บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 18
“ฉันมาแล้วเอริ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
หลังจากที่นากาเปิดประตูเข้าไปด้านในห้องนอนของเจนแล้วเขาก็ได้กะพริบตามองดูเอริซาเบธที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามจัดการงัดแงะชุดเกราะหนักแบบเต็มตัวออกจากร่างของอัศวินคนหนึ่งอยู่ด้วยความยากลำบากโดยมีเดรคนั่งกอดอกหลับตาอยู่ที่ข้างๆ ตู้หนังสือใกล้ๆ กันโดยไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไปช่วยเหลือเอริซาเบธเลยแม้แต่น้อย
“ฮึบ— อ้ะ นากาคุงมาช่วยฉันแงะเจ้าชุดเกราะนี่หน่อยสิ คือพอดีว่าเดรคเขาแรงเยอะเกินจนฉันไม่อยากจะให้เขาเข้ามายุ่งด้วยสักเท่าไหร่น่ะ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวร่างของอัศวินคนนี้เขาจะช้ำไปหมดซะก่อน…”
“เห… แรงเยอะเกินไปก็ดูมีปัญหาอยู่เหมือนกันนะเนี่ย…”
“ฮื่ม…”
เดรคที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่งจนทำให้นากาถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยเพราะเขาคิดว่าชายร่างยักษ์ผมสีขาวคนนั้นนั่งหลับไปแล้วเสียอีก แต่ว่าหลังจากที่เดรคพ่นลมออกมาแรงๆ ทีหนึ่งแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรต่ออีกจนทำให้นากาไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่นักว่าชายร่างยักษ์ยังตื่นอยู่จริงๆ หรือเปล่าและหันไปสนใจทางด้านเอริซาเบธที่แทบจะใช้เท้ายันกับตัวชุดเกราะเพื่อดึงมันออกอยู่แล้วแทน
“เธอทำอย่างงั้นมันจะไปออกได้ยังไงล่ะเอริ ลองถอดทีละส่วนๆ เอาจะไม่ง่ายกว่าหรอนั่น”
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า แต่ว่าตอนที่ฉันพยายามถอดมันทีละส่วนมันดันติดอะไรก็ไม่รู้นี่น่ะสิ เอ้าฮึบ—!”
“หา? ติดหรอ?”
“ใช่ ถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองเดินเข้ามาดูใกล้ๆ นี่สิ”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความหงุดหงิดไม่ใช่น้อยและจับเอาเกราะส่วนแขนที่เธอพยายามถอดมันออกมาจากร่างของอัศวินเกราะหนักมาได้สักพักหนึ่งแล้วขึ้นมาแกว่งให้นากาเห็น เพราะไม่ว่าต่อให้เธอจะออกแรงมากสักแค่ไหนชุดเกราะของอัศวินคนนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดออกมาให้เธอเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเมื่อนากาได้ลองเดินเข้าไปมองดูร่างของอัศวินในชุดเกราะหนักใกล้ๆ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“เดี๋ยวสิ… นี่อัศวินคนนี้เขาจะใส่เกราะหนาไปไหนเนี่ย?”
คำพูดของนากานั้นไม่ได้เกินเลยไปเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าร่างของอัศวินเบื้องหน้าของเขานั้นได้สวมใส่ชุดเกราะเหล็กที่ดูหนาหนักเต็มตัวตั้งแต่บริเวณศีรษะปกคลุมไปถึงบริเวณฝ่าเท้า อีกทั้งบริเวณส่วนข้อต่อหรือจุดขยับต่างๆ ของร่างกายที่เป็นช่องว่างของชุดเกราะเองก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเกราะโซ่ถักวงหนาที่ดูผ่านๆ แล้วน่าจะมีชุดเกราะหนังหรือเสื้อผ้าหนาๆ ทับอยู่ด้านในอีกชั้นหนึ่งอีกด้วย
ซึ่งถึงแม้ว่าชุดเกราะหนักของอัศวินคนนี้จะดูรุ่มร่ามเทอะทะจนขยับตัวได้ยากแต่ว่ามันก็ดูแข็งแกร่งจนผู้สวมใส่ไม่น่าจะเสียท่าให้กับอะไรง่ายๆ แบบนี้ด้วยเช่นกัน
“อื้ม ฉันกับเดรคไปเจอเขาอยู่ข้างในห้องเก็บของกับอัศวินเกราะหนักอีกคนนึงก็เลยเอามาด้วยเพราะเห็นว่าเกราะหนาขนาดนี้ร่างข้างในน่าจะไม่ได้เป็นอะไรมากน่ะ… แต่ที่ไหนได้แค่จะแงะออกมาดูก็ยังแงะไม่ออกเลยเนี่ย!”
