บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 149 Intervenor
หลังจากที่ไดเอน่าพามายะออกมาจากห้องพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้ค่อยๆ เดินประคองมายะขึ้นบันไดของตึกเรียนไปพลางเริ่มต้นที่จะคิดตามสืบเรื่องของเคนซากิอย่างจริงๆ จังๆ จนในที่สุดเธอก็เดินพามายะเดินมาจนถึงห้องเรียนที่สามของมายะโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ถึงห้องเรียนแล้วนะจ๊ะมายะ”
“ป..ประตูหลัง…”
มายะที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่านั้นได้พูดตอบเพื่อนสาวของเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงฟังดูมึนๆ อยู่เล็กน้อย ซึ่งทางด้านไดเอน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็พอจะเข้าใจได้ว่ามายะอยากจะให้เธอพาไปส่งที่ประตูหลังของห้องเรียนเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเดินผ่านเคนซากิที่มีที่นั่งอยู่ในบริเวณแถวหน้าของห้องนั่นเอง
ซึ่งไดเอน่าก็ได้ส่งตัวมายะเข้าห้องเรียนที่สามไปพลางฉวยโอกาสนี้แอบมองดูท่าทีของเคนซากิที่มานั่งรออยู่ในห้องเรียนตั้งแต่เช้าดั่งเช่นนักเรียนคนอื่นๆ ไปด้วยว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอะไรกับการปรากฏตัวของมายะหรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่พบว่าเคนซากิจะมีท่าทีอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อยนอกจากการชำเลืองมามองดูผู้มาเยือนตามประสาคนทั่วไปเวลาที่มีใครเปิดประตูห้องเข้ามาก่อนที่เขาจะหันกลับไปคุยกับเด็กนักเรียนหญิงจากห้องเรียนอื่นสองสามคนที่มามุงกันอยู่ที่โต๊ะเรียนของเขาโดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจอะไรมายะเป็นพิเศษ
และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าได้แต่รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่การแสดงของเคนซากิที่ทำเป็นว่าไม่สนใจมายะเนื่องจากเขาเห็นเธออยู่ตรงนี้หรือเปล่า จนทำให้เธอตัดสินใจที่จะลองแอบลอบตามสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เคนซากิทำภายในวันนี้ขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาไหนของวันเธอก็กลับไม่พบว่าเขาจะมีท่าทีว่าจะละความสนใจออกมาจากเหล่าเด็กนักเรียนหญิงมากหน้าหลายตาที่มาห้อมล้อมเขาเพื่อแอบจ้องมองมายะอย่างที่เขาควรจะทำอันเป็นสาเหตุที่ทำให้มายะมีท่าทีวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย
“ถึงจะดูเหมือนเป็นเสือผู้หญิงแต่ก็ดูแล้วไม่เห็นจะทำอะไรน่าสงสัยเลยแฮะ… วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีมั้ยเนี่ย…”
ไดเอน่าที่แอบตามเคนซากิออกมาถึงภายนอกโรงเรียนในช่วงเวลายามเย็นนั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเธอเห็นว่าเคนซากิได้เข้าไปต่อรองราคาผลไม้ที่ร้านค้าแผงลอยร้านหนึ่งอยู่
“หืม…?”
แต่ว่าทันใดนั้นเองไดเอน่าก็ต้องชะงักไปด้วยความแปลกใจเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเคนซากิที่อุ้มถุงกระดาษบรรจุผลไม้จำนวนหนึ่งได้เดินไปหยุดอยู่ที่แถวๆ ตรอกเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างและกวาดตามองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีระแวดระวังก่อนที่เขาจะเดินหายเข้าไปภายใน และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าไม่รอช้าที่จะแอบเดินตามเข้าไปในทันที
“เอ๊ะ— ทางตันงั้นหรอ…”
ไดเอน่าที่เดินเข้าไปในตรอกเปลี่ยวมืดๆ ที่ถูกทิ้งร้างนั้นได้ชะงักไปเมื่อเธอเดินลึกเข้าไปได้ประมาณหนึ่งและได้พบเข้ากับเศษซากเครื่องเรือนจำนวนมากที่ดูเหมือนว่าจะถูกพวกชาวเมืองแอบนำมาทิ้งทับถมกันเอาไว้มาเป็นเวลานานจนไม่สามารถเดินลึกเข้าไปต่อได้
ซึ่งไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่หรี่ตามองซ้ายมองขวาเพื่อมองหาตัวเคนซากิที่เธอเห็นกับตาว่าเขาเดินเข้ามาในซอยเปลี่ยวแห่งนี้ก่อนด้วยท่าทีมีพิรุธก่อนจะหายตัวไป
และในขณะที่ไดเอน่ากำลังมองซ้ายมองขวาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฟังดูคุ้นหูแต่กลับมีน้ำเสียงเย็นชาแตกต่างจากน้ำเสียงปกติที่เธอจำได้ดังขึ้นมาจากทางเบื้องหลัง
“อื้ม… เป็นเธอจริงๆ ด้วยสินะ…”
“—!?”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังนั้นได้ทำให้ไดเอน่าต้องรีบหันกลับไปมองในทันที และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับเคนซากิ เด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายในการติดตามของเธอที่กำลังปัดมือไปมาไล่เศษฝุ่นที่เปื้อนมือของเขาอยู่ในตอนที่เขากระโดดขึ้นไปเกาะอยู่กับกำแพงอิฐเบื้องบนเพื่อล่อให้คนที่กำลังแอบตามเขาอยู่เข้ามาติดกับในซอยตันแห่งนี้นั่นเอง
ซึ่งสีหน้าที่ดูเย็นชาของเคนซากิแตกต่างจากท่าทีเป็นมิตรกับสาวๆ ทุกคนที่เข้าหาตามปกติเวลาที่เขาอยู่ในเขตรั้วโรงเรียนนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าต้องขมวดคิ้วมองดูเขาด้วยท่าทีระแวดระวัง ในขณะที่ทางด้านเคนซากิที่เห็นว่าไดเอน่ายังคงปิดปากเงียบนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าคุณประธานนักเรียนมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ…?”
