บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 136 Leashed Collar
“ถ้างั้นฉันฝากเธอดูแลอีฟให้ด้วยก็แล้วกันนะคาร์เทียร์”
หลังจากที่นากาและโมโกะได้ใช้เวลาหยุดพักฟื้นไปอีกสองสามวันจนกระทั่งสัปดาห์ใหม่มาถึง โมโกะก็ได้ตัดสินใจที่จะไปโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงได้รีบออกจากคฤหาสน์กันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อที่จะได้พาทั้งโมโกะและอีฟหลบสายตาของนักเรียนคนอื่นๆ ไปยังห้องพยาบาลกัน
ซึ่งถึงแม้ว่าโมโกะจะยอมกลับมาเรียนต่อแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็ยังคงสวมใส่หมวกใบเล็กๆ เพื่อปิดบังหูแมวที่ขาดหายไปข้างหนึ่งของเธออีกทั้งบนใบหน้าของโมโกะเองก็ยังคงเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเพื่อปกปิดรอยแผลไฟไหม้ที่ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่จนกว่าจะหายดี
“เรื่องนั้นพวกพี่ไว้ใจหนูได้เลยค่ะ เรื่องดูแลพวกเด็กๆ แบบนี้น่ะงานถนัดของหนูเลย”
“จะว่าไปถ้าพูดถึงเรื่องเด็กๆ แล้วเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ? ตอนนี้คุณพยาบาลเขาหายตัวไปพร้อมกับอารอนด้วยนี่ แล้วแบบนี้ใครจะคอยดูแลให้ระหว่างที่เธอมาโรงเรียนนี่ล่ะ?”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็คุณนิลิมเขาบอกว่าจะช่วยดูแลให้ระหว่างที่พักอยู่ที่คลินิกน่ะค่ะ”
“คุณแม่จะดูแลให้งั้นหรอ… ถ้างั้นก็คงจะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงล่ะมั้ง”
“เอาจริงๆ คนที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้น่าจะเป็นพี่นากาไม่ก็พี่โมโกะมากกว่าล่ะมั้งคะ…”
หมับ
คาร์เทียร์พูดตอบนากากลับไปพร้อมกับยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของอีฟที่ทำท่าเหมือนกับว่าจะปีนขึ้นไปบนตู้เก็บยาเอาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับนากาต่อ
“เอาจริงๆ เมื่อวันก่อนที่หนูไปหาพร้อมกับพี่คอนแนลแล้วไม่เจอทั้งสองคนอยู่บ้านนี่หนูตกใจแทบแย่เลยนะคะ นึกว่าจะแอบหนีหายไปไหนกันแล้วซะอีก”
“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะ…”
“ว…ว่าแต่เธอคนเดียวจะดูแลไหวหรอ… ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ว่าอีฟเขาซนมากเลยนะ…”
นากาและโมโกะที่ถูกคาร์เทียร์พูดแขวะขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ นั้นถึงกับเหงื่อตกเล็กน้อย ก่อนที่โมโกะจะพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดคุยขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านคาร์เทียร์ก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่และดึงตัวอีฟมานั่งบนตักของเธอจนดูราวกับว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกัน
“เรียกว่ามีอีฟจังมาอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้น่าจะดีกว่าซะด้วยซ้ำล่ะมั้งคะ เพราะพี่อารอนเล่นหายตัวไปแบบนี้แล้วนี่นา…”
“นั่นสินะ… ถ้างั้นฉันฝากอีฟไว้กับเธอด้วยนะ แล้วเดี๋ยวตอนกลางวันฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอเองก็แล้วกัน”
“ถึงจะเป็นไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่นากาอยากจะเลี้ยงจริงๆ หนูก็ไม่ขัดหรอกนะคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้ตอนพักเที่ยงค่อยเจอกันก็ละกันนะ อีฟ คาร์เทียร์”
“ค่ะ โชคดีนะคะพี่นากา”
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายบอกลากันเสร็จแล้ว นากาก็ได้เดินพาโมโกะตรงออกจากห้องพยาบาลไป ส่วนทางด้านคาร์เทียร์ก็ได้จับมือข้างหนึ่งของอีฟขึ้นมาโบกไปมาไล่หลังของนากาและโมโกะไป
“…….?”