ในขณะที่นากากำลังสำรวจดูชุดเกราะหนักที่ร่างของอัศวินสวมใส่อยู่นั้นทางด้านเอริซาเบธก็ได้เอาเกราะแขนที่คาอยู่บนร่างของอัศวินเคาะไปที่เกราะตรงส่วนอกสองสามทีเพื่อระบายความหงุดหงิดจนนากาถึงกับสะดุ้งไป
“เหวอ— อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิเอริ ถ้าเธอแงะไม่ออกจริงๆ ก็ให้เดรคเขาเป็นคนจัดการก็น่าจะได้นี่”
“ได้ซะที่ไหนกันล่ะ ถ้าให้เดรคจัดการมีหวังร่างของเขาก็ได้เละกันหมดสิ… อย่างน้อยๆ พวกเราก็ยังต้องให้เกียรติร่างของพวกเขาเอาไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับคำอนุญาตจากญาติของพวกเขาน่ะนะ เพราะงั้นจะทำอะไรรุนแรงแบบนั้นไม่ได้หรอก…”
คำตอบของเอริซาเบธนั้นได้ทำให้นากาเบิ่งตามองดูเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าการกระทำของเอริซาเบธอย่างการจับเกราะแขนของผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาเคาะเล่นนั้นดูไม่เข้ากับคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ที่เอริซาเบธเห็นสายตาของนากาต้องรีบพูดเถียงขึ้นมาในทันที
“อะไรเล่า!? ก็ถ้าเกิดว่าพวกเราทำรุนแรงเกินไปจนร่างของอัศวินพวกนี้เสียหายขึ้นมาเดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ได้ใช้เรื่องนี้เล่นงานคุณเอริกะกันพอดีสิ ไม่งั้นป่านนี้ฉันส่งร่างพวกนี้ไปให้มีอาเขาผ่าดูตั้งนานแล้ว!”
“จะว่าไปแล้ว ‘มีอา’ นี่คือใครกันน่ะ ตอนที่เอริกะเล่าเรื่องของเจนให้ฟังก็เหมือนว่าฉันจะได้ยินพวกเธอพูดถึงชื่อนี้อยู่ด้วยเหมือนกันนี่”
“อ่อใช่ นากาคุงยังไม่เคยเจอมีอาเขานี่นะ~ มีอาเขาเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของฉันกับเดรคที่ได้คุณเอริกะรับมาดูแลพร้อมๆ กันน่ะ แต่ว่าปกติแล้วรายนั้นน่ะเขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลของทางเมือง เอาไว้เดี๋ยวถ้าวันไหนมีเวลาว่างๆ ฉันจะพาเธอไปทำความรู้จักก็แล้วกันนะ~”
ในทันทีที่มีชื่อของคนที่ชื่อว่า มีอา ผุดขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนานั้นท่าทีหงุดหงิดของเอริซาเบธก็ได้ปลิวหายไปเป็นปลิดทิ้งและพูดตอบนากากลับไปด้วยท่าทีร่าเริงก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างถูกขูดไถลไปตามพื้นอย่างแรงดังขึ้นมาดังลั่น
แกร๊ก—ครื่ดดดดดด
“—!?”