ในขณะที่เคนซากิกำลังเอ่ยปากพูดสอบถามไดเอน่าขึ้นมาอยู่นั้น เท้าของเขาก็ค่อยๆ ก้าวเข้าหาไดเอน่าที่ติดอยู่ในซอยตันจนไม่มีที่ให้ถอยอย่างช้าๆ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายออกมาเมื่อพบว่าคุณประธานนักเรียนชื่อดังแห่งโรงเรียนรีมินัสเบื้องหน้ากำลังจนมุมไม่มีทางหนีไปไหนได้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เพราะถ้าเกิดว่าคุณมีอะไรจะพูดก็รีบพูดออกมาซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่านะครับ… ก่อนที่มันจะสายเกินไปน่ะ”
“—!?”
“นี่ตกลงว่าเดรคเขายอมไปส่งพวกนากาที่หมู่บ้านนั่นแบบไม่อิดออดเลยหรอมีอา? ตอนแรกฉันก็นึกว่าจะต้องไปขอร้องด้วยตัวเองแล้วซะอีกนะเนี่ย”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไดเอน่ากำลังเผชิญหน้ากับเคนซากิอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่นั้นเอง ที่หน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ได้มีเสียงของเอริกะพูดพึมพำเข้าใส่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กของเธอโดยแกล้งทำท่าทางเหมือนกับว่าเธอกำลังจดโน๊ตใช้ความคิดจนเผลอหลุดปากพึมพำออกมาตามประสานักใช้สมองทั่วไป
ซึ่งหลังจากที่สิ้นเสียงของเอริกะแล้วก็ได้มีเสียงพูดตอบกลับดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่เธอสวมใส่เอาไว้ในหู โดยเสียงที่ดังออกมานั้นก็คือเสียงของมีอาที่ขึ้นรถไปกับพวกนากาด้วยนั่นเอง
“ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันแหล่ะค่ะเพราะถึงจะเห็นเดรคเขาไม่ชอบใจแบบนั้นแต่เขาก็ยังยอมขับรถให้แบบไม่พูดบ่นอะไรเลยนะคะ… ว่าแต่เดี๋ยวหลังจากที่พวกฉันไปส่งพวกนากาเสร็จแล้วจะให้ฉันไปรับของจากทีเอร่าที่แพนเทร่าต่อตามแผนเดิมเลยหรือเปล่าคะ?”
