรอ… แต่ถ้ายังไงเธอลองเล่าให้ฉันฟังสักหน่อยจะได้หรือเปล่า ฉันอยากรู้ว่าสถานการณ์รวมๆ แล้วมันเป็นยังไงบ้างน่ะ”
ถึงแม้ว่านากาจะได้ยินคำพูดบอกปัดของเอริกะไปแล้วก็ตาม แต่ว่านากาก็กลับตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาตรงๆ จนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงเปลี่ยนเป็นโหมดจริงจังก่อนจะพูดถามกลับมา
“เธออยากจะฟังจริงๆ งั้นหรอนากาคุง ถึงเรื่องนี้มันจะยุ่งยากสักหน่อยแต่ว่ามันเป็นเรื่องของกลุ่มที่ประจำอยู่เมืองแพนเทร่าเขาน่ะ ถ้าเธอฟังไปแล้วอาจจะเก็บเอาไปคิดจนเครียดเปล่าๆ เพราะว่าจะช่วยก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ก็ได้นะ”
“อื้ม… ขอบใจที่เป็นห่วงนะเอริกะ แต่ฉันเองก็อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่อื่นบ้างน่ะ เผื่อว่าฉันจะได้ทำอะไรให้มันมีประโยชน์กับพวกเธอบ้างสักนิดก็ดี”
“หืม~ ถ้าเธออยากจะฟังจริงๆ ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ล่ะนะ เพราะยังไงพวกเราก็เป็นทีมเดียวกันแล้วนี่เนอะ อ่ะ—แต่ถ้าได้ฟังแล้วเธอห้ามผลีผลามพุ่งออกไปนะเข้าใจมั้ย”
เอริกะนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของเธอและคว้าเอาเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเธอมาโยนเก็บลงไปในลิ้นชักก่อนจะเอ่ยปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นากาฟัง
“คือถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ล่ะก็ ในวันที่เกิดเหตุโจมตีนั่นน่ะมีหนึ่งในหน่วยสำรวจที่ฉันส่งไปหาข้อมูลที่แพนเทร่าหายตัวไปคนนึงน่ะ”
“หายตัวไป…? แบบขาดการติดต่อไปอะไรอย่างงั้นน่ะนะ?”
“อื้ม แล้วทีนี้ที่แถวๆ เขตแพนเทร่าเองก็โดนเล่นงานไปหนักพอๆ กันกับที่นี่นั่นแหล่ะ พวกทหารรับจ้างที่ฉันจ้างมาก็ทั้งบาดเจ็บทั้งหมดกำลังใจกันจนไม่เป็นงานเป็นการกันเท่าไหร่… แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ล่ะนะเพราะส่วนมากที่ฉันจ้างมาจะเป็นพวกกลุ่มเล็กๆ ซะมากกว่า พอพวกเขาเสียคนในกลุ่มที่สนิทๆ กันไปมันก็ราวๆ นี้นั่นแหล่ะ…”
เอริกะพูดบ่นออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาบีบขมับตัวเองด้วยความปวดหัว เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พวกทหารรับจ้างที่ยังเหลืออยู่ของเธอหมดแรงหมดกำลังใจไปมากจนพวกเขาไม่มีแรงจะทำอะไรสักเท่าไหร่
“เฮ้อ… เอาจริงๆ ต่อให้พวกทหารรับจ้างยอมออกไปค้นหากันก็ไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่าซะด้วยซ้ำล่ะมั้ง เพราะขนาดฉันเองก็ยังไม่ชัวร์เหมือนกันว่าพ่อหนุ่มเจ้าปัญหานั่นยังอยู่แถวๆ แพนเทร่าอยู่หรือเปล่าเนี่ยน่ะสิเพราะว่าเขาแทบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลยซะด้วยซ้ำ”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นเธอพอจะบอกได้หรือเปล่าว่าเขาหน้าตาเป็นยังไงน่ะเผื่อว่าฉันจะลองเอาไปฝากให้ไดเอน่าเขาช่วยตามหาให้ เพราะฉันได้ยินมาว่าไดเอน่าเขามีบ้านพักกับคนดูแลอยู่ที่เมืองนั้นด้วยน่ะ” ”
“หน้าตาเป็นยังไงงั้นหรอ… ที่จริงแล้วฉันมียันรูปถ่ายของเขาเลยล่ะ แต่ว่า…”
“แต่ว่า?” ”
ท่าทีลังเลของเอริกะได้ทำให้นากาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ซึ่งเอริกะก็ได้ใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจล้วงมือเข้าไปในลิ้นชักและหยิบเอาภาพถ่ายของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลสวมผ้าปิดตาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเด็กสาวหูแมวที่สวมชุดคล้ายๆ กับพวกซิสเตอร์ของโบสถ์ออกมาให้นากาเห็น
“เอาเถอะ… นี่ไงรูปของเขาน่ะ แต่ถ้ายังไงเธอก็อย่าเพิ่งไปบอกคอนแนลเขาก็แล้วกันเนอะ~”
“ห—หมอนี่มัน…”