เสียงดังลั่นที่ฟังดูเหมือนกับมีอะไรบางอย่างถูกขูดไปตามพื้นนั้นได้ทำให้ทั้งนากาและเอริซาเบธสะดุ้งสุดตัวและตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้กันในทันที แต่ว่าเมื่อพวกเขาหันไปมองทางต้นเสียงแล้วพวกเขาก็ได้พบว่าเดรคที่นั่งหลับตาอยู่เมื่อสักครู่นี้นั้นเหมือนจะหลับไปจริงๆ แล้วและเผลอเอนร่างกายสูงใหญ่ของเขาไปพิงเข้ากับตู้หนังสือข้างกายจนทำให้มันขยับเขยื้อนเล็กน้อยเพียงเท่านั้นเอง
“ให้ตายสิ ทำเอาตกใจหมด…”
นากาพูดบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้เพื่อหวังที่จะสะกิดปลุกให้เดรคตื่นขึ้นมาหาที่นอนดีๆ แทนการนั่งหลับแบบนี้ แต่ว่ายังไม่ทันที่นากาจะได้ยื่นมือออกไปเขย่าตัวของชายร่างยักษ์สายตาของเขาก็ได้สะดุดเข้ากับเขาสีดำขนาดใหญ่ที่งอกออกมาจากข้างศีรษะบริเวณกกหูของเขาเข้าเสียก่อน
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเพราะว่าเมื่อเขาลองมองสังเกตดูมันให้ดีๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าเขาสีดำของเดรคนั้นมีขนาดที่ใหญ่และดูแข็งแกร่งกว่าเขาของคนที่มีเขางอกออกมาจากศีรษะคนอื่นๆ ที่นากาเคยเห็นมาก่อนมากพอสมควรจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะลองยื่นมือออกไปจับมันดูสักเล็กน้อย
แต่ว่าก่อนที่มือของนากาจะได้สัมผัสกับเขาสีดำขลับของเดรคนั้นเอง เอริซาเบธที่กำลังมองดูการกระทำของนากาอยู่ก็ได้ทำแววตาแพรวพราวและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแก้มของตัวเองก่อนจะพูดหยอกล้อขึ้นมาด้วยท่าทีสะดีดสะดิ้ง
“ว๊าย~ ไม่เอาสินากาคุง~ อยู่ดีๆ จะไปจับเขาของคนอื่นเขาแบบนั้นไม่ได้น๊า~~”
“ห–หา?”
“แหม่~ ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็เข้าใจนะว่าเขาของเดรคเขามันใหญ่ยั่วยวนใจจนเธอแทบจะอดใจเอาไว้ไม่ไหวน่ะ แต่ว่าถ้ายังไงก็อดกลั้น— อ่ะ… ข้างหลังตู้หนังสือนั่นมัน…”
ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดจายียวนออกมาด้วยสายตาแพรวพราวอยู่นั้นเองเธอก็ได้สังเกตเห็นช่องว่างขนาดเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังตู้หนังสือที่เดรคเอนตัวพิงมันจนเลื่อนออกจากจุดเดิมเข้าเสียก่อน ซึ่งเมื่อนากาหันไปมองดูตามที่เอริซาเบธชี้ไปแล้วเห็นแบบนั้นเขาก็ได้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“นั่นมัน… ทางลับงั้นหรอ…?”
