บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 134 Second Chance
“ห—หมอนี่มัน…”
นากาที่ได้เห็นรูปถ่ายที่เอริกะหยิบออกมาให้ดูนั้นได้ยื่นมือไปคว้ามันมาดูใกล้ๆ ด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองเอริกะด้วยความสงสัย แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดถามอะไรออกมาทางด้านเอริกะก็กลับชิงพูดอธิบายขึ้นมาเสียก่อน
“หน้าคุ้นๆ ใช่มั้ยล่ะ คนที่หายไปคือผู้ชายในรูปที่ชื่อว่าเดดารัสน่ะ ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนนั่นชื่อว่าทีเอร่า ก่อนหน้านี้มีคนของฉันไปเจอสองคนนี้อาศัยอยู่ในโบสถ์ร้างนอกเมืองเข้าก็เลยชวนให้มาทำงานด้วยกันน่ะ
“เดดารัสงั้นหรอ…”
นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้เลิกคิ้วมองหน้าเอริกะอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าเอริกะคงไม่อยากจะพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอไปเจอขุนนางหนุ่มเวก้าที่น่าจะโดนวังหลวงของรีมินัสเก็บไปแล้วและพาตัวมาใช้งานได้อย่างไรเขาจึงได้ยักไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้เธอพูดต่อได้เลย
“อื้มๆ เดดารัสนั่นแหล่ะ ก่อนหน้านี้ฉันสั่งให้สองคนนี้ไปตรวจสอบเรื่องหมอกหนาผิดฤดูที่แพนเทร่าน่ะ แล้วตอนที่มีการโจมตีเกิดขึ้นที่นั่นสองคนนี้ก็อาสาจะออกไปช่วยอพยพชาวเมืองด้วยเหมือนกัน แต่เห็นทีเอร่าเขาบอกว่าอยู่ดีๆ เดดารัสเขาก็ทำหน้าตกใจก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในฝูงคนแล้วก็ไม่ได้กลับมาน่ะ”
เอริกะพูดย้ำถึงชื่อของเวก้าในตอนนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งราวกับอยากจะย้ำเตือนนากาว่าอย่าได้หลุดชื่อจริงของอดีตขุนนางหนุ่มออกมาเป็นอันขาดก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม
“แต่ก็นะ เรื่องของเดดารัสนี่เธอไม่จำเป็นต้องไปสนใจก็ได้ เดี๋ยวให้ทีมของฉันที่นู่นเขาจัดการกันเองเถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเธอบังเอิญไปได้ข้อมูลอะไรมาก็แอบแวบมาบอกฉันสักหน่อยก็แล้วกัน”
“อ่า ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก… ว่าแต่เรื่องหมอกควันที่แพนเทร่าอะไรนั่นมันยังอยู่อีกหรอน่ะ ฉันว่าฉันเคยได้ยินไดเอน่าเขาพูดถึงเรื่องนี้ตั้งนานแล้วนะ”
“อื้ม… แล้วก็ดูท่าทางว่ามันจะไม่หายไปง่ายๆ ด้วยน่ะสิ”
“เธอหมายความว่าไงน่ะ?”
คำพูดพึมพำเบาๆ ของเอริกะที่นากาดันหูดีไปได้ยินนั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถามขึ้นมา ซึ่งเอริกะก็ได้พูดอธิบายออกมาสั้นๆ ให้เขาได้ฟัง
“ก็แบบว่าถ้ามันเป็นหมอกธรรมดาๆ มันก็น่าจะโผล่มาแค่พักเดียวเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนหรืออะไรแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่านี่นอกจากหมอกมันจะหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันยังมีรายงานเรื่องแปลกๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ ด้วยน่ะสิ”
“เรื่องแปลกที่ว่านั่นมันแปลกขนาดไหนถึงทำให้เธอเหมือนจะกังวลได้แบบนี้กันล่ะนั่น?”