“อื้ม ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉินอะไรทางฝั่งกลุ่มที่หนึ่งของพวกเธอก็ทำตามแผนการเดิมได้เลย”
“เฮ้อ… ถ้าเป็นกลุ่มของพวกนากาเขานี่คงจะไม่ต้องออกมาทำภารกิจซ้อนกันแบบนี้หรอกสินะคะ เผลอๆ จะโดนยกเลิกภารกิจที่สองแล้วให้กลับเมืองทันทีซะอีก…”
“แหม่~ ก็ใครใช้ให้พวกเธอไว้ใจได้ซะขนาดนี้กันล่ะ อย่างเดรคน่ะถึงจะชอบทำตามใจตัวเองไปหน่อยแต่ก็ไว้วางใจได้ว่าจะไม่ทำอะไรล่มแน่ๆ อยู่แล้ว ส่วนพวกกลุ่มที่สองอย่างพวกนากาคุงเขานั่นน่ะยังไม่ได้ฝึกอะไรจริงๆ จังๆ สักอย่างก็ต้องออกไปทำภารกิจกันตั้งสองสามรอบแล้ว ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วพวกเขาลำบากกว่าสมัยแรกๆ ของพวกเธออีกนะ~”
เอริกะพูดตอบมีอากลับไปพลางขีดเขียนรูปวาดเล่นลงไปในสมุดปกหนังเก่าๆ ของเธอเพื่อไม่ให้ดูเป็นที่ผิดสังเกตอะไรมากนักก่อนจะพูดย้ำเตือนมีอาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอได้รูปแมวเหมียวขนฟูยืนสองขามารูปหนึ่งแล้ว
“แล้วที่สำคัญภารกิจนี้น่ะจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดฉันก็เลยต้องส่งเธอกับเดรคไปยังไงล่ะ จำไว้ล่ะว่าต้องแอบรับของมาจากทีเอร่าจังกับอุปกรณ์ที่ฉันสั่งทำจากที่นั่นให้ได้โดยไม่ตกเป็นเป้าต้องสงสัยจากทางเมืองน่ะ… อ้อ ถ้ารับของมาเสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะรับพวกนากาคุงเขาตอนขากลับด้วยล่ะ~”
“รับทราบค่ะ งั้นถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรฉุกเฉินฉันจะยึดแผนการในทีแรกเป็นหลักก็แล้วกันนะคะ ส่วนตอนนี้เอาเป็นว่าพอฉันติดต่อพวกทีเอร่าจังเขาได้แล้วจะติดต่อกลับไปก็แล้วกันนะคะ”
“โอ้ ฝากด้วยนะมีอาจัง~”
เอริกะพูดตอบมีอากลับไปอย่างอารมณ์ดี และในจังหวะเดียวกันนั้นเองบริกรสาวของทางคาเฟ่ก็ได้ยกขนมเค้กมาเสิร์ฟที่โต๊ะของเธอพร้อมกับบัตรสมาชิกใบหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เค้กที่สั่งเอาไว้ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า ส่วนอันนี้เป็นบัตรสมาชิกของคุณลูกค้าที่เคยมาด้วยกันกับคุณอยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ พอดีว่ารอบก่อนเธอลืมมันเอาไว้ที่ร้านหลังจากคิดเงินแล้วก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย ถ้ายังไงทางร้านขอฝากคุณนำมันไปคืนให้เขาสักหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ?”
“โอ้ เดี๋ยวฉันเอาไปคืนเขาให้เองก็ละกัน อ้อแล้วก็ฝากเธอทักทายคุณเจ้าของร้านให้ฉันหน่อยสิ บอกไปว่ามีคนชื่อเอริกะแวะมาน่ะ เขาน่าจะรู้จักฉันอยู่แล้วล่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกเจ้าของร้านให้นะคะ”
บริกรสาวยิ้มพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะเดินไปต้อนรับลูกค้าคนใหม่ที่เพิ่งจะเดินเข้าไปในส่วนด้านในของร้านค้า และนั่นก็ทำให้เอริกะไม่รอช้าที่จะตักขนมเค้กเบื้องหน้าขึ้นมาเพื่อลิ้มลองในทันที
“เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่จัดการเจ้าเค้กนี่ให้เรียบร้อย—”
“ที่ว่าเค้กนั่นมันอะไรกันคะคุณเอริกะ ไหนคุณเอริกะบอกว่าวันนี้ไม่ว่างทั้งวันเพราะว่าต้องไปต้อนรับตัวแทนจากเมืองกราวิทัสก็เลยบอกว่าให้ฉันติดต่อมารายงานในช่วงเย็นแทนไม่ใช่หรอคะ”
แต่ทว่าในขณะที่เอริกะกำลังจะตักเค้กเข้าปากของเธออยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของมีอาดังขึ้นมาให้เอริกะได้ยินผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของเธอด้วยน้ำเสียงตำหนิ และก็เป็นที่แน่นอนว่าสิ่งที่เอริกะตัดสินใจจะทำเป็นการตอบรับนั้นก็คือการตัดสายการสื่อสารทิ้งไปอย่างไม่ใยดีและทำเป็นว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น
ปิ๊บ!