“น่าจะใช่นะ… นากาคุงหลบออกมาก่อนสิ”
“เอ๋ะ— อื้ม”
นากาที่อยู่ๆ ก็ถูกเอริซาเบธพูดสั่งขึ้นมานั้นได้ขยับตัวไปหลบทางด้านหลังของเอริซาเบธตามที่เธอสั่งดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องหลบจากอะไรก็ตาม และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่านากาหลบไปอยู่ในที่ที่น่าจะปลอดภัยแล้วเธอก็ได้เดินเข้าไปเขย่าตัวชายหนุ่มร่างยักษ์ที่นั่งเอนตัวพิงกับตู้หนังสืออยู่ในทันที
“นี่ๆ เดรค ตื่นมาช่วยเปิดประตูลับนี่ให้ฉันหน่อยสิ~”
“ฮึ่ม…”
เดรคที่ถูกเอริซาเบธรบกวนเวลานอนนั้นได้พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่งก่อนที่เขาจะลืมตาตื่นและยื่นมือออกไปคว้าขอบตู้หนังสือและออกแรงยกมันขึ้นมาจากพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว
ครึก ครึก กรึ๊ก—โคร๊ม!!
ตัวตู้หนังสือที่ถูกเดรคออกแรงยกนั้นได้ถูกยกขึ้นจนลอยจากพื้นเล็กน้อยก่อนที่มันจะหยุดชะงักไปกลางคันเหมือนกับว่ามันติดอะไรบางอย่าง แล้วจึงมีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับข้อต่อและฟันเฟืองเหล็กที่ถูกฉีกกระชากจนแตกหักดังออกมาจากภายในก่อนที่ทั้งตัวตู้หนังสือที่ทำหน้าที่เป็นประตูลับและตัวกลไกที่ถูกฝังเอาไว้ในกำแพงจะถูกเดรคที่ทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนักซะด้วยซ้ำดึงพวกมันจนหลุดออกมาทั้งยวง
“เฮ้ย—!?”
“ขอบใจมากนะเดรค เอาล่ะ ไปหาที่นอนที่อื่นก่อนไป ชิ่วๆ ~”
“ฮึ่ม…”
เดรคพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และพยักหน้าให้เอริซาเบธก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งกอดอกอยู่ที่อีกมุมห้องหนึ่งแทนโดยมีนากามองตามเขาไปสลับกับมองดูตู้หนังสือติดกลไกประตูลับที่เดรควางทิ้งเอาไว้ใกล้ๆ กันด้วยความอึ้งทึ่ง
“ประตูลับอะไรก็ไม่ต้องหาวิธีเปิด แค่ใช้แรงดึงออกมาดื้อๆ เลยเนี่ยนะ…”
“เอาน่าๆ ก็พวกเราไม่มีเวลาให้มาลองผิดลองถูกหาวิธีเปิดประตูสักหน่อยนี่ เพราะงั้นถ้ามีวิธีไหนที่ช่วยประหยัดเวลาได้ก็ทำๆ ไปเถอะเนอะ~”
เอริซาเบธที่เห็นนากาเบ้ปากพูดขึ้นมานั้นได้ตบไปที่ไหล่ของเขาสองสามทีก่อนจะเดินเข้าไปดูภายในห้องลับด้วยท่าทีระมัดระวัง
ซึ่งที่ด้านในห้องสี่เหลี่ยมทรงยาวนั้นก็เป็นห้องมืดๆ ที่ถูกปูเอาไว้ด้วยพรมนิ่มๆ สีสันสว่างสดใสในขณะที่ตัวกำแพงนั้นกลับถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยผ่านม่านหนาหนักที่ดูนุ่มนิ่มทั้งสี่ทิศจนดูแปลกประหลาด
ส่วนของใช้อื่นๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ในห้องนั้นก็มีเปลสำหรับเด็กเล็กที่ว่างเปล่าถูกตั้งเอาไว้ตรงกลางโดยมีตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ ตั้งเรียงรายเอาไว้รอบๆ อีกทั้งที่มุมหนึ่งของห้องเองก็มีตู้หนังสือกับโต๊ะเล็กๆ ที่มีหนังสือภาพและหนังสือนิทานจำนวนมากถูกบรรจุเอาไว้อยู่เต็มไปหมด
“นี่มัน…… อะไรกันล่ะเนี่ย…”
ภาพของห้องลับ หรือที่ควรจะถูกเรียกว่าห้องเลี้ยงเด็กแบบลับๆ ที่มีประตูทางเข้าออกอยู่ตรงