บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 177 Precaution Procedure
“อ่ะ— ทางนี้ค่ะ! ทางนี้! พี่เซซิเรีย!”
ในช่วงเช้าของวันถัดมา ภายในเมืองแพนเทร่าที่ยังคงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกควันสีขาวดั่งเช่นทุกวันเองก็ได้มีเสียงของทีเอร่าดังขึ้นมาเมื่อเด็กสาวหูแมวได้สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีเขียวในชุดที่ดูเหมือนกับเครื่องแบบทางการทหารที่สวมใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเอาไว้กำลังเดินตรงมายังบริเวณที่เธอกำลังยืนอยู่
ซึ่งเสียงร้องเรียกของทีเอร่านั้นก็ได้ทำให้เซซิเรียสังเกตเห็นเด็กสาวและเดินตรงเข้ามาพูดสอบถามในทันที
“เธอมารออยู่ก่อนแล้วหรอทีเอร่า อีกตั้งนานเลยไม่ใช่หรอกว่าจะถึงเวลาที่เอริกะเขานัดเอาไว้น่ะ”
“แหม่ ก็คราวก่อนพี่เซซิเรียเล่นมาก่อนเวลานัดตั้งนานแบบนั้น คราวนี้หนูก็เลยต้องรีบออกมาก่อนจะได้ไม่เสียเวลาพี่ไงคะ ว่าแต่… เห็นพี่เอริกะเขาบอกว่าพี่เซซิเรียเพิ่งจะหลบไปพักฟื้นเมื่อไม่นานมานี้เองไม่ใช่หรอคะ ออกมาทำงานเร็วแบบนี้มันจะดีหรอ?”
“เรื่องนั้นปล่อยให้ฉันเป็นห่วงตัวเองไปคนเดียวก็พอแล้วล่ะ ไหนล่ะรายงานของเธอน่ะ?”
“ค่าๆ พี่เซซิเรียน่าจะรู้เรื่องที่ว่าพี่เดดาดัสเขาหายตัวไปแล้วก็ดูเหมือนว่าพี่เขาจะพยายามบุกเข้าไปในเมืองโบราณใต้ดินแล้วใช่มั้ยล่ะคะ แล้วทีนี้พอพี่เอริกะเขาสั่งให้พวกพี่รัซเซลที่เพิ่งจะถูกจ้างมาให้เฝ้าหน้าทางเข้าแทนพวกพี่ๆ ทหารยามที่บาดเจ็บ พวกพี่รัซเซลเขาก็ดันแอบเข้าไปข้างในนั้นกันเองซะแทนเฉยๆ เลยนั่นแหล่ะค่ะ”
ทีเอร่าที่ทำหน้าที่เหมือนกับหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในเมืองแพนเทร่าแทนเดดารัสที่หายตัวไปนั้นได้พูดบ่นออกมาให้เซซิเรียฟังราวกับว่าตัวเธอเองก็อยากที่จะพูดระบายเรื่องงานที่น่าปวดหัวของเอริกะออกมาให้ใครสักคนได้ฟังมานานแล้วเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้เซซิเรียต้องเลิกคิ้วก่อนจะพูดถามเด็กสาวกลับไป
“แล้วจนถึงตอนนี้พวกทหารรับจ้างหน้าใหม่พวกนั้นก็ยังไม่ได้กลับออกมางั้นสินะ?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ! เมื่อกี้นี้หนูลองไปแอบดูมาแล้วยังเห็นพี่เคนเขานั่งจ๋อยเฝ้าทางลงอยู่คนเดียวอยู่เลย”
“แล้วเธอได้ลองไปตรวจดูทางเข้าออกจุดอื่นดูแล้วหรือยัง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะออกมาจากทางออกจุดอื่นแล้วก็ได้นะ”
“หว๋าย ไม่มีทางซะหรอกค่ะ ถ้าเกิดว่าพวกพี่เขาออกมากันแล้วไม่มีทางที่พวกพี่เขาจะปล่อยให้พี่เคนนั่งเป็นลูกหมาโดนทิ้งอยู่แบบนั้นหรอกค่ะ— เอ๋ะ? ว่าแต่มันมีทางเข้าออกจุดอื่นด้วยหรอคะ?”
ทีเอร่าที่ได้ยินเซซิเรียพูดเป็นทำนองว่าพวกรัซเซลที่แอบลอบเข้าไปภายในสุสานใต้ดินอาจจะกลับออกมาข้างนอกแล้วนั้นได้ส่ายหน้าพูดปฏิเสธกลับไปในทันทีก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจและพูดถามกลับไป และนั่นก็ทำให้เป็นทางด้านเซซิเรียเสียเองที่ต้องแสดงท่าทีประหลาดใจและพูดถามกลับมาบ้าง
“เอริกะเขาไม่ได้บอกเธอเอาไว้หรอว่ามันมีทางเข้าออกจุดอื่นด้วยน่ะ?”
“พี่เอริกะเขาไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ เพราะว่างานหลักๆ ของพวกหนูตอนนี้คือการสืบเรื่องหมอกพวกนี้กับค้นหาตัวพี่เดดารัสเขาน่ะค่ะ”
“เพราะแบบนั้นยัยนั่นถึงได้บอกให้ฉันรีบมางั้นสินะ… ถ้างั้นเดี๋ยวเรื่องพวกทหารรับจ้างกับเมืองใต้ดินนั่นฉันจะจัดการให้เอง เธอกลับไปทำหน้าที่ของเธอต่อไปเถอะ”
“ค–ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ…”
คำพูดของเซซิเรียที่ฟังดูราวกับว่าเธอต้องการที่จะกันทีเอร่าออกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองใต้ดินนั้นได้ทำให้เด็กสาวที่กำลังจะเอ่ยปากเสนอความช่วยเหลือมีท่าทีที่ดูสลดลงไปเล็กน้อยจนทำให้เซซิเรียต้องพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“ว่าแต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องหมอกพวกนี้… ฉันขอเดาว่าพวกเธอน่าจะยังหาคำตอบไม่ได้สินะว่าหมอกพวกนี้มันมีต้นตอหรือว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่น่ะ?”
