บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 15
แกร๊ก–
“อย่าคิดแม้แต่จะขยับเชียวล่ะ ไม่งั้นหัวของแกได้มีรูเพิ่มแน่…”
ในชั่วขณะที่มีเสียงของกิ่งไม้ถูกเหยียบจนหักดังขึ้นมานั้นก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดเตือนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมๆ กับที่มีอะไรบางอย่างถูกนำมาแนบเอาไว้ที่ด้านหลังศีรษะของนากาจนเขาต้องชะงักมือที่กำลังจะจิ้มไปที่เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กไปเสียก่อน
“……..”
นากาที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีคนแอบลอบเข้ามาทางด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่และถูกข่มขู่ด้วยสิ่งที่น่าจะเป็นอาวุธปืนนั้นได้ตัดสินใจที่จะยอมอยู่เฉยๆ ตามที่อีกฝ่ายพูดสั่งขึ้นมาเอาไว้ก่อนเพื่อคอยหาจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการขัดขืนหรือว่าเปิดใช้งานเครื่องมือสื่อสารเพื่อแจ้งให้เอริกะและเอริซาเบธรู้ตัว
“ถอดผ้าคลุมหัวนั่นออกแล้วค่อยๆ หันมาทางนี้ช้าๆ อย่าคิดจะทำอะไรตุกติกล่ะ”
นากาที่ได้ยินคำสั่งต่อไปของหญิงสาวปริศนาได้ชะงักไปเล็กน้อยเพราะว่าคำสั่งของอีกฝ่ายนั้นเหมาะที่เขาจะได้แอบใช้นิ้วจิ้มไปที่เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กให้มันทำงานขึ้นมาในตอนที่เขาเลื่อนมือไปดึงเอาผ้าคลุมกันฝนของเขาออกจากหัวอย่างพอดิบพอดี และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้จัดการเลื่อนมือไปทำตามแผนการของตนในทันที
ปึก!
“ก็บอกว่าอย่าทำอะไรตุกติกไม่ใช่หรือไง… หรือว่าแกคิดจะอยากได้รูระบายอากาศเพิ่มที่หัวกันหะ?”
แต่แล้วแผนการของนากาก็กลับพังไม่เป็นท่าเมื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาได้ทิ่มสิ่งที่น่าจะเป็นปืนพกเข้ากับหลังหัวของนากาอย่างแรงพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาจนทำให้นากาต้องรีบทำเป็นไม่รู้เรื่องและพูดเถียงกลับไป
“ก็เธอบอกว่าให้เอาผ้าคลุมหัวออกไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ขยับมือแล้วจะให้ฉันทำยังไงละหะ?”
“ฉันบอกว่าให้แกเอาผ้าคลุมหัวออกก็จริง แต่ไม่ได้สั่งให้แกเปิดใช้งานไอ้เจ้าเครื่องที่หูนั่นไม่ใช่หรือไง… รีบๆ เอาผ้าคลุมนั่นออกได้แล้ว แล้วก็อย่าคิดจะทำอะไรตุกติกอีกล่ะ ยกเว้นแต่ว่าแกอยากจะมีรูเพิ่มที่หัวขึ้นมาจริงๆ น่ะ”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของนากาได้เอ่ยปากพูดสั่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับใช้ปืนพกในมือทิ่มเข้าไปที่หลังหัวของนากาอีกสองสามทีเพื่อเป็นการตักเตือนจนทำให้นากาต้องยอมเลื่อนผ้าคลุมกันฝนของเขาออกจากบริเวณศีรษะตามคำสั่งของเธอดีๆ ไปก่อน
ฟุบ…
“หือ… หัวดำๆ แบบนี้มัน…. ไหนแกลองหันมาด้านนี้หน่อยดิ๊”
ในทันทีที่หญิงสาวด้านหลังของนากาได้เห็นเส้นผมสีดำของเขาชัดๆ เธอก็ได้พูดพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดสั่งเขาออกมาอีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาต้องทำตามคำสั่งของเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
“…….”
“อ้าว… แกมันเจ้าหนูที่ฉันเจอในป่าเมื่อวันก่อนนั่นไม่ใช่หรือไง?”
หญิงสาวคนที่กำลังใช้ปืนพกเล็งตรงมาที่นากานั้นก็คือหญิงสาวผมสีแดงคนที่มีดวงตาสีเหลืองอำพันที่นากาต่อสู้ด้วยในป่าข้างหมู่บ้านโมริโกะไปเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง ซึ่งทางด้านหญิงสาวผมสีแดงเองที่ดูเหมือนว่าจะยังคงจำนากาได้นั้นก็ได้แสยะยิ้มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเสียดาย
“หึ น่าเสียดายนะที่ตอนนี้ฉันยังอยู่ในภารกิจน่ะ ไม่งั้นพวกเราก็คงจะได้ฟาดปากกันอีกรอบให้มันส์หยดแล้วล่ะนะ… เอาเป็นว่าก่อนอื่นแกปิดไอ้เจ้าเครื่องสื่อสารนั่นทิ้งไปก่อน แล้วก็บอกฉันมาซะว่าแกมีเป้าหมายอะไรกันแน่”
“ปิด..?”
“ก็จิ้มมันค้างเอาไว้สักสองสามวิไง คนที่ให้แกมาเขาไม่ได้สอนอะไรมาเลยหรือไง?”
“หะ? มันทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอ?”
“หุบปากแล้วก็เอานิ้วจิ้มมันไปซะ จิ้มมันค้างเอาไว้จนกว่ามันจะส่งเสียงยาวๆ ออกมานั่นล่ะ อ้อ… แล้วถ้าเกิดว่าแกเอานิ้วออกก่อนเวลาจนมันทำงานขึ้นมาล่ะก็ฉันยิงจริงๆ นะโว้ย”
ปิ๊บบบบบ—-
คำสั่งของหญิงสาวผมสีแดงได้ทำให้นากาเบ้ปากเล็กน้อยและยกมือขึ้นไปจิ้มที่ตัวเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กค้างเอาไว้จนมันส่งเสียงสัญญาณยาวๆ ออกมาท่ามกลางสายตาจับจ้องของหญิงสาวผมสีแดง
และเมื่อหญิงสาวผมสีแดงเห็นว่านากาไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกอะไรและปิดการทำงานของเครื่องมือสื่อสารไปตามที่เธอพูดสั่งดีๆ แล้วเธอก็ได้เอ่ยปากพูดถามเด็กหนุ่มผมดำที่เธอเคยเจอเขาในป่าข้างหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองรีมินัสเกือบจะครึ่งค่อนทวีปเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา
“เอาล่ะ ทีนี้ก็พูดออกมาซะว่าแกมาทำอะไรที่นี่กันแน่… แล้วก็อย่าสะเออะมาพูดว่าเป็นเพราะแกรู้สึกสนใจฉันขึ้นมาก็เลยแอบตามมาจากหมู่บ้านนั่นเพื่อมาสมัครเป็นลูกน้องล่ะ ฉันมีเจ้าพวกบ้าที่มาคอยตามติดไม่ปล่อยอยู่แล้วกลุ่มนึงเพราะงั้นคงจะไม่มีเวลามาสนใจแกหรอกนะโว้ย!”
