บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 151 Blighted Name
หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งจนแสงอาทิตย์เริ่มที่จะลับขอบฟ้า รถกระบะของพวกนากาก็ได้ค่อยๆ ลดความเร็วลงจนมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าป่ารกทึบริมแม่น้ำที่ติดอยู่กับเทือกเขาแห่งหนึ่ง
ซึ่งอีฟที่ถูกนากาพาตัวมาด้วยนั้นก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดลงจากหลังรถกระบะไปในทันทีจนทำให้โมโกะต้องรีบกระโดดตามลงไปเพื่อจับตัวอีฟเอาไว้ไม่ให้หลุดไปเล่นซนที่ไหนก่อน
“อย่าเพิ่งรีบสิอีฟ ทุกคนเขายังเตรียมตัวกันอยู่เลยนะ…”
หลังจากที่โมโกะพูดจบแล้วเธอก็จูงมืออีฟเดินกลับไปหานากาและรีซาน่าที่กำลังจัดแจงรับสัมภาระที่ถูกมีอาส่งลงมาจากหลังรถมากองรวมๆ กันเอาไว้ก่อน
และหลังจากที่สัมภาระชิ้นสุดท้ายที่เป็นกล่องไม้ขนาดพอประมาณถูกขนลงมาแล้ว นากาก็ได้หันไปมองหนทางเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ถูกจับเอาไว้ด้วยตะไคร่น้ำและพงหญ้ารกชัฏท่ามกลางแสงสลัวๆ ของยามเย็นและเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ป่าทึบเหมือนกันนะเนี่ย…”
“เธอแน่ใจหรอจ๊ะว่าหมู่บ้านของเธออยู่ในป่านี้น่ะรีซาน่าจัง? ฉันเคยนั่งรถม้าไปแพนเทร่าผ่านทางนี้หลายรอบอยู่ แต่ก็ไม่เคยเห็นจะมีใครขอลงแถวๆ นี้เลยนะ”
ถึงแม้ว่ามีอาจะมั่นใจว่าเดรคคงจะไม่มีทางพาพวกเธอมาส่งผิดที่ก็ตาม แต่ว่าสภาพของป่าดิบชื้นที่ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไปมาได้สักเป็นสิบหรือไม่ก็เป็นร้อยปีแล้วเบื้องหน้ามันก็เริ่มจะทำให้เธอเกิดความไม่มั่นใจจนต้องเอ่ยปากพูดถามรีซาน่าผู้เป็นสมาชิกของหมู่บ้านขึ้นมา
ซึ่งรีซาน่าที่จัดการสัมภาระของตัวเองเสร็จแล้วและกำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนเทือกเขาสูงเบื้องหน้าอยู่ก็ได้ละสายตาออกมาเหลือบมองไปทางด้านเดรคที่เป็นคนขับรถพาพวกเธอมาส่งที่นี่ด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปทางด้านมีอาเพื่อพูดตอบคำถามของอีฟฝ่ายกลับไป
“ที่นี่ไม่ผิดแน่แล้วล่ะค่ะ ที่มันดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยผ่านมาแถวนี้มันเป็นเพราะว่าพวกชาวบ้านเขาชอบเข้าออกอีกทางนึงที่ไม่อยู่ใกล้กับถนนใหญ่แล้วก็ปลอดภัยกว่าการเดินผ่านป่านี้น่ะค่ะ…”
“หืม? แล้วทำไมพวกเราไม่ไปเข้าทางนั้นกันแทนล่ะ?”