ซึ่งการกระทำของคาร์เทียร์นั้นก็ได้ทำให้อีฟที่นั่งอยู่บนตักของเธอเอียงคอหันหน้ามาทางเธอราวกับกำลังสงสัยว่าพี่สาวคนใหม่ของเธอคนนี้จับมือของเธอขึ้นมาโบกเล่นทำไม จนทำให้คาร์เทียร์ที่พอจะเข้าใจสิ่งที่อีฟต้องการจะสื่อได้เอ่ยปากพูดอธิบายออกมา
“เวลาจะทักทายหรือว่าบอกลาโดยไม่ใช้คำพูดน่ะ ให้ยกมือขึ้นมาโบกให้เขาแบบนี้น่ะเข้าใจมั้ยอีฟจัง”
“……!”
อีฟที่ได้ยินคำพูดอธิบายของคาร์เทียร์ได้พยักหน้าถี่ๆ กลับมาให้เธอและยกมือขึ้นมาโบกไปมาไล่หลังนากากับโมโกะไปถึงแม้ว่าเขาจะหายไปจากห้องพยาบาลได้สักพักหนึ่งแล้วก็ตาม
ครืดดดดดด
หลังจากที่นากาและโมโกะแยกออกมาจากอีฟและคาร์เทียร์แล้ว พวกเขาก็ได้เดินตรงไปยังห้องเรียนของพวกเขาที่อยู่บนชั้นสามและเปิดประตูออกเพื่อก้าวเดินเข้าไปภายใน
และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้พบว่าภายในห้องเรียนในช่วงเวลาเช้าตรู่แบบนี้มีเพียงแค่คอนแนลที่เดินทางมาโรงเรียนพร้อมๆ กับพวกเขาแต่แยกตัวออกมาก่อนกับอลิซที่พักนี้พวกเขาไม่ค่อยจะได้พบหน้ากันอยู่กันเพียงแค่สองคน
“อ่ะ พาตัวอีฟเขาไปฝากกับคาร์เทียร์เสร็จแล้วหรอครับนากา”
“อื้ม ว่าแต่อาการเธอเป็นยังไงบ้างน่ะอลิซ? เห็นตอนนั้นเธอก็โดนไปหนักเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
“ก็อย่างที่เห็น… แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไรขนาดนั้นหรอกหน่า มีอาเขาก็แค่จับมาพันผ้าพันแผลให้คนอื่นเห็นแล้วรู้ว่าเป็นคนเจ็บก็แค่นั้นแหล่ะ คงจะหวังให้คนอื่นช่วยห้ามเวลาฉันจะลงมือทำอะไรล่ะมั้ง”
อลิซพูดตอบนากากลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นักจนทำให้นากาได้แต่ส่ายหน้าไปมากับท่าทีอารมณ์เสียตลอดเวลาของเด็กสาว
“หน่าๆ ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ… ว่าแต่นี่ยังไม่ได้จะใกล้เวลาเข้าเรียนเลยไม่ใช่หรอ ไหงเธอถึงมารออยู่นี่แล้วล่ะ?”
“จะมีอะไรได้อีกล่ะนอกจากมาทำงานน่ะ? คิดว่าหลังจากที่มีอายอมปล่อยตัวฉันออกมาแล้วฉันหายไปไหนกันล่ะ ก็เจอกองเอกสารท่วมหัวจนไม่มีเวลากระดิกตัวอยู่ในห้องพักครูจนไม่ได้กลับบ้านนั่นไง…”
“ล…ลำบากหน่อยนะคะ…”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
คำพูดที่ฟังดูสุภาพของโมโกะที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนได้ทำให้อลิซถอนหายใจออกมาก่อนที่เธอจะดึงตัวเด็กสาวหูแมวเข้ามาใกล้ๆ และเอื้อมมือขึ้นไปลูบหัวของอีกฝ่ายไปมา ก่อนที่ทันใดนั้นจะมีเสียงของรีซาน่าดังลั่นขึ้นมาจากทางประตูห้อง
“อ่ะ—โมโกะจังกับนากาคุง!!”