“ก็ไม่เชิงว่ากังวลหรอก… ต้องบอกว่าคาใจเฉยๆ มากกว่าน่ะ ลองดูนี่สิ ตรงหัวข้อข่าวด้านล่างที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญนั่นน่ะ”
เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับหยิบเอาหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงานของเธอจนทำให้นากาชักจะเริ่มแปลกใจแล้วว่าในลิ้นชักโต๊ะทำงานของเอริกะบรรจุอะไรเอาไว้ด้านในบ้างกันแน่
“หืม? ไหนๆ ‘หมอกยังคงหนาแน่น’ ‘ข่าวจากทางโบสถ์’ ‘รายงานการซ่อมแซมวังหลวง’ … แล้วอันไหนล่ะที่เธอบอกว่ามันแปลกๆ น่ะ?”
“ก็เนี่ย อันนี้นี่ไง ที่เขาเขียนว่า ‘เกาะติดการหายไปของศพภายในสุสานหลวงใต้ดินของแพนเทร่า’ เนี่ย”
“เห….”
นากาที่เห็นเอริกะชี้ไปที่หัวข้อข่าวเล็กๆ อันหนึ่งที่ฟังดูไม่มีความสำคัญมากนักเท่าไหร่ได้ลองเปิดอ่านที่ด้านในดู แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่มีอะไรที่ฟังดูสำคัญสักเท่าไหร่นักเลย เขาจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของโจรปล้นสุสานหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า
“ฉันเคยได้ยินมาว่าที่แพนเทร่าโดยเฉพาะพวกขุนนางที่นั่นนี่เขาชอบฝังสมบัติเอาไว้ในสุสานด้วยนี่นา อาจจะเป็นฝีมือของพวกโจรหรืออะไรพวกนั้นเปล่าน่ะ?”
“โธ่เอ๊ยนากาคุง แล้วโจรที่ไหนเขาจะขโมยศพออกมากันล่ะจริงมั้ย แต่ก็นะ เรื่องนี้เธอไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวฉันจะให้ทีมที่ประจำอยู่ที่นั่นลองหาข้อมูลดูเอง”
เอริกะที่ได้ยินนากาพูดสันนิษฐานขึ้นมาได้พูดหยอกเล่นกลับไปก่อนที่เธอจะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาแทน
“เอาล่ะ เรื่องที่เมืองแพนเทร่ามันก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ ถึงตอนแรกฉันคิดจะไปปรึกษาอารอนเกี่ยวกับเรื่องหมอกควันนั่นอยู่ก็เถอะ แต่ว่าเขาดันหายตัวไปแล้วแบบนี้ก็เลยกลายเป็นว่าฉันต้องมานั่งปวดหัวอยู่คนเดียวเนี่ยแหล่ะ~”
“ถ้างั้นเธอมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างหรือเปล่าล่ะ? พักนี้ฉันต้องหยุดอยู่บ้านมาคอยดูแลโมโกะเขาน่ะก็เลยน่าจะว่างอยู่ล่ะมั้ง”
“จุ๊ๆ ถ้าเธอบอกทางโรงเรียนไปว่าจะหยุดมาดูแลโมโกะจังเขาก็อยู่ดูแลโมโกะจังไปสิจ๊ะนากาคุง~ แล้วอีกอย่างนึงตอนนี้พวกเธอก็ติดอยู่ที่รีมินัสนี่เพราะงั้นคงจะไปช่วยเรื่องทางนั้นไม่ได้หรอกนะ”
“นั่นสินะ… ว่าแต่แล้วเรื่องของพวกทหารที่ไปบุกที่หมู่บ้านของฉันที่พวกมันติดตราของเมืองรีมินัสเอาไว้นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ? เธอพอจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือยังน่ะเอริกะ”