ในขณะที่รีซาน่ากำลังพูดตอบมีอากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านนากาที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ กันก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมา เพราะว่าถ้าเกิดมันมีเส้นทางที่น่าจะปลอดภัยกว่าการเดินทางฝ่าป่าทึบตอนกลางคืนแบบนี้เขาก็ไม่ลังเลที่จะเลือกเส้นทางนั้นแทน
แต่ว่าทางด้านรีซาน่าก็กลับเผยสีหน้ายุ่งยากใจออกมาก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง
“คือแบบว่าสำหรับตอนนี้เส้นทางนั้นมันออกจะมีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ… เพราะว่านอกจากจะต้องไต่เขาขึ้นไปแล้วเมื่อตอนที่ฉันออกมาจากหมู่บ้านมันมีเหตุหินถล่มนิดหน่อยจนเส้นทางถูกปิดไป… แล้วที่สำคัญก็คือว่าทางเข้ามันอยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขานี่อีกด้วยน่ะค่ะ”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้แหล่ะมั้ง”
นากาที่ได้ยินคำตอบจากรีซาน่าได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยพลางจ้องมองเขาไปในป่าทึบเบื้องหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ร้ายอันตรายอะไรอาศัยอยู่บ้างด้วยความกลุ้มใจในความปลอดภัยของอีฟที่มีนิสัยเหมือนกับเด็กอีกทั้งยังต่อสู้ไม่เป็นอีกด้วย
ซึ่งท่าทีกลุ้มใจของนากานั้นก็ได้ทำให้รีซาน่าพูดแผนการเดินทางที่เธอคิดเอาไว้แล้วออกมาให้นากาฟัง
“เอาจริงๆ มันก็ไม่เชิงว่าพวกเราจะต้องฝ่าป่านี่ไปหรอกนะคะ ตอนแรกฉันวางแผนว่าจะให้พวกเราเดินทางตามแม่น้ำสายนั้นเพราะถึงมันจะต้องอ้อมไปมานิดหน่อยแต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะปลอดภัยกว่าการเดินฝ่าผืนป่าไปน่ะค่ะ… ตอนที่คุณเดรคเขาขับมาแบบไม่ถามทางเลยฉันก็นึกว่าแผนจะเหลวแล้วซะอีก แต่ว่าคุณเดรคเขาดันพามาส่งได้ถูกที่ซะได้…”
หลังจากที่รีซาน่าพูดบอกนากาไปจนจบแล้วเธอก็แอบเหลือบมองไปทางด้านเดรคที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักหมู่บ้านของเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัยอีกครั้งหนึ่ง และนั่นก็ทำให้มีอาต้องเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะชี้ไปที่กล่องไม้ที่นากาขนมันลงมาเป็นอย่างสุดท้ายแล้วจึงเอ่ยปากเรียกโมโกะขึ้นมา
“อ๋อ ใช่แล้วล่ะโมโกะจัง คุณเอริกะกับอลิซจังเขาฝากเจ้านั่นมาให้เธอยืมใช้น่ะจ้ะ”
“เอ๋ะ? เจ้านั่น…?”
โมโกะที่ถูกเรียกนั้นได้เดินจูงมืออีฟเข้าไปเปิดกล่องไม้ด้วยความสงสัยก่อนที่ตัวสิ่งของที่ถูกบรรจุเอาไว้ภายในมันจะทำให้เธอต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“เจ้านี่มันยูนิตของอลิซเขาไม่ใช่หรอ…?”
สิ่งที่ถูกบรรจุเอาไว้ในกล่องไม้นั้นก็คือพาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กกับพาร์ทส่วนบนที่เป็นแขนกลติดปืนกลเบาสองกระบอก หรือก็คือยูนิตเชสเชียร์อันเป็นยูนิตส่วนตัวของอลิซนั่นเอง และสิ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่ามันเป็นยูนิตเชสเชียร์แน่ๆ นั้นก็คือร่องรอยการใช้งานอย่างรอยบุบต่างๆ หรือรอยไหม้ดำบางส่วนที่ยังคงเผยออกมาให้เห็นอยู่บ้างตามขอบมุมของมัน ซึ่งตัวตนของยูนิตในกล่องไม้นั้นก็ได้ทำให้โมโกะต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เอริกะกับอลิซเอายูนิตนี่มาให้หนูใช้แบบนี้มันจะดีจริงๆ หรอคะคุณมีอา ไม่ใช่ว่าอลิซเขายังจำเป็นต้องใช้งานมันอยู่หรอ?”
