บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 174 Buried Dangers
“นั่นมัน…”
“คนงั้นหรอ…”
สิ่งที่ยุยและด็อคได้เห็นนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากที่รัซเซลได้เห็นสักเท่าไหร่นัก หรือก็คือร่างเงาของสิ่งที่น่าจะมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ที่อยู่ในม่านหมอกหนาทึบที่กำลังค่อยๆ เดินตรงไปตามท้องถนนของเมืองโบราณเบื้องหน้าก่อนที่มันจะเลี้ยวเข้าไปในหัวมุมหนึ่งของท้องถนนและหายไปจากสายตาของพวกเขา
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นก็ได้ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสามคนตัดสินใจที่จะผละตัวออกจากกระจกและรีบหันมาปรึกษากันเองในทันที
“พวกนายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นหรือเปล่า?”
“อื้ม… ถึงจะเห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าดูแล้วยังไงซะก็น่าจะเป็นมนุษย์… หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นอะไรที่ดูคล้ายๆ กันแน่ๆ ล่ะ”
คำพูดสอบถามของรัซเซลนั้นได้ทำให้ด็อคที่ทำหน้าที่เป็นหมอประจำกลุ่มและคุ้นเคยกับกายวิภาคของมนุษย์มากที่สุดพูดยืนยันออกมา และนั่นก็ทำให้ยุยสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดต่อว่าเขาขึ้นมา
“ที่ว่า ‘ที่ดูคล้ายๆ’ กันนี่มันหมายความว่ายังไงกันยะ! ล–แล้วเราจะเอายังไงดีล่ะรองหัวหน้า ถ้าเกิดว่ามีคนลงมาก่อนแล้วแบบนี้พวกเราถอยกลับกันก่อนน่าจะดีกว่ามั้ย”
“แต่ฉันว่าถ้าพวกเรากลับขึ้นไปกันตอนนี้พวกเราน่าจะโดนทีอาร่าพาคนมาล้อมจับแน่ๆ … เพราะเห็นว่านอกจากพวกเราแล้วคุณเอริกะก็ยังจ้างทหารรับจ้างเอาไว้อีกตั้งหลายกลุ่มใช่มั้ยล่ะ แถมคุณเอริกะเขาก็เคยฝากทีเอร่ามาเตือนพวกเราเอาไว้แล้วด้วยว่าถ้าพวกเราก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องรับผลกันเองน่ะ”
ในขณะที่ยุยกำลังร้องโวยวายอยู่กับคำว่าสิ่งที่ดูเหมือนมนุษย์หรือว่าอาจจะแค่คล้ายๆ กับมนุษย์เฉยๆ ของด็อคอยู่นั้นเอง ทางด้านด็อคที่เป็นต้นเหตุก็ได้หันไปหารัซเซลและพูดเสนอความเห็นของเขาขึ้นมาบ้าง ซึ่งสิ่งที่ด็อคพูดขึ้นมานั้นก็ทำให้ยุยพอจะสงบสติลงมาได้บ้างแล้วจึงพูดความเห็นของเธอขึ้นอีกคนหนึ่ง
“เรื่องนั้นมันก็ใช่… แล้วถ้าดูจากที่ทีเอร่าจังเขาเคยหลุดพูดชื่อคนนู้นคนนี้ออกมาแล้ว ฉันว่าเผลอๆ จำนวนกลุ่มทหารรับจ้างของคุณเอริกะที่อยู่ในเมืองแพนเทร่านี่อาจจะไม่ใช่แค่หลักหน่วยซะด้วย… เพราะงั้นถ้าเกิดว่าพวกเราไม่อยากจะกลับขึ้นไปมีเรื่องกับคุณเอริกะก็คงจะต้องหาหามูลที่มีประโยชน์มากพอจะเอาไปต่อรองได้ติดไม้ติดมือกลับไปจากข้างล่างนี่ด้วยงั้นสินะคะรองหัวหน้า”
“ใช่… แต่ว่านั่นมันก็แค่ในกรณีที่พวกเราอยากจะกลับขึ้นไปข้างบนด้วยช่องทางเดิมน่ะนะ”
รัซเซลพูดตอบยุยกลับไปพลางชำเลืองมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่างที่ปรากฏให้เห็นกำแพงจุดอื่นที่มีส่วนที่ยื่นออกมาเบื้องหน้าเล็กน้อยและมีหน้าต่างแบบเดียวกันติดอยู่ ที่ถ้าเขาคาดการเอาไว้ไม่ผิดล่ะก็มันก็คงจะเป็นทางเข้าออกเมืองใต้ดินจุดอื่นที่มีข่าวลือว่ามันมีอยู่กระจายกันออกไปทั่วทั้งเมืองแพนเทร่าอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านรัซเซลก็ยังไม่คิดที่จะด่วนตัดสินใจอะไรลงไปและพูดสรุปทางเลือกของพวกเขาในขณะนี้ออกมา