นากาที่ได้ยินคำพูดหยอกล้อของเอริกะได้พยักหน้ากลับไปให้เธอเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดถามถึงเรื่องอื่นขึ้นมาบ้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่พูดเปลี่ยนเรื่องออกมาจากเรื่องน่าปวดหัวที่เมืองแพนเทร่าเป็นผลสำเร็จแล้วแทบจะสะดุ้งไปและรีบพูดตัดบทออกมา
“เรื่องนั้นทางวังหลวงกำลังสืบกันให้วุ่นเลยล่ะว่าเป็นฝีมือของหน่วยไหนหรือว่าเป็นการสั่งการของใครกันแน่น่ะ เดี๋ยวเอาไว้อีกสักพักนึงฉันจะไปเล่าให้เธอฟังเองก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้พวกเรากลับไปหาโมโกะจังก่อนเถอะ อยู่กับอีฟจังสองคนแบบนั้นไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างแล้วนั่น”
“อื้ม… นั่นสินะ…”
นากาพูดตอบเอริกะกลับไปและเดินนำเธอออกไปจากห้องออฟฟิศ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้พบเข้ากับภาพของอีฟที่กำลังนั่งอยู่บนตักของโมโกะที่กำลังกอดและใช้มือลูบหัวของเด็กสาวอยู่ด้วยท่าทีเอ็นดูอีกทั้งยังอ้าปากรับคุกกี้ที่อีกฝ่ายคอยป้อนให้อยู่เรื่อยๆ เข้าจนทำให้นากาถึงกับนิ่งไปเพราะคาดไม่ถึง ในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นกลับชะโงกหน้าไปพูดแซวขึ้นมาอย่างไม่รอช้า
“โอ๊ะ— ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ไม่มีปัญหาสินะเนี่ย~”
“ก…ก็เมื่อกี้นี้เด็กคนนี้เขาทำท่าเหมือนกับว่าจะแบ่งคุกกี้ให้… ต–แต่อยู่ดีๆ เขาก็ขึ้นมานั่ง…”
“น่าๆ ไม่ต้องอายไปหรอกโมโกะจัง~ แค่เห็นเธอสดใสขึ้นมาบ้างแบบนี้ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ~”
“ก็ตามที่เอริกะพูดนั่นแหล่ะโมโกะ เธอไม่ต้องคิดมากหรอก แค่ได้เห็นเธอดีขึ้นมาบ้างแบบนี้พวกฉันก็ดีใจแล้ว”
เอริกะและนากาพูดตอบโมโกะที่กำลังหน้าแดงก่ำกลับไปและเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาของห้องนั่งเล่น โดยเอริกะได้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของโมโกะในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็เดินตรงไปนั่งที่ข้างๆ ของเด็กสาวหูแมวและยกมือขึ้นไปลูบหัวของเธออย่างแผ่วเบา
ส่วนทางด้านอีฟนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองมือของนากาที่กำลังลูบหัวของโมโกะอยู่ด้วยเปลือกตาที่ปิดสนิทของเธออยู่สักพักหนึ่งราวกับสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรกันก่อนที่เธอจะก้มหน้ากลับไปหยิบเอาคุกกี้ที่เหลือน้อยชิ้นเต็มทีขึ้นมากินต่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่สังเกตเห็นปริมาณคุกกี้ที่เหลือเพียงแค่ก้นไหอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“หว๋าย~ เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้นี่กินเก่งจริงนะเนี่ยเธอ”
“…..?”