“หา!? ใครจะไปสนใจเธอกันล่ะหะ!? พวกฉันแค่มีธุระกับคฤหาสน์นี่นิดหน่อยแค่นั้นเอง!”
“หืม? ‘พวกฉัน’ งั้นหรอ…? ถ้างั้นยัยจิ้งจอกสีแดงที่แอบย่องเข้าไปเมื่อกี้ก็เป็นพวกเดียวกับแกด้วยจริงๆ งั้นสินะ”
“อุ๊บ—”
นากาที่เผลอหลุดปากพูดขึ้นมาจนหญิงสาวผมสีแดงจับสังเกตได้ได้รีบปิดปากเงียบไปและนั่นก็ทำให้หญิงสาวผมสีแดงที่สังเกตเห็นแบบนั้นได้แสยะยิ้มเล็กๆ ออกมาพร้อมกับยกเอาเอริซาเบธที่แอบลอบเข้าคฤหาสน์ไปเมื่อสักครู่นี้มาเป็นหมากในการต่อรองในทันที
“หึ… เอาเป็นว่าถ้าแกยอมตอบคำถามของฉันมาดีๆ ว่าแกมีธุระอะไรกับคฤหาสน์นี่กันแน่ ฉันก็อาจจะรับปากว่าจะยอมปล่อยเพื่อนของแกไปก็ได้ดีมั้ยล่ะ?”
“…ขอปฏิเสธ”
“หา? นี่แกเข้าใจสถานการณ์บ้างหรือเปล่าเนี่ยหะ? ถึงปืนพกในมือฉันนี่จะหน้าตาไม่เหมือนกับปืนที่แกน่าจะเคยเห็นมาก่อนก็เถอะแต่ว่ามันก็เป็นปืนของจริงนะโว้ย!”
“เมื่อกี้นี้เธอบอกว่าเธออยู่ในระหว่างภารกิจไม่ใช่หรือไง งั้นถ้าเกิดเธอไม่กลัวว่าพวกอัศวินในคฤหาสน์ข้างหลังฉันนี่จะแห่ออกมากันหมดเพราะได้ยินเสียงปืนล่ะก็ยิงมาเลยสิ!”
“นี่แก…”
คำพูดของนากาที่ฟังดูไม่เกรงกลัวปืนพกที่กำลังจ่อหน้าของเขาอยู่เลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้หญิงสาวผมแดงต้องขมวดคิ้วจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับพูดสั่งนากาขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้อ… ถ้างั้นก็หันหลังกลับไปซะ”
“ถ้าเธอคิดจะยิงก็ยิงใส่หน้าฉั—”
ผั่วะ! ผลั่ก!
หญิงสาวผมสีแดงไม่รอให้นากาพูดออกมาจนจบและเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่หน้าของนากาเต็มๆ จนสะบัดแล้วจึงกระชากแขนของนากาเข้ามาก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นอย่างแรงโดยที่นากาแทบจะตามสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
“นอนนิ่งๆ ไปตรงนั้นนั่นล่ะ!! ให้ตายสิ… แค่เรื่องพื้นฐานง่ายๆ แค่นี้ก็ยังไม่รู้ นี่ไม่มีใครสอนอะไรแกสักนิดนึงก่อนจะส่งออกมาลงสนามจริงเลยหรือไงกัน… น่าอับอายชะมัด…”
หญิงสาวผมสีแดงพูดสั่งเด็กหนุ่มขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินหายไปทางด้านหลังของต้นไม้ต้นหนึ่งพร้อมกับพูดบ่นออกมาไม่หยุด ในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้ยกมือขึ้นมากุมหน้าของตัวเองที่ถูกต่อยไปจังๆ พร้อมกับแอบนินทาหญิงสาวผมสีแดงออกมาเบาๆ
“หมัดหนักชิบ…”
“อยากโดนกระทืบหรือไง!? หมอบกลับลงไป!!”
ทันใดนั้นเองหญิงสาวผมสีแดงที่เดินกลับออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมกับเศษไม้ใบหญ้าจำนวนหนึ่งก็ได้พูดสั่งนากาขึ้นมาเสียงดังเมื่อเธอเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังยกมือขึ้นมากุมแก้มของตัวเองอยู่จนทำให้นากาต้องรีบขยับตัวกลับไปเป็นท่าเดิมในตอนที่เขาถูกทุ่มลงมากับพื้นในทันที
และเมื่อหญิงสาวผมสีแดงเห็นว่านากาได้กลับไปนอนหมอบกับพื้นนิ่งๆ ตามเดิมแล้วเธอก็ได้โปรยเศษไม้ใบหญ้าที่เธอหอบมาด้วยกลบทับร่างของนากาเอาไว้จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“น–นี่เธอทำอะไรของเธอเนี่ย?”
“ก็พรางตัวไงไอ้งั่ง! มันจะดูเหมือนอะไรไปได้อีกล่ะ? ทำกับข้าวเรอะ?”
“หา…?”
คำตอบของหญิงสาวผมสีได้ทำให้นากาหลุดปากออกมาด้วยความสงสัย แต่ว่าหญิงสาวผมสีแดงก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะพูดอธิบายออกมาให้เขาฟังและทรุดตัวลงไปนั่งอยู่ข้างๆ นากาที่ถูกกลบไว้ด้วยเศษไม้ใบหญ้าก่อนจะพูดบ่นกระปอดกระแปดออกมา
“เฮ้อ… อุตส่าห์ได้เจอเจ้าลูกเจี๊ยบที่น่าจะโตไปได้เจ๋งๆ แท้ๆ ดันโดนเอามาใช้แบบนี้ซะได้ ให้ตายสิ…”
“เอ่อ… แล้วนี่เธอไม่กะจะยิงฉันแล้วหรือไงน่ะ?”
“…นี่แกอยากลองโดนยิงดูสักทีนักหรือไงหะ?”