“ถ้าอย่างงั้นตอนนี้พวกเราก็มีทางเลือกอยู่สามทาง หนึ่งคือกลับขึ้นไปข้างบนด้วยช่องทางเดิมแล้วก็รีบเผ่นออกจากเมืองแพนเทร่ากัน ซึ่งทางเลือกนี้ก็อาจจะต้องปะทะกับทั้งทหารของทางเมืองแพนเทร่าแล้วก็กองกำลังทหารรับจ้างของคุณเอริกะด้วย… หรือทางเลือกที่สองก็คือพวกเราจะลองสำรวจข้างในนี้ดูเพื่อหาทางออกจากเมืองใต้ดินนี่ทางอื่นแล้วก็แอบลอบออกไปจากเมืองแพนเทร่าเงียบๆ … หรือทางเลือกสุดท้ายก็คือพวกเราจะออกสำรวจใต้ดินนี่กันต่อจนกว่าจะได้ข้อมูลหรืออะไรสำคัญๆ ติดไม้ติดมือกลับไปต่อรองกับคุณเอริกะเพื่อทำงานกับเธอต่อ”
“เฮ้อ… ถ้ารู้ว่าจะต้องลุยแบบนี้พวกเราน่าจะพาเคนลงมาด้วยก็ดีนะ”
ยุยที่ได้ยินทางเลือกที่พวกเธอมีนั้นได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะว่าทางเลือกแรกก็คือการลุยแหลกกับทั้งกองกำลังทหารแพนเทร่าทั้งกองกำลังทหารรับจ้างของเอริกะ ในขณะที่อีกสองทางเลือกนั้นก็คือการออกสำรวจเมืองโบราณใต้ดินที่ไม่รู้ว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้างจนทำให้เธอได้แต่นึกถึงสมาชิกคนที่สี่ของพวกเธอที่ถูกเรียกว่า เคน ที่ถูกทิ้งให้เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกเนื่องจากว่าเขาไม่เหมาะกับงานที่ในตอนแรกเป็นการแอบลักลอบเข้าไปภายในสุสานใต้ดินของเมืองแพนเทร่าที่อาจจะมีทหารยามเฝ้าอยู่ภายในสักเท่าไหร่นัก
ซึ่งคำพูดบ่นของยุยที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกคนที่สี่ที่อายุน้อยที่สุดและเลือดร้อนที่สุดของพวกเธอนั้นก็ได้ทำให้รัซเซลได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“ฉันว่าปล่อยให้หมอนั่นเฝ้าอยู่ด้านนอกต่อไปน่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ ไม่งั้นมีหวังเผลอๆ พวกเราจะโดนจับได้ก่อนจะได้ลงมาข้างล่างนี่อีกซะด้วยซ้ำล่ะมั้ง เพราะว่าเวลาหมอนั่นเจออะไรขวางทางเข้าสักหน่อยก็จะวิ่งเข้าไปหวดเขาให้ได้เลยนี่ ขืนพามาด้วยมีหวังได้วุ่นวายตายชัก”
“ก็เคนเขายังเด็กอยู่เลยนี่เนอะ… แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ถ้าเกิดว่าพวกเราพลาดท่าโดนจับได้หรือว่าเป็นอะไรไปขึ้นมาเคนเขาก็จะได้ไม่ต้องมาติดร่างแหกับพวกเราด้วยล่ะนะ แล้วเผลอๆ เขาอาจจะคิดได้ว่างานนักผจญภัยนี่มันเสี่ยงแล้วก็เอาเงินที่แอบสะสมเอาไว้ไปสมัครเรียนต่อที่เมืองไหนสักเมืองหลังจากที่ไม่มีพวกเราแล้วก็ได้”
“ก็นั่นสินะ… ถ้างั้นก็สรุปว่าทางเลือกที่หนึ่งนี่คงจะตัดไปได้เลย เพราะงั้นทางเลือกที่เหลือก็คือพวกเราจะลองลงไปสำรวจดูที่เมืองข้างล่างนั่นกัน แล้วถ้าเกิดไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือหรือว่าหาข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์กลับไปไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยลองไปสำรวจพวกตึกที่ยื่นออกมาจากกำแพงพวกนั้นดูกันว่ามันจะมีทางออกอื่นหรือเปล่า… เอาล่ะ เริ่มเตรียมตัวกันได้”
รัซเซลพูดตอบยุยกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะสรุปแผนงานและพูดสั่งการขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งยุยและด็อคต่างพยักหน้ากลับไปให้เขาก่อนที่ทุกๆ คนจะเริ่มตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆ ของตัวเอง
ซึ่งทางด้านยุยนั้นก็ได้นำจี้คริสตัลสีเหลืองของเธอกลับไปห้อยเอาไว้ที่เข็มขัดข้างเอวอีกครั้งและหยิบปืนพกประจำตัวของเธอออกมาถือเตรียมพร้อมเอาไว้ ส่วนทางด้านด็อคที่ดูเหมือนว่าจะไปหาซื้อปืนกลเบากระบอกใหม่มาได้แล้วนั้นก็ได้ปลดมันออกมาจากสายสะพายเผยให้เห็นปืนกลเบาที่หน้าตาคล้ายกับของโมโกะที่ถูกดัดแปลงปากลำกล้องและพานท้ายให้เหมาะกับการใช้งานที่เขานำมันมาถือเอาไว้อย่างทะมัดทะแมง
