บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 166 Onerous Backstage
“หืม…?”
ในขณะที่นากากำลังเดินลงบันไดของตึกเรียนและมองซ้ายขวาด้วยความระแวดระวังท่ามกลางแสงสลัวๆ ของโรงเรียนยามหัวค่ำที่เขาไม่คุ้นชินด้วยความเกรงกลัวว่ามันอาจจะมีตัวอะไรก็ไม่รู้โผล่ออกมาจากหัวมุมตึกก็ได้อยู่นั้นเอง
อยู่ๆ เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเขาเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นที่สามและได้พบกับแสงสลัวๆ ที่ลอดผ่านออกมาจากประตูห้องพักครูที่ถูกแง้มเปิดเอาไว้เล็กน้อยทั้งๆ ที่เมื่อตอนที่เขาเดินขึ้นบันไดไปข้างบนเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าประตูทุกบานที่เขาเดินผ่านมันถูกปิดสนิทเอาไว้จนหมดแน่ๆ
ซึ่งด้วยความสงสัยนั้นเองเขาจึงตัดสินใจที่จะลองเดินเข้าไปดูว่าเป็นอาจารย์ท่านใดที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ข้างในทั้งๆ ที่มันเป็นเวลาป่านนี้แล้ว
และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับร่างเล็กๆ ของเด็กสาวผมสีขาวในชุดเดรสสีน้ำตาลที่กำลังนอนฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนโดยมีแสงสลัวๆ ของโคมไฟส่องลงมาตกกระทบกับใบหน้าของเธอ
“หืม… อลิซงั้นหร—”
หมับ—
“อ๊—!?”
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังแปลกใจอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ได้ถูกอะไรบางอย่างพุ่งมาเกาะกุมเอาไว้ในชั่วพริบตาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เขาหลุดเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
“ชู่ว…”
แต่ทว่าก่อนที่เสียงกรีดร้องของนากาจะได้หลุดออกมาจากปากนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยดังมาจากทางเบื้องหลังเบาๆ ก่อนที่ตัวเจ้าของเสียง หรือก็คืออาจารย์เทียจะโผล่หน้ามาจากทางด้านหลังและทำท่าเหมือนกับว่าให้เขาเบาเสียงลงก่อนจนทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“อ–อาจารย์เทียเองหรอครับ…?”
“อ..อื้ม… ง..เงียบไว้… ด…เดี๋ยวพวกเขาตื่น…”
“พวกเขาหรอครับ…?”
คำพูดของอาจารย์เทียนั้นได้ทำให้นากาต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะลองมองเข้าไปภายในห้องพักครูอีกครั้งจนได้พบว่านอกจากอลิซที่นอนฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงานแล้ว ที่ห่างออกไปไม่ไกลนั้นก็มีร่างของอัศวินหนุ่มเอเว่นกำลังนั่งกอดอกสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ตัวใกล้ๆ กันอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
ส่วนทางด้านอาจารย์เทียที่ไม่ได้พูดตอบอะไรนากากลับไปนั้นก็ได้ค่อยๆ แง้มประตูให้เปิดกว้างออกโดยระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกนากาให้เดินตามเธอเข้าไปภายใน
“ข….เข้ามาสิ… ต…แต่เงียบๆ ไว้…”
“ครับ…”
ถึงแม้ว่านากาจะไม่อยากจะรบกวนการนอนหลับของคนทั้งสองคนที่อยู่ในห้องพักครู แต่ว่าเขาก็ไม่อยากจะปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์เทียผู้ที่เป็นหนึ่งในอาจารย์ของเขาโดยไม่มีเหตุอันควรมากนัก เขาจึงได้แต่เดินตามหลังอาจารย์เทียที่กำลังเดินเข้าไปห่มผ้าห่มให้กับอลิซและเอเว่นอย่างเงียบๆ
และหลังจากที่อาจารย์เทียห่มผ้าห่มให้กับคนทั้งสองคนที่นอนหลับอยู่ในห้องจนเสร็จแล้วก็เหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่าพวกเธอไม่ควรจะมาคุยกันในห้องพักครูที่มีคนนอนหลับอยู่แบบนั้น เธอจึงได้เดินนำนากาออกไปจากห้องแล้วจึงเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักตามแบบของเธอ
“ท…ที่มานี่… ม…มีอะไร…หรือเปล่า…”
“ก็เปล่าหรอกครับ… แค่ว่าตอนกลับมาจากห้องสภานักเรียนแล้วเห็นว่ามีแสงไฟลอดออกมาก็เลยลองเดินไปดูน่ะครับ…”
“อ…อาจารย์ปิดไม่สนิท…เอง… ข…ขอโทษที”
“ค…ครับ…”
ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของอาจารย์เทียที่ต่อให้อยู่ต่อหน้าเขาที่เป็นนักเรียนก็ยังคงไม่หายไปนั้นได้แต่ทำให้นากาต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะของตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก
เพราะถึงแม้ว่าอาจารย์เทียจะสามารถพูดกับนักเรียนอย่างเขาได้แบบไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ว่าเธอก็มักจะมีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ และพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างแผ่วเบาจนบางทีพวกนักเรียนก็ฟังไม่ค่อยจะได้ยินสักเท่าไหร่นัก
“จะว่าไปแล้วนี่อลิซ— อาจารย์อลิซเขาทำงานจนดึกแบบนี้ทุกวันเลยหรอครับ?”