“ไม่อยากครับ…”
คำพูดของหญิงสาวผมสีแดงที่ชักปืนออกมาจ่อกบาลนากาอีกครั้งนั้นได้ทำให้นากาต้องรีบพูดตอบเธอกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนที่หัวของเขาจะได้มีรูระบายอากาศเพิ่มขึ้นมาจริงๆ จนทำให้หญิงสาวผมสีแดงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ละความสนใจไปจากนากาอีกครั้งหนึ่งและล้วงเอาเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่งออกมานั่งเคี้ยวแทน
ซึ่งท่าทางของหญิงสาวผมสีแดงที่ไร้ซึ่งจิตสังหารและท่าทีสบายๆ ของอีกฝ่ายที่ดูแตกต่างจากในตอนที่เธอพูดข่มขู่นากาในทีแรกหรือในตอนที่นากาได้ต่อสู้กับเธอในป่าข้างหมู่บ้านนั้นก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามเธอขึ้นมา
“เอ่อ…”
“เนื้อนี่ของฉัน แกอย่าหวังว่าจะได้ลองเลย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ!! เอ่อ… ที่ฉันจะถามนั่นฉันหมายถึงว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ล่ะ?”
นากาที่เผลอขึ้นเสียงกลับไปใส่หญิงสาวผมแดงได้รีบลดเสียงของตัวเองลงอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจแทน และนั่นก็ทำให้หญิงสาวผมแดงเหลือบตากลับไปมองชิ้นเนื้อตากแห้งในมือเธออยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดตอบนากากลับไป
“ก็ฉันหิวไง”
“ฉันหมายถึงว่าทำไมเธอถึงเอาใบไม้มากลบฉันแล้วนั่งกินอยู่อย่างงั้นต่างหากเล่า! ก่อนหน้านี้ในป่าข้างหมู่บ้านนั่นเธอยังจ้องจะเชือดฉันอยู่เลยไม่ใช่หรือไง!?”
“ก็รอบก่อนนั่นใครใช้ให้แกเข้ามายุ่มย่ามกับภารกิจของฉันกันล่ะ ส่วนรอบนี้ภารกิจของฉันมันเสร็จไปแล้วเพราะงั้นฉันจะทำยังไงกับแกมันก็เรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง”
“เพราะงั้นเธอก็เลยเอาใบไม้มากลบฉันเล่นแล้วก็นั่งแทะเนื้อแห้งอยู่อย่างงั้นอะนะ?”
“เอาใบไม้มากลบแกเล่น…? เขาเรียกว่าพรางตัวต่างหากเล่าเจ้างั่ง!! วิธีการแอบซุ่มของแกมันขัดลูกตาแค่ไหนรู้บ้างมั้ยหะ!? ผ้าคลุมของแกก็สีตัดกับต้นไม้รอบๆ แถมแกยังยืนทึ่มเป็นตอไม้อยู่ริมชายป่าอีก ถ้าเกิดยังมีใครอยู่ในคฤหาสน์นั่นแล้วเขามองออกมานอกหน้าต่างสักหน่อยใครๆ เขาก็สังเกตเห็นแกตั้งแต่แวบแรกกันทั้งนั้นนั่นล่ะเจ้าโง่!!”
เสียงร้องด่าของหญิงสาวผมสีแดงนั้นถึงกับทำให้นากาต้องหดหัวด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะกล้าพูดถามกลับไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผมสีแดงข้างกายดูเหมือนจะไม่มีความคิดอยากจะฆ่าเขาทิ้งแล้วเลยแม้แต่น้อยเลย
“ข…ขอโทษทีละกัน ก็ปกติแล้วฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนี่… ว่าแต่ในเมื่อเธอไม่คิดจะฆ่าฉันแล้วแบบนี้นี่เธอไม่กลัวว่าฉันจะเอาเรื่องที่ว่าเธอแอบมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวๆ คฤหาสน์ของขุนนางเขาไปบอกคนอื่นหรือไงน่ะ?”
“แล้วแกจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ ทหารยามเรอะ? ทั้งๆ ที่ตัวแกเองก็แอบมาส่องดูบ้านของคนอื่นเขาแบบนี้เหมือนกันแถมยัยจิ้งจอกแดงที่มาด้วยกันกับแกก็แอบลอบเข้าไปข้างในนั้นด้วยแล้วน่ะนะ?”
“อุ้ย…”
“แล้วที่สำคัญแกจะไปแจ้งพวกทหารยามว่าอะไรล่ะ? ‘ตอนที่ผมไปดูลาดเลาให้กับเพื่อนที่แอบลอบเข้าไปในบ้านของท่านขุนนางอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เอาปืนมาจ่อหัวผมเสร็จแล้วก็จับผมทุ่มลงกับพื้นแถมยังนั่งคุยเล่นกินเนื้อแห้งสบายใจเฉิบอยู่ข้างๆ พี่ๆ ทหารยามช่วยผมด้วย’ อะไรงี้เรอะ?”
คำพูดสะดีดสะดิ้งด้วยน้ำเสียงล้อเลียนของหญิงสาวผมสีแดงนั้นถึงกับทำให้นากาต้องเบ้ปากเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ตามแต่ว่ามันก็ฟังดูประหลาดจนไม่น่าจะมีใครเชื่อสักเท่าไหร่
“แล้วนี่ยัยหัวขาวที่แกอุตส่าห์เข้าไปช่วยเอาไว้ในป่านั่นหายไปไหนซะแล้วล่ะ? ได้มาที่เมืองนี้ด้วยกันกับแกหรือเปล่า?”
“ก็มาด้วยกันนั่นล่ะ แต่บาดเจ็บหนักขนาดนั้นตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองแล้วล่ะมั้ง”
นากาที่ได้ยินคำถามของหญิงสาวผมสีแดงได้พูดตอบเธอกลับไปแบบจงใจให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าตัวเขากับอลิซเพียงเดินทางมาที่เมืองรีมินัสด้วยกันเฉยๆ แล้วจึงแยกย้ายกันไปแบบไม่ทราบจุดหมายของอีกฝ่าย
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านหญิงสาวผมสีแดงก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะซักไซ้ถามเกี่ยวกับเรื่องของอลิซที่เธอเคยพูดเหมือนกับว่าเคยเป้าหมายของเธอในครั้งที่แล้วเลยแม้แต่น้อยและพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“งั้นหรอ… ถ้างั้นก็ช่างเถอะ”
“แค่นั้นอะนะ…? ไม่ใช่ว่าตอนอยู่ในป่านั่นเธอจ้องจะจัดการพวกฉันให้ได้เลยหรือไงน่ะ? ทำไมตอนนี้เธอถึงทำท่าเหมือนกับว่าไม่สนใจจะจัดการพวกฉันแล้วล่ะ?”