“——!?”
เสียงร้องเรียกของรีซาน่านั้นได้ทำให้โมโกะที่สนิทกับรีซาน่าประมาณหนึ่งสะดุ้งตกใจและรีบพุ่งไปหลบทางด้านหลังของอลิซในทันที และนั่นก็ทำให้นากาได้ตัดสินใจที่จะออกไปรับหน้ารีซาน่าแทนให้ก่อน
“อ่าว… รีซาน่าไม่ใช่หรอนั่น ว่าไง…”
“ว่างงว่าไงอะไรกันล่ะคะนั่น!! ทั้งสองคนเป็นยังไงกันบ้างคะเนี่ย!? เมื่อวันก่อนพวกฉันกะจะไปเยี่ยมกันแท้ๆ แต่ว่าดันโดนอาจารย์อลิซกับคอนแนลคุงเขาห้ามเอาไว้ก็เลยไม่ได้ไปกันสักคนเลยน่ะค่ะ”
“ก็เล่นจะแห่กันไปทั้งห้องแบบนั้นมันรบกวนคนอื่นเขาไม่ใช่หรือไง”
คำพูดเชิงตำหนิของรีซาน่าได้ทำให้อลิซเหลือบสายตาดุๆ ของเธอไปจ้องมองเด็กสาวพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านรีซาน่าก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยและพูดเถียงกลับไปในทันที
“ก็เพราะว่าอาจารย์อลิซเอาแต่พูดแบบนั้นนั่นแหล่ะค่ะทุกคนถึงไม่ได้ไปเยี่ยมทั้งสองคนสักทีน่ะ! แต่เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนเถอะค่ะ โมโกะจังผ้าพันแผลเยอะขนาดนี้ทำไมไม่ไปพักที่ห้องพยาบาลก่อนล่ะคะ!?”
“ก…ก็มันไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว… คิดว่านะ…”
โมโกะที่เห็นว่ารีซาน่าไม่ได้มีท่าทีว่าจะรังเกียจบาดแผลของเธอได้พยายามที่จะรวบรวมความกล้าที่จะพูดตอบกลับไป และนั่นก็ทำให้อลิซตัดสินใจที่จะปล่อยตัวโมโกะไปก่อนและหันไปทางด้านคอนแนลแทน ทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นจำเป็นต้องพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง
“เวลารีซาน่าเขาเป็นห่วงใครมันก็ราวๆ นั้นนั่นแหล่ะครับ ผมต้องขอโทษแทนรีซาน่าเขาด้วยนะครับอาจารย์อลิซ”
“เฮ้อ… ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้ถือสาอะไรเรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ ยังไงมีเพื่อนที่เป็นห่วงกันแบบนี้มันก็ดีกว่าไม่มีใครสนใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ฮะฮะ นั่นสินะครับ”
“………”
ในขณะที่คอนแนลกำลังพูดตอบอลิซกลับไปอยู่นั้น ทางด้านอลิซก็กลับก้มหน้าลงมองดูฝ่ามือของตัวเองที่เธอกำลังกำๆ แบๆ มันสลับไปมาอยู่ และนั่นก็ทำให้คอนแนลอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมา
“มือเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะครับ?”