“ส…ส่วนมากแล้ว… ก…ก็ใช่…”
“สรุปว่าที่ไม่ได้กลับไปที่บ้านนี่เพราะอย่างงี้เองงั้นหรอเนี่ย…”
“ห…เห็นบอกว่า…ง…งานเยอะมาก…น่ะ”
เทียที่ได้ยินคำพูดของนากาและเหมือนจะรู้ว่าเด็กสาวพักอยู่ที่เดียวกับพวกนากานั้นไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจอะไรออกมามากนักและพูดอธิบายออกมาเบาๆ จนทำให้นากาต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่างานสอนหนังสือตามที่เขาเข้าใจนั้นมันไม่น่าจะหนักขนาดนั้น
“หมายถึงงานของเอริกะหรอครับ?”
“อ…อื้อ…”
เทียพูดตอบนากาที่เป็นหนึ่งในพวกเด็กๆ ที่เอริกะรับมาเลี้ยงดูเช่นเดียวกับพวกเธอกลับไปเบาๆ จนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นพอจะเข้าใจได้บ้างว่าที่ผ่านมาเด็กสาวผมสีขาวหน้ามุ่ยคนนั้นหายไปไหนจนแทบจะไม่ได้กลับไปที่บ้านเลยก่อนที่เขาจะพูดถามถึงตัวอัศวินหนุ่มเอเว่นผู้เป็นพี่ชายของคอนแนลขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่อัศวินคนนั้นเขายังคอยตามอาจารย์อลิซอยู่อีกหรอครับ?”
“อ…อื้อ… อ…อย่างน้อยๆ … ข…เขาก็ช่วยดูแลอลิซ…อยู่บ้างน่ะ…”
“งั้นหรอครับ… ถึงเขาจะถูกส่งมาจากหวังหลวงก็เถอะแต่ยังไงก็ยังเป็นพี่ชายของคอนแนลล่ะนะ มีคนมาคอยช่วยดูให้ก็คงจะดีกว่าปล่อยให้อลิซทำงานอยู่คนเดียวจริงๆ นั่นแหล่ะ…”
“อื้อ… อยู่คนเดียว…ไม่ดีหรอก…”
เทียพนักหน้าพูดตอบนากากลับไปสั้นๆ อีกทั้งคำพูดของเธอก็ดูตะกุกตะกักน้อยลงมากเมื่อเทียบกับตอนที่เธอพูดถึงคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเสียงของเธอจะยังคงแผ่วเบาอยู่เช่นเดิมก็ตาม และก็ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน เธอจึงได้รีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“ล…แล้วมีอาล่ะ… ก…กลับมาด้วยกัน…หรือเปล่า…?”
“มีอาเขาเหมือนว่าจะไปช่วยคาร์เทียร์ดูอาการของโมโกะอยู่ที่ห้องพยาบาลน่ะครับ”
“ง…งั้นเอง…หรอ…”
คำตอบของนากานั้นได้ทำให้เทียดูมีท่าทีที่ดูหงอยเหงาลงไปเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ว่าแต่เห็นมีอาเขาบอกว่าเป็นฝาแฝดกับอาจารย์เทียงั้นหรอครับ?”
“อ..อื้อ… ฉ…ฉันเป็นคนพี่…น่ะ”
“ถ้ายังไงเดี๋ยวจะไปหามีอาเขาด้วยกันมั้ยล่ะครับ เพราะเดี๋ยวผมต้องแวะไปรับโมโกะเขาที่ห้องพยาบาลอยู่แล้วน่ะครับ”
“ไม่ล่ะ… แค่ถึงถามเฉยๆ …”
“เอ๋…?”
คำตอบจากอาจารย์เทียนั้นถึงกับทำให้นากาผงะไปด้วยความประหลาดใจ เพราะเขานึกว่าที่อาจารย์เทียพูดถามถึงมีอาขึ้นมานั้นเพราะว่าคิดถึงหรือว่าเป็นห่วงมีอาผู้เป็นน้องสาวเสียอีก ในขณะที่อาจารย์เทียที่กำลังแอบมองเข้าไปด้านในห้องพักครูอยู่นั้นก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับแม้แต่ตัวเธอเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเผลอหลุดปากพูดปฏิเสธออกไปในทันทีแบบนั้น เธอจึงต้องรีบพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในทันที
“ด…เดี๋ยวค่อยไปหา… ต…ตอนที่ว่าง… ถ้าจะทำอะไร…ก…ก็เงียบๆ …ด้วย…”
“อ–อ่า เข้าใจแล้วครับ”
“ถ..ถ้างั้น…อาจารย์ขอตัว…”
อาจารย์เทียพูดบอกลานากาออกมาก่อนที่เธอจะแทรกกายเข้าไปภายในห้องพักครูที่มืดสลัวและปิดประตูลงอย่างรวดเร็วจนทำให้นากาได้แต่เกาหัวกับท่าทีแปลกๆ ของอาจารย์ของเขาก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินลงบันไดต่อไปเพื่อไปยังห้องพยาบาล
ครืดดดดดดด
“ฉันมาแล้ว”
“โอ๊ะ— กลับมาแล้วหรอจ๊ะนากาคุง~ ยินดีต้อนรับจ้ะ~”
“อ้าว? เอริกะ? แล้วคาร์เทียร์ล่ะ?”