คำพูดพึมพำเบาๆ ของหญิงสาวผมสีแดงที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้ความสนใจกับอลิซอีกต่อไปแล้วโดยสิ้นเชิงนั้นได้ทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งหญิงสาวผมสีแดงก็ได้เหลือบไปมองหน้านากาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดปัดคำถามของเขาไป
“นั่นสินะ… แต่ว่าเรื่องนั้นมันก็คงจะไม่ได้สำคัญอะไรสักเท่าไหร่หรอกมั้ง…”
“………”
คำพูดของหญิงสาวผมสีแดงที่พูดขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงเอาไว้ด้วยความผิดหวังแตกต่างจากแววตาดุร้ายตามปกตินั้นได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่าแววตาของอีกฝ่ายดูแล้วไม่ได้ต่างไปจากแววตาผิดหวังของพาเทียซ์ในตอนที่เขาพูดตอบเธอไปว่าเขานึกเรื่องอะไรก็ตามที่เธออยากจะให้เขานึกให้ออกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวผมสีแดงก็ได้โยนชิ้นเนื้อตากแห้งที่เหลืออยู่ในมือเข้าปากไปทั้งชิ้นและหยัดตัวให้ลุกขึ้นมามองตรงไปยังตัวคฤหาสน์ก่อนจะพูดบ่นออกมาเบาๆ อีกครั้ง
“เฮ้อ… เสียเวลาเปล่าจริง…”
“อ้าว เธอจะไปแล้วหรอ?”
“ก็แหงสิ… ส่วนลูกเจี๊ยบอย่างแกน่ะก็กลับบ้านไปฝึกมาใหม่ก่อนไป๊ เผื่อว่าเจอกันครั้งหน้าแกจะได้ทำให้ฉันมีอารมณ์ขึ้นมาได้บ้างสักนิดก็ยังดี… หวังว่าพวกเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกในเร็วๆ นี้ก็แล้วกัน”
หญิงสาวผมสีแดงเอ่ยปากพูดทิ้งท้ายเอาไว้และเดินมุ่งตรงเข้าผืนป่าที่ติดอยู่กับตัวคฤหาสน์ไปในทันที แต่ว่าทันใดนั้นเองเธอก็ต้องชะงักฝีเท้าลงด้วยความหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเมื่อนากาได้เอ่ยปากพูดรั้งตัวเธอเอาไว้
“ด–เดี๋ยวก่อนสิ”
“อะไรอีก…? ถึงฉันจะไม่อยากฆ่าพวกลูกเจี๊ยบก็เถอะ แต่ถ้าพวกมันทำให้ฉันรำคาญมากๆ มันก็อีกเรื่องนึงนะ…”
คำพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดของหญิงสาวผมสีแดงและแววตาที่กลับไปเป็นดุร้ายของเธอนั้นได้ทำให้นากาถึงกับผงะไปก่อนที่เขาจะต้องรีบพูดขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเลื่อนมือไปหยิบเอาปืนพกของเธอออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ธ–เธอชื่อว่าอะไรน่ะ เผื่อถ้าเกิดว่าได้เจอกันอีกทีนึงฉันจะได้เรียกได้ถูกไง…”
“…….”
คำถามของนากาได้ทำให้หญิงสาวผมสีแดงนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดตอบเขากลับไปพร้อมกับออกก้าวเดินตรงเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง
“ทุกคนเรียกฉันว่า ‘ไคเลอร์’ … ถ้าเกิดแกคิดจะเรียกฉันก็เรียกตามนั้นก็แล้วกัน…”
“ไคเลอร์งั้นสินะ ส่วนฉันชื่—”
“เออ แล้วก็อย่าลืมเปิดเครื่องสื่อสารที่แกใส่เอาไว้ด้วยล่ะ จิ้มมันค้างเอาไว้เหมือนเดิมนั่นล่ะ…”
คำพูดของไคเลอร์ที่พูดเป็นทำนองว่าเธออนุญาตให้เขาเปิดเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กกลับขึ้นมาได้แล้วนั้นได้ทำให้นาการีบยื่นมือไปจิ้มเปิดมันกลับมาในทันทีและพยายามที่จะร้องเรียกอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้งเผื่อว่าเอริซาเบธและเอริกะจะได้ยินบทสนทนาของเขากับไคเลอร์บ้าง
“อ–อ่า ถ้างั้น— อ้าว ไปซะแล้วแฮะ…”
แต่แล้วในชั่วขณะที่นากาละสายตาจากไคเลอร์ไปเพียงแค่เล็กน้อยนั้นร่างของอีกฝ่ายก็ได้หายไปจากจุดเดิมโดยไม่เหลือทิ้งเอาไว้แม้แต่กระทั่งรอยเท้าเสียแล้วก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริซาเบธจะโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งทางฝั่งตัวคฤหาสน์และพูดทักทายนากาที่จมอยู่ภายใต้เศษไม้ใบหญ้าที่ไคเลอร์นำมากลบเอาไว้ให้เขาขึ้นมา
“อ่ะ— นากาคุงอยู่นี่นี่เอง แหม่~ ไม่เห็นจะต้องแอบขนาดนี้เลยก็ได้นี่นา~”
“เอ๋ะ… เอ่อ… คือแบบพอดีคิดว่าไหนๆ ก็ต้องซ่อนตัวแล้วก็เลยอยากจะลองอะไรนิดหน่อยน่ะ…”
“เห~ งั้นหรอๆ ก็รอบคอบดีนะ~”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำตอบของนากาได้พูดตอบเขากลับไปแบบไม่ได้คิดอะไรมากนักโดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่านากาเพียงแค่พูดอ้างไปเท่านั้นเพราะเขาอายไม่กล้าจะบอกใครว่าเพิ่งจะโดนไคเลอร์ที่เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนนึงหวดเข้าจนร่วงไปกองกับพื้นมา อีกทั้งตัวไคเลอร์เองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ติดใจอะไรเขากับอลิซอีกต่อไปแล้วจนดูไม่น่าจะมีอันตรายอะไรกับพวกเขาแล้วนากาจึงไม่ได้มีความคิดจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นมาให้เอริซาเบธฟังเลยแม้แต่น้อย
“ว่าแต่ข้างในนั้นเป็นยังไงบ้างน่ะเอริ เธอเจอเป้าหมายของพวกเราหรือเปล่า?”