“เรียกว่ามีอาเฉยๆ ก็พอแล้วล่ะจ้ะ ส่วนเรื่องยูนิตนี่เธอไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ต่อให้ไม่มีมัน แต่อลิซจังเขาก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วล่ะจ้ะ อีกอย่างนึงช่วงนี้อลิซจังเขาก็โดนคุณเอริกะคุมเข้มอยู่ด้วยจนไม่น่าจะได้ออกไปซนที่ไหนหรอก”
มีอาพูดอธิบายออกมาให้โมโกะฟังด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานเหล่าเด็กๆ ขึ้นมา เพราะว่าในเวลานี้พระอาทิตย์ใกล้ที่จะลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว และการเดินทางฝ่าป่าทึบในยามค่ำคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่ชาญฉลาดนักอีกด้วย
“ถ้างั้นเอาเป็นว่าวันนี้เราตั้งเต็นท์พักกันที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่านะจ๊ะ เพราะถ้าขืนเข้าไปในป่าตอนมืดๆ แบบนี้มีหวังได้หลงทางกันแน่ๆ เลย”
ในช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา หลังจากที่ทุกคนจัดการธุระส่วนตัวและทานอาหารเช้ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ถูกมีอาเรียกมาเพื่อทบทวนเรื่องต่างๆ กันอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะได้ออกเดินทางกัน
“สำหรับเครื่องมือสื่อสารของคุณเอริกะนี่นากาคุงน่าจะใช้เป็นอยู่แล้วล่ะเนอะ แล้วอุปกรณ์อื่นๆ ล่ะ เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วหรือยัง?”
“ก็มีตั้งแต่เชือก เต็นท์พกพา อาหารสำรอง ยาไล่แมลง ไปจนถึงเชื้อไฟที่เอริกะเตรียมมาให้ฉันใช้นั่นแหล่ะ”
“ของเยอะขนาดนั้นต่อให้หลงป่าสักสองสามวันก็ยังสบายๆ ล่ะมั้ง…”
ในขณะที่นากากำลังพูดตอบมีอากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะก็ได้พูดบ่นออกมาเบาๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าปริมาณของที่เอริกะเตรียมเอาไว้ให้มันก็ไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งนากาเองก็ยังไม่ยอมให้เธอที่ยังไม่หายดีและอีฟที่เป็นเด็กในการดูแลของเขาช่วยเขาถือของ จนสภาพของเขาในตอนนี้มีกระเป๋าสะพายอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังอีกทั้งยังมีกระเป๋าสะพายข้างอีกอันหนึ่งพาดไหล่อยู่อีกด้วย
ซึ่งคำพูดบ่นเล็กบ่นน้อยของโมโกะนั้นก็ได้ทำให้มีอาหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่เธอจะจับโมโกะไปสวมใส่ยูนิตเชสเชียร์เอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการเตรียมตัว
“ไม่มีคำว่าเตรียมตัวมากเกินไปในโลกนี้หรอกนะจ๊ะ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้โมโกะจังมาสวมยูนิตเตรียมพร้อมก่อนน่าจะดีกว่านะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
โมโกะพูดตอบมีอากลับไปก่อนที่เธอจะถูกมีอาจับไปสวมใส่ยูนิตจนเสร็จ และเมื่อมีอาจัดการอะไรต่างๆ ให้โมโกะเสร็จแล้วเธอก็ได้ยื่นเอาตลับยาสองตลับออกไปให้โมโกะและพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง
“ส่วนอันนี้เป็นยาสำหรับเธอจ้ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าลืมทานมันหลังอาหารสามมื้อด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ ส่วนอันนี้… เป็นยาสำหรับกรณีฉุกเฉินน่ะจ้ะ ถ้าคิดว่าตัวเองกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือว่าสถานการณ์ดูไม่ปกติก็เอามันออกมากินเผื่อเอาไว้ก่อนจะต้องออกแรงก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“อื้ม… ขอบคุณนะคะ”
โมโกะพูดขอบคุณมีอากลับไปและจัดเก็บตลับยาทั้งสองเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงของเธอ ส่วนทางด้านรีซาน่าที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ กันนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าทุกคนเหมือนจะเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว
“ถ้างั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะค่ะ ถ้าไปกันตอนนี้น่าจะถึงที่หมู่บ้านของฉันสักช่วงเที่ยงพอดี จะได้ไม่ต้องแวะพักกันกลางทางด้วย”
“โอ้ พวกเราไปเถอะโมโกะ ฝากเธอดูแลอีฟด้วยล่ะ”
นากาที่ได้ยินคำพูดเร่งรัดของรีซาน่าได้ขยับกระเป๋าทั้งสามใบที่เขาสวมใส่เอาไว้ให้เข้าที่และหันไปพูดบอกโมโกะขึ้นมา ซึ่งโมโกะก็ได้ยื่นมือไปจับมือของอีฟมากุมเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปทางเส้นทางริมแม่น้ำและค่อยๆ เดินจากไปโดยทิ้งเหล่าผู้ใหญ่ทั้งสองคนอย่างมีอาและเดรคที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียกว่าปกติเอาไว้เบื้องหลัง
และหลังจากมีอาโบกมีลาอีฟจนลับสายตาไปแล้ว เธอก็ได้หันกลับไปมองเดรคที่กำลังขมวดคิ้วมองขึ้นไปบนเทือกเขาอยู่ด้วยท่าทีที่ดูเหมือนว่าเขากำลังหงุดหงิดในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้มีอาตัดสินใจที่จะพูดถามเขาขึ้นมา
“แล้วนายจะเอายังไงล่ะเดรค?”