แต่แล้วหลังจากที่นากาเลื่อนเปิดประตูห้องพยาบาลไปนั้นเองเขาก็ต้องชะงักไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้พบเข้ากับร่างของนักประดิษฐ์สาวผมสีแดงที่เอ่ยปากทักทายเขาด้วยท่าทีร่าเริง
ซึ่งทางด้านเอริกะที่มีเวลาว่างมาอยู่ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนรีมินัสได้อย่างน่าประหลาดใจนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดตอบคำถามของนากากลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงอันเป็นปกติของเธอ
“ถ้าเป็นคาร์เทียร์จังล่ะก็โดนซึบากิจังเขาพาตัวไปหาเบาะแสของอารอนตั้งแต่หลังเลิกเรียนแล้วล่ะ~ แต่พอดีว่าวันนี้ฉันมีธุระที่โรงเรียนพอดีก็เลยอาสาจะมาเฝ้าห้องพยาบาลให้เผื่อมีนักเรียนคนไหนบาดเจ็บขึ้นมาแล้วก็เผลอนั่งอ่านเอกสารเพลินจนพวกเธอกลับมากันพอดีเนี่ยน่ะสิ~”
“ก็ขอโทษที่กลับมาเวลานี้พอดีก็แล้วกันนะคะคุณเอริกะ… แต่ว่าช่วยลดเสียงลงหน่อยเถอะค่ะ ฉันกำลังจะทำแผลให้โมโกะจังเขาอยู่นะคะ แล้วอีกอย่างนึงอีฟจังเขาก็นอนหลับไปแล้วด้วย”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงเริงร่าจนเกินเหตุอยู่นั้นเอง ผ้าม่านที่ปิดล้อมเตียงนอนหลังข้างๆ เตียงหลังที่มีอีฟนอนหลับอยู่ก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าของมีอาที่โผล่ออกมาพูดเตือนเอริกะด้วยน้ำเสียงดุๆ จนทำให้เอริกะสะดุ้งไปเล็กน้อยแล้วจึงยอมลดเสียงลงแต่โดยดี
“อ่ะ—โทษทีๆ เอาเป็นว่าเธอตั้งใจตรวจโมโกะจังเขาสักหน่อยก็แล้วกัน เพราะเอาจริงๆ แล้วแถวๆ นี้มันก็เหลือแค่เธอแล้วล่ะนะที่ยังนับได้ว่าเป็นหมอจริงๆ อยู่น่ะ~”
เอริกะพูดตอบมีอากลับไปด้วยท่าทีที่ไม่มีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยจนทำให้หญิงสาวต้องทำหน้ามุ่ยก่อนจะมุดกลับเข้าไปด้านในผ้าม่านเพื่อตรวจดูอาการของโมโกะอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนทางด้านนากาเห็นว่าโมโกะจำเป็นต้องเข้ามาข้างในห้องพยาบาลอีกครั้งหนึ่งแล้วนั้นก็ได้พูดพึมพำออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ก็หวังว่าโมโกะจะไม่เป็นอะไรนะ…”
“เรื่องโมโกะจังนี่เชื่อมือมีอาเขาเถอะนากาคุง ถ้าเกิดไม่ได้อาการหนักจริงๆ ล่ะก็มีอาเขารักษาให้ได้อยู่แล้วล่ะ… ตอนนี้ปัญหาของพวกเราน่าจะเป็นทางด้านนี้มากกว่านะ~”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดบ่นของนากานั้นได้ยิ้มร่าพูดตอบเด็กหนุ่มกลับไปด้วยท่าทางแบบไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านหญิงสาวไร้ชื่อผู้ที่มีเส้นผมและเขามังกรสีขาวที่จนถึงบัดนี้ก็ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยากด้วยสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อยแล้วจึงพูดถามรีซาน่าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างล่ะรีซาน่า เขายอมพูดอะไรบ้างแล้วหรือยัง?”
“ก็ยังเงียบอยู่อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะค่ะ… ตั้งแต่ขึ้นรถมาเขายังไม่ยอมพูดอะไรสักคำนึงเลยซะด้วยซ้ำน่ะค่ะ”
“เป็นอย่างงี้มาตั้งแต่ตอนที่พวกเธอขึ้นรถกลับมาเมื่อเช้าแล้วงั้นหรอ…?”