“ไม่อ่ะ ฉันลองสำรวจดูรอบๆ ตัวบ้านกับลองแอบส่องเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์ผ่านทางหน้าต่างดูแล้ว แต่ว่าข้างในนั่นมันมืดตื้อแถมยังเงียบสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่เลยซะด้วยซ้ำน่ะ”
“อืม… แล้วอย่างงี้พวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะเอริกะ เหมือนว่าข้างในนั้นจะไม่มีใครอยู่เลยนะ”
นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะต้องทำยังไงกันต่อดีเขาจึงได้แต่ต้องลองพูดถามเอริกะผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กขึ้นมาดู ซึ่งทางด้านเอริกะก็ได้เงียบเสียงอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับมา
“ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เพราะถ้าเกิดว่าพวกเขาจะออกไปข้างนอกกันหมดทุกคนแบบนั้นมันก็ควรจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สายของฉันไม่น่าจะลืมแจ้งมาก่อนได้หรอก…”
“อ่ะ— แต่จะว่าไปข้างในนั้นก็ยังมีคนอยู่นะคะคุณเอริกะ ตอนที่ฉันแอบส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปฉันเห็นเงาของสาวใช้คนนึงนั่งทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่โถงทางเดินด้วยน่ะค่ะ”
“นั่งอยู่ในโถงทางเดินมืดๆ แบบนั้นน่ะนะ? ไม่ใช่ว่าเขาล้มลงไปจนลุกไม่ไหวแล้วหรือไงน่ะ?”
คำพูดของเอริซาเบธได้ทำให้นากาต้องรีบพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงในทันที แต่ว่าทางด้านเอริซาเบธก็กลับยักไหล่พูดตอบเขากลับมาแบบไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ก็ไม่รู้สิ เขาอาจจะทำอะไรหกก็เลยต้องรีบก้มลงไปเช็ดจนไม่มีเวลาจุดไฟก็ได้ล่ะมั้ง ฉันไม่ได้มีเวลาดูให้ชัดๆ น่ะเพราะว่าเขาอยู่ใกล้กับหน้าต่างมากด้วยเลยต้องรีบย้ายไปส่องดูที่จุดอื่นก่อน”
“อื้ม… แล้วสาวใช้คนนั้นเขาใช่เป้าหมายของพวกเราหรือเปล่าน่ะเอริ?”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ ถึงฉันจะไม่ทันได้สังเกตดูสักเท่าไหร่แต่ว่าสีผมของสาวใช้คนนั้นไม่ใช่สีทองแน่นอนค่ะ”
“แต่ถ้ายังไงพวกเราก็แอบเข้าไปดูกันอีกสักรอบนึงก่อนน่าจะดีกว่ามั้ยน่ะเอริ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ใครเขาจะนั่งอยู่ในที่มืดๆ แบบนั้นกันล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นลมล้มลงไปจนลุกไม่ไหวก็ได้นะ”
ถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะยืนยันอย่างมั่นใจว่าสาวใช้คนที่เธอเจอไม่ใช่เป้าหมายอย่างแน่นอน แต่ว่านากาก็อดที่จะเป็นห่วงสาวใช้คนที่นั่งทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ในโถงทางเดินมืดๆ ที่เอริซาเบธพูดขึ้นมาไม่ได้
เพราะว่าสำหรับคนปกติที่ใช้วิซได้นั้นขอแค่ส่งวิซออกไปกระตุ้นให้ตัวคริสตัลในตะเกียงที่น่าจะมีติดเอาไว้ตามโถงทางเดินทำงานมันก็จุดลูกไฟขึ้นมาส่องสว่างไปทั่วแล้วโดยไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปใกล้ตัวตะเกียงซะด้วยซ้ำ
ซึ่งคำพูดที่นากาพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้เอริซาเบธที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับแอบหลุดรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาให้กับความไร้เดียงสาของนากาจนทำให้นากาต้องรีบพูดกลบเกลื่อนขึ้นมาในทันที
“อะไรของเธอเล่า เป็นห่วงคนอื่นแล้วมันผิดหรือไงกันล่ะ!?”
“จ้าๆ แล้วคุณเอริกะจะเอายังไงต่อดีล่ะคะ? จะให้ฉันแอบลอบเข้าไปดูอีกครั้งนึงหรือเปล่า?”
“อย่าเพิ่งดีกว่า… นี่นากา ตอนที่เอริซาเบธเขาอยู่ข้างในนั้นเธอเห็นใครอยู่ในคฤหาสน์นั่นบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
“หือ? ฉันไม่เห็นใครสักคนเลยนะ… เอาจริงๆ ในคฤหาสน์นี่จะมีใครนอกจากสาวใช้คนที่เอริเขาเห็นหรือเปล่าเถอะ เพราะขนาดหน้าต่างบานนั้นที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตรงนั้นก็ยังไม่มีใครไปปิดมันสักทีเลยนะนั่น”
นากาพูดตอบเอริกะกลับไปและหันไปมองหน้าต่างเพียงบานเดียวที่ถูกเปิดทิ้งค้างเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเขามาถึงจนทำให้เอริซาเบธที่หันไปมองเช่นเดียวกันต้องเอ่ยปากพูดยืนยันขึ้นมาด้วยอีกคน
“ใช่ค่ะ หน้าต่างบานนั้นฉันเองก็เห็นมันถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงอยู่แล้วเหมือนกัน”
“แปลกแฮะ… ถ้าเป็นวันที่อากาศแจ่มใสก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ในวันที่ฝนตกแบบนี้เนี่ยนะ… เอาเป็นว่าเดี๋ยวพวกเธอสองคนลองเข้าไปสำรวจดูตรงๆ เลยก็แล้วกัน”
“โอ้ ถ้างั้นฉันลุยเลยนะ”
“เดี๋ยวก่อนสินากาคุง! แล้วแผนว่ายังไงล่ะคะคุณเอริกะ จะให้ฉันแอบพานากาคุงลอบเข้าไปข้างในนั้นหรือว่ายังไงดี?”
เอริซาเบธที่เห็นว่านากาทำท่าเหมือนกับว่าจะออกเดินตรงไปที่ประตูหลังคฤหาสน์ได้ยื่นมือไปดึงคอเสื้อของเขาเอาไว้ก่อนและเอ่ยปากพูดขอแผนการจากคุณเอริกะของเธอขึ้นมา ซึ่งทางด้านเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะมีแผนการอยู่ในใจแล้วก็ได้พูดตอบเอริซาเบธกลับมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเธอไม่ต้องแอบลอบเข้าไปแล้วล่ะ คราวนี้พวกเธอเดินกลับไปที่ประตูหน้าแล้วก็กดกริ่งเรียกพวกเขาออกมาหาเลย บอกไปว่าพวกเธอมีข้อความด่วนจากฉันถึงคุณเวก้าที่จะต้องบอกให้เขาฟังต่อหน้าเท่านั้นไปเลย ถึงมันอาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างแต่เอาไว้จบเรื่องแล้วก็ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
“เอางั้นเลยหรอ?”