“เอาล่ะ… ที่เหลือก็แค่จัดการเจ้าเค้กนี่ให้เรียบ— หืม… นั่นมันไดเอน่าจังไม่ใช่หรือไงนั่น…”
ในขณะที่เอริกะกำลังคิดจะจัดการกับเค้กแสนอร่อยเบื้องหน้าเป็นครั้งที่สองนั้นเอง สายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้ากับเด็กนักเรียนหญิงในชุดเครื่องแบบโรงเรียนรีมินัสที่มีเส้นผมสีเหลืองทองมัดเป็นทรงทวินเทลที่กำลังยื่นหน้าออกมามองซ้ายมองขวาจากเบื้องหลังมุมตึกอันเป็นซอยเล็กๆ ที่เป็นที่รู้กันว่ามันถูกทิ้งร้างมานานแล้ว
ซึ่งท่าทีอันน่าสงสัยของเด็กสาวนั้นก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะวางมือลงจากก้อนเค้กเบื้องหน้าก่อนเพื่อยกมือขึ้นไปกดที่ขาแว่นเพื่อทำให้ภาพที่ปรากฏอยู่บนเลนส์แว่นของเธอขยายเข้าไปจนสามารถมองเห็นเด็กสาวผมทรงทวินเทลท่าทางลับๆ ล่อๆ ได้อย่างชัดเจน
และภาพที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นนั้นก็คือภาพของไดเอน่าที่ชายเสื้อข้างหนึ่งหลุดออกมาจากขอบกระโปรงผิดกับภาพลักษณ์ปกติของเธอที่มักจะแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลา แถมโบประดับคริสตัลวิซสีเขียวที่เด็กสาวสวมใส่เป็นประจำนั้นก็ยับยู่ยี่เหมือนกับว่าเพิ่งจะโดนดึงกระชากจนหลุดออกไปเมื่อไม่นานมานี้อีกทั้งบนใบหน้าของเธอก็ดูเปียกชุ่มเปื้อนเหงื่อเหมือนเพิ่งออกแรงมาอย่างหนักมา
และในขณะที่เอริกะกำลังเลิกคิ้วสงสัยอยู่กับสภาพของไดเอน่าที่มีท่าทีลับๆ ล่ออยู่นั้นเอง เด็กสาวก็ได้ผลุบหายกลับเข้าไปภายในตรอกร้างแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะเดินออกมาพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีเบจและเดินนำเขากลับไปทางทิศที่ตั้งของโรงเรียนรีมินัสพลางพยายามแก้ไขการแต่งการที่ดูไม่เรียบร้อยของตัวเองไปด้วยจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาพลางพูดบ่นออกมาเบาๆ
“เด็กผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นเคนซากิคุงที่อยู่ห้องเดียวกับพวกนากาคุงเขาสินะ… ให้ตายสิถึงจะรีบขนาดไหนก็น่าจะจัดเสื้อผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยออกมาก็ได้แท้ๆ น้า…. พวกเด็กๆ สมัยนี้นี่ไม่ไหวกันเลยนะ ตอนพวกนากาคุงกับโมโกะจังก็ทีนึงแล้ว… แต่ก็เอาเถอะ~”
เอริกะส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าไดเอน่าแอบไปทำมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปจัดการก้อนเค้กเบื้องหน้าจนเสร็จแล้วจึงควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางเอาไว้และเดินตรงออกจากร้านคาเฟ่ไปโดยไม่คิดที่จะรอรับเงินทอน
และหลังจากที่เอริกะเดินออกมาจากคาเฟ่ขนมหวานแล้วเธอก็ได้หันไปมองทางด้านบาร์เหล้าเก่าๆ ที่ถูกแขวนป้ายเอาไว้ว่าปิดให้บริการที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยสายตาเฉยชาก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์เพื่อกดปุ่มอะไรบางอย่างที่เธอซ่อนมันเอาไว้ภายในพร้อมกับเอ่ยปากพูดพึมพำเบาๆ ถึงชื่อของคนรู้จักเก่าแก่ของเธอที่เพิ่งจะถูกทางการเมืองกราวิทัสจัดฉากฆาตกรรมด้วยเหตุเพลิงไหม้ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาออกมา
“ส่วนอันนี้สำหรับเธอนะ แคทเธอรีน…”
ปิ๊บ
ฟู่วววววว—- เป๊าแปะเป๊าแปะเป๊าแปะเป๊าแปะ— พรึ๊บ!!
ในทันทีที่นิ้วของเอริกะกดลงไปบนปุ่มนั้นเองก็ได้มีเสียงเหมือนกับระเบิดลูกเล็กๆ ดังแว่วๆ ออกมาจากบาร์เหล้าเก่าๆ อย่างต่อเนื่องก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเปลวไฟลุกพรึ่บขึ้นมาพร้อมๆ กันทั่วทั้งตัวอาคารจนดูราวกับว่ามันเป็นกองไฟขนาดยักษ์มากกว่าบาร์เหล้าอย่างที่ควรจะเป็น
“ไฟไหม้!!?”
“ไปเอาน้ำมาแล้วรีบไปแจ้งหน่วยดับเพลิงเร็ว!!”