“ค่ะ ตอนแรกพวกพี่ๆ ทหารรับจ้างเขาคุยกันว่ามันน่าจะมีต้นตอมาจากใต้ดินน่ะค่ะ แต่ว่าก็หาจุดที่มีหมอกพุ่งออกมากันไม่ได้สักทีจนพวกพี่ๆ เขาชักจะเริ่มไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน ส่วนทางวังหลวงเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเรื่องหมอกพวกนี้เลยสักนิดนึงพวกหนูก็เลยเข้าไปติดต่อขอข้อมูลไม่ได้น่ะค่ะ”
“ทั้งๆ ที่หมอกมันแน่นจนเริ่มจะหายใจไม่ออกกันแล้วแบบนี้น่ะนะ? ให้ตายสิ ทั้งๆ ที่กำลังพัฒนาเรือเหาะกันอยู่แท้ๆ แต่ดันไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเรื่องทัศนวิสัยด้านการบินเลยเนี่ยนะ…”
เซซิเรียที่ได้รับคำตอบกลับไปจากทีเอร่าได้ยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานทีเอร่าขึ้นมา
“ถ้างั้นเอาเป็นว่าฉันฝากเธอไปรายงานเอริกะให้หน่อยก็แล้วกันว่าระหว่างนี้ฉันจะเฝ้าทางลงหมายเลขสองกับหมายเลขสี่ให้เอง ส่วนเรื่องทางลงหมายเลขหนึ่งนั่นคงจะต้องหวังพึ่งทางวังหลวงของแพนเทร่าสักหน่อย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เองแต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าหวังมากก็แล้วกัน”
“ทางลงเมืองใต้ดินนี่มันมีอยู่ตั้งสี่จุดเลยหรอคะนั่น?”
“ก็อะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง เธอรายงานเอริกะไปตามนั้นก็พอแล้วล่ะ ไม่ต้องสนใจเรื่องทางเข้าออกนั่นมากนักหรอกเพราะถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้โชคดีหรือว่าโชคร้ายจริงๆ ก็คงจะไม่ได้เห็นมันหรอก”
“เอ… งั้นหรอคะ”
ทีเอร่าที่ได้ยินคำสั่งของเซซิเรียนั้นได้พยักหน้าพูดตอบกลับไปสั้นๆ อย่างว่าง่าย แต่ถึงอย่างนั้นหูแมวบนศีรษะของเธอก็กลับกระดิกไปมาด้วยความสนอกสนใจจนทำให้เซซิเรียที่สังเกตเห็นแบบนั้นต้องพูดเตือนเด็กสาวออกมา
“เชื่อฉันเถอะว่าเธอไม่อยากจะเห็นหรืออยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้างหรอก เพราะว่าถ้าเกิดว่าเธอรู้ขึ้นมามันก็หมายความว่ามันหมดช่วงเวลาฝึกงานของเธอแล้วนั่นล่ะ… ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนเลยก็แล้วกัน ถ้าเกิดว่าเธออยากจะติดต่อฉันก็ลองบอกเอริกะผ่านเครื่องสื่อสารเอาก็แล้วกัน เพราะว่าเครื่องสื่อสารของพวกเรามันติดต่อกันเองไม่ได้นี่นะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่นี่พี่นิลิมเขามาด้วยหรือเปล่าน่ะคะ? เห็นปกติพวกพี่อยู่ด้วยกันตลอดเลยนี่นา”
ทีเอร่าที่ได้ยินคำตอบและคำแนะนำของเซซิเรียได้พยักหน้าพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปก่อนที่เธอจะพูดถามถึงพี่สาวใจดีผมสีชมพูที่เธอเคยพบมาก่อนแล้วขึ้นมา ซึ่งคำถามของเด็กสาวนั้นก็ได้ทำให้เซวิเรียต้องหลุบตาลงต่ำก่อนจะพูดตอบกลับไป
“นิลิมเขายังไม่พร้อมจะกลับมาทำงานสักเท่าไหร่น่ะ… แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกำลังเสริมหรอก ถ้าเกิดว่าสถานการณ์มันยังจะดิ่งลงเหวแบบนี้อยู่เดี๋ยวเอริกะก็คงจะส่งใครสักคนมาเองนั่นแหล่ะ”
“อย่างนั้นเองหรอคะ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ ขอให้ท่านเทวทูตทั้งสองคุ้มครองด้วยนะคะพี่เซซิเรีย~”
ทีเอร่าผู้แต่งกายคล้ายกับพวกแม่ชีและกำลังแฝงตัวอยู่ในโบสถ์นั้นได้ยิ้มพูดบอกลาเซซิเรียขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูราวกับแม่ชีตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยนก่อนที่เธอจะเดินแยกออกไปโดยทิ้งเซซิเรียที่ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจกับการล้อเล่นของเด็กสาวและกำลังเดินจากไปอีกทางเอาไว้ในม่านหมอกเบื้องหลัง
“กรี๊ดดดดดดด—”
“—-!?”
แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางของทีเอร่าก็กลับต้องสะดุดลงไปภายในเวลาเพียงไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ก็ได้มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมาจากทางเบื้องหน้าของเธอจนทำให้ทีเอร่าต้องสะดุ้งไปและรีบส่งเสียงร้องถามไปภายในม่านหมอกเบื้องหน้าในทันที
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะ!?”
“…………….”