ในขณะที่ทางด้านรัซเซลที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นก็ได้ชักดาบสั้นประจำตัวของเขาออกมาถือเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินนำทุกคนไปยังบันไดทางลงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกับบันไดที่นำพวกเขามาสู่ห้องนี้และอธิบายแผนการของเขาขึ้นมา
“เดี๋ยวฉันจะเดินนำหน้าเหมือนเดิม ยุยเธออยู่ตรงกลางคอยใช้วิซตรวจสอบสภาพแวดล้อมหากับดักเป็นระยะๆ ส่วนด็อคนายคอยระวังหลังเหมือนเดิม… เป้าหมายหลักของพวกเราคือข้อมูลเกี่ยวกับต้นตอของหมอกควันพวกนี้ แล้วถ้าเกิดว่าเจอวัตถุโบราณหรืออะไรที่น่าจะมีค่าก็อย่าลืมหยิบติดไม้ติดมือกลับไปกันด้วย…”
รัซเซลพูดสั่งงานขึ้นมาก่อนที่เขาจะชะโงกหน้าลงไปดูเบื้องล่างบันไดวนที่หน้าตาเหมือนกันกับบันไดวนที่นำพวกเขาลงมายังเมืองใต้ดินอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับมาพูดบอกลูกทีมของเขาด้วยท่าทีจริงจัง
“แล้วก็ถ้ามันเป็นไปตามที่ฉันคาดเอาไว้ พวกตึกที่อยู่ติดกับกำแพงพวกนั้นน่าจะเป็นเส้นทางเข้าออกเมืองใต้ดินแห่งนี้เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าเกิดว่าพวกเราคลาดกันขึ้นมาก็ให้พยายามกลับมารวมกลุ่มกันที่ตึกนี้ หรือถ้าเกิดว่าเรื่องมันวุ่นวายจริงๆ ก็ให้แยกย้ายกันไปสำรวจดูตึกพวกนั้นแล้วหาทางหนีออกไปเลยโดยไม่ต้องรอคนอื่น เข้าใจตรงกันนะ?”
“รับทราบ!”
ยุยและด็อคที่ได้ยินคำสั่งให้รัซเซลนั้นได้พูดตอบรองหัวหน้ากลุ่มของเธอกลับไปเสียงดังฟังชัด แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็กลับทำสีหน้ายิ้มๆ เหมือนกับรู้ดีอยู่แล้วว่าต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่มีใครที่คิดจะหนีไปตัวคนเดียวอย่างแน่นอน
ซึ่งทางด้านรองหัวหน้ากลุ่มอย่างรัซเซลนั้นก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาและเดินนำลูกทีมของตนลงไปตามบันไดวนที่ถูกหมอกควันสีเทาขมุกขมัวปกคลุมจนทึบอยู่ไปด้วยท่าทีระแวดระวัง
และหลังจากที่พวกเขาเดินลงบันไดวนไปได้สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ได้เดินลงมาจนถึงชั้นล่างสุดของมัน หรือก็คือเบื้องหน้าเมืองโบราณที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาทึบขนาดที่ว่ายุยและด็อดที่เดินตามหลังรัซเซลอยู่แทบจะมองไม่เห็นแผ่นหลังของรองหัวหน้าทีมของพวกเธอซะด้วยซ้ำไป และนั่นก็ทำให้ยุยอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเล็กน้อย
“สภาพอากาศข้างในนี้มันแย่กว่าขนาดนอกซะอีกนะเนี่ย…”
“แย่ซะจนฉันเริ่มจะเป็นห่วงแล้วว่าที่พวกเราเปิดหลุมศพนั่นออกมาจะเป็นการปล่อยหมอกพวกนี้ออกไปข้างนอกหรือเปล่าแล้วซะด้วยซ้ำนะ…”
ในขณะที่ยุยกำลังพูดบ่นออกมาอยู่นั้นเอง ด็อคที่เดินตามหลังคนอื่นๆ ออกมาจากตัวอาคารและได้พบเข้ากับหมอกหนาทึบเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเช่นเดียวกัน
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านรัซเซลที่เดินนำอยู่ข้างหน้าสุดก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่คิดอะไรเรื่องนั้นมากนัก
“ต่อให้มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ ก็คงจะไม่ส่งผลอะไรมากนักหรอกล่ะมั้ง เพราะว่ายังไงข้างบนนั้นก็มีหมอกหนาพอๆ กันอยู่แล้วนี่”
ในขณะที่รัซเซลกำลังเอ่ยปากพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้หยุดเท้าลงที่เบื้องหน้าถนนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นถนนเส้นหลักของเมืองโบราณใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งสภาพของมันนั้นก็ดูแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากตัวเมืองแพนเทร่าที่อยู่เบื้องบนที่เป็นถนนที่เต็มไปด้วยตึกและอาคารโทรมๆ ที่ใช้ชั้นแรกที่อยู่ติดกับถนนเป็นร้านค้ามากนัก จะมีแตกต่างออกไปก็เพียงแค่ว่าที่ตัวอาคารในเมืองโบราณใต้ดินแห่งนี้ดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและเงียบสงัดไร้ซึ่งผู้คนเพียงเท่านั้นจนทำให้ยุยอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
“ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากเมืองข้างบนสักเท่าไหร่เลยนะ…”
“ก็นะ สำหรับถนนเส้นหลักของเมืองแล้วจะยุคสมัยไหนก็น่าจะคล้ายๆ กันไปหมดล่ะมั้ง ถ้าเกิดว่าเมืองแพนเทร่าข้างบนนั่นไม่มีใครอาศัยอยู่แล้วมันก็น่าจะบรรยากาศประมาณนี้นั่นล่ะ”
“ก็ตามที่ด็อคเขาว่ามานั่นแหล่ะ… แต่ปัญหาก็คือว่าที่นี่มันไม่มีคนอยู่อาศัยแล้วจริงๆ หรือเปล่าซะมากกว่า…”
รัซเซลที่ได้ยินคำพูดของลูกทีมของเขาได้เอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องของร่างเงาของมนุษย์ที่พวกเขาเห็นตอนที่อยู่ข้างบนทางเชื่อมระหว่างเมืองใต้ดินกับผืนดินเบื้องบนขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรตอบเขากลับไปก็กลับมีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากทางเบื้องหน้าของพวกเขาเสียก่อน
บ๊อก—บ๊อก—
“—!?”
เสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงเห่าของลูกหมาตัวน้อยที่ดังก้องตัดฝ่าความเงียบของเมืองโบราณใต้ดินมาตามถนนนั้นได้ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสามคนสะดุ้งสุดตัวและรีบตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้กันในทันที
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะได้มีใครได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ก็ได้มีร่างเล็กๆ ขนฟูที่วิ่งด้วยขาทั้งสี่อย่างร่าเริงโผล่ออกมาที่ถนนเส้นหลักของเมืองจนทำให้พวกเขาหลุดปากพูดออกมาด้วยความประหลาดใจเข้าเสียก่อน
“ล–ลูกหมางั้นหรอ?”
“ในเมืองใต้ดินแบบนี้เนี่ยนะ…?”
“บ๊อก! บ๊อก!”
สิ่งมีชีวิตสี่ขาตัวน้อยที่วิ่งตรงมาตามถนนนั้นได้ส่งเสียงเห่าออกมาอีกครั้งก่อนที่มันจะหยุดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมันได้พบเข้ากับกลุ่มทหารรับจ้างทั้งสามคนและเอียงคอด้วยท่าทีสงสัยแล้วจึงเดินเข้าไปดมๆ ที่ชายขากางเกงของรัซเซลที่ยืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มด้วยท่าทีสนอกสนใจจนทำให้ด็อคที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ลูกหมาจริงๆ ด้วยแฮะ… หลงทางเข้ามาข้างในนี้หรือไงนะ”
“จะบ้าหรอไงด็อค ขนาดพวกเราเองก็ยังต้องหาทางเข้ามาข้างในนี้กันแทบตายเลยนะ… แล้วฉันว่าฉันเคยเห็นเจ้าลูกหมาตัวนี้มาจากที่ไหนมาก่อนด้วย…”
“บ๊อก!”
ในขณะที่ยุยกำลังหันไปพูดต่อว่านายแพทย์ประจำกลุ่มขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ลูกสุนัขตัวน้อยก็ได้ส่งเสียงเห่าออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่มันจะส่ายหางไปมาด้วยท่าทีอารมณ์ดีและวิ่งย้อนกลับไปตามถนนที่มันเดินออกมา
“อ่ะ— นั่นแกจะไปไหน—”
กริ๊ง~กริ๊ง~ แกร๊ก—แกร๊ก—
“—!?”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของรัซเซลที่ก้มลงไปสำรวจดูลูกสุนัขตัวน้อยใกล้ๆ ดี ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับกระดิ่งโลหะดังก้องกังวานขึ้นมาจากปลายเส้นทางที่ลูกสุนัขตัวนั้นวิ่งจากไปก่อนที่มันจะตามมาด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนกับรองเท้าโลหะย่ำมาตามพื้นจนทำให้รัซเซลต้องรีบสั่งให้คนอื่นๆ เข้าไปหลบด้านในตัวอาคารที่อยู่ข้างๆ กันในทันที
“เข้าไปหลบข้างในนั้นก่อนเร็ว…!”