“เปล่า… ไม่มีอะไร แค่ว่าหลังจากกลับมาจากที่หมู่บ้านแล้วรู้สึกว่าร่างกายมันหน่วงๆ นิดหน่อยน่ะ… น่าจะเป็นเพราะว่าแค่เหนื่อยเฉยๆ นั่นแหล่ะ”
“งั้นหรอครับ… แต่ถ้ายังไงอาจารย์อลิซก็อย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะครับ ผมรู้นะครับว่าตอนที่อาจารย์อลิซบอกว่าจะไปพักนั่นน่ะที่จริงแล้วก็แอบไปทำงานที่คุณเอริกะมอบหมายให้จนแทบไม่ได้พักเลยไม่ใช่หรือไงกันครับ”
“พูดมากหน่า…”
อลิซพูดตอบคอนแนลกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่ว่าก่อนที่คอนแนลจะได้พูดตอบกลับไปนั้นอยู่ๆ ประตูห้องก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกอย่างแรงพร้อมๆ กับที่มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
ครืดดดดดดดด
“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยสินะครับอาจารย์อลิซ! ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยหยุดพยายามสลัดผมทิ้งได้แล้วนะครับ!!”
“ให้ตายสิ…”
เสียงของชายคนหนึ่งที่ดังขึ้นมานั้นได้ทำให้น้ำเสียงของอลิซฟังดูเหนื่อยใจไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ในขณะที่ทางด้านคอนแนลนั้นกลับต้องรีบหันไปมองทางด้านต้นเสียงด้วยความตกใจ เพราะว่ามันเป็นเสียงของคนที่เขารู้จักดีนั่นเอง
“ท—ท่านพี่!?”
“อ้าว คอนแนล… เออแหะ นายก็เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกันนี่เนอะ ว่าแต่ไหงนายถึงมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์อลิซเขาได้ล่ะเนี่ย?”
ชายหนุ่มเจ้าของเสียงที่มีเส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้าในชุดอัศวินเต็มยศแต่กลับสวมใส่หน้ากากผ้าปิดบังบริเวณครึ่งล่างของใบหน้าแทนหมวกเกราะอัศวินนั้นได้เอ่ยปากพูดถามคอนแนลผู้ที่เป็นน้องชายของเขาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องขึ้นเสียงพูดตอบเขากลับไปในทันที
“ก็ที่นี่มันห้องเรียนของผมนี่! ท่านพี่ต่างหากล่ะครับที่มาทำอะไรที่นี่กันแน่นะ!? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะบ่นไปว่างานของพวกอัศวินขั้นสูงมันยุ่งจนหัวปั่นไม่มีเวลาได้กระดิกตัวหรอกหรือไงกันครับ!?”
“…….”
คำพูดของคอนแนลที่เรียกอัศวินเบื้องหน้าว่าท่านพี่นั้นได้ทำให้อลิซต้องหันกลับมาให้ความสนใจในตัวชายหนุ่มที่เธอเพิ่งจะแอบสลัดเขาทิ้งไปเมื่อเช้าด้วยความแปลกใจ และเมื่อเธอสังเกตดูดีๆ แล้วเธอก็ได้พบว่านอกจากที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าจะมีเส้นผมสีทองเหมือนกันกับคอนแนลแล้วใบหน้าของทั้งสองคนยังละม้ายคล้ายกันอีกด้วย
“…สรุปว่าหมอนี่เป็นคนรู้จักของนายหรอคอนแนล?”
“ไม่ใช่แค่รู้จักหรอกครับ นั่นน่ะพี่ชายแท้ๆ ของผมเลยนะครับนั่น”
“หืม… นี่นายมีพี่น้องกับเขาด้วยหรอเนี่ย…?”