เสียงร้องถามของทีเอร่านั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวเจ้าของเสียงกรีดร้องพูดตอบอะไรกลับมาในขณะที่ภายในม่านหมอกเบื้องหน้าของทีเอร่าก็ได้เริ่มที่จะมีเสียงโหวกเหวกของชาวเมืองกราวิทัสดังแว่วๆ ขึ้นมาให้เธอได้ยิน และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าตัดสินใจที่จะรีบวิ่งเข้าไปดูสถานการณ์ในทันที
“ปราสาทแพนเทร่างั้นหรอ….”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านเซซิเรียที่เดินแยกจากทีเอร่าไปนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นไปมองดูเงาของปราสาทหลังใหญ่ที่ถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงสีน้ำเงินที่เธอเคยมาเยือนเมื่อไม่นานมานี้ในขณะที่เกิดเหตุนองเลือดขึ้นมาที่นี่
ซึ่งเซซิเรียก็ได้ใช้เวลาสักพักหนึ่งในการยืนมองดูกำแพงปราสาทสีน้ำเงินที่ถูกซ่อมแซมจนกลับมาดูแข็งแกร่งตามเดิมแล้วจึงหยิบเอาตราสัญลักษณ์ที่มีรูปร่างเป็นดาวหกเหลี่ยมสีทองที่ตรงกลางถูกสลักเอาไว้เป็นรูปของหญิงสาวหูจิ้งจอกที่กำลังกุมมือทั้งสองข้างเอาไว้เหมือนกับกำลังสวดภาวนาอยู่ออกมาจากกระเป๋ากระโปรงของเธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ให้ตายสิ… ยังดีนะที่หมอนั่นให้ตรานี่มาเผื่อเอาไว้น่ะ…”
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังมองดูตราสัญลักษณ์ในมือที่เธอเคยได้รับมันมาเมื่อนานมาแล้วอยู่นั้นเอง ทางด้านนายทหารเฝ้าประตูทั้งสองคนที่สังเกตเห็นเธอยืนมองตรงไปที่ตัวปราสาทมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เดินตรงเข้ามาสอบถามด้วยท่าทีระแวดระวังจนทำให้เซซิเรียได้แต่แสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายออกมาแล้วจึงแสดงตราสัญลักษณ์ที่เธอถือเอาไว้ให้พวกเขาดูพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ฉันมีธุระกับ ไมเคิล เซลฟ่า ถ้าเกิดว่าพวกนายไม่อยากมีเรื่องกับเบื้องบนล่ะก็ถอยไปซะ”
“น–นั่นมัน—”
“ตราประจำตระกูลเซฟ่า… แถมยังอยู่ในมือคนนอกอีก…”
“ไมเคิลเป็นคนให้ฉันมาเอง หรือถ้าเกิดว่าพวกนายไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นของจริงล่ะก็จะไปตามไมเคิลมายืนยันเองเลยก็ได้”
ในขณะที่นายทหารยามทั้งสองคนเหมือนจะกำลังตกใจกับตราสัญลักษณ์ที่เซซิเรียแสดงให้พวกเขาดูนั้น ทางด้านเซซิเรียผู้เป็นต้นเรื่องก็ได้พูดสั่งพวกเขาขึ้นมาเพื่อตัดรำคาญและนั่นก็ทำให้นายทหารทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่นายทหารคนหนึ่งจะพูดบอกเธอขึ้นมาและรีบวิ่งหายไปในทันทีโดยทิ้งเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งเอาไว้เบื้องหลัง
“ร–รบกวนช่วยรอสักครู่นะครับ! ผมจะรีบไปตามคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้มาให้เร็วที่สุดครับ!”
“เข้าใจแล้วๆ …”
เซซิเรียพูดตอบไล่หลังนายทหารคนนั้นกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองนายทหารอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งเอาไว้ให้เฝ้าจับตาเธอเอาไว้เล็กน้อยแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
“—!!”
คำพูดบ่นของเซซิเรียนั้นได้ทำให้นายทหารยามสะดุ้งไปเล็กน้อยและกำหอกยาวในมือของเขาแน่นขึ้นราวกับว่าเขากำลังกังวลหรือว่าตึงเครียดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ว่าหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่นานนักก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่มีเสียงของนายทหารคนที่วิ่งหายไปดังขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“ทางนี้ครับท่านอาริสะ!!”
“………”
บุคคลที่นายทหารยามไปตามตัวมาจากด้านในตัวปราสาทนั้นก็คือเด็กสาวผมสีแดงนัยน์ตาสีเหลืองอำพันที่มีหูและหางจิ้งจอกฟูฟองในชุดเดรสสีขาวที่ดูหรูหราประดับด้วยลวดลายสีแดงที่เปิดเผยให้เห็นช่วงหัวไหล่และเนินอกเล็กน้อยอีกทั้งยังสวมใส่มงกุฎขนนกสีขาวเอาไว้บนศีรษะและมีผ้าโปร่งสีขาวปิดบังเอาไว้ทางด้านหลังอีกด้วย
ซึ่งถึงแม้ว่าเซซิเรียจะเห็นว่าคนที่ถูกตามตัวมาต้อนรับเธอนั้นจะเป็นเพียงแค่เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่สูงเพียงแค่หัวไหล่ของเธอก็ตาม แต่ว่าเธอก็สามารถมั่นใจได้ว่าด้วยการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วเด็กสาวเบื้องหน้าของเธอคงจะไม่ใช่คนรับใช้ที่มีหน้าที่ต้อนรับแขกธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
“ดิฉัน เคาน์เตส อาริสะ เบลวีน่า ค่ะ คุณคงจะเป็นคนรู้จักของท่านดยุคไมเคิลสินะคะ”
เด็กสาวหูจิ้งจอกในชุดเดรสหรูหราได้เอ่ยปากพูดแนะนำตัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการและประกาศชื่อนามสกุลรวมถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเองอย่างเต็มยศ และนั่นก็ทำให้เซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีอารมณ์จะมาพิธีรีตองอะไรกับเธอมากนักได้แต่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
“เคาน์เตสงั้นหรอ… เอาเถอะ”
“นี่คุณกำลังคิดว่าดิฉันเด็กเกินกว่าที่จะได้รับตำแหน่งนี้หรือไม่ก็ได้รับตำแหน่งเคาน์เตสนี้มาเพราะอำนาจทางตระกูลอยู่งั้นสินะคะ… ดิฉันขอยืนยันเลยว่าถึงจะเห็นแบบนี้แต่ดิฉันก็สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาได้อย่างสมกับตำแหน่งอย่างแน่นอนค่ะ”
เด็กสาวหูจิ้งจอกที่มีชื่อว่า อาริสะ นั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เมื่อเธอได้เห็นท่าทีของเซซิเรีย และนั่นก็ทำให้เซซิเรียถึงกับต้องเลิกคิ้วพูดตอบกลับไป
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
“เอาเถอะค่ะ เพราะยังไงคุณก็ไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนั้นเวลาโดนจับได้ว่ากำลังคิดอะไรแบบนั้นอยู่อยู่แล้ว… รบกวนช่วยตามดิฉันมาด้วยค่ะ”
“เฮ้อ… ถ้าจะขอยืนคุยตรงนี้เลยเธอก็คงจะไม่ยอมหรอกงั้นสินะ งั้นจะพาไปไหนก็เชิญเลย”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดเป็นเชิงประชดประชันในน้ำเสียงเป็นทางการนั้นได้แต่เหลือกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะดูท่าทางว่าเด็กสาวเบื้องหน้าของเธอคงจะเป็นประเภทที่รับมือได้ยากแน่ๆ และได้แต่พูดบอกให้อีกฝ่ายนำทางเธอไปแต่โดยดี
ซึ่งทางด้านอาริสะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันหลังกลับและเดินนำทางเซซิเรียเข้าไปภายในตัวปราสาทโดยไม่ได้พูดอะไรและปล่อยให้นายทหารทั้งสองที่ไปตามตัวเธอมาทำหน้าที่เฝ้ายามของพวกเขากันต่อไป
และหลังจากที่อาริสะได้เดินนำทางเซซิเรียไปได้สักพักหนึ่ง เธอก็ได้พาหญิงสาวไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องประชุมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชั้นสามก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาเซซิเรียและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“…ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปดิฉันขอถามก่อนได้หรือเปล่าคะว่าคุณกับท่านไมเคิลและตระกูลเซลฟ่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรน่ะคะ?”