คำสั่งของรัซเซลนั้นได้ทำให้ยุยและด็อคต่างพากันพุ่งตัวเข้าไปหลบอยู่ด้านในร้านค้าที่ถูกทิ้งร้างอยู่ข้างทางในทันที ส่วนทางด้านรัซเซลที่พุ่งตัวตามลูกทีมของเขาเข้ามาหลบที่เดียวกันก็ได้พูดสั่งพวกเขาขึ้นมาอีกทีหนึ่ง
“แค่ลูกหมาตัวเมื่อกี้นี้ก็ประหลาดมากพอแล้ว พวกนายเตรียมอาวุธกันเอาไว้ให้พร้อมเลยก็ดี”
“รับทราบ…! / ค่ะ…!”
กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~ แกร๊ก—แกร๊ก—
ในขณะที่กลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสามคนกำลังแอบหลบอยู่ที่ด้านในร้านค้าที่ถูกทิ้งร้างอยู่นั้นเอง เจ้าของเสียงกระดิ่งและเสียงที่ฟังดูเหมือนกับรองเท้าโลหะก็ได้เดินผ่านเบื้องหน้าร้านค้าที่พวกเขาแอบหลบเข้ามาซ่อนไป เผยให้เห็นร่างของทหารยามในชุดเกราะสีฟ้าอ่อนสวมใส่หมวกเกราะปิดหน้าปิดตาและถือหอกยาวที่เป็นหนึ่งในอาวุธพื้นฐานของทหารยามประจำเมืองแพนเทร่าเอาไว้ในมือ โดยที่บนไหล่ของร่างเบื้องหน้านั้นก็ประดับเอาไว้ด้วยตราสัญลักษณ์รูปสุนัขสีขาวที่คาบมีดสั้นเอาไว้ในปากบ่งบอกว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในทหารที่อยู่ในสังกัดของเมืองแพนเทร่าอย่างแน่นอน
ซึ่งภาพของทหารยามที่เดินผ่านไปนั้นก็ได้ทำให้ด็อคต้องพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ทหารยามของเมืองแพนเทร่างั้นหรอ…”
“ก็ถ้าเกิดว่าเป็นตราสัญลักษณ์รูปสัตว์ก็น่าจะเป็นทหารของเมืองแพนเทร่าแน่ๆ แล้วล่ะ… แต่ว่าฉันไม่เคยเห็นตรารูปหมาคาบมีดแบบนั้นมาก่อนเลยนะ”
กริ๊ง~กริ๊ง~
“เสียงกระดิ่งนั่น… มันดังมาจากข้างในชุดเกราะงั้นหรอ…”
ในขณะที่ทางด้านด็อคและยุยกำลังปรึกษากันเรื่องของตราสัญลักษณ์บนไหล่ของทหารยามอยู่นั้นเอง ทางด้านรัซเซลที่จ้องมองภาพเบื้องหน้าของพวกเขาอยู่ก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับเสียงของกระดิ่งที่ดูเหมือนว่าจะดังออกมาจากภายในชุดเกราะของร่างเบื้องหน้าก่อนที่เขาจะหันกลับมามองสำรวจดูสภาพของร้านค้าที่พวกเขาหลบเข้ามาแอบซ่อนที่ดูเหมือนว่าจะมีห้องลึกเข้าไปด้านในและบันไดขึ้นไปยังชั้นบนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และนั่นก็ทำให้เข้าตัดสินใจที่จะพูดสั่งงานคนอื่นๆ ขึ้นมา
“ถ้ายังไงพวกเราแอบหลบเข้าไปด้านในกันก่อนจนกว่าทหารยามคนนั้นจะไป—”
“บ๊อก!!”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของรัซเซลดี อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเห่าของลูกสุนัขตัวน้อยดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ร่างเล็กๆ ของมันจะวิ่งตรงมาตามถนนตรงจุดที่มันเล่นอยู่กับพวกเขาเมื่อสักครู่นี้และเอาจมูกดมๆ ไปมาอยู่ตามพื้นสักพักหนึ่งแล้วจึงหันมองตรงเข้าไปด้านในร้านค้าที่พวกรัซเซลแอบหลบอยู่ด้วยท่าทีดีใจพร้อมกับส่งเสียงร้องเห่าออกมาอีกครั้ง
“บ๊อก!! บ๊อ—”
“ไอ้หมาเวร–!!”
ในทันทีที่ลูกสุนัขตัวนั้นกำลังส่งเสียงร้องเห่าและทำท่าเหมือนกับว่ากำลังจะตามกลิ่นพวกเขาเข้ามาภายในร้านค้าร้างอยู่นั้นเอง ทางด้านด็อคก็ได้สบถออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกำชับปืนกลเบาในมือขึ้นและส่งกระสุนวิซสีน้ำเงินออกไปใส่กลางหน้าผากของลูกสุนัขตัวนั้นเข้าอย่างจัง
ปั้ง!!
“หงิง…”
“นายจะบ้าหรอด็อคนั่นแค่ลูกหมาเองนะ…! พวกเรารีบไปซ่อนที่อื่นกันเร็ว…!”