“……..”
เดรคที่ได้ยินมีอาพูดถามขึ้นมานั้นไม่ได้พูดตอบอะไรเธอกลับไป อีกทั้งเขายังไม่ยอมละสายตาออกมาจากเทือกเขาเบื้องหน้าด้วย จนทำให้มีอาที่เห็นแบบนั้นถึงกับหลุดรอยยิ้มขำขันออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ถ้านายตัดสินใจได้แล้วก็ค่อยมาบอกฉันก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องภารกิจที่คุณเอริกะมอบหมายเอาไว้ให้หรอกนะ เพราะฉันขับรถนี่ไปรับของเองได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว… แล้วอีกอย่างนึง ยังไงพวกเด็กๆ ของคุณเอริกะรุ่นพวกเราก็ขึ้นชื่อว่าชอบทำอะไรตามใจกันอยู่แล้วนี่ เพราะงั้นคุณเอริกะเขาคงจะไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง”
“ฮึ่ม….”
“……..”
“เดินดีๆ นะอีฟ ระวังจะลื่นล้มจนได้แผลล่ะ”
ในขณะที่พวกนากากำลังเดินทอดน่องไปตามเส้นทางเลียบแม่น้ำที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะที่เดินจูงมืออีฟเอาไว้ก็จำเป็นที่จะต้องพูดเตือนเด็กสาวขึ้นมา เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าอีฟดูเหมือนจะไม่มีสมาธิกับการเดินไปตามก้อนกรวดลื่นๆ เหล่านี้สักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอีฟก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะตั้งใจมองเส้นทางเบื้องหน้าด้วยเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ของเธอเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเด็กสาวยังยื่นมือออกไปสะกิดนากาอีกด้วย จนทำให้นากาที่พักนี้เริ่มที่จะทำตัวเป็นคุณพ่อติดลูกสาวต้องพูดถามขึ้นมา
“มีอะไรหรออีฟ เหนื่อยแล้วหรือเปล่า จะขี่คอพี่ก่อนมั้ย?”
“นายพูดแบบนั้นนี่คิดว่าจะให้อีฟขี่คอไหวจริงๆ หรอน่ะ…?”
คำถามของนากานั้นได้ทำให้โมโกะต้องส่ายหน้าไปมา เพราะว่ากระเป๋าสามใบอันเป็นสัมภาระส่วนตัวของนากา ของเธอ และของอีฟที่นากายึดไปสะพายเอาไว้คนเดียวมันก็ดูพะรุงพะรังจะแย่อยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอีฟก็กลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะขอขึ้นไปขี่คอนากาเหมือนกับที่เธอชอบทำบ่อยๆ เลยแม้แต่น้อย และยื่นมือชี้ตรงไปทางรีซาน่าที่เดินนำหน้าอยู่จนทำให้ผู้ปกครองทั้งสองคนของเธอต้องหันไปมองหน้ากันเองด้วยความสงสัย
“รีซาน่าเขาทำไมหรออีฟ?”
“อื้ม… จะว่าไปรีซาน่าเขาก็เงียบมาสักพักใหญ่แล้วนี่นา… เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ…”
ในขณะที่นากาสังเกตไม่เห็นถึงความผิดปกติของรีซาน่า ทางด้านโมโกะที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนและสนิทกับรีซาน่ามากกว่าก็กลับสามารถสังเกตเห็นได้ว่ารีซาน่าที่ปกติแล้วมักจะมีท่าทีเป็นมิตรและชอบเอ่ยปากชวนคนอื่นพูดคุยเพื่อสร้างบรรยากาศสนุกสนานมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย ซึ่งสิ่งที่โมโกะพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้นากาเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติได้เช่นเดียวกัน
“ก็ดูเงียบผิดปกติจริงๆ นั่นล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันลองเข้าไปถามดูให้เองก็ละกัน.. เฮ้ รีซาน่า ขอเวลาแป๊บนึงสิ”
“……..”