“นั่นสิคะ ทำแบบนั้นมันจะดีหรอคะคุณเอริกะ”
คำสั่งของเอริกะได้ทำให้เด็กๆ ทั้งสองคนของเธอต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย จนทำให้ทางด้านเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะวางแผนอะไรเอาไว้แล้วต้องพูดอธิบายออกมาให้ทั้งสองคนฟัง
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก ตอนแรกที่ฉันให้พวกเธอแอบๆ กันก่อนเพราะฉันไม่อยากจะให้เขารู้ตัวถ้าไม่จำเป็นน่ะ แต่ว่าถ้าเกิดสาวใช้คนที่เธอไปเจอมาเขาเป็นลมล้มไปแบบที่นากาคุงพูดขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”
“แหม่ ถ้าคุณเอริกะว่าแบบนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เนอะนากาคุง~”
“มันก็แน่อยู่แล้วสิ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
คำตอบของเอริกะได้ทำให้บนใบหน้าของทั้งสองคนเกิดรอยยิ้มขึ้นมาก่อนที่พวกเขาจะเดินลัดเลาะไปตามแนวป่าเพื่อตรงไปทางประตูหน้าคฤหาสน์กัน
แต่แล้วในขณะเอริซาเบธกำลังจะก้าวขาออกไปยังถนนเส้นหลักที่เชื่อมต่อระหว่างหน้าประตูคฤหาสน์ตรงไปยังตัวเมืองรีมินัสนั้นเธอก็กลับชะงักไปเสียก่อนและหันซ้ายหันขวาเหมือนกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่จนทำให้นากาต้องพูดถามหญิงสาวหูจิ้งจอกขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เธอมองหาอะไรอยู่น่ะเอริ?”
“ก็พวกอัศวินเฝ้ายามของคุณเวก้าเขาน่ะสิ… พวกเขาหายไปไหนกันหมด…?”
“หือ?”
คำตอบของเอริซาเบธได้ทำให้นากาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะกวาดตามองดูตัวคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลและได้พบว่าที่ด้านหน้าประตูรั้วที่ถ้าคิดตามปกติแล้วควรจะมีคนยืนเฝ้ายามอยู่ตลอดเวลานั้นกลับว่างเปล่าไปเสียอย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้นนากาก็กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะถ้าฟังจากที่คอนแนลคุยกับอลิซเมื่อวานนี้แล้วดูเหมือนว่าหน้าที่เฝ้ายามมันจะเป็นของคอนแนลที่เมื่อคืนนี้ไปนอนค้างที่บ้านของเอริกะแทน
“แต่เห็นว่าหน้าที่เฝ้าประตูหน้ามันเป็นของคอนแนลเขานี่ เพราะงั้นตอนนี้จะไม่มีคนยืนเฝ้ามันก็ไม่แปลกหรอกล่ะมั้ง”
“อื้ม… แต่ฉันว่ามันดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ … เอาเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้นแหล่ะเนอะ เอาเป็นว่าพวกเรารีบไปกันเถอะ~”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ขมวดคิ้วอยู่ชั่วขณะก่อนที่เธอจะปล่อยวางและเดินนำนากาไปยังหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ก่อนจะดันหลังของนากาเป็นสัญญาณว่าให้เกียรติเขาเป็นคนกดกริ่งหน้าประตูไปซะอย่างงั้น
“เชิญเลยจ้ะ~”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะกดกริ่งเรียกพวกเขาออกมาเลยแล้วกันนะเอริกะ”
“เออใช่— ขอเวลาให้ฉันแป๊บนึงสินากาคุง ก่อนที่เธอจะเข้าไปข้างในนั้นฉันมีเรื่องที่จะต้องพูดเตือนเธอเอาไว้ก่อนน่ะ”
ในชั่วขณะที่นากากำลังจะยื่นมือไปกดที่กริ่งของตัวคฤหาสน์นั้นเอง เอริกะก็ได้เอ่ยปากพูดห้ามเขาขึ้นมาเสียก่อนจนทำให้นากาต้องชะงักมือของเขาไปและพูดถามเอริกะกลับไปด้วยความแปลกใจ
“หืม? ว่ามาสิ”
“คือฉันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธออยากจะช่วยเหลือคนอื่นน่ะ แต่ถ้ายังไงก่อนที่เธอจะตัดสินใจช่วยเหลือใครฉันอยากจะให้เธอคิดให้ดีๆ ก่อนว่าการเข้าไปช่วยเหลือเขามันจะทำให้เธอตกที่นั่งลำบากซะเองหรือเปล่าน่ะ เพราะไม่อย่างนั้นนอกจากเธออาจจะช่วยอะไรใครเขาไม่ได้แล้วมันยังจะทำให้คนอื่นๆ ต้องเสี่ยงเข้าไปช่วยเธอเข้าอีกต่อนึงซะเปล่าๆ อีกด้วยน่ะเข้าใจหรือเปล่า”
“เอ๋ะ— เอ่อ… ก็เข้าใจอยู่ล่ะมั้ง…”
“ถ้าเธอยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นอะไรหรอก เอาเป็นว่าสำหรับภารกิจครั้งนี้เธอทำตามที่เอริซาเบธเขาแนะนำไปก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังไงฉันฝากเธอดูแลนากาคุงเขาด้วยก็แล้วกันนะเอริ”
“รับทราบค่ะ เอาไว้ถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวฉันจะจัดการนากาคุงเขาก่อนที่เรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตให้เอง~”
เอริซาเบธที่ได้ยินเอริกะพูดสั่งขึ้นมาผ่านเครื่องสื่อสารขนาดเล็กได้กระดิกหางจิ้งจอกฟูๆ ของเธอพูดตอบกลับไปอย่างขยันขันแข็งก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปกดที่กระดิ่งที่ติดอยู่ข้างๆ ประตูรั้วคฤหาสน์เพื่อเริ่มต้นแผนการในทันที
กริ๊งงงงงง!