“เอาจริงๆ นอกจากท่านพี่ที่เรียนจบไปแล้ว ก็ยังมีน้องสาวของผมที่ยังเรียนอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันนะครับ แต่ว่าพวกเราหาเวลาว่างที่ตรงกันไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่ ผมก็เลยยังไม่มีโอกาสได้พามาแนะนำตัวน่ะครับ”
ในขณะที่คอนแนลกับอลิซกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทางด้านพี่ชายของคอนแนลก็ได้ยื่นหน้าเข้ามาพร้อมกับเอ่ยปากพูดแนะนำตัวขึ้นมาให้อลิซที่ในที่สุดเขาก็ตามหาตัวเธอเจอสักที
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอผมพูดแนะนำตัวเลยก็แล้วกันนะครับ ผม เอเว่น แรดคริฟ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าคอนแนลนี่เองครับ”
ในขณะที่เอเว่นกำลังเอ่ยปากพูดแนะนำตัวออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านอัลเบิร์ตและเซซิลเองก็ได้เปิดประตูเข้ามาภายในก่อนที่พวกเขาจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบเข้ากับเอเว่นที่ยืนอยู่ภายใน และนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตตัดสินใจที่จะเดินนำเซซิลเข้าไปพูดสอบถามอาการของโมโกะและนากาที่ถูกรีซาน่าเกาะติดอยู่แทนโดยทำเป็นไม่เห็นพ่อหนุ่มอัศวินคนนั้น
ส่วนทางด้านอลิซที่ได้ยินคำพูดแนะนำตัวของเอเว่นไปแล้วก็ได้หันไปทางด้านคอนแนลโดยไม่มีท่าทีว่าจะให้ความสนใจในตัวเอเว่นเลยแม้แต่น้อยแล้วพร้อมกับเอ่ยปากพูดกับคอนแนลขึ้นมา
“โอ้… ถ้างั้นฝากนายช่วยไปบอกพี่ของนายให้เลิกตามฉันไปทั่วสักทีจะได้หรือเปล่าล่ะคอนแนล บอกตรงๆ เลยนะว่าฉันรำคาญน่ะ…”
“เรื่องนั้นต่อให้เจ้าคอนแนลมาขอร้องผม ผมก็คงจะทำให้ไม่ได้หรอกนะครับอาจารย์อลิซ เพราะว่าหน้าที่มันต้องเป็นหน้าที่น่ะครับ”
“ชิ…”
ในขณะที่อลิซกำลังเอ่ยปากพูดกับคอนแนลอยู่นั้นเอง ทางด้านเอเว่นที่ถึงแม้ว่าจะเห็นอลิซทำเป็นเมินเขาไปอย่างสิ้นเชิงก็กลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงระรื่นราวกับว่าเขาไม่ถือสาการกระทำของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยจนทำให้อลิซถึงกับต้องเดาะลิ้นออกมาด้วยความหงุดหงิด
ส่วนทางด้านคอนแนลที่ได้ยินคำพูดของเอเว่นด้วยเช่นกันก็กลับต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไป
“นี่ท่านพี่ได้รับคำสั่งอะไรมาถึงต้องมาตามอาจารย์อลิซกันครับเนี่ย? ภารกิจคุ้มกันหรอครับ?”
“จะว่าคุ้มกันมันก็ใช่ล่ะมั้ง แต่ว่าเป็นการคุ้มกันทรัพย์สินและประชาชนของเมืองรีมินัสไม่ให้โดนอาจารย์อลิซเอาไปใช้งานตามใจชอบจนเสียหายอีกน่ะ เพราะเห็นบอกว่าเมื่อวันก่อนอาจารย์อลิซเพิ่งจะขโมยรถขนคนที่ทางวังหลวงมอบให้กับทางโรงเรียนไปใช้โดยพลการจนมีคนเสียชีวิตไปน่ะสิ”
“หา…? เบื้องบนเขาสั่งลงมาอย่างงั้นจริงๆ หรอครับนั่น?”
“ใช่แล้ว แล้วยิ่งอาจารย์อลิซทำท่าทางเหมือนกับว่าจะพยายามหลบการจับตาดูแบบนี้แล้วพี่ก็คงจะต้องเข้มงวดกว่าเดิมแล้วล่ะ เพราะพี่คงจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบเมื่อวันก่อนเกิดขึ้นในโรงเรียนเก่าของพี่แบบนี้อีกไม่ได้หรอก!”