“เอาจริงๆ ต้องบอกว่าเงียบมาตั้งแต่ตอนที่โดนชิโยะเขาปลดลงจากตำแหน่งเมื่อวานนี้เลยมากกว่าล่ะมั้ง”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดคุยกับรีซาน่าอยู่นั้นเอง ทางด้านนากาก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวและเอ่ยปากพูดเสริมขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเทพมังกรชิโยะที่ดังขึ้นมาให้หญิงสาวไร้ชื่อได้ยินนั้นก็ได้ทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะนิ่งไปอีกครั้ง
ซึ่งท่าทางของหญิงสาวไร้ชื่อที่ยังคงมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ รอบกายอยู่บ้างนั้นก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะยื่นมือออกไปวางลงบนศีรษะของหญิงสาวเบาๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้ล่ะเนอะ ตอนนี้ที่บ้านของฉันมันค่อนข้างจะเงียบๆ เหงาๆ อยู่ซะด้วยสิ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะพาเด็กคนนี้ไปพักอยู่ที่บ้านของฉันก่อนก็แล้วกันเนอะ”
“………”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อที่ได้ยินแบบนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองร่างของนักประดิษฐ์สาวด้วยแววตาว่างเปล่า ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เผยรอยยิ้มกลับไปด้วยอีกฝ่ายด้วยท่าทีใจดี โดยมีเสียงของนากาพูดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“แบบนั้นมันจะดีหรอเอริกะ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอแทบจะโดนงานทับตัวจนไม่มีเวลาว่างเลยหรอกหรอ?”
“แต่จะให้ฉันปล่อยเด็กคนนี้ออกไปเร่ร่อนอยู่ในเมืองมันก็คงจะไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ แถมงานของฉันส่วนมากมันก็ทำจากที่บ้านก็ได้อยู่แล้วด้วย เพราะงั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหนเลยนี่~”
“แล้วเวลาพัก—”
“คิดมากไปแล้วหน่านากาคุง~ งานหนักกว่านี้ฉันก็เคยผ่านมาเยอะแล้วนะ~ เอาเป็นว่าจนกว่าเด็กคนนี้จะได้ที่ไปก็ให้เธอมาอยู่กับฉันก่อนก็แล้วกันเนอะ เพราะเห็นว่าเด็กคนนี้คงจะกลับไปที่หมู่บ้านไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะ?”
“……….”
คำพูดของเอริกะในคราวนี้นั้นได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อก้มหน้ากลับลงไปอีกครั้งหนึ่งอย่างเงียบๆ ในขณะที่ทางด้านนากาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนจะพูดตอบกลับไป
“มันก็อะไรราวๆ นั้นนั่นแหล่ะ… เพราะเห็นว่าตอนนี้ที่หมู่บ้านก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเขาซะทีเดียวน่ะ”
“ก็เพราะแบบนั้นถึงต้องยิ่งพาไปอยู่ที่บ้านของฉันเข้าไปใหญ่เลยไม่ใช่หรอไงน่ะ เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าอยู่ใกล้ๆ ฉันก็น่าจะปลอดภัยขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยแน่ๆ ล่ะ เอาเป็นว่าพวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แล้วก็ไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยสักวันสองวันก่อนน่าจะดีกว่านะ~”
“เธอนี่ก็พูดเหมือนกับไดเอน่าไม่มีผิดเลยนะเนี่ย เมื่อกี้นี้ฉันก็เพิ่งจะโดนไล่ให้กลับไปพักผ่อนก่อนเหมือนกันน่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายความว่าพวกเธอโชคดีแล้วยังไงล่ะที่ได้ไดเอน่าเขาเป็นหัวหน้าน่ะ เพราะหัวหน้าที่ดีเขาต้องรู้ว่าการฝืนใช้งานลูกน้องมากเกินไปมันจะมีแต่ผลเสียน่ะสิ~ แต่จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะที่ในวังหลวงเขามีแต่หัวหน้าแย่ๆ เต็มไปหมดเลยน่ะ~”
เอริกะหัวเราะคิกคักพูดตอบนากากลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะลดมือที่กำลังลูบหัวของหญิงสาวไร้นามอยู่ลงเพื่อจับไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายแทนแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“แต่ว่าสำหรับแบบเรื่องนี้น่ะ ถ้าเกิดว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรมากนักก็ไม่ต้องเร่งรีบไปไหนหรอก บางครั้งการปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาให้มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วล่ะ”
“ปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยางั้นหรอ… นั่นสินะ…”
นากาเอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ เพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้นมันก็เป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าตัวเขาเองก็คงจะจำเป็นต้องใช้เวลาเป็นตัวช่วยให้ทำใจในเรื่องของพรีมูล่าผู้เป็นน้องสาวได้ด้วยเช่นเดียวกัน และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาจึงได้พูดถามเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องแทน
“ว่าแต่เห็นอาจารย์เทียเขาบอกว่าช่วงนี้เธอกับอลิซมีงานรัดตัวจนแทบไม่ได้นอนเลยไม่ใช่หรอ แล้วไหงถึงมาอยู่ที่โรงเรียนได้ล่ะเนี่ย?”