“เข้าไปตรงๆ แบบนี้มันจะดีจริงๆ หรอเนี่ย…”
“จุ๊ๆ พูดแบบนั้นเดี๋ยวถ้าเกิดมีใครมาได้ยินเข้าเขาก็คิดว่าพวกเราน่าสงสัยกันพอดีสินากาคุง~ เอ้ายืดหลังตรงทำหน้านิ่งๆ ขึงขังๆ หน่อย~”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวลของนากาได้ยิ้มแป้นและยื่นมือไปตบหลังนากาเบาๆ สองสามทีก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองดูที่ประตูไม้ของตัวคฤหาสน์เพื่อเฝ้ารอสาวใช้หรือว่าหน่วยอัศวินของเวก้าที่น่าจะออกมาสอบถามพวกเธอในอีกไม่ช้านี้
แต่ว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาอยู่ปรอยๆ ก็กลับไม่มีวี่แววว่าจะมีใครออกมาสอบถามพวกเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ
“อันนี้มันชักจะแปลกๆ จริงๆ แล้วล่ะมั้งเนี่ย”
“นั่นสิ… ปกติแล้วมันน่าจะมีพวกสาวใช้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกโดยเฉพาะอยู่นะ… อื้มมมม….”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะตัดสินใจลองยื่นมือไปผลักตัวประตูรั้วออกดู
แกร๊ก…..
“อ่ะ— ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ล็อกประตูด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวสิๆ แบบนี้มันจะไม่แปลกเกินไปหน่อยแล้วหรอนั่น”
คำพูดของเอริซาเบธและประตูรั้วขนาดใหญ่ที่ถูกผลักจนเปิดออกได้อย่างง่ายดายนั้นถึงกับทำให้นากาผงะไปเล็กน้อย แต่ว่าทางด้านเอริซาเบธนั้นก็กลับพูดตอบนากากลับไปแบบส่งๆ แทน
“จะว่าแปลกมั้ยมันก็แปลกนั่นล่ะ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราก็มาทำตัวเป็นแขกที่มาหาแล้วเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ล็อกประตูก็เลยเผลอเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วงก็แล้วกัน~”
ทันทีที่เอริซาเบธพูดจบเธอก็ก้าวเท้าเดินตรงไปยังประตูของตัวคฤหาสน์ที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรในทันทีโดยไม่รอให้นากาได้มีโอกาสได้พูดอะไรออกมาอีกจนทำให้นากาต้องรีบเดินตามเธอไปด้วยเช่นกัน
แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วเอริซาเบธที่เดินนำหน้านากาอยู่ก็กลับชะงักเท้าของเธอไปและหันไปมามองซ้ายขวาด้วยท่าทีระแวดระวังพร้อมกับกระดิกหูจิ้งจอกฟูๆ ของเธอไปมาไปด้วยก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แปลกมาก… ที่นี่มันเงียบเกินไป…”
“แต่ไม่ใช่เมื่อกี้นี้ตอนที่เธอแอบเข้ามาดูก่อนเธอก็พูดแบบนั้นเหมือนกันหรอกหรอน่ะ… เอาเป็นว่าพวกเราลองเคาะประตูดูก่อนก็แล้วกัน”
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
“………….”
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเคาะประตูอย่างแรงของนากาดังขึ้นมาลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งมันก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอะไรดังออกมาจากด้านในตัวคฤหาสน์เลยแม้แต่น้อยจนทำให้ทั้งนากาและเอริซาเบธได้แต่หันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่เอริซาเบธจะเป็นคนลองเคาะประตูดูบ้าง
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
“………….”
“ก็ยังเงียบอยู่เหมือนเคย… แบบนี้สงสัยสาวใช้คนที่เธอเจอจะมีปัญหาจริงๆ แล้วล่ะมั้งนั่นเอริ… แบบนี้พวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะ?”
“อื้ม… แบบนี้พวกเราลองเข้าไปด้านในดูเลยก็ได้ล่ะมั้ง… ถึงมันจะดูเหมือนกับเป็นการบุกรุกก็เถอะ แต่ว่าเรื่องของชีวิตคนมันรอไม่ได้จริงมั้ยล่ะ…”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาได้นิ่งใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดเสนอแผนการออกมาและเปิดประตูเดินนำนากาเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ของเวก้าอย่างรวดเร็ว
ซึ่งที่ด้านในห้องโถงหลักของตัวคฤหาสน์นั้นก็เหมือนกับคฤหาสน์ทั่วๆ ไปที่นากาเคยเห็นจากในหนังสือเรียนคือเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีบันไดอยู่ตรงกลางและแยกออกไปทางซ้ายกับขวาสำหรับเดินไปทางปีกซ้ายกับขวาของตัวคฤหาสน์ และที่ตรงชานบันไดนั้นก็มีนาฬิกาโบราณขนาดใหญ่ที่มีลูกตุ้มแกว่งไปมาส่งเสียงฟันเฟืองตัดผ่านความเงียบเชียบและความมืดมิดภายในตัวคฤหาสน์มาให้พวกเขาได้ยิน
“มืดแบบนี้มองไม่ค่อยจะเห็นทางเลยแฮะ… นากาคุงหยิบตะเกียงตรงนั้นมาให้หน่อยสิ ที่เขาแขวนเอาไว้ตรงข้างประตูนั่นน่ะ”
“หือ? อ๋อ ไอ้เจ้านี่น่ะหรอ”
นากาที่ได้ยินคำสั่งของเอริซาเบธได้หันซ้ายหันขวาเพ่งตามองผ่านความมืดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเจอตะเกียงวิซจำนวนหนึ่งที่ถูกแขวนเอาไว้ที่ใกล้ๆ กับประตู เขาจึงได้หยิบมันส่งไปให้เอริซาเบธหนึ่งอันโดยไม่ได้มีคิดที่จะหยิบมันมาใช้เองเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางด้านเอริซาเบธที่ได้รับมันไปนั้นก็ได้เอามันไปส่องดูสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“เห~ เดี๋ยวนี้พวกตะเกียงที่พวกคุณๆ ท่านๆ ขุนนางใช้กันนี่เขามีตัวแปรธาตุติดมาให้ด้วยแล้วหรอเนี่ย… ก็สะดวกดีล่ะนะ ถึงมันจะไม่จำเป็นสำหรับฉันสักเท่าไหร่ก็เถอะ~”
“เอ๋ะ? ปกติของใช้ทั่วไปเขาไม่มีตัวแปรธาตุติดมาให้ด้วยหรอน่ะ?”