“ก็แค่เพื่อนเก่ากันแค่นั้นล่ะ”
“พอจะขยายความคำว่าเพื่อนเก่าของคุณให้ดิฉันฟังสักหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ? เพราะถ้าเกิดว่าคุณเป็นแค่เพื่อนเก่าของท่านไมเคิลธรรมดาๆ ก็คงจะไม่มีทางมีตราประจำตระกูลของเขาได้หรอกนะคะ”
“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ไปขโมยมันมาอย่างที่เธอกำลังคิดอยู่ก็แล้วกัน รีบๆ ไปตามไมเคิลมาหาฉันได้แล้ว”
เซซิเรียที่ถูกอาริสะพูดถามย้ำขึ้นมาได้เริ่มที่จะแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาเนื่องจากว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากจะเข้ามาเจอเรื่องยุ่งยากในวังหลวงของแพนเทร่าแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ติดอยู่ตรงที่ว่าการเฝ้าระวังทางเข้าที่หนึ่งของเมืองโบราณใต้ดินของแพนเทร่านั้นมันจำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าของเธออย่างไมเคิลคนที่ว่าเท่านั้น หรือถ้าโชคดีกว่านั้นเธอก็อาจจะแก้ปัญหาหลายๆ อย่างที่เมืองนี้กำลังเผชิญอยู่ได้เลยซะด้วยซ้ำถ้าเกิดว่าไมเคิลคนที่ว่านั่นยอมให้ความร่วมมือกับเธอแต่โดยดี
ซึ่งท่าทีที่ดูหงุดหงิดของเซซิเรียนั้นก็ได้ทำให้อาริสะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะผลักประตูห้องประชุมให้เปิดออกมาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“…ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็เชิญเลยค่ะ”
หลังจากที่อาริสะเอ่ยปากพูดจบแล้วเธอก็ได้เดินนำเซซิเรียเข้าไปภายในห้องประชุมที่ว่าที่มีหน้าตาเหมือนกับห้องประชุมธรรมดาๆ ติดแค่ตรงที่ว่าภายในห้องประชุมแห่งนี้นั้นได้มีการตั้งตู้เอกสารเอาไว้ด้วยถึงสองตู้ด้วยกันผิดกับวิสัยของการตกแต่งห้องประชุมของเหล่าขุนนางตามปกติที่มักจะเน้นความหรูหรามากกว่าการใช้งานเอาไว้ก่อน และนั่นก็ทำให้เซซิเรียที่ในตอนแรกกำลังจะเดินตามเด็กสาวเข้าไปได้ชะงักฝีเท้าของเธอลงไปพร้อมกับหันไปเลิกคิ้วจ้องมองตู้เอกสารที่ว่าอย่างเงียบๆ
“……….”
“เลือกที่นั่งรอได้ตามสบายเลยค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวดิฉันคงจะต้องขอสอบถามข้อมูลจากคุณสักเล็กน้อยเพื่อนำไปกรอกเอกสารขอเข้าพบนะคะ”
“เฮ้อ…”
คำพูดของอาริสะได้ทำให้เซซิเรียถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ทางฝั่งที่อยู่ติดกับหน้าต่างและยกมือขึ้นมากอดอกด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ไหนๆ ฉันก็อุตส่าห์ยอมเดินตามเธอมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ นี่เธอไม่คิดจะแสดงความจริงใจกันสักหน่อยหรือไง?”
“….ดิฉันไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ค่ะ”
“ก็กะเอาไว้แล้วว่าจะตอบกลับมาแบบนั้นน่ะนะ…”
เป๊าะ—
เซซิเรียที่ได้ยินคำตอบของอาริสะได้ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะดีดนิ้วจนเกิดเสียงดัง และนั่นก็ทำให้ที่อากาศด้านหลังของเธอปรากฏก้อนคริสตัลสีเขียวที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นหอกคริสตัลจำนวนห้าเล่มที่กำลังหมุนควงไปมาอย่างรวดเร็วจนทำให้อาริสะที่เห็นแบบนั้นชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“นี่คุณคิดจะทำอะไรกันแน่—”
“นั่นมันคำถามของฉันต่างหากล่ะยัยหนูจิ้งจอก ที่เธอพาฉันมาที่ห้องประชุมชั้นสามนี่ก็เพื่อที่จะกักตัวฉันเอาไว้ไม่ให้หนีออกไปได้ง่ายๆ ใช่มั้ยล่ะ”
“ดิฉันขอบอกอีกครั้งนึงนะคะว่าดิฉันไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร—”
“ถ้างั้นเธอคงจะไม่คิดอะไรมากถ้าเกิดว่าฉันคิดอยากจะพังตู้พวกนั้นเล่นดูสินะ… ถ้าเกิดว่ามันเป็นตู้เปล่าจริงๆ ล่ะก็เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้เอง”
เซซิเรียพูดตอบเด็กสาวกลับไปก่อนที่หอกคริสตัลที่ลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหลังของเธอสองจากห้าเล่มจะแยกกันพุ่งเข้าใส่ตู้เก็บเอกสารทั้งสองตู้อย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ–ฟุ่บ–!
“อย่านะ—!”
แต่ทว่าในทันทีที่หอกคริสตัลเริ่มที่จะพุ่งตัวออกไปนั้นเอง อาริสะก็ได้ตะโกนร้องห้ามขึ้นมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้หอกคริสตัลของเซซิเรียหยุดชะงักอยู่หน้าตู้เก็บเอกสารห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรพร้อมๆ กับที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหอกคริสตัลเหล่านั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้าไม่อยากให้พวกของเธอที่แอบอยู่เจ็บตัวล่ะก็สั่งให้พวกเขาทุกคนออกไปก่อนซะสิ”
“………..”
คำสั่งของเซซิเรียได้ทำให้อาริสะเม้มปากแน่นและจ้องมองหญิงสาวคู่กรณีอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดสั่งให้ลูกน้องของเธอที่แอบอยู่ข้างในตู้เอกสารหลบออกไปก่อนเสียโดยดี
“พวกคุณทั้งสองคนออกไปก่อน… แล้วห้ามบอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยล่ะไม่งั้นเดี๋ยวเรื่องมันจะบานปลายไปหมด ที่เหลือเดี๋ยวดิฉันจัดการเองค่ะ”
“ค–ครับ!”