“เอ้ย นี่เธอกินจนหมดเลยหรอเนี่ยอีฟ… โทษทีนะเอริกะ เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะซื้อมาคืนให้ก็แล้วกัน”
“แหม่~ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ฉันแค่เห็นแม่หนูนี่นั่งเคี้ยวแก้มตุ่ยแบบนี้แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้เท่านั้นเอง”
“….!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเอริกะ เธอก็ได้ยื่นมือไปดึงแก้มนิ่มๆ ของอีฟจนยืดจนทำให้โมโกะและนากาต้องรีบช่วยกันพูดห้ามปรามออกมา
“ก… แก้มอีฟเขาแดงหมดแล้วนะ…”
“ถ้าอีฟเขาร้องไห้ขึ้นมาเธอปลอบเองนะเอริกะ”
“อุ้ย—”
คำพูดเตือนของนากาได้ทำให้เอริกะต้องรีบปล่อยมือออกจากแก้มของอีฟในทันทีและรีบพูดหาเรื่องให้นาการ้อนรนขึ้นมาแทนบ้าง
“ว่าแต่เธอปล่อยให้อีฟจังเขาซัดคุกกี้ซะเต็มที่แบบนี้จะดีหรอนากาคุง เดี๋ยวเขาก็กินข้าวไม่ลงเอาหรอกนะ~”
“เออ… จริงด้วยสิ ท่าทางเหมือนว่าอีฟเขาจะยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่ นี่เธอปล่อยให้อีฟเขาทนหิวจนต้องรอให้ฉันมาเปิดไหคุกกี้ให้กินเลยหรือไงเนี่ย?”
“อ่ะๆ อันนี้โทษฉันไม่ได้นะ~ ก็ตอนแรกฉันกะว่าจะรอให้พวกเธอมาถึงก่อนแล้วก็ค่อยมากินข้าวกลางวันกันให้พร้อมหน้าแล้วแท้ๆ แต่ว่าพวกเธอเล่นมาช้ากันเองนี่~”
“…..!”
ในทันทีที่อีฟได้ยินคำว่าข้าวกลางวันนั้นเธอก็ได้ละความสนใจออกมาจากไหคุกกี้และยื่นมันไปให้นากาถือเอาไว้ก่อนจะกระโดดลงจากตักของโมโกะไปดึงแขนเสื้อของนากาด้วยท่าทางคาดหวังจนทำให้โมโกะที่เคยเป็นเบาะรองนั่งอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“ห…เหมือนว่าอีฟเขาจะยังหิวอยู่เลยนะ…”
“หะ—? ทั้งๆ ที่ยัดคุกกี้เข้าไปทั้งไหแล้วนั่นน่ะนะ?”
“เอาหน่าๆ ถ้าอีฟจังเขายังกินข้าวไหวก็ดีแล้วแหล่ะ เด็กๆ กินเยอะๆ ยิ่งโตไวนะนากาคุง~”
เอริกะที่เห็นนากาหลุดเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจแบบนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขบขันก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะต้องเหงื่อตกเล็กน้อยเมื่อนากาพูดเหมือนกับว่าจะเห็นด้วยออกมา
“อื้ม… นั่นสินะ”
“นี่ๆ คุณพ่อมือใหม่ ถึงฉันจะพูดอย่างงั้นก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเธอตามใจอีฟจังเขามากเกินไปเข้า ระวังหนูอีฟเขาจะโตขึ้นมาเสียนิสัยหมดนะ~”
“……..”
คำพูดของเอริกะที่ฟังดูเหมือนกับว่าจะไม่มีข้าวให้อีฟกินนั้นได้ทำให้เด็กสาวดูห่อเหี่ยวลงไปในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่ปากก็บอกว่าเกลียดพวกเด็กๆ แต่กลับใจดีด้วยผิดคาดต้องรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แต่จะว่าไปฉันเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนี่นะ ถ้ายังไงเดี๋ยวก่อนพวกเธอจะกลับกันก็มากินข้าวกับฉันก่อนก็แล้วกัน เอาล่ะโมโกะจังไปช่วยฉันทำอาหารในครัวหน่อยสิ~”
“อ…อื้อ… ได้สิ…”
โมโกะเอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ แล้วจึงเดินตามหลังอีกฝ่ายหายเข้าไปในห้องครัว ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เพราะว่าท่าทางของโมโกะนั้นดูสดใสขึ้นกว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่อยู่มากพอสมควร
แต่ว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ อีฟก็ได้ยกมือขึ้นมาโบกที่เบื้องหน้าของเขาเพื่อเรียกความสนใจ ก่อนที่เธอจะก้มลงไปจ้องมองไหคุกกี้ในมือของนากาและยื่นนิ้วเข้าไปในปากเหมือนกับที่เธอทำคราวที่แล้วที่พยายามจะขอให้นากาเปิดไหคุกกี้ให้
“ไม่ได้แล้ว เธอกินไปตั้งเยอะแล้วนะ”
“……..”