“อ๊ากกกกกก—”
ในขณะที่เหล่าชาวบ้านแถวนั้นกำลังรู้สึกแตกตื่นอยู่กับเปลวเพลิงที่ผุดขึ้นมาในชั่วพริบตาอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นออกมาจากภายในอาคารที่ลุกเป็นทะเลเพลิงจนทำให้พวกหน่วยทหารยามที่ได้กลิ่นของความวุ่นวายและควันไฟจนรีบวิ่งมาสุดฝีเท้าชะงักไปก่อนที่นายทหารผู้เป็นหัวหน้าหน่วยจะพูดสั่งการขึ้นมาเสียงดัง
“ยังมีคนอยู่ข้างในนั้นหรอ!? พวกนายรีบไปเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาเดี๋ยวฉันจะเข้าไปช่วยเขาออกมาเอง!!”
“เห… ไฟแรงขนาดนี้ยังจะมีคนกล้าเข้าไปข้างในอีกงั้นหรอ เดี๋ยวก็เจ็บตัวเอาซะเปล่าๆ หรอก… ถึงจะอยากให้เจ้าคนข้างในนั่นรับผลของสิ่งที่พวกมันทำกับแคทเธอรีนนานกว่านี้สักหน่อยแต่ก็คงจะช่วยไม่ได้สินะ~”
เอริกะที่เห็นว่าหัวหน้าหน่วยทหารที่วิ่งเข้ามาดูสถานการณ์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่สนใจความอันตรายที่เขาอาจจะต้องเผชิญเมื่อต้องวิ่งเข้าไปภายในกองเพลิงเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะกดลงไปที่ปุ่มในมือของเธออีกครั้งหนึ่งจนทำให้มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมาจากภายในตัวอาคาร
ปิ๊บ
ตู้ม—!! พรึ่บ—
“เหวอ—!?”
เสียงระเบิดดังลั่นและเปลวไฟที่ถูกพ่นออกมาจากทางหน้าต่างทุกบานของอาคารที่ลุกเป็นทะเลเพลิงนั้นได้ทำให้เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นออกมาจากภายในเงียบหายไปในทันที ในขณะที่ทางด้านนายทหารหัวหน้าหน่วยนั้นก็ได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะดูท่าทางแล้วว่าพวกเขาคงจะมาถึงช้าไปและเปลวไฟคงจะลุกลามไปจนติดคลังสินค้าของบาร์เหล้าแห่งนี้จนมันเกิดระเบิดออกไปแล้ว และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะหันไปพูดสั่งการกับพวกทหารในหน่วยของเขาแทน
“ปิดกั้นพื้นที่แถวนี้ทั้งหมด แจ้งให้ประชาชนที่อยู่ในช่วงสิบอาคารเรือนอพยพออกมาก่อน แล้วก็ส่งคนไปเปิดทางให้หน่วยดับเพลิงเข้ามาถึงไวๆ แล้วถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ประกาศหาอาสาสมัครผู้ใช้วิซธาตุน้ำมาช่วยดับไฟด้วยก็ได้”
“รับทราบ!”
“อื้มๆ แบบนั้นแหล่ะๆ นายไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยคนแบบนั้นหรอก เป็นทหารยามก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยดับเพลิงไปนั่นแหล่ะ~”
เอริกะที่เห็นว่าการกดปุ่มครั้งที่สองของเธอสามารถหยุดยั้งการคิดจะเข้าไปเสี่ยงชีวิตของนายทหารหัวหน้าหน่วยได้นั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าขึ้นลงด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นว่าพื้นเพดานส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าได้พังถล่มลงมาปิดทางเข้าออกจนไม่น่าจะมีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือคนที่อยู่ด้านในได้ง่ายๆ
ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้ละความสนใจออกมาจากอาคารที่กำลังลุกไหม้และเดินปะปนไปกับชาวบ้านแถวๆ นั้นที่กำลังอพยพเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณด้วยท่าทางสบายใจก่อนที่เธอจะยืดแขนบิดขี้เกียจพร้อมกับพูดบ่นออกมาเหมือนกับว่าเพิ่งจะจบงานหนักหลังจากที่เธอออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุได้ไกลพอแล้ว
“ฮึ้บบบบ~ เอาล่ะ ทีนี้ก็หมดธุระกับเรื่องของทางกราวิทัสสักที เอาเป็นว่าขอกลับไปพักที่บ้านก่อนสักหน่อยก็แล้วกัน~”
หลังจากที่เอริกะพูดบ่นออกมาเสร็จแล้วเธอก็ได้เดินตรงกลับไปที่บ้านของเธอที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นในทางฝั่งตะวันตกพลางไม่ลืมที่จะแวะซื้อขนมทานเล่นกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยจนดูไม่เหมือนท่าทางของคนที่เพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นมาเลยแม้แต่น้อย