ในทันทีที่สิ้นเสียงของอาริสะนั้นเอง ตู้เก็บเอกสารทั้งสองตู้ก็ได้ถูกผลักให้เปิดออกจากภายในโดยมีนายทหารสองคนที่มีตราสัญลักษณ์รูปสุนัขสีขาวที่คาบมีดสั้นเอาไว้ในปากประดับอยู่บนไหล่พากันเดินออกจากห้องประชุมแห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่ทางด้านเซซิเรียก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจเช่นเดียวกันที่อีกฝ่ายยอมทำตามคำสั่งของเธออย่างง่ายๆ เช่นนี้
“รู้จักเป็นห่วงลูกน้องของตัวเองด้วยงั้นหรอ เธอแน่ใจนะว่าทำงานอยู่ถูกที่แล้วน่ะคุณหนูเคาน์เตส?”
“ถึงพวกขุนนางคนอื่นจะมองทหารพวกนั้นเป็นแค่หมากใช้แล้วทิ้งก็เถอะ แต่ดิฉันเชื่อว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครสมควรที่จะถูกใช้แล้วทิ้งโดยไม่มีใครเห็นค่าหรอกนะคะ”
“อื้ม… อย่างน้อยก็ยังมีจุดนึงที่ฉันเห็นด้วยกับเธอล่ะนะ”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของอาริสะได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาพร้อมกับสลายหอกคริสตัลอีกสามเล่มที่เหลือที่ยังคงหมุนควงหันปลายแหลมตรงไปทางเด็กสาวขุนนางอยู่ออกไป
“……..!”
แต่ทว่าในทันทีที่หอกคริสตัลของเซซิเรียสลายหายไปจนหมดนั้นเอง อาริสะก็กลับขยับมือของเธอที่วางประสานเอาไว้บนโต๊ะประชุมเล็กน้อยจนทำให้เซซิเรียกลับไปทำสีหน้าเบื่อหน่ายอีกครั้งและถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… แต่วันหน้าวันหลังถ้ารู้ว่าแผนแตกแล้วแต่อีกฝ่ายยังให้โอกาสขนาดนี้ก็ควรที่จะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีบ้างนะ”
เพล้ง!!
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของเซซิเรียดี อยู่ๆ กระจกหน้าต่างเบื้องหลังของเซซิเรียก็ได้แตกกระจายออกพร้อมๆ กับที่มีกระสุนวิซสีแดงนัดหนึ่งถูกส่งพุ่งตรงเข้าไปบริเวณศีรษะของเซซิเรียอย่างแม่นยำ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียที่ตกเป็นเป้าหมายของกระสุนนัดที่ว่าก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เมื่อที่ด้านหลังของเธอได้ปรากฏก้อนคริสตัลสีเขียวที่ก่อตัวขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่งและมันก็ช่วยปกป้องตัวเธอจากกระสุนวิซที่ตกกระทบกับมันเข้าจนระเบิดออกเป็นเปลวไฟลูกเล็กๆ โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บนหอกคริสตัลที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นมาใหม่เลยแม้แต่น้อย
ตุ๊ม—!!
“ยังเหลือลูกเล่นอะไรอีกมั้ย เคาน์เตส อาริสะ เบลวีน่า…? ถ้ายังมีอีกก็รีบๆ ใช้ออกมาให้หมดได้แล้ว ฉันจะได้เริ่มคุยธุระสักที”
“ไม่มีแล้วค่ะ… แล้วถึงมีก็คงจะทำอะไรคนระดับคุณไม่ได้อยู่ดี… ถึงวิธีของดิฉันอาจจะดูไม่น่าคบหาด้วยสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยดิฉันก็รู้ว่าจุดไหนที่ควรจะถอยนะคะ”
อาริสะที่ถูกเซซิเรียพูดถามขึ้นมาตรงๆ นั้นได้พูดตอบอีกฝ่ายกลับไปตรงๆ เช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้เซซิเรียไม่รอช้าที่จะรีบพูดเข้าเรื่องขึ้นมาในทันที
“ดยุกไมเคิลอยู่ที่ไหน แล้วเธอทำแบบนี้ไปทำไม มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอมาลงมือกับฉันแบบนี้ มันเป็นคำสั่งของราชาของแพนเทร่าหรือว่าที่จริงแล้วเธอรับคำสั่งมาจากที่อื่นกันแน่?”
“ที่ดิฉันทำแบบนี้มันเป็นเพราะเรื่องของกฎระเบียบที่เพิ่งจะถูกตราขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้น่ะค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าดิฉันได้รับคำสั่งมาจากใครกันแน่นั่น… ดิฉันคงจะบอกได้แค่ว่าดิฉันคือขุนนางยศเคาน์เตสที่ได้รับการแต่งตั้งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผลงานการสร้างและออกแบบอาวุธพลังงานวิซชนิดใหม่ๆ การรื้อฟื้นวิทยาการโบราณหรือแม้แต่โครงการเรือเหาะของแพนเทร่าที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานี่ก็เป็นผลงานของดิฉันเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่สามารถสั่งดิฉันได้ก็มีเพียงแค่ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงกว่าหรือเชื้อพระวงศ์ของแพนเทร่าเท่านั้นค่ะ”
คำถามของเซซิเรียในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะพูดอธิบายตอบกลับมายาวเหยียดโดยยกผลงานต่างๆ ของเธอขึ้นมาประกอบไปด้วยราวกับว่าเธอกำลังพยายามที่จะยืนยันความสามารถของตนเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งเคาน์เตสที่เธอดำรงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นทางเซซิเรียที่ฟังดูแล้วสิ่งที่เด็กสาวกำลังพยายามจะสื่อดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่เธออยากรู้เลยแม้แต่น้อยก็กลับพูดถามกลับมาอีกครั้งหนึ่งแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของเด็กสาวมากนัก
“เอาเถอะๆ ถ้างั้นจะบอกมาได้แล้วหรือยังว่าตอนนี้ไมเคิลเขาอยู่ที่ไหนน่ะ?”
“ดยุกไมเคิลที่คุณพูดถึงนั่นหมายถึงท่านดยุกไมเคิลผู้อยู่ยงคงกระพันแห่งตระกูลเซลฟ่าใช่หรือเปล่าคะ?”