“ก็ได้ๆ แต่แค่ชิ้นเดียวนะ”
“….!”
“เอาล่ะ หลังจากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของเธอนะอีฟ อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาครอบครัวจริงๆ ของเธอเจอน่ะนะ…”
“….?”
หลังจากที่นากาและโมโกะทานข้าวเที่ยงกับเอริกะจนเสร็จแล้วพวกเขาก็ได้พาอีฟกลับไปที่คฤหาสน์และพูดแนะนำสถานที่ขึ้นมาให้เด็กสาวฟัง
แต่ถึงกระนั้นอีฟก็กลับละความสนใจจากพวกเขาไปและเดินตรงไปสำรวจข้าวของที่ถูกประดับไว้ในห้องโถงหลักด้วยท่าทีสนอกสนใจจนเป็นโอกาสให้โมโกะได้ใช้จังหวะนี้สะกิดนากาเพื่อพูดถามสิ่งที่เธอสงสัยอยู่ออกมา
“ต…แต่ถ้าอีฟมาอยู่กับพวกเราแบบนี้แล้วเรื่องเรียนจะเอายังไงล่ะ…? จะพาอีฟเขาไปโรงเรียนด้วยก็คงจะไม่ได้ไม่ใช่หรอ…?”
“เห็นเอริกะบอกว่าตอนไปโรงเรียนให้พาอีฟเขาไปฝากไว้กับคาร์เทียร์ที่ห้องพยาบาลก่อนก็ได้น่ะ”
“ต…แต่แบบนั้นมันก็ลำบากคาร์เทียร์เขาไม่ใช่หรอ…?”
“ถ้าไม่งั้นก็คงต้องพาไปฝากกับคุณแม่ฉันที่คลินิกของอารอนกันก่อนที่พวกเราจะไปโรงเรียนนั่นแหล่ะ ถึงจะต้องเดินอ้อมกันหน่อยแต่ก็น่าจะยังไปโรงเรียนทันอยู่ล่ะมั้ง”
นากาพูดตอบโมโกะกลับไปอย่างจนปัญญา พลางคิดหาแผนสำรองเผื่อในกรณีที่ทั้งคาร์เทียร์และคุณแม่นิลิมของเขาติดธุระพร้อมๆ กันขึ้นมา ซึ่งเขาเองก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทางเลือกอย่างเช่นอลิซที่เขาไม่อยากจะรบกวนสักเท่าไหร่นักเพราะอีกฝ่ายก็คงจะยุ่งกับการเตรียมสอนอีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บอยู่อีกด้วย หรือว่าเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะเอาแน่เอานอนในเรื่องการเลี้ยงดูเด็กแบบนี้ไม่ได้สักเท่าไหร่ ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธนั้นเขาแทบจะตัดทิ้งไปตั้งแต่ที่ชื่อของเธอผุดขึ้นมาในหัวซะด้วยซ้ำเพราะว่ายังไม่อยากให้อีฟโตไปเสียคน
“ถ้ายังไงจะพามาฝากไว้ที่ห้องพยาบาลตอนที่พวกพี่ๆ เรียนอยู่ก็ได้นะคะ เมื่อวานนี้พี่เอริกะเขามาคุยกับหนูเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วน่ะค่ะ แถมอาจารย์เอริเขาก็ทำเรื่องให้เรียบร้อยแล้วด้วย”
“อ่ะ—”
ในขณะที่นากากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของคาร์เทียร์ดังขึ้นมาจากทางด้านบนบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นสอง ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของคอนแนลร้องโวยวายดังมาตามโถงทางเดินชั้นหนึ่งและตามมาด้วยร่างของคอนแนลที่รีบวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
“นี่ทั้งสองคนออกไปไหนมากันครับเนี่ย! ผมเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรอครับว่าถ้ามีนัดอะไรที่ไหนก็ให้บอกกันก่อนน่ะครับ!”