“ก็มาเพราะเรื่องงานนั่นแหล่ะจ้ะ จำเรื่องยูนิตที่ฉันส่งมาให้เด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นทดลองใช้ได้หรือเปล่าล่ะ วันนี้ฉันเอายูนิตเฉพาะตัวของคอนแนลกับซิลเวสมาให้พวกเขาทดลองใช้งานดูอีกรอบนึงน่ะ”
“เอ๋? หมายถึงยูนิตเฉพาะตัวที่อาจารย์อลิซเคยพูดถึงน่ะหรอคะ!? นี่ใกล้จะได้เวลาจะได้ใช้กันแล้วหรอคะนั่น!?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านรีซาน่าที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ กันก็ได้หลุดปากพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะถึงแม้ว่าอลิซจะเคยเกริ่นเอาไว้ในคาบเรียนว่าจะมียูนิตเฉพาะตัวให้กับผู้ที่เคยผ่านการสอบไปแล้ว แต่ว่าเธอก็ไม่เคยบอกว่ามันจะเสร็จเมื่อไหร่และจะได้ทดลองใช้กันตอนไหน
ซึ่งท่าทีตื่นเต้นราวกับจะได้ของเล่นใหม่ของรีซาน่านั้นก็ได้แต่ทำให้นากาต้องส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวร่างยักษ์จะสนใจอะไรแบบนั้นด้วย ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หันไปพูดอธิบายขึ้นมาให้รีซาน่าได้ฟัง
“ตอนนี้ก็เสร็จแค่ของคอนแนลกับซิลเวสที่เป็นคู่แรกนั่นแหล่ะจ้ะ ส่วนของคนอื่นๆ ฉันกำลังจะทยอยสร้างให้ตามความเหมาะสมน่ะ”
“ตามความเหมาะสมงั้นหรอคะ? งั้นก็หมายความว่าอาจจะมีบางคนที่โดนข้ามไปก่อนหรือว่าไม่ได้ใช้งานเลยหรอคะนั่น?”
“ก็ตามนั้นแหล่ะจ้ะ ถึงฉันจะอยากทำยูนิตให้กับนักเรียนทุกคนก็เถอะนะ แต่ว่าด้วยวิทยาการในตอนนี้คงจะทำให้ครบทุกคนได้ไม่ทันหรอกน่ะจ้ะ เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยเน้นไปที่การออกแบบยูนิตให้กับพวกนักเรียนที่ต้องเข้าไปต่อสู้ซึ่งๆ หน้าที่เป็นอันตรายกว่าก่อน ส่วนของพวกคนที่เก่งเรื่องการลอบโจมตีหรืออะไรพวกนั้นก็คงจะต้องเก็บเอาไว้ทำทีหลังน่ะ”
เอริกะพูดอธิบายออกมาให้รีซาน่าฟังพลางเลื่อนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ เพื่อให้นากาได้นั่งพักก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อ
“แต่เอาจริงๆ ยูนิตของสองคนนั้นก็ยังไม่นับว่าเสร็จสมบูรณ์สักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะว่ากว่าจะเอาไปใช้งานจริงได้ก็ต้องรอให้อลิซเขาปรับประสิทธิภาพของวงจรวิซให้เข้ากับวิธีการใช้วิซของสองคนนั้นให้ได้ก่อนน่ะสิ”
“หืม? อลิซเขาทำอะไรแบบนั้นเป็นด้วยหรอน่ะ?”
“ก็… ถึงจะเห็นแบบนั้นก็เถอะ แต่เอาจริงๆ แล้วอลิซเขาถนัดเรื่องการใช้วิซมากกว่าฉันตั้งเยอะนะ ก็อย่างที่พวกเธอเห็นนั่นแหล่ะว่าสิ่งประดิษฐ์ของฉันมันทำได้ตั้งขนาดนั้นแล้วจะให้ฉันสนใจเรื่องวิซไปทำไมกันล่ะจริงมั้ย”
“เอ่อ… ก็คงจะเป็นอย่างงั้นแหล่ะมั้ง… ว่าแต่ที่ว่าต้องรอให้อลิซเขาปรับประสิทธิภาพอะไรนั่นหมายความว่ายังไงน่ะ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดถือดีของเอริกะนั้นได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนักประดิษฐ์สาวก่อนที่เขาจะพูดถามตรงจุดที่เขารู้สึกสงสัยขึ้นมา ซึ่งทางด้านเอริกะที่ได้ยินคำถามของนากานั้นก็ไม่รอช้าที่จะพูดอธิบายออกมาให้เขาได้ฟัง
“ก็หมายความตามที่ฉันพูดนั่นแหล่ะจ้ะ เพราะอย่างถ้าเป็นซิลเวสงี้เขาจะชอบปล่อยวิซออกมาอยู่ตลอดเวลาเวลาที่ต้องต่อสู้น่ะ น่าจะเป็นเพราะว่าเคยชินที่ต้องคอยใช้วิซลดน้ำหนักของค้อนยักษ์นั่นเอาไว้ล่ะมั้ง เพราะงั้นก็เลยต้องให้อลิซเขาปรับวงจรให้มันทนการรับพลังวิซอย่างต่อเนื่องได้น่ะ ส่วนทางด้านคอนแนลเขาจะมีนิสัยชอบอัดวิซลงใส่โล่ของตัวเองเวลาโดนโจมตี เพราะงั้นก็เลยต้องปรับแต่งให้วงจรมันทนรับวิซที่เพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันได้อะไรอย่างนี้น่ะ”
“อ่าหะ… งั้นแปลว่างานที่อลิซเขาทำจนหลับคาโต๊ะนั่นคงจะหมายถึงเรื่องปรับแต่งอะไรที่ว่านี่งั้นสินะเนี่ย”