“ดยุกที่ใช้ชื่อว่าไมเคิลในเมืองนี้มันก็น่าจะมีอยู่คนเดียวนั่นล่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ฉันมีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องรีบบอกเขาเดี๋ยวนี้เลย”
“ถ้าเกิดว่าเป็นท่านดยุกไมเคิลคนนั้นล่ะก็คุณมาช้าเกินไปเยอะเลยนะคะ… เพราะว่าท่านดยุกไมเคิล เซลฟ่าได้เสียชีวิตไปแล้วในระหว่างที่พยายามจะหลบหนีในข้อหากบฏน่ะค่ะ”
“หา…?”
คำตอบของอาริสะที่พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั้นได้ทำให้เซซิเรียชะงักนิ่งค้างไปด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าที่จริงแล้วดยุกไมเคิลคนที่ว่านั้นก็คือหนึ่งในคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเธอเหมือนดั่งเช่นแคทเธอรีนและแม็กซิสด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งท่าทีที่ดูประหลาดใจของเซซิเรียนั้นก็ทำให้อาริสะที่เห็นดังนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดถามออกมาด้วยความสงสัย
“นี่คุณไม่รู้จริงๆ งั้นหรอคะ? เมื่อห้าปีก่อนเรื่องนี้เป็นข่าวดังในเมืองแพนเทร่าอยู่ได้สักพักใหญ่ๆ เลยนะคะ”
“………คนที่ตั้งข้อหากบฏให้กับไมเคิลนั่นคือใคร ฉันว่าฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับเขาสักหน่อยน่ะ”
“เรื่องนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าดยุกเฟอร์กัส ที่เป็นคนตั้งข้อหากบฏให้กับท่านดยุกไมเคิลจนได้รับตำแหน่งดยุกและสืบทอดงานต่างๆ ของท่านไมเคิลไปกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเพิ่งจะเสียชีวิตกันไปจนหมดเมื่อตอนที่ปราสาทแพนเทร่าถูกโจมตีเมื่อไม่นานมานี้เองน่ะค่ะ”
“การโจมตีนั่น… มันเป็นเพราะอย่างนี้เองงั้นหรอ…”
เซซิเรียที่ได้ยินคำตอบของอาริสะนั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อสิ่งที่เด็กสาวพูดออกมาก็คือคำตอบของคำถามที่คาใจเธอมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ว่าเพราะสาเหตุใดกันแน่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมถึงได้บุกเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนในปราสาทแพนเทร่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนโดยไม่มีสาเหตุอะไรเลย แตกต่างจากเมื่อตอนที่วังหลวงของกราวิทัสถูกโจมตีที่มีสาเหตุมาจากการเสียชีวิตของแคทเธอรีนแน่ๆ
ซึ่งท่าทางของเซซิเรียที่ดูราวกับว่าเธอรู้เรื่องอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีปราสาทแพนเทร่านั้นก็ได้ทำให้อาริสะต้องรีบพูดถามขึ้นมาในทันที
“คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนั้นด้วยหรอคะ?”
“เปล่า แค่ว่าตอนนั้นฉันบังเอิญอยู่แถวนี้ตอนที่เกิดเรื่องพอดีน่ะ”
“บังเอิญงั้นหรอคะ…?”
คำตอบที่ฟังดูยังไงก็เป็นการบ่ายเบี่ยงของเซซิเรียนั้นได้ทำให้อาริสะต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็รู้ตัวดีว่าตนเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถคาดคั้นข้อมูลมาจากอีกฝ่ายได้ เธอจึงเลือกที่จะกลับไปพูดสอบถามเกี่ยวกับเรื่องธุระของอีกฝ่ายขึ้นมาแทน
“ถ้าคุณว่าแบบนั้นก็เอาตามนั้นเถอะค่ะ… ว่าแต่สรุปแล้วว่าคุณมีธุระอะไรกับดยุกกบฏที่วางแผนจะโค่นล้มราชวงศ์ผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวแพนเทร่าอย่างท่านไมเคิลงั้นหรอคะ?”
“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอว่าไมเคิลเขาเป็นเพื่อนเก่าของฉันน่ะ ฉันแค่แวะผ่านมาแถวนี้ก็เลยกะว่าจะมาเยี่ยมสักหน่อยก็แค่นั้น หมอนั่นกลายเป็นกบฏไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วฉันก็ยังไม่รู้เลย”
“ถ้าดูจากการที่คุณเดินเข้ามายื่นตราประจำตระกูลเซลฟ่าแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยแบบนั้นมันก็พอจะสนับสนุนคำพูดของคุณได้อยู่นั่นล่ะค่ะ… แต่ว่าพอมีคนที่เกี่ยวข้องกับท่านไมเคิลโผล่มาดิฉันก็เลยจำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบที่เขาวางเอาไว้น่ะค่ะ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะ”
“แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เมืองนี้มีกฎหมายว่าต้องจัดการคนที่เกี่ยวข้องกับไมเคิลเขาทิ้งทั้งหมดนั่นกันล่ะ?”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดอธิบายของอาริสะได้พูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ เพราะถ้าเกิดว่าดูจากที่เด็กสาวพูดแนะนำตัวเองแล้ว เด็กสาวเบื้องหน้าของเธอน่าจะเป็นขุนนางที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และวิทยาการต่างๆ มากกว่าที่จะต้องมารับหน้าที่กำจัดผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏแบบนี้ และนั่นก็คงจะหมายความว่ามันจะต้องมีกฎหมายอะไรที่ถูกกำหนดเอาไว้เป็นพิเศษที่บังคับให้เหล่าขุนนางต้องรีบลงมือจัดการผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับไมเคิลในทันทีที่ได้ทราบข่าวอย่างแน่นอน
ซึ่งทางด้านอาริสะที่ถูกพูดถามขึ้นมานั้นก็ไม่รอช้าที่จะพูดตอบกลับไปตามตรงในทันที
“เป็นคำสั่งของดยุกเฟอร์กัสที่เสียชีวิตไปแล้วที่ได้รับการอนุมัติโดยตรงจากองค์ราชาค่ะ แล้วในเมื่อยังไม่มีการประกาศยกเลิกหรือว่ายังไม่มีคำสั่งอื่นใดออกมา ก็เลยให้ถือว่ามันยังเป็นคำสั่งที่ยังคงมีการบังคับใช้อยู่น่ะค่ะ”
“เฮ้อ… ก็พอจะเดาได้อยู่ล่ะ…”
คำตอบของอาริสะได้ทำให้เซซิเรียต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปแทรกแซงระบบการปกครองหรือว่าความเชื่อของใครอยู่แล้ว เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงเรื่องนั้นต่อและหันกลับไปพูดถึงเรื่องธุระของเธอแทน
“ในเมื่อไมเคิลไม่อยู่แล้ว แล้วเธอก็ดูเหมือนว่าจะฉลาดอยู่บ้างงั้นฉันจะพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน”
“คะ?”