เสียงปืนที่ดังลั่นขึ้นมานั้นได้ทำให้รัซเซลต้องพูดต่อว่านายแพทย์ของกลุ่มขึ้นมาเบาๆ และรีบเรียกให้ลูกทีมของตนให้หลบไปซ่อนยังจุดอื่นก่อนที่ทหารยามคนที่เพิ่งจะเดินผ่านไปจะเดินกลับมาตรวจสอบ
“……..”
แต่ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนกำลังจะรีบวิ่งเข้าไปหลบที่ด้านในส่วนลึกของร้านค้าอยู่นั้นเอง ทางด้านหญิงสาวเพียงคนเดียวอย่างยุยก็กลับยืนนิ่งเบิ่งตากว้างจ้องมองภาพของลูกสุนัขที่ทรุดล้มลงไปกองกับพื้นเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อในภาพที่เธอเห็นจนทำให้รัซเซลต้องรีบดึงแขนของหญิงสาวให้รีบวิ่งตามเขาไป
“มัวรออะไรอยู่เล่ายุย…! รีบไปกันได้แล้ว…!”
“……!!”
เสียงร้องเรียกของรัซเซลและแรงกระชากที่แขนของเธอนั้นเหมือนจะทำให้ยุยได้สติ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลับยังไม่ยอมรีบหลบเข้าไปซ่อนตามที่รัซเซลสั่งแต่โดยดีและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ไม่ๆๆ พวกเราต้องรีบหนีแล้วต่างหากล่ะ!! ฉันนึกออกแล้วฉันเคยเห็นลูกหมาตัวนั้นที่ไหน!! ให้ตายสิ พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!!”
“หะ— เธอหมายความว่ายังไ—!?”
ฟู่วววววว—
ในขณะที่รัซเซลกำลังจะพูดสอบถามยุยขึ้นมาอยู่นั้นเอง รูบนกลางหน้าผากของลูกสุนัขตัวน้อยที่ถูกด็อคยิงจนทะลุด้วยกระสุนวิซสีน้ำเงินก็ได้ปลดปล่อยควันสีขาวขมุกขมัวออกมาเป็นจำนวนมากจนทำให้ภายในร้านค้าที่ถูกทิ้งร้างที่เคยมีหมอกควันเบาบางตลบอบอวลไปด้วยหมอกควันสีขาวอัดแน่นจนแทบจะมองไปเห็นรอยกายดั่งเช่นสภาพแวดล้อมภายนอก
กริ๊ง~ กริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~
กรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊ง~
อีกทั้งในขณะที่กลุ่มทหารผ้าคลุมแดงทั้งสามคนกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของกระดิ่งโลหะอันเล็กๆ จำนวนมากดังก้องกังวานมาจากจุดต่างๆ ของเมืองอย่างต่อเนื่อง และนั่นก็ทำให้รัซเซลตัดสินใจที่จะดึงตัวยุยเข้าไปด้านในส่วนลึกของร้านค้าและรีบดึงเอาชั้นวางของที่อยู่ใกล้ๆ กันให้ล้มลงมาขวางประตูเอาไว้พร้อมกับพูดสั่งคนอื่นๆ ขึ้นมาในทันที
“ขึ้นไปข้างบน! อย่างน้อยถ้าจนตรอกขึ้นมาจริงๆ ก็ยังกระโดดหน้าต่างหนีออกไปได้แน่ๆ ล่ะ!!”
“ครับ!! / ค่ะ!!”
โคร๊ม!!
ในทันทีที่สิ้นเสียงตอบรับของด็อคและยุยนั้นเอง ก็ได้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาจากบริเวณด้านหน้าของตัวร้านค้าก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีปลายหอกแหลมคมจำนวนหนึ่งพุ่งทะลุบานประตูไม้เก่าผุเข้ามาจนทำให้พวกเขาได้แต่ต้องรีบพากันวิ่งขึ้นไปหลบอยู่ด้านบนชั้นสองกันในทันที
ในขณะเดียวกันกับที่พวกรัซเซลกำลังวิ่งหนีตายกันอยู่นั้นเอง ทางด้านทีเอร่าที่อยู่ทางด้านบนผิวดินเองก็กำลังยืนกอดอกจ้องมองไปยัง เคน ทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงคนสุดท้ายที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มและไม่ได้แอบลักลอบลงไปในเมืองโบราณใต้ดินด้วยกันกับคนอื่นๆ อยู่ด้วยสีหน้าดุๆ ก่อนที่เธอจะหรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดถามเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีดุๆ เท่าทีใบหน้าน่ารักๆ ของเธอจะทำได้
“นี่ตกลงว่าพวกพี่วางแผนอะไรเอาไว้ถึงได้แอบลอบเข้าไปข้างในนั้นกันซะเองกันแน่เนี่ยหะ?”