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเรียกของนากาดังขึ้นมาแล้ว แต่ว่ารีซาน่าที่เดินนำอยู่เบื้องหน้านั้นก็กลับไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงหรือว่าหันกลับมาให้ความสนใจทางด้านนากาเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ทั้งนากาและโมโกะต้องหันไปมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหารีซาน่าและพูดทักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“รีซาน่า? ได้ยินฉันหรือเปล่า?”
“ค—คะ!? มีอะไรหรือเปล่าคะนากาคุง?”
รีซาน่าที่ถูกนากาเข้าไปสะกิดเรียกใกล้ๆ นั้นได้สะดุ้งเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะหลุดจากภวังค์ ซึ่งคำถามที่รีซาน่าพูดถามกลับมานั้นก็ได้ทำให้โมโกะที่สนิทกับรีซาน่ามากกว่าตัดสินใจที่จะพูดสอบถามขึ้นมา
“เธอนั่นแหล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า อีฟเขาเห็นเธอเหม่อๆ มาสักพักนึงแล้วก็เลยเป็นห่วงน่ะ”
“อ่ะ… พอดีว่าฉันมีเรื่องอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะค่ะ แหะๆ …”
รีซาน่าหัวเราะพร้อมกับพยายามพูดกลบเกลื่อนออกมา แต่ว่าด้วยท่าทีที่ดูไม่แนบเนียนเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้ทำให้ทั้งโมโกะและนากาต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่พวกเขาจะพูดสอบถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เธอคิดเรื่องอะไรอยู่จะเล่าให้พวกฉันฟังบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียวหรอก มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านของเธอหรือเปล่า?”
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรพวกฉันก็พร้อมจะรับฟังนะรีซาน่า ฉันเห็นเธอทำท่าทางแปลกๆ ไปตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าจะต้องกลับมาที่หมู่บ้านของเธอแบบนี้แล้วน่ะ ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หรืออะไรก็ลองเล่ามาให้พวกฉันฟังก่อนก็ได้ พวกเราจะได้ช่วยกันคิดหาทางออกไง”
“……!”
ในขณะที่โมโกะและนากากำลังพยายามที่จะพูดเกลี้ยกล่อมรีซาน่าอยู่นั้นเอง ทางด้านอีฟก็ได้หันมองซ้ายมองขวาสลับไปมาระหว่างนากาและโมโกะก่อนที่เธอจะพยักหน้าถี่ๆ ราวกับจะสื่อว่าเธอเองก็พร้อมที่จะรับฟังเรื่องกลุ้มใจของรีซาน่าด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งท่าทางของคนทั้งสามคนนั้นก็ได้ทำให้รีซาน่าต้องมองเพื่อนๆ ของเธอด้วยสายตาตื้นตัน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะเล่ามันออกมาให้พวกเขาฟัง
“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ… ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราไปถึงจุดพักข้างหน้าแล้วเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะคะ เพราะว่าเรื่องนี้มันคงจะต้องเล่ากันยาว นากาคุงจะได้ถือโอกาสพักเหนื่อยไปด้วยเลย”
“ฉันยังสบายๆ อยู่เลยนะ แต่ถ้าเธอว่างั้นมันก็ได้แหล่ะ”
“ถ้างั้นก็ตามฉันมาเลยค่ะ ถ้าฉันคาดเอาไว้ไม่ผิด ข้างหน้าน่าจะมีจุดเหมาะๆ ให้นั่งพักอยู่น่ะค่ะ อยู่ไม่ไกลสักเท่าไหร่หรอก”
รีซาน่าพูดตอบนากากลับไปก่อนที่กลุ่มของพวกเธอจะเร่งฝีเท้าออกเดินทางกันอีกครั้งหนึ่ง
และหลังจากนั้นอีกสักพักใหญ่ รีซาน่าก็เดินนำทุกคนมาจนถึงถนนเส้นหนึ่งที่มีหินกองใหญ่ถล่มลงมาปิดเอาไว้จนมิดจนดูเหมือนกับกำแพงหินขนาดย่อมๆ ที่ปิดกั้นทางเดินฝั่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางออกจากป่าและเทือกเขาจนไม่เหลือทางให้เดิน
“นี่น่ะหรอที่เธอบอกว่าหินมันถล่มลงมาปิดทางเอาไว้น่ะ ถ้ามันปิดทางซะมิดแบบนี้ก็คงจะเข้าออกทางนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหล่ะ…”
“แหะๆ มันก็อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะค่ะ ถึงตอนนี้มันจะเป็นอย่างนี้ไปแล้วก็เถอะ แต่ว่าเมื่อก่อนมันก็เคยเป็นเส้นทางที่พวกคนในหมู่บ้านเคยใช้งานกันเป็นประจำพวกสัตว์ป่าก็เลยไม่ค่อยจะกล้าเข้าใกล้สักเท่าไหร่ก็เลยเหมาะจะใช้เป็นจุดตั้งแค้มป์อยู่น่ะค่ะ”
“แต่เอาจริงๆ ฉันว่ามันดูไม่ค่อยจะเหมือนหินถล่มสักเท่าไหร่เลยนะ ดูแล้วฉันว่าเหมือนมีคนจงใจถล่มหินลงมาปิดทางซะมากกว่าอีก…”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดอธิบายของรีซาน่านั้นได้มองสำรวจดูบริเวณรอบๆ แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้รีซาน่าได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมาก่อนที่เธอจะเริ่มนำกองหินมาตั้งรวมกันไว้เพื่อก่อกองไฟสำหรับเตรียมอาหารกลางวันให้ทุกๆ คน
“ฮะฮะ… มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะมั้งคะ ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราทานอาหารกลางวันกันไปแล้วก็ฟังเรื่องของฉันกันไปก็แล้วกันนะคะ”
“ก็ดีนะ พวกฉันจะได้ทำตัวกันถูกตอนไปถึงหมู่บ้านของเธอน่ะ”
“นั่นสินะคะ… เพราะฉันเองก็คิดว่าทุกคนควรจะรู้เอาไว้ก่อนที่จะไปถึงเหมือนกัน…”
รีซาน่าก้มหน้าพูดออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะจุดไฟในวงหินเบื้องหน้าแล้วจึงเริ่มต้นเอ่ยปากเล่าเรื่องของเธอและเรื่องของหมู่บ้านของเธอออกมา
“แล้วฉันจะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนก่อนดีล่ะเนี่ย… ถ้าเกิดว่าจะให้พูดกันตามตรงแล้วฉันไม่ได้เป็นคนตัดสินใจที่จะออกมานอกหมู่บ้านด้วยตัวเอง แต่ว่าโดนผู้ใหญ่บ้านไล่ออกมาน่ะค่ะ…”
“หืม? ทำไมอยู่ๆ เขาถึงไล่เธอออกมาล่ะ?”
“มันก็…ไม่เชิงว่าอยู่ดีๆ ก็ไล่ออกมาหรอกค่ะ…”
รีซาน่าพูดตอบคำถามของนากากลับไปเสียงค่อยๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบเพื่อรอให้รีซาน่าเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นมาเองโดยไม่คิดที่จะถามจี้ขึ้นมา และหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง รีซาน่าก็ได้กลั้นใจพูดออกมาให้ทุกคนฟัง
“คือ… พวกเขาบอกว่าฉันเป็นเด็กต้องสาปที่จะทำให้หมู่บ้านล่มสลายก็เลยต้องไล่ออกมาน่ะค่ะ…”
“หะ? เธอเนี่ยนะ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของรีซาน่านั้นได้หลุดปากพูดออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะเขาคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้นเสียอีก ถึงแม้ว่าเรื่องเด็กต้องสาปอะไรนี่จะอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่ก็ตามที
ซึ่งท่าทีของนากานั้นก็ได้ทำให้โมโกะต้องกระทุ้งศอกเข้าใส่เขาไปทีก่อนที่เธอจะพูดถามรีซาน่ากลับไป
“ว่าแต่มันมีสาเหตุอะไรหรือเปล่าที่ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านเขากล่าวหาเธอแบบนั้นน่ะรีซาน่า?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ… เพราะว่าตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำอะไรแบบนั้นเลย… แต่ถ้าจะให้ฉันเดา ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่าฉันเคยเผลอทำผิดกฎของหมู่บ้านไปครั้งนึงล่ะมั้งคะ”
“กฎของหมู่บ้านงั้นหรอ?”
“ค่ะ… มันเป็นกฎที่ว่านอกจากคนที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ห้ามเข้าไปข้างในป่าหวงห้ามเด็ดขาดน่ะค่ะ”
“หะ? แค่เข้าไปในป่าที่ถูกห้ามเอาไว้ก็ถึงขั้นต้องไล่ออกจากหมู่บ้านแล้วก็กล่าวหากันแบบนั้นเลยหรอน่ะ?”
คำตอบของรีซาน่านั้นได้ทำให้นากาที่เงียบเสียงลงไปหลังจากโดนโมโกะศอกเข้าใส่หลุดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้รีซาน่าเผยสีหน้าเศร้าๆ ออกมาเล็กน้อยในขณะที่เธอยื่นท่อนไม้ในมือออกไปเขี่ยถ่านในกองไฟให้มันลุกโชน
“เอาจริงๆ ถ้ามันเป็นแค่เรื่องที่ว่าฉันหลงเข้าไปในป่าต้องห้ามมันก็คงจะไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ… แต่ว่าในคืนเดียวกับวันที่ฉันหลงเข้าไปมันมี—”
เคล๊ง—เคล๊ง—!!
แต่แล้วในขณะที่รีซาน่ากำลังจะเล่าถึงเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันให้พวกนากาฟังอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงข้าวของหล่นกระจัดกระจายดังขึ้นมาจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนได้พบเข้ากับชายผมสีดำวัยกลางคนที่มีเขาสีดำลักษณะคล้ายกับเขาของรีซาน่าอยู่บนศีรษะที่กำลังจ้องมองตรงมายังรีซาน่าด้วยนัยน์ตาสีเขียวของเขาด้วยท่าทางเหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง และในขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนเบื้องหน้าอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เขาก็ได้ค่อยๆ ก้าวเท้าถอยไปเบื้องหลังและแหกปากกรีดร้องออกมาก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างสุดฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
“ว—ว—เหวออออ—!!”
“ด—เดี๋ยวก่อนค่ะ—!!”
รีซาน่าที่เห็นชายวัยกลางคนแหกปากกรีดร้องวิ่งหนีไปนั้นได้พยายามที่จะพูดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นชายคนที่กำลังวิ่งหนีไปก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเท้าเขาเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นจนหายลับไปในเวลาไม่นานจนทำให้นากาต้องเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“นั่นชาวบ้านจากหมู่บ้านของเธอหรือเปล่าน่ะรีซาน่า?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเกิดว่าเขาอยู่ทางฝั่งนี้ของกองหินพวกนั้น เขาก็น่าจะเป็นคนของหมู่บ้านนั่นแหล่ะค่ะ… แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าหมู่บ้านของฉันยังอยู่ดีไม่ได้จะล่มสลายไปแบบที่ผู้ใหญ่บ้านพูดงั้นสินะคะเนี่ย”
รีซาน่าที่ได้ยินคำถามของนากาได้พูดตอบเขากลับไปพลางหันกลับไปเขี่ยถ่านในกองไฟต่อ และนั่นก็ทำให้โมโกะต้องพูดถามขึ้นมาโดยมีอีฟที่นั่งตักเธออยู่พยักหน้าถี่ๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“ว่าแต่แล้วนี่พวกเราจะไม่รีบตามเขาไปหรอ? ถ้าเกิดเขาเอาข่าวไปกระจายในหมู่บ้านว่าเธอกลับมาที่นี่แล้วเข้ามันจะไม่มีปัญหาเอาหรอ…?”
“อ่ะ—”
คำพูดเตือนของโมโกะนั้นได้ทำให้นากาและรีซาน่าชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่พวกเขาจะรีบช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อไล่ตามชาวบ้านคนนั้นไปในทันที
“ถ–ถ้างั้นพวกเรารีบตามเขาคนนั้นไปกันเถอะค่ะ!”
“อื้ม!”