“ย—อย่างงั้นเองหรอครับ…”
คำพูดของเอเว่นนั้นถึงกับทำให้คอนแนลเหงื่อตก เพราะว่าสำหรับเขาที่อยู่วงในจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรู้ดีว่าเรื่องจริงมันไม่ใช่แบบที่ท่านพี่ของเขาพูดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นกังวลอันดับแรกก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า อลิซที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขาจะชักดาบออกมาจ้วงคนที่พูดจาไม่เข้าหูของเธอหรือไม่
แต่ถึงอย่างงั้นความกังวลของเขาก็ท่าทางว่าจะสูญเปล่า เมื่ออลิซได้ถอนหายใจและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความใจเย็นกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ถึงแม้ว่าตัวคำพูดของเธอจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ก็ตาม
“เฮ้อ… ความเป็นส่วนตัวน่ะรู้จักบ้างมั้ยคุณพี่ชาย… แต่เอาจริงๆ ก็คงจะหวังเรื่องอะไรแบบนั้นจากทางวังหลวงไม่ได้อยู่แล้วล่ะนะ… ก็เพราะว่าในนั้นมันมีแต่พวกที่ชอบสอดจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นโดยที่ตัวเองแทบจะไม่ได้ทำอะไรให้มันมีประโยชน์เลยนี่นา”
“เหวอ— อ–อาจารย์อลิซ—!?”
คำพูดด้วยน้ำเสียงแดกดันของอลิซนั้นถึงกับทำให้คอนแนลสะดุ้งไปและพยายามที่จะพูดห้ามปรามออกมา
แต่ถึงอย่างนั้น ทางด้านเอเว่นก็กลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองกับคำพูดของอลิซเลยแม้แต่น้อยและพูดตอบกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ
“ผมเข้าใจนะครับว่าอาจารย์อลิซคงจะกำลังโมโหเรื่องที่เมื่อตอนนั้นทางวังหลวงไม่ยอมส่งคนออกไปช่วยหมู่บ้านต่างๆ น่ะครับ เพราะงั้นเรื่องที่อาจารย์พูดเมื่อสักครู่นี้ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ แต่ผมเองก็อยากจะให้อาจารย์อลิซเข้าใจด้วยนะครับว่าที่ทางวังหลวงไม่ยอมส่งคนออกไปนั่นมันเป็นเพราะว่าในตอนนั้นทางเมืองยังไม่มีข้อมูลของกลุ่มคนที่มาบุกโจมตีเลย เพราะงั้นการแบ่งกำลังคนออกไปมันอาจจะทำให้พวกเราไม่สามารถรักษาประตูเมืองเอาไว้ได้ก็ได้นะครับ”
“ฉันขอเดาว่านั่นมันเป็นสิ่งที่พวกเขาบอกให้นายฟัง แล้วนายก็เอามาพูดให้ฉันฟังอีกทีนึงแบบตรงเป๊ะๆ ทุกตัวอักษรเลยงั้นสินะ…? ถ้าเกิดว่ามันเป็นอย่างงั้นจริงๆ งั้นก็ช่างมันเถอะ…”
อลิซที่เห็นว่าอัศวินหนุ่มพูดตอบกลับมาด้วยสีหน้ามั่นใจแบบนั้นถึงกับต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะดูแล้วท่าทางว่าเอเว่นจะมีความเชื่อมั่นและซื่อสัตย์กับทางวังหลวงมากไม่เหมือนกับน้องชายของเขา
ซึ่งคำพูดของอลิซนั้นก็ได้ทำให้เอเว่นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามกลับมา
“อาจารย์อลิซพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงงั้นหรอครับ?”