“อ..อ่า โทษทีๆ พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปรับตัวอีฟเขาหลังจากที่นายออกไปเรียนแล้วน่ะ”
“ให้ตายสิ… แล้วอีฟนี่หมายถึงเด็กคนนั้นสินะครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินนากาเอ่ยปากพูดขอโทษออกมาได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ แต่ก็นับว่ายังดีที่นากาตัดสินใจพาโมโกะออกไปด้วยแบบนั้น เพราะไม่อย่างงั้นเขาคงจะทำใจเย็นไม่ลงแน่ๆ ถ้าเกิดว่านากาทิ้งให้โมโกะที่มีสภาพแบบที่เขาเห็นเมื่อเช้านี้อยู่บ้านด้วยตัวคนเดียว
ซึ่งนั่นก็ทำให้คอนแนลตัดสินใจหันไปมองทางด้านเด็กสาวผมสีขาวที่ยืนหลับตาเงยหน้ามองตะเกียงวิซอันหนึ่งอยู่ด้วยความสนอกสนใจ ทำให้นากาต้องเดินไปจูงมือเธอมาแนะนำตัวให้คอนแนลกับคาร์เทียร์รู้จัก
“อื้ม เหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่รอดชีวิตมาได้จากแถวๆ หมู่บ้านของฉันน่ะ… ฉันไปเจอเธอมาตรงจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของฉันมาก่อนก็เลยพากลับมาด้วย แล้วพอเอริกะเห็นว่าเด็กคนนี้พูดอะไรไม่ได้ก็เลยตั้งชื่อให้ว่าอีฟไปก่อนน่ะ”
“แล้วตอนที่คุณเอริกะบอกว่าไม่ถูกกับพวกเด็กๆ แล้วก็พยายามหาคนรับไปเลี้ยงอยู่นากาก็คงจะเผลอพูดอาสาไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองเอาไว้ก่อนสินะครับ”
“นายก็พูดเกินไปหน่อยมั้ง… เอ่อ… แต่เอาจริงๆ มันก็ตามที่นายว่ามานั่นแหล่ะ”
นากาที่ได้ยินคำพูดเชิงตำหนิของคอนแนลได้พยายามจะพูดแก้ตัวออกมาก่อนที่เขาจะต้องพูดยอมรับออกมาแต่โดยดี เพราะว่าในตอนนั้นมันก็เกือบๆ จะเป็นการตัดสินใจชั่ววูบจริงๆ ส่วนทางด้านคาร์เทียร์เองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เพราะว่าตัวเธอเองก็เคยสูญเสียทุกอย่างรอบตัวไปอย่างกะทันหันภายในคืนเดียวเช่นเดียวกัน
“แต่หนูว่าเรื่องนี้พี่นากาเขาทำได้ดีแล้วแหล่ะค่ะพี่คอนแนล… ถ้ายังไงตอนเข้าเรียนพี่นากาพาอีฟจังเขามาฝากไว้ที่ห้องพยาบาลได้เลยนะคะ เดี๋ยวหนูจะช่วยดูให้เอง”
“อ–อื้ม ขอบใจนะคาร์เทียร์… ว่าแต่แล้วไหงทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? นี่มันยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนเลยไม่ใช่หรอ?”