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะมาเช็กดูว่ามีใครลงไปยุ่งอะไรกับห้องควบคุมที่อยู่ใต้ปราสาทนี่หรือเปล่าก็แค่นั้นล่ะ เพราะว่าปกติแล้วหน้าที่ดูแลห้องควบคุมมันควรจะเป็นของไมเคิลเขาใช่มั้ยล่ะ?”
“คุณรู้เรื่องห้องควบคุมได้ยังไง—!?”
คำพูดของเซซิเรียที่พูดถึง ‘ห้องควบคุม’ ที่เป็นควรจะเป็นความลับอันมีแต่ขุนนางชั้นสูงของแพนเทร่าเท่านั้นที่ควรจะรู้เรื่องนี้ได้นั้นได้ทำให้อาริสะสะดุ้งไปเล็กน้อยและพูดถามกลับมาด้วยท่าทีระแวดระวัง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียก็กลับไม่คิดที่จะพูดอธิบายอะไรมากนักและลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อมองออกไปยังตัวเมืองแพนเทร่าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกควันหนาทึบก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ฉันยังรู้เรื่องที่จะทำให้เธอตกใจได้มากกว่านี้อีกเยอะ ถ้าเกิดว่าเธอคู่ควรกับเรื่องพวกนั้นเมื่อไหร่แล้วฉันจะลองคิดดูว่าจะบอกเธอหรือเปล่าก็แล้วกัน… แต่ว่าสำหรับตอนนี้เธอรีบตอบคำถามของฉันมาตามตรงดีกว่า เพราะถึงจะเห็นว่าฉันมีเวลามาเล่นกับพวกเธอแบบนี้แต่ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกว่าที่เธอคิดเอาไว้อยู่เยอะนะ… ตอนนี้ยังมีใครที่ยังสามารถใช้งานห้องควบคุมได้บ้าง?”
“……..”
คำพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังของเซซิเรียนั้นได้ทำให้อาริสะนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดตอบหญิงสาวแปลกหน้าผู้เป็นเพื่อนเก่าของไมเคิลกลับไปตามความเป็นจริง
“ไม่มีค่ะ… หลังจากที่ท่านไมเคิลเสียชีวิตไปก็ไม่เคยมีใครเปิดอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องควบคุมได้อีกเลยอีกทั้งประตูลงไปยังเมืองใต้ดินก็ไม่ตอบสนองกับใครอีกเลยด้วย”
“ก็นั่นมันห้องควบคุมนี่นะ… แล้วสำหรับพวกเธอในตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครมีความสามารถมากพอที่จะทำอะไรกับเครื่องมือพวกนั้นได้แน่ๆ ล่ะ หรือต่อให้พวกเธอจะบังเอิญเปิดอุปกรณ์พวกนั้นขึ้นมาได้ก็คงจะทำความเข้าใจมันไม่ได้อยู่ดี… ในตอนนี้ฉันสามารถเข้าไปในห้องควบคุมได้หรือเปล่า?”
“ดิฉันเกรงว่าคงจะไม่ได้ค่ะ เพราะถึงดิฉันจะได้รับหน้าที่ให้รับผิดชอบเรื่องห้องควบคุมอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเกิดว่าดิฉันปล่อยให้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับท่านไมเคิลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏเข้าไปในห้องนั้นดิฉันก็คงจะต้องโดนคาดโทษไปด้วยแน่นอน”
“ถ้าเกิดว่าเธอกลัวเรื่องนั้นจริงๆ ล่ะก็เธอควรที่จะเลิกเรียกกบฏอย่างไมเคิลนำหน้าด้วยคำว่า ‘ท่าน’ ก่อนน่าจะดีกว่านะ”
“……”
คำพูดของเซซิเรียได้ทำให้อาริสะปิดปากเงียบและหลบสายตาไปอีกทางหนึ่งโดยไม่ยอมพูดตอบอะไรกลับมา ซึ่งท่าทางที่ดูเหมือนกับว่าจะยอมรับกลายๆ ที่สามารถดูออกได้ง่ายๆ ของเด็กสาวก็ได้ทำให้เซซิเรียต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะและตัดสินใจที่จะไม่พูดถามอะไรเรื่องนี้ขึ้นมาต่อ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวหลังจากนี้อีกสักพักนึงฉันจะส่งคนมาช่วยเธอเรื่องห้องควบคุมนั่นเองก็แล้วกัน ถึงพวกเขาจะเป็นคนรู้จักกับไมเคิลเหมือนกับฉันก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเธอเป็นห่วงประชาชนข้างนอกนั่นจริงๆ ล่ะก็ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วพาพวกเขาไปส่งที่ห้องควบคุมให้หน่อยก็แล้วกัน”
“แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขาเป็นคนนอกดิฉันคงจะไม่สามารถพาพวกเขาไปถึงห้องควบคุมที่เป็นความลับได้หรอกนะคะ—”
“เฮ้อ… ในฐานะขุนนางแล้วเธอยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะ… ถ้าเกิดว่าเธอได้รับหน้าที่ให้จัดการห้องควบคุมมันก็หมายความว่าเธอมีอำนาจในการตัดสินใจในระดับนึง แล้วตำแหน่งเคาน์เตสของเธอมันก็ไม่ใช่ตำแหน่งต่ำๆ ด้วย ขอแค่เธอทำท่าขึงขังสักหน่อยแล้วบอกว่าพวกคนที่ฉันจะส่งมาคือผู้เชี่ยวชาญที่เธอเลือกมาช่วยงานซะอย่างก็ไม่มีใครกล้าขัดอะไรเธอแล้ว เพราะยังไงสิ่งที่พวกนั้นต้องการก็คือการทำให้ห้องควบคุมกลับมาใช้งานได้ไม่ใช่ความเงียบที่อาจจะนำไปสู่หายนะก็ได้แบบนี้”
“แล้ว… แล้วดิฉันจะมั่นใจได้ยังไงล่ะคะว่าพวกคนที่คุณจะส่งมาช่วยจะไม่ใช่พวกนักล่าสมบัติที่หวังจะแอบเข้าไปที่นั่นผ่านทางประตูของห้องควบคุมน่ะ…?”