หลังจากที่เอริซาเบธพูดจบแล้วตัวตะเกียงในมือของเธอก็ได้มีเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมามอบแสงสว่างตัดผ่านความมืดภายในตัวคฤหาสน์ไปเป็นวงกว้าง ส่วนทางด้านนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
เพราะว่าปกติแล้วพวกของใช้ต่างๆ ภายในบ้านของนากาที่หมู่บ้านโมริกะที่อารอนเป็นคนนำมาให้จากในเมืองมันมักจะมีตัวแปรธาตุติดมาให้อยู่ด้วยเสมอ เนื่องจากพรีมูล่าที่เป็นคนจัดการใช้งานพวกเครื่องเรือนที่ใช้วิซต่างๆ ไม่สามารถใช้วิซธาตุอื่นได้นอกจากธาตุน้ำแข็งอีกทั้งเจ้าตัวเองก็ยังไม่ยอมฝึกใช้งานวิซธาตุอื่นอีกด้วยเขาจึงนึกว่าตัวแปรธาตุที่เอริซาเบธพูดถึงมันเป็นเรื่องปกติเสียอีก
“ก็ปกติตะเกียงวิซพวกนี้เนี่ยเธอจะต้องหาคนที่ใช้วิซธาตุไฟได้มาจุดให้น่ะสิ แต่หลังๆ มานี่เห็นคุณเอริกะเขาบอกว่ามันเริ่มจะมีตัวแปรธาตุขนาดเล็กๆ ผลิตออกมาวางขายกันบ้างแล้วล่ะ ถึงราคามันจะยังโหดใช่ย่อยอยู่ก็เถอะนะ~”
“อ่าหะ…”
คำตอบของเอริซาเบธได้ทำให้นากากะพริบตาปริบๆ มองดูตะเกียงวิซติดตัวแปรธาตุในมือของเอริซาเบธด้วยความแปลกใจ เพราะว่าเมื่อมองดูผ่านๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีหน้าตาต่างไปจากตะเกียงวิซในบ้านที่หมู่บ้านโมริโกะของเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยว่าตะเกียงวิซที่พรีมูล่าชอบเอาไปแกว่งเล่นอยู่บ่อยๆ นั่นมันจะเป็นของแพงอะไรแบบนี้
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดอะไรออกมาเอริซาเบธก็ได้ยกตะเกียงวิซในมือของเธอขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในตัวตะเกียงจะแบ่งตัวเองออกเป็นหลายๆ ลูกและพุ่งไปยังเชิงเทียนที่แขวนอยู่ตามโถงทางเดินจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่วบริเวณจนทำให้นากาที่ไม่เคยเห็นวิธีการใช้วิซแบบนี้มาก่อนต้องมองตามมันไปด้วยความสนอกสนใจ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะนากาคุง ทางด้านฝั่งขวาของคฤหาสน์นั่นน่ะที่ฉันเห็นสาวใช้คนนั้นนั่งอยู่น่ะ”
“อื้ม ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ”
นากาพูดตอบเอริซาเบธกลับไปก่อนที่เขาจะรีบเดินตามหลังเธอไปตามโถงทางเดินทางด้านขวาของตัวคฤหาสน์ ซึ่งเอริซาเบธที่เดินนำหน้าเขาอยู่นั้นก็ได้แบ่งเปลวไฟของตะเกียงวิซในมือของเธอไปจุดเชิงเทียนที่แขวนเรียงรายเอาไว้ตามผนังอยู่ตลอดทางราวกับว่าเธอกำลังเล่นสนุกอยู่ ในขณะที่สายฝนเบื้องนอกที่โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบาก็ได้ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะมีประกายแสงของสายฟ้าวูบวาบผ่านผ้าม่านที่ปิดสนิทเข้ามาเป็นระยะๆ จนทำให้เอริซาเบธอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมา
“แหม่~ พอมีแสงฟ้าแลบฟ้าผ่าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเรื่อยๆ แบบนี้นี่ดูๆ ไปแล้วก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ~”
“เอริ… ข้างหน้านั่น…”
“หืม? อะไรหรอนากาคุง”
ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดบ่นขึ้นมาแบบทีเล่นทีจริงอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้สะกิดเรียกเธอเบาๆ และชี้ไปทางโถงทางเดินเบื้องหน้าจนทำให้เอริซาเบธต้องหันไปมองด้วยความสงสัย
และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับเงาตะคุ่มๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่อย่างเงียบๆ จนทำให้เธอถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเพราะว่าหูจิ้งจอกฟูๆ ที่เธอมั่นใจไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าก่อนที่เอริซาเบธจะได้พูดอะไรออกมานากาก็ได้รีบวิ่งเข้าไปร้องถามสาวใช้เบื้องหน้าด้วยความเป็นห่วงเข้าซะก่อน
“นี่เธอ! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“เดี๋ยวก่อนนากาคุง!!”
ถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะพยายามร้องห้ามนากาเอาไว้เพราะเธอรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่เธอเองก็อธิบายไม่ถูกก็ตามที แต่ว่าเด็กหนุ่มก็กลับไม่สนใจเธอและรีบวิ่งตรงเข้าไปนั่งคุกเข่าดูอาการของสาวใช้คนนั้นคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะนิ่งไปสักพักหนึ่งและเอ่ยปากเรียกเอริซาเบธขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“อ–เอริ…”
“……….”
เสียงร้องเรียกของนากานั้นไม่ได้รับการตอบรับจากเอริซาเบธที่ในขณะนี้กำลังขมวดคิ้วมองตรงไปยังโถงทางเดินเบื้องหน้าที่พวกเธอยังเดินไปไม่ถึงด้วยสายตาเคร่งเครียดจนทำให้นากาต้องร้องเรียกเธอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“อ–เอริ… ธ—เธอมาดูนี่หน่อยสิ”
“แป๊บนึงนะนากาคุง… ข้างหน้านั่นมันมีอะไรสักอย่างอยู่…”
“เอริ!! เธอรีบมาดูอาการของเธอคนนี้เร็ว สาวใช้คนนี้เขาไม่หายใจแล้วนะ!!”
เปรี๊ยง!
“—!?”
ในชั่วขณะที่นากาได้ร้องตะโกนเรียกเอริซาเบธขึ้นมาเสียงดังนั้นเองก็ได้มีแสงสว่างวาบลอดผ่านผ้าม่านที่ปิดสนิทเข้ามาจนทำให้เอริซาเบธได้เห็นร่างของอัศวินและสาวใช้จำนวนหนึ่งที่นอนกองอยู่กับพื้นในส่วนของโถงทางเดินที่พวกเธอยังเดินไปไม่ถึง และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธได้ตัดสินใจที่จะยื่นมือไปกระชากคอเสื้อของนากาเอาไว้และกระโดดถอยไปเบื้องหลังพร้อมกับร้องสั่งเด็กหนุ่มขึ้นมาเสียงดังในทันที
“นากาคุงเธอชักอาวุธออกมาเดี๋ยวนี้เลย!!”