และในทันทีที่เอริกะก้าวเท้าเข้าไปด้านในตัวบ้านของเธอเองนั้น เธอก็ได้พบเข้ากับอลิซที่ดูเหมือนว่าจะกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงขมวดคิ้วเฝ้ารอการกลับมาของเธออยู่
“เธอไปจัดการเจ้าพวกนั้นมางั้นหรอ…?”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะไม่ได้บอกใครว่าเธอออกไปทำอะไรมากันแน่ แต่ก็ดูเหมือนว่าอลิซจะสามารถรู้ถึงสิ่งที่เธอเพิ่งจะทำลงไปได้และตัดสินใจที่จะเฝ้ารอการกลับมาของเธอเพื่อเอ่ยปากพูดถามขอคำยืนยันขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นคำถามของอลิซก็กลับไม่ได้ทำให้สีหน้ายิ้มๆ ของเอริกะที่เพิ่งจะก่อเรื่องย่างสดคนไปหนึ่งคนและจุดไฟเผาบาร์เหล้าทั้งอาคารให้กลายเป็นทะเลเพลิงเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังพูดตอบอลิซกลับไปด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีอีกด้วย
“แหม่~ ใช้คำว่าจัดการแบบนั้นมันก็ฟังดูโหดร้ายไปหน่อยนะอลิซจัง~ เรียกว่าเวรกรรมตามทันพวกเขาแล้วน่าจะดีกว่ามั้ง~”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
คำพูดตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สาของเอริกะนั้นได้ทำให้อลิซต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่เธอจะบุ้ยหน้าไปทางคอนแนลและซิลเวสที่นั่งพักหายใจกันอยู่ตรงบริเวณประตูกระจกที่เชื่อมไปยังสนามหญ้าหลังบ้านของเอริกะแทน
และนั่นก็ทำให้เอริกะยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปพูดสอบถามเด็กนักเรียนทั้งสองคนที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งทำการทดสอบยูนิตส่วนตัวกันเสร็จพอดี
“ผลการทดลองใช้งานเป็นยังไงกันบ้างล่ะจ๊ะทั้งสองคน? มีตรงไหนที่อยากให้ฉันปรับแต่งอะไรเพิ่มให้หรือเปล่าเอ่ย?”
“ของผมไม่มีนะครับ… ถ้าจะมีก็แค่ว่าพอมือผมไม่ได้จับโล่ด้วยตัวเองแล้วมันรู้สึกไม่ค่อยจะปลอดภัยสักเท่าไหร่เฉยๆ น่ะครับ ถึงการใช้แขนกลช่วยถือโล่ให้แทนมันน่าจะช่วยในเรื่องป้องกันได้มากกว่ากว่าก็เถอะ แต่มันจะว่ายังไงดีล่ะครับ…”
คำตอบของคอนแนลที่เคยเป็นหนึ่งในหน่วยอัศวินของเวก้าที่เน้นในเรื่องการคุ้มกันนั้นค่อนข้างจะไม่ผิดไปจากที่เอริกะคาดเอาไว้สักเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดว่าเดี๋ยวพอเวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งคอนแนลก็คงจะไม่คิดอะไรมากในเรื่องนี้แน่ๆ เธอจึงได้พยักหน้าให้กับเขาก่อนจะหันไปหาซิลเวสเพื่อขอความเห็นจากเด็กสาวแทน
“ของหนูนี่คงจะยังบอกอะไรในตอนนี้ไม่ได้อ่ะค่ะ… เพราะถ้าเกิดจะให้หนูลองของจริงๆ มีหวังสวนของพี่เอริกะได้กระจุยแน่ๆ เลยอ่ะคะ… แต่ถ้าไม่นับเรื่องอาวุธแล้วหนูว่าหนูน่าจะควบคุมมันได้แบบไม่มีปัญหาอะไรนะคะ”
“ก็ของซิลเวสจังเป็นยูนิตสำหรับเสริมพลังทำลายให้อาวุธนี่เนอะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวไว้ฉันจะลองหาสถานที่ทดสอบเหมาะๆ ให้เองก็ละกันนะ ส่วนตอนนี้พวกเธอพักผ่อนกันได้ตามสบายเลย”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในขณะที่เอริกะกำลังเอ่ยปากพูดขึ้นมาอยู่นั้นเอง เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่เธอยังคงสวมใส่เอาไว้ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนสายเรียกเข้าดังขึ้นมาเบาๆ จนทำให้เธอต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะว่าไม่น่าจะมีคนของเธอติดต่อเข้ามาในเวลานี้ เธอจึงต้องรีบเอ่ยปากขอตัวจากเด็กๆ ทั้งสองคน
“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ ส่วนพวกเธอถ้าเกิดว่าหิวขึ้นมาก็ลองเข้าไปหาอะไรทานในห้องครัวตรงนั้นได้เลยเนอะ”
หลังจากที่เอริกะพูดสั่งเด็กๆ ทั้งสองคนเสร็จแล้วเธอก็รีบเดินตรงเข้าไปในห้องออฟฟิศของเธอในทันทีโดยปล่อยให้พวกเด็กๆ และอลิซจัดหาอะไรกินกันเองเพื่อที่เธอจะได้รับสายการสื่อสารที่ยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนี้
“ฮัลโหล่ๆ นี่ใครเอ่ย?”