“หะ…? อลิซเขาหลับไปแล้วหรอ? ให้ตายสิ… อุตส่าห์บอกว่าถ้าไม่ไหวก็ให้ไปนอนพักก่อนแล้วแท้ๆ นะ… ฉันแค่ฝากให้อลิซเขาปรับแต่งให้หน่อยฉันจะได้มีเวลาไปทำยูนิตของพิเน๊ะกับโมโกะแล้วก็ของเธอน่ะ แต่ฉันไม่ได้บอกให้ทำให้เสร็จทันทีจนฟุบหลับไปแบบนั้นสักหน่อยนะ…”
คำพูดของนากานั้นได้ทำให้เอริกะต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าผากด้วยความเหนื่อยใจ เพราะตัวเธอเองก็เคยบอกอลิซไปแล้วว่าถึงงานของพวกเธอมันจะเป็นงานด่วน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเวลาเลยจนต้องฝืนทำงานจนผล็อยหลับไปคาโต๊ะทำงานไปแบบนั้น
ซึ่งคำพูดบ่นของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้รีซาน่าจำเป็นต้องพูดแก้ต่างออกมาให้อาจารย์ของเธอ
“ค…คุณเอริกะอย่าไปดุอาจารย์อลิซเขาเลยค่ะ อาจารย์อลิซเขาก็ทำงานหนักแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะคะ ขนาดตอนที่เพิ่งเปิดภาคเรียนที่มีผ้าพันแผลเต็มตัวแถมยังต้องใช้ไม้ค้ำอยู่อาจารย์อลิซเขาก็ยังพกปากกากับเอกสารติดตัวไปด้วยตลอดเลยนะคะ”
“นี่เธอพยายามจะพูดช่วยไม่ให้เอริกะเขาไปดุอลิซหรือว่าแค่ฟ้องให้เอริกะเขามีเรื่องดุอลิซเพิ่มเฉยๆ กันเนี่ย?”
“อ่ะ—”
สิ่งที่นากาพูดขึ้นมาหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดแก้ต่างให้อลิซของรีซาน่านั้นได้ทำให้เด็กสาวร่างยักษ์ชะงักไป แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมาอีก นากาที่เอะใจอะไรบางอย่างกับคำพูดของเอริกะนั้นก็ได้พูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมาด้วยความแปลกใจเสียก่อน
“เดี๋ยวนะเอริกะ… เมื่อกี้เธอบอกว่าจะได้มีเวลาไปทำยูนิตของ พิเน๊ะกับโมโกะ แล้วก็ ‘ของฉัน’ งั้นหรอ? ไม่ใช่ว่ายูนิตพวกนี้มันจำเป็นจะต้องใช้วิซหรอกหรอ? ก่อนหน้านี้ที่ฉันลองใส่ดูที่บ้านของเธอฉันก็ใช้งานมันไม่ได้ไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
น้ำเสียงของนากาที่พูดถามเอริกะขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจแต่ว่ากลับเป็นน้ำเสียงประหลาดใจราวกับเขากำลังรู้สึกสงสัยว่าเอริกะจะสร้างยูนิตขึ้นมาให้เขาใช้งานไปทำไมเสียมากกว่า เนื่องจากในตอนที่เขาเคยได้ทดลองสวมใส่ยูนิตที่บ้านของเอริกะดูนั้น เขารู้สึกว่าถ้าเกิดตัวยูนิตไม่ได้ถูกเปิดใช้งานด้วยพลังวิซล่ะก็ มันก็ออกจะเป็นอุปกรณ์ที่ถ่วงแข้งถ่วงขาจนทำให้เขาขยับตัวได้ยากขึ้นไปกว่าเดิมเสียมากกว่าซะด้วยซ้ำ
ส่วนทางด้านเอริกะที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดความลับที่เธอคิดจะเก็บเอาไว้ให้นากาตกใจเล่นออกมาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเองด้วยท่าทีทีเล่นทีจริงก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาให้เขาได้ฟัง
“แหม่~ กะว่าจะแอบอุบเงียบเอาไว้ซะหน่อยแต่ว่าดันเผลอหลุดปากออกมาซะได้… คือพอดีว่าฉันพอจะนึกวิธีที่จะทำให้เธอใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นจะต้องใช้วิซขึ้นมาได้แล้วน่ะสิ เพราะว่าตอนนี้คนที่ได้ตัวอย่างของ ‘ตัวเก็บพลังงานวิซแบบย่อขนาด’ ไป เขาเหมือนจะเห็นคุณค่าของมันจนคิดที่จะเริ่มต้นพัฒนาต่อหรือไม่ก็ผลิตมันออกมาเผยแพร่แล้วน่ะ~”
“ ‘ตัวเก็บพลังงานวิซแบบย่อขนาด’ …? ”
“อื้ม… ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันก็คืออุปกรณ์ที่จะสามารถกักเก็บวิซเอาไว้เพื่อใช้งานในภายหลังได้น่ะ ถ้าเกิดว่าพวกเขาผลิตออกมาได้จริงๆ ที่เหลือฉันก็แค่เอามันมาดัดแปลงติดกับยูนิตของเธอ เสร็จแล้วก็เอาไปให้ใครสักคนประจุวิซใส่มัน ทีนี้พอเธอจะใช้งานยูนิตก็แค่ปลดปล่อยวิซที่ถูกกักเก็บเอาไว้ออกมา ตัวยูนิตก็จะทำงานได้สักพักนึงจนกว่าวิซที่ถูกกักเก็บเอาไว้จะถูกใช้งานไปจนหมดน่ะ”
“ร–เรื่องจริงหรอน่ะ!?”