ท่าทีมุ่งมั่นเกินปกติเล็กน้อยของคาร์เทียร์ก็ได้ทำให้นากาแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามถึงสาเหตุที่ทั้งสองคนกลับบ้านเร็วก่อนกำหนดแบบนี้ขึ้นมา เพราะว่าตามปกติแล้วในเวลานี้มันน่าจะเป็นช่วงเวลาของกิจกรรมชมรมหรือไม่ก็การเรียนคาบพิเศษที่มีอาจารย์สักท่านขอเอาไว้
“ก็พวกผมเป็นห่วงพวกนายก็เลยไปขออนุญาตอาจารย์เอริกลับบ้านกันก่อนน่ะสิครับ! แล้วดูซิว่าพวกผมกลับมาเจออะไร บ้านว่างๆ ที่คนที่ควรจะอยู่บ้านดันหายออกไปข้างนอกแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ไงครับ”
“คือแบบว่าถ้ามีเหตุจำเป็นอะไรจริงๆ เราจะสามารถขอลายเซ็นจากอาจารย์สักสองสามท่านเพื่อขอออกนอกเขตโรงเรียนก่อนเวลาได้น่ะค่ะ”
ในขณะที่คอนเนลพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าเขายังโกรธที่นากาพาโมโกะออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าวอยู่นั้น ทางด้านคาร์เทียร์ก็ได้พูดอธิบายขึ้นมาให้พวกเขาได้ฟังจนทำให้คอนแนลเหมือนจะใจเย็นขึ้นมาได้บ้างและเดินเข้าไปลูบหัวอีฟที่กำลังอมนิ้วของตัวเองอยู่ไปมา
“เอาจริงๆ พวกเพื่อนๆ ในห้องก็อยากจะมาเยี่ยมโมโกะอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ว่าอาจารย์เอริเขาไม่อนุญาตเพราะคิดว่าจะกลับก่อนเป็นหมู่คณะแบบนั้นมันออกจะเกินไปสักหน่อยนึง แต่ถ้ายังไงทุกคนก็ไปนั่งพักกันข้างในห้องนั่งเล่นกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปทำอะไรมาให้กินกันก่อนก็แล้วกัน ผมเห็นนากายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงที่ผมทำเอาไว้ให้เลยนี่นา”
“อ่ะ—ถ้าเรื่องข้าวเที่ยงนั่น… เออ นั่นสินะ เอาเป็นว่าฝากด้วยแล้วกันนะคอนแนล”
นากาที่กำลังจะเอ่ยปากพูดว่าเขาไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านเอริกะมานั้นได้ชะงักไปกลางคันเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคราวก่อนที่เขาบอกคอนแนลไปว่าไปนอนค้างที่บ้านเอริกะมานั้นอัศวินหนุ่มเบื้องหน้ามีท่าทีดุดันขนาดไหน เขาจึงได้จูงมือของอีฟให้เดินไปทางห้องนั่งเล่นแทนอย่างรวดเร็ว
และในขณะที่โมโกะกำลังจะเดินตามหลังนากากับอีฟไปนั้น ทางด้านคาร์เทียร์ก็ได้เอ่ยปากเรียกโมโกะให้เดินตามเธอไปอีกทางหนึ่งแทน
“อ่ะ— พี่โมโกะตามหนูมาทางนี้หน่อยสิ เดี๋ยวหนูว่าจะตรวจอาการกับเปลี่ยนผ้าพันแผลให้สักหน่อยนึงน่ะค่ะ”
“อ…เอ่อ… อีกแล้วหรอ…”
โมโกะที่ถูกคาร์เทียร์ที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าเด็กปกติลากไปอีกทางหนึ่งได้หันมาทางนาการาวกับพยายามจะขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ว่าทางด้านนากาที่อยากจะให้โมโกะหายดีไวๆ ก็กลับตัดสินใจจะไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรและเดินจูงมืออีฟหายเข้าไปในห้องนั่งเล่นในทันที
“เดี๋ยวพวกฉันรออยู่ในห้องนั่งเล่นก็แล้วกันนะโมโกะ”
“งื้อ…”