“นี่หนูทีเอร่าเองค่ะ พอดีว่าเมื่อกี้นี้พี่มีอาเขาติดต่อมาบอกว่าให้หนูติดต่อมาหาพี่เอริกะน่ะค่ะ”
“โอ้ ว่าไงจ๊ะทีเอร่าจัง ตอนนี้สภาพที่แพนเทร่าเป็นยังไงบ้างน่ะ แล้วได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเดดารัสเขาบ้างแล้วหรือยัง”
เอริกะพูดตอบทีเอร่ากลับไปพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอพร้อมกับคุยหากระดาษและปากกามาจากสิ่งของจำนวนมากที่วางระเกะระกะอยู่เต็มโต๊ะเพื่อจดคำพูดรายงานของทีเอร่าโดยมีเสียงใสๆ ของเด็กสาวดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารประกอบไปด้วย
“เรื่องของพี่เดดารัสหนูยังไม่มีเบาะแสอะไรเลยค่ะ แต่เรื่องที่พี่เอริกะคาดเอาไว้ว่าหมอกของที่นี่มันไม่ใช่หมอกธรรมดาๆ เหมือนจะถูกนะคะ เพราะตอนนี้พวกคนที่อยู่ที่นี่เริ่มจะรู้สึกหายใจลำบากกันหน่อยๆ เวลาต้องเดินผ่านหมอกพวกนี้แล้วล่ะค่ะ”
“อื้ม… ถ้างั้นเดี๋ยวพอมีอาไปถึงที่นั่นเธอลองขอแบ่งผ้าปิดปากจากมีอาเขาไปใช้ก่อนก็แล้วกัน มันน่าจะทำให้เธอหายใจได้สะดวกขึ้นบ้างน่ะ… แล้วก็ถ้าเธออยากจะย้ายไปประจำอยู่ที่เมืองอื่นก็บอกฉันได้เลยนะ เดี๋ยวฉันจะสลับตัวเธอกับกลุ่มที่ประจำอยู่ที่เมืองอื่นให้เอง”
“ไม่เอาค่ะ! อย่างน้อยๆ ถ้าหนูจะไปที่เมืองอื่นหนูก็ต้องหาตัวพี่เดดารัสให้เจอแล้วก็หวดพี่เขาแรงๆ ก่อนสักทีโทษฐานที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้!”
คำพูดด้วยน้ำเสียงเล็กน้ำเสียงน้อยของทีเอร่านั้นได้ทำให้เอริกะเผลอหลุดรอยยิ้มบางๆ ออกมา ก่อนที่เธอจะพูดเตือนเด็กสาวที่อยู่ที่ปลายสายให้ระวังตัวอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าเธอยืนยันแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะขัดหรอก แต่ว่าตอนนี้กลุ่มของเธอเหลือแค่เธอคนเดียวแล้วนะ ถ้าเกิดว่าเธอเจออะไรน่าสงสัยก็อย่าเพิ่งวู่วามแล้วก็ติดต่อมาให้ฉันส่งคนเข้าไปเสริมก่อนล่ะเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้วค่ะ! เอ… แต่จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงเรื่องน่าสงสัยนี่… อันนี้หนูไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องหมอกหรือว่าเรื่องของพี่เดดารัสเขาหรือเปล่าหรอกนะคะ… แต่พี่เอริกะจำเรื่องศพหายที่หนูเคยรายงานไปได้หรือเปล่าล่ะคะ ตามที่หนูได้ยินมาเหมือนว่าตอนนี้มันเริ่มลามไปจนถึงโบสถ์นอกเมืองกับสุสานหลวงแล้วล่ะค่ะ”
“………”
คำพูดรายงานของทีเอร่าในคราวนี้นั้นได้ทำให้เอริกะชะงักไปในทันที เพราะถึงแม้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแพนเทร่านั้นจะเข้าข่ายว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตัวเธอเองหรือแม้แต่กระทั่งอารอนจะเคยกังวลใจเอาไว้ว่ามันอาจจจะเป็นไปได้ แต่ว่าตัวเธอก็พยายามที่จะมองหาเหตุผลอื่นที่น่าจะเป็นต้นตอของปัญหาหมอกควันของแพนเทร่ามาเรื่อยๆ เพราะว่าไม่อยากที่จะให้สิ่งที่พวกเธอกำลังกังวลใจกันอยู่มันเกิดขึ้นจริงๆ
แต่ทว่าจากรายงานของทีเอร่าที่ว่าหมอกควันหนาทึบของที่นั่นเริ่มที่จะทำให้ผู้คนหายใจลำบาก อีกทั้งยังมีร่างของผู้เสียชีวิตหายไปอย่างเป็นปริศนาอย่างต่อเนื่องและกินบริเวณกว้างขึ้นเรื่อยๆ นั้นมันก็ทำให้เธอไม่สามารถมองข้ามความเป็นจริงนี้ได้อีกและจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบมันอย่างจริงจังเพื่อที่จะได้วางแผนรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ถูก
“ขอเวลาฉันแป๊บนึงนะทีเอร่าจัง เดี๋ยวเอาไว้พอฉันตรวจสอบอะไรเสร็จแล้วฉันจะติดต่อกลับไปเอง”
“ได้เลยค่ะ!”