“เอ๋!? มันมีของอะไรที่ทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอคะนั่น!? ดีจังด้วยนะคะนากาคุง! อ่ะ—”
ในขณะที่รีซาน่ากำลังหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจที่เพื่อนของเธอจะสามารถใช้งานอุปกรณ์วิซได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ แล้วนั้นเอง เด็กสาวก็ได้ชะงักไปและรีบลดเสียงของตัวเองลงเมื่อเธอสังเกตว่าอีฟที่นอนอยู่ตรงเตียงข้างหน้าต่างได้ขยับพลิกตัวเล็กน้อย
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะพูดแหย่เด็กๆ ทั้งสองคนขึ้นมา
“พวกเธอเกือบทำอีฟเขาตื่นแล้วนะนั่น~ แต่ว่าเรื่องยูนิตของเธอนี่อย่าเพิ่งคาดหวังมากจะดีกว่านะนากาคุง เพราะว่าตอนนี้มันยังมีอีกปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอยู่เลยน่ะ”
“ปัญหาหรอ?”
“อื้ม เพราะว่าเวลาเธอออกไปสู้แต่ละทีมันก็กินเวลานานอยู่ใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นมันก็เลยใช้เป็นตัวเก็บพลังงานวิซแบบย่อขนาดไม่ได้เพราะว่าความจุมันจะไม่พอน่ะ แล้วพอเป็นตัวเก็บพลังงานขนาดใหญ่ คนที่เติมพลังงานให้มันก็ต้องใช้วิซเยอะขึ้นจนถึงขั้นหมดแรงแน่ๆ แถมยังใช้คนหลายคนช่วยกันเติมไม่ได้ด้วยเพราะว่าวิซของแต่ละคนมีความแตกต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย… พอเป็นแบบนี้เธอก็คงจะไม่อยากให้มีคนอื่นต้องลำบากเติมพลังวิซให้จนหมดแรงล้มพับไปทุกครั้งที่จะใช้งานมันใช่มั้ยล่ะ”
“อื้ม… มันก็จริงนั่นแหล่ะ… ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้… อ่ะ— เดี๋ยวก่อนนะ—”
ในขณะที่นากากำลังมีความคิดที่จะตัดใจเพราะไม่อยากจะให้คนอื่นลำบากไปด้วยอยู่นั้นเอง คำว่า วิซ และคำว่า ปริมาณวิซ ที่เอริกะพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้นากาคิดถึงคำพูดที่ชิโยะเคยพูดเอาไว้ในตอนที่เทพมังกรสาวช่วยตรวจสอบความผิดปกติของอีฟขึ้นมาได้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาให้เอริกะที่เป็นหนึ่งในผู้ปกครองของเด็กสาวได้ฟังในทันที
“จะว่าไปเห็นชิโยะเขาบอกว่าถึงจะเห็นอีฟเขาไม่เคยใช้วิซออกมาเลยก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วอีฟเขามีวิซอยู่ในร่างกายเยอะมากจนขนาดชิโยะเองก็ยังตกใจเลยน่ะ เธอพอจะตรวจสอบอะไรเรื่องนี้ให้อีฟเขาสักหน่อยได้หรือเปล่าน่ะเอริกะ?”