“เปล๊า~ เอาเป็นว่าเดี๋ยวไว้พอถึงเวลาแล้วนายก็จะได้รู้เองนั่นแหล่ะ แล้วพอได้รู้แล้วหลังจากนั้นนายจะเลือกเชื่ออะไรมันก็เรื่องของนายก็แล้วกัน เพราะยังไงนายก็ไม่ใช่นักเรียนที่ฉันต้องคอยสั่งสอนอยู่แล้วนี่”
“อ—อาจารย์อลิซไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ…”
ในขณะที่อลิซและเอเว่นกำลังจ้องมองกันด้วยแววตาเอาเรื่องอยู่นั้นเอง ทางด้านคอนแนลก็ได้พยายามที่จะพูดห้ามปรามทั้งสองคนออกมา และนั่นก็ทำให้อลิซยักไหล่ด้วยท่าทีไม่แยแสก่อนจะพูดเตือนเอเว่นขึ้นมา
“แล้วก็เจ้าหน้ากากผ้านั่นน่ะมันผิดกฎของโรงเรียนนะรู้มั้ย ถ้าเป็นอัศวินจริงๆ งั้นก็หัดทำตามกฎให้มันเคร่งครัดหน่อย”
“อ—เอ๋ะ? จริงหรอครับ?”
“คือมันมีกฎที่ว่าห้ามพวกอาจารย์หรือว่าผู้ปกครองที่มาเยี่ยมชมสวมใส่อะไรปิดบังใบหน้าจนดูน่าสงสัยเกินไปอยู่น่ะครับท่านพี่… ต—แต่ว่าเรื่องนี้ท่านพี่เขามีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องใส่มันอยู่นะครับอาจารย์อลิซ!”
“หืม? ถ้ามีเหตุผลงั้นก็ลองว่ามาสิ”
ถึงแม้ว่าในตอนแรกอลิซแค่พูดเรื่องหน้ากากผ้าของเอเว่นขึ้นมามันเป็นเพราะว่าเธอแค่หมั่นไส้ชายหนุ่มเพียงเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเธอได้เห็นท่าทางทำตัวไม่ถูกของเอเว่นและท่าทีร้อนรนของคอนแนลแล้วเธอก็กลับต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยและเอ่ยปากถามขึ้นมา และนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องเหลือบกลับไปมองท่านพี่ของเขาเล็กน้อยและเดินเข้าไปกระซิบถึงเหตุผลให้อลิซฟัง
“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะครับ……..”
“………”
คำพูดของกระซิบกระซาบเบาๆ ของคอนแนลได้ทำให้อลิซเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้งหนึ่งและหันไปมองทางด้านเอเว่นที่กำลังอยู่ลุ้นกับฝีมือการเจรจาของน้องชายของเขาด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“อื้ม… ถ้าเป็นเหตุผลนั้นมันก็พอจะอนุโลมได้อยู่แหล่ะ…”
“จริงหรอครับ!?”
“แต่ก็แค่ในกรณีที่หมอนั่นเป็นนักเรียนของทางโรงเรียนล่ะนะ ใช่มั้ยล่ะคะอาจารย์เทีย”
ในขณะที่เอเว่นและคอนแนลกำลังหลงดีใจไปกับคำพูดของอลิซอยู่นั้น ทางด้านอลิซก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เป็นทางการพร้อมกับเอ่ยปากขอเสียงสนับสนุนจากอาจารย์เทียที่โผล่มายืนอยู่ที่ด้านหลังของเอเว่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบจนทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหันไปมองทางด้านหลังด้วยความตกใจ
“เอ๋ะ—”
ฟุ๊บ—
“ด–เดี๋ยว—”
แต่แล้วก่อนที่เอเว่นหรือว่าคอนแนลจะได้พูดอะไรออกมา อาจารย์เทียที่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยสายตาดุๆ ผิดกับท่าทีขาดความมั่นใจเหมือนกับทุกทีของเธอก็ได้ยื่นมือออกไปดึงหน้ากากผ้าที่ปิดบังใบหน้าของเอเว่นออกอย่างรวดเร็ว
และนั่นก็ทำให้ใบหน้าครึ่งล่างของเอเว่นที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นอัดแน่นถูกเผยออกมาให้ทุกคนเห็นจนทุกคนถึงกับชะงักไป