ปิ๊บ
หลังจากที่ทีเอร่าพูดตอบเอริกะกลับมาเสร็จแล้วเด็กสาวก็ได้ตัดสายการสื่อสารไปในทันที และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เหลืออยู่คนเดียวภายใต้ความเงียบในห้องทำงานของเธอตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมาเอื้อมไปยังบริเวณกรอบแว่นของเธอเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เธอคิดจะสั่งให้มันทำอะไร
“……….”
แต่ว่าสุดท้ายแล้วมือที่สั่นเล็กน้อยของนักประดิษฐ์สาวก็กลับเลื่อนไปปิดใบหน้าของตัวเองแทนด้วยความกลุ้มใจราวกับว่าเธอลังเลไม่กล้าที่จะสั่งใช้งานมันในครั้งนี้
“ถ้าเธอมัวแต่ทำท่าอย่างนั้นแล้วเกิดมีพวกเด็กๆ หรือว่ามีใครมาเห็นเข้าเดี๋ยวพวกเขาก็หมดความมั่นใจในตัวเธอกันหมดหรอก…”
ในขณะที่เอริกะกำลังรู้สึกลังเลว่าเธอควรจะลงมือตรวจสอบเรื่องนี้จริงๆ จังๆ หรือไม่อยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงนิ่งๆ ของอลิซดังขึ้นมาจนทำให้เอริกะต้องรีบลดมือที่ปิดหน้าของเธออยู่ลงก่อนที่เธอจะพูดถามเด็กสาวผมสีขาวที่แอบเข้ามาในห้องทำงานของเธออย่างเงียบๆ ขึ้นมา
“เธอเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนน่ะอลิซ?”
“มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ใช่… แต่ถ้าเกิดว่าเธอมัวแต่ลังเลจนไม่ยอมลงมือตรวจสอบให้ได้เรื่องอะไรสักทีงั้นก็เชิญเธอกลุ้มใจต่อไปก็แล้วกัน… เผลอๆ กว่าเธอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่มันก็อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้”
“……….”
คำพูดของอลิซนั้นได้ทำให้เอริกะนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจยกมือขึ้นไปกดที่ขาแว่นของเธอให้รู้แล้วรู้รอด
ปิ๊บ
ในทันทีที่นิ้วของเอริกะสัมผัสไปที่ขาแว่นนั้นเอง เลนส์แว่นตาข้างหนึ่งของเธอก็ได้เรืองแสงออกมาพร้อมๆ กับที่มันมีข้อความปรากฏขึ้นมาให้เอริกะที่สวมใส่มันอยู่ได้เห็น
กำลังเชื่อมต่อ . . .
การเชื่อมต่อเสร็จสิ้น
“แพนเทร่า… แพนเทร่า… ตรงนี้สินะ”
หลังจากที่ข้อความที่ปรากฏขึ้นมาหายไปแล้วนั้นมันก็ได้ปรากฏภาพแผนที่ของทวีปแห่งนี้ขึ้นมาให้เอริกะได้เห็น ซึ่งเอริกะก็ได้เพ่งตาไปที่จุดหนึ่งของแผนที่จนมันขยายออก เผยให้เห็นภาพของเมืองแพนเทร่าจากมุมสูงที่ในบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขมุกขมัวไปทั่วทั้งเมือง
“หมอกหนาขนาดนี้ตัดเรื่องภาพถ่ายมุมสูงออกไปได้เลย… ถ้าจำไม่ผิดมันจะถูกฝังเอาไว้ที่—”
“ที่ด้านใต้ปราสาทของเมืองแพนเทร่า… ใช่แล้วล่ะจ้ะ มันยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ไหนหรอก”
“—!?”
ในขณะที่เอริกะกำลังเปลี่ยนภาพแผนที่มุมสูงของเมืองแพนเทร่าในรูปแบบต่างๆ ไปมาและสาดส่องสายตาไปทั่วทั้งเมืองอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังดูใจดีดังขึ้นมาที่ข้างๆ หูจนทำให้เธอชะงักนิ่งไป
ซึ่งเอริกะก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดพึมพำเรียกชื่อของเจ้าของเสียงที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นร่างเงาจางๆ เกาะไหล่ของเธออยู่ขึ้นมาเบาๆ
“คุณแม่…”