“หา? ฉันก็บอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรอไงว่าเจ้าพวกนั้นแค่สั่งให้ฉันเฝ้าระวังที่นี่ให้แทนไอ้เจ้าทหารกระจอกที่โดนเป่าร่วงไปนั่นเฉยๆ ตามคำสั่งของทางเมืองน่ะ! ถ้าเธออยากรู้ว่าพวกนั้นวางแผนอะไรอยู่งั้นก็ลองไปถามไอ้เจ้ารัซเซลไม่ก็ยัยขี้บ่นยุยนู่นสิ!!”
“บู่ววว แล้วพี่เคนไม่รู้อะไรเลยจริงดิ!? พี่เคนเองก็อยู่กลุ่มเดียวกับพวกพี่รัซเซลเขาไม่ใช่หรอ”
ทีเอร่าที่เมื่อสักครู่นี้ยังทำท่าทีขึงขังอยู่นั้นได้พองแก้มของเธอด้วยท่าทีไม่พอใจและพูดบ่นออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เคนที่ถึงแม้ว่าจะสวมใส่ฮู๊ดปิดหน้าปิดตาแต่ก็กลับไม่คิดที่จะปิดบังรังสีความรู้สึกรำคาญของตัวเองเลยแม้แต่น้อยอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมา
“ว่าแต่นี่เธอไม่มีบ้านช่องให้กลับหรือไง!? หรือว่าที่จริงแล้วคุณเอริกะอะไรของเธอนั่นเองก็คิดอยากจะส่งคนเข้าไปข้างในนั้นเหมือนกันก็เลยส่งเธอมากวนฉันจะได้หาโอกาสลอบส่งคนเข้าไปกันหะ!?”
“อย่างพวกพี่ที่แอบส่งคนเข้าไปแล้วน่ะไม่ต้องมาพูดเลย!!”
“อ้าวๆ พูดงี้ก็สวยสิ เธอมีหลักฐานอะไรว่าพวกคนอื่นๆ ในทีมของฉันแอบลอบเข้าไปข้างในนั้นแล้วนอกจากตาเซ่อๆ ของเธอหรือเปล่าล่ะยัยแมวจิ๋ว ไม่แน่ว่าเจ้าพวกนั้นอาจจะแค่ออกไปหาอะไรดื่มกันที่บาร์แถวนี้ก็ได้นะ”
“งื้ออออออออ!”
คำพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนประสาทของเคนนั้นทำให้ทีเอร่าได้แต่ส่งเสียงด้วยความไม่พอใจออกมาเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดเถียงเขากลับไปยังไงดี
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวต่างวัยจะได้โต้เถียงกันไปมากกว่านั้น อยู่ๆ ก็ได้มีร่างของหญิงสาวผมสีทองนัยน์ตาสีเหลืองในชุดแม่ชีคนหนึ่งปรากฏตัวเดินฝ่าม่านหมอกตรงมาทางพวกเธอก่อนที่ร่างของผู้มาใหม่จะเอ่ยปากร้องเรียกทีเอร่าขึ้นมาด้วยท่าทีใจดี
“อ่ะ ทีเอร่าจังแอบมาเล่นกับพี่เขาอยู่ที่นี่เองหรอจ๊ะ”
“อ้าว พี่โจนนี่นา มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“พอดีพี่ไม่เห็นหนูอยู่ที่โรงอาหารก็เลยออกมาตามหาน่ะจ้ะเพราะว่าอีกแป๊บเดียวมันจะหมดเวลาทานอาหารเย็นแล้วนะจ๊ะ”
“เอ๋? จริงหรอคะ?”
ทีเอร่าที่ได้ยินคำพูดของโจนนั้นได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมา เพราะนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะใช้เวลาหลอกล่อเคนให้พูดความจริงออกมานานขนาดนี้แล้ว ซึ่งสิ่งที่ทีเอร่าแสดงออกมานั้นก็ได้ทำให้โจนเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะหันไปพูดกับเคนที่ยังคงยืนเฝ้าทางลงสุสานใต้ดินอยู่ที่เดิม
“ฉันต้องขอบคุณที่คุณช่วยคอยดูแลที่นี่ให้แทนพวกทหารยามเขาแล้วก็คอยเป็นเพื่อนเล่นให้กับทีเอร่าเขาด้วยนะคะคุณทหารรับจ้าง เดี๋ยวเอาไว้ทางโบสถ์ทำเรื่องเสร็จเมื่อไหร่พวกเราจะรีบเร่งให้ทางเมืองส่งทหารยามมาเฝ้าให้เร็วที่สุดค่ะ”
“หา? อ่ะ— อื้ม… เข้าใจแล้วล่ะ”
เคนที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจฟังการสนทนาของเหล่าสาวๆ จากทางโบสถ์เท่าไหร่นักนั้นก็ได้แต่เลิกคิ้วแปลกใจที่อยู่ดีๆ ซิสเตอร์สาวจากทางโบสถ์ก็หันมาพูดกับเขาเสียอย่างนั้นและพูดตอบกลับไปส่งๆ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโจนก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะถือสาอะไรเด็กหนุ่มสักเท่าไหร่นักและหันไปจูงมือทีเอร่าให้เดินกลับไปที่โบสถ์พร้อมกับพูดตักเตือนเด็กสาวออกมาด้วย
“หนูไปเล่นซนซะจนชุดเปื้อนไปหมดอีกแล้วนะจ๊ะทีเอร่า ถ้ายังไงก็รีบกลับไปอาบน้ำที่โบสถ์ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะไปตักข้าวมาเผื่อเอาไว้ให้เอง”
“แหะๆ ค่า~”
ทีเอร่าที่ถูกโจนจับจูงมือเดินกลับไปทางโบสถ์นั้นได้หัวเราะออกมาแห้งๆ ให้กับคำสั่งหญิงสาวก่อนที่เธอจะพูดสอบถามถึงอาการของทหารยามคนที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา
“ว่าแต่พวกพี่ทหารยามที่พี่โจนพาไปโรงพยาบาลเป็นยังไงกันบ้างหรอคะ?”