“เจ้าหนูอีฟจอมตะกละเนี่ยนะ? ถ้าบอกว่ามีกระเพาะอาหารใหญ่กว่าคนทั่วไปจนน่าตกใจก็ยังพอว่า…”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากานั้นได้แสดงท่าทีเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อออกมาก่อนที่เธอจะต้องเกาหัวกับท่าทีจริงจังของนากาและหยุดการพูดล้อเล่นเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน
“แต่จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยตรวจสอบเรื่องวิซให้กับอีฟเขาซะด้วยสิ เพราะเมื่อวันนั้นก็แค่ตรวจร่างกายธรรมดาๆ ว่ามีอาการยังไงหลังจากที่เข้าไปนอนเล่นข้างในทะเลมรกตมาแบบนั้น… เอาเป็นว่าไว้วันไหนว่างๆ ก็พาอีฟเขาไปให้ฉันลองตรวจดูที่บ้านสักหน่อยก็แล้วกันนะ”
“อ่า ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะเอริกะ”
“โอ๊ยๆ ยาป้ายแผลนี่มันจงใจทำขึ้นมาให้แสบทุกครั้งที่ใช้เลยหรือไงเนี่ย…”
ในขณะที่นากากำลังพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปอยู่นั้นเอง ที่ด้านในผ้าม่านที่ล้อมปิดเตียงนอนตัวกลางอยู่ก็ได้มีเสียงร้องบ่นเบาๆ ของโมโกะดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยินก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของมีอาดังตามออกมา
“ก็เพราะว่ามันแสบแบบนี้มันก็เลยเป็นตัวบ่งบอกว่ายามันได้ผลยังไงล่ะจ๊ะ”
ครืด—
และหลังจากที่สิ้นเสียงของมีอาไปได้สักพักหนึ่ง ผ้าม่านที่คลุมปิดล้อมเตียงนอนอยู่ก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นร่างของโมโกะที่มีผ้าพันแผลผืนใหม่พันปิดรอบดวงตาและใบหูที่ขาดแหว่งไปกำลังเดินตรงเข้าไปหานากา
ในขณะที่ทางด้านมีอาที่กำลังจัดการจัดเก็บอุปกรณ์ทำแผลต่างๆ อยู่นั้นก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาให้ทุกคนได้ฟัง
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะคะคุณเอริกะ ทางด้านโมโกะจังเหลือแค่ทานยาสำหรับฟื้นฟูวิซแล้วก็นอนพักอีกสักคืนนึงก็น่าจะหายดีแล้วล่ะค่ะ”
“โอ้ ขอบใจมากนะจ๊ะมีอา ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราก็แยกย้ายกันไปเลยก็แล้วกันนะ ฉันจะได้พาเด็กคนนี้กลับไปทำความคุ้นเคยที่บ้านใหม่ด้วยเลย… ว่ายังไงจ๊ะ เดินไหวหรือเปล่า จะให้ฉันช่วยอุ้มไปให้มั้ยเอ่ย?”
“……..”
คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ได้พูดอะไรและเดินไปรอเอริกะอยู่ที่หน้าประตูห้องพยาบาลในทันที และนั่นก็ทำให้เอริกะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจที่หญิงสาวยังคงมีการตอบสนองกับสิ่งต่างๆ ได้อยู่เพราะว่ามันค่อนข้างจะจัดการง่ายกว่าพวกคนที่ปิดกั้นตัวเองจนไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบกายแม้แต่น้อยเลยมาก เธอจึงไม่รอช้าที่จะเดินไปดันหลังของหญิงสาวไร้ชื่อและเอ่ยปากพูดบอกลาคนอื่นๆ ขึ้นมา
“ถ้างั้นเอาไว้ค่อยเจอกันใหม่ก็แล้วกันนะจ๊ะนากาคุง~”
ในทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบเธอก็ได้ดันแผ่นหลังของหญิงสาวไร้ชื่อออกไปจากห้องพยาบาลในทันที ในขณะที่ทางด้านรีซาน่าเองก็ได้เอ่ยปากพูดบอกลาขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวบ้างก็แล้วกันนะคะนากาคุง… ว่าแต่โมโกะจังเดินไหวหรือยังคะ ถ้ายังไงจะขี่หลังนากาคุงกลับไปแล้วให้ฉันอุ้มอีฟไปส่งให้มั้ยคะ?”
“ฉันเดินไหวแล้วน่า… เธอกลับไปที่หอพักเลยก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปส่งพวกฉันที่นอกเมืองแล้วเดินกลับมาหรอก”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดด้วยความเป็นห่วงของรีซาน่านั้นพอที่จะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอลิซเวลาที่มีใครมาเป็นห่วงตัวเองมากเกินไปบ้างแล้ว เธอจึงได้รีบพูดตอบเพื่อนของเธอกลับไป
ส่วนทางด้านนากาที่เห็นว่าโมโกะพอจะเดินเหินเองได้แล้วนั้นก็ได้เดินไปอุ้มอีฟที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงขึ้นมาพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ
“หลับสบายจนน่าอิจฉาเลยนะเนี่ย”
“……….”
คำพูดของนากานั้นได้ทำให้มีอาที่เพิ่งจะเก็บกวาดอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ก็อีฟเขายังเป็นเด็กอยู่นี่จ๊ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ปล่อยให้เขาได้หลับฝันดีตอนที่ยังมีโอกาสอยู่เถอะจ้ะ… เพราะว่าหลังจากที่เขาโตไปแล้วเขาคงจะไม่ได้มีโอกาสได้หลับสบายแบบนี้ในโลกที่ไม่ได้สวยงามแบบในความฝันวัยเด็กสักเท่าไหร่หรอกจ้ะ…”
“โลกที่ไม่ได้สวยงามหรอ… ก็นั่นสินะครับ…”