“เรื่องนั้นเอาไว้พอพวกเขามาถึงแล้วเดี๋ยวเธอก็รู้เองนั่นล่ะ เพราะยังไงยัยนั่นก็เป็นคนดังพอตัวไม่เหมือนฉันอยู่แล้วด้วย”
เซซิเรียพูดตอบอาริสะกลับไปแบบส่งๆ และนั่นก็ทำให้เด็กสาวผู้มีตำแหน่งขุนนางนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างข้างๆ เซซิเรียเพื่อมองออกไปดูหมอกหนาทึบที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่าเอาไว้แล้วจึงเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“เมื่อกี้นี้ที่คุณพูดว่า ‘หายนะ’ นั่น… มันเกี่ยวข้องกับหมอกที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่าอยู่ตอนนี้หรือเปล่าคะ?”
“นั่นสินะ… จริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าฉันได้ลงไปตรวจสอบดูที่ห้องควบคุมก็น่าจะบอกได้ทันทีนั่นล่ะว่ามันมีหายนะถูกซ่อนเอาภายในหมอกพวกนี้หรือเปล่าหรือว่าที่จริงแล้วมันเป็นแค่ที่ห้องควบคุมทำงานผิดพลาดเฉยๆ … แต่ว่าฉันดันเล่นเอาตราประจำตระกูลของไมเคิลเขามาโชว์หราไปแล้วก็เลยลงไปที่นั่นไม่ได้นี่นะ”
“คุณนี่…”
คำตอบของเซซิเรียที่ฟังดูแล้วเหมือนหญิงสาวจะมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถใช้งานห้องควบคุมที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนกับถูกผนึกเอาไว้นับตั้งแต่ไมเคิลถูกประหารชีวิตไปได้อย่างแน่นอนนั้นได้ทำให้อาริสะนิ่งเงียบไปอีกครั้งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“คุณนี่เป็นคนอ่อนโยนไม่เหมือนกับที่คุณพยายามจะแสดงออกเลยนะคะ… ในเมื่อคุณมีความสามารถขนาดนั้นคุณจะบังคับให้ดิฉันนำทางไปหรือจะบุกฝ่าไปที่ห้องควบคุมเลยก็น่าจะทำได้ง่ายๆ แท้ๆ แต่ว่ากลับเลือกทางที่ยุ่งยากกว่าอย่างการส่งคนมาทีหลังเพื่อไม่ให้ดิฉันเดือดร้อนไปซะแทนเสียอย่างนั้น… แล้วไหนคุณจะยังไม่ทำอะไรดิฉันทั้งๆ ที่ดิฉันเพิ่งจะหมายเอาชีวิตคุณไปเมื่อสักครู่นี้อีก…”
“พูดมากน่า… แค่ดูมันก็รู้แล้วไม่ใช่หรอว่าเธอแค่ทำหน้าที่ที่ถูกบังคับให้ทำน่ะ แต่วันหน้าวันหลังก่อนที่เธอจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก็ลองคิดดูให้ดีๆ ก่อนก็แล้วกันว่ามันสมควรที่จะทำหรือเปล่าน่ะ”
“ให้ลองคิดดูให้ดีๆ ก่อนงั้นหรอคะ…”
“อื้ม แต่เอาจริงๆ เธอไม่ต้องฟังคำแนะนำของฉันก็ได้ เพราะยังไงพวกเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน— นั่นมันอะไรน่ะ…”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดตอบอาริสะกลับไปอยู่นั้นเองสายตาของเธอก็ได้ไปสะดุดอยู่ที่ด้านบนหลังคาของอาคารสูงหลังหนึ่งที่โผล่พ้นม่านหมอกห่างออกไปไกลลิบเข้า ที่ในขณะนี้มันได้มีร่างของผู้หญิงผมสีแดงในชุดผ้าคลุมเก่าๆ เหมือนกับพวกทหารรับจ้างกำลังมองตรงมาทางพวกเธอและกำลังโบกมือที่เปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงไปมาราวกับกำลังทักทายพวกเธออยู่สักพักนึงก่อนที่ร่างดังกล่าวจะกระโดดลงจากหลังคาหายไปกับม่านหมอกเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
“ยัยนั่นมัน— อาริสะ! พลซุ่มยิงของเธอถอนกำลังกลับไปแล้วหรือยัง!?”
“เขาน่าจะยังประจำตำแหน่งอยู่ที่เดิมนะคะ เพราะเมื่อสักครู่นี้ดิฉันแค่ออกคำสั่งให้เขาหยุดยิงเฉยๆ”
“รีบส่งหน่วยแพทย์ไปหาเขาเดี๋ยวนี้เลย!”
“เอ๋?”
คำสั่งของเซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพลซุ่มยิงของอาริสะนั้นได้ทำให้เธอเผยท่าทีแปลกใจออกมา เนื่องจากว่าเมื่อสักครู่นี้เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอะไรที่ข้างนอกหน้าต่างเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียที่สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีแดงคนเมื่อสักครู่นี้ก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อยและเลื่อนบานหน้าต่างให้เปิดออกพร้อมกับท่าทำเหมือนกับว่าจะพุ่งตัวออกไปจนทำให้อาริสะต้องรีบร้องห้ามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิคะ นี่มันชั้นสามนะคะ—”
ฟุ๊บ—
ถึงแม้ว่าอาริสะจะพยายามร้องห้ามเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ทว่าทางด้านเซซิเรียก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดฟังเลยแม้แต่น้อยและพุ่งตัวออกนอกหน้าต่างไปในทันที โดยที่อาริสะที่รีบชะโงกหน้าตามออกมาดูนั้นได้เห็นเพียงแค่หลังไวๆ ของหญิงสาวที่กำลังวิ่งไต่ขึ้นกำแพงปราสาทอีกฝั่งหนึ่งและกระโดดหายออกไปเบื้องนอกภายในพริบตาเดียว
“ไปซะแล้วสิ… ยังไม่ทันได้ทราบชื่อกันเลยแท้ๆ … แต่ก็เอาเถอะ… ตอนนี้คงต้องรีบแจ้งหน่วยพยาบาลตามที่เขาบอกเผื่อไว้ก่อน”
อาริสะที่เห็นเซซิเรียวิ่งไต่กำแพงออกไปต่อหน้าต่อตานั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งออกไปจากห้องประชุมเพื่อส่งทีมแพทย์ออกไปตามที่เซซิเรียพูดบอกเอาไว้เมื่อสักครู่