“พวกพี่ๆ เขาถึงมือคุณหมอเรียบร้อยแล้วล่ะจ้ะ แต่ว่าก็คงจะอีกสักพักใหญ่ๆ เลยกว่าพวกพี่ๆ เขาจะหายดีน่ะ”
“งั้นหรอคะ ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้วันไหนว่างๆ หนูขอลองไปเยี่ยมพวกพี่ๆ เขาสักหน่อยจะได้หรือเปล่าน่ะคะ?”
“เรื่องนั้น… ทีเอร่าจังไม่ต้องเป็นห่วงพวกพี่ๆ เขาไปหรอกนะจ๊ะ พี่เชื่อว่าท่านเทวทูตจะต้องคุ้มครองพวกเขาอยู่แล้วล่ะจ้ะ เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้หนูก็อย่าไปที่นั่นน่าจะดีกว่านะจ๊ะ”
คำถามของทีเอร่าในคราวนี้นั้นได้ทำให้โจนชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปด้วยท่าทีใจดีเช่นเดิม ซึ่งคำพูดของโจนที่เป็นเชิงไม่อนุญาตนั้นก็ได้ทำให้ทีเอร่าทำหน้ามุ่ยออกมา
“บู่วววว ทำไมล่ะคะ”
“ก็เพราะว่าถ้าหนูไม่ได้ป่วยหรือว่าไม่ได้ไม่สบายจริงๆ ก็ไม่ควรจะไปเล่นที่โรงพยาบาลจริงมั้ยล่ะจ๊ะ ที่นั่นมีแต่คนเจ็บคนไม่สบายเต็มไปหมด ถ้าเกิดว่าหนูไปเล่นที่นั่นก็อาจจะติดไข้กลับมาก็ได้นะ แต่ถ้าเกิดว่าหนูเป็นห่วงพวกพี่ๆ เขาจริงๆ เดี๋ยวพี่จะลองไปสอบถามที่โรงพยาบาลให้เองก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ… แต่พี่โจนต้องเอามาเล่าให้หนูฟังตามจริงนะคะ สัญญานะ?”
ทีเอร่าที่ได้ยินคำอธิบายของโจนนั้นได้พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างว่าง่ายก่อนที่ทันใดนั้นเองจะเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ทีเอร่าสวมใส่เอาไว้ที่หูแมวราวกับว่ามันเป็นเครื่องประดับจะส่งเสียงเบาๆ ออกมาจนทำให้ทีเอร่าสะดุ้งไป
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
“อ่ะ—”
“หืม? มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะทีเอร่าจัง?”
“อ่ะ– ป–เปล่าค่ะ! ค–คือว่า… เอ่อ… ห้องน้ำ!”
“อ๋อ ได้สิจ๊ะ หนูจำทางไปเองได้ใช่มั้ยจ๊ะ จะให้พี่พาไปหรือเปล่า?”
“ก—ก็ต้องได้อยู่แล้วสิคะ! ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้ไปเจอกันที่โรงอาหารนะคะพี่โจน”
ทีเอร่าที่ได้ยินคำถามของเจนนั้นได้หน้าขึ้นสีเล็กน้อยเพราะว่าตัวเธอเองก็ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวด้วยตัวเองไม่เป็นแล้วและพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปก่อนจะรีบเดินหลบไปทางห้องน้ำของตัวโบสถ์ในทันทีโดยมีเจนที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่บนใบหน้าโบกมือไล่หลังเธอไปด้วยท่าทีใจดี
แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวและเด็กสาวทั้งสองคนก็กลับไม่ทันได้สังเกตเห็นร่างในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มที่สวมใส่ผ้าปิดตาคาดเอาไว้ข้างหนึ่งที่ยืนหลบแอบมองดูพวกเธออยู่อย่างเงียบๆ อยู่ไม่ไกลเลยแม้แต่น้อย
“แอบหลบมาอยู่ที่นี่เองงั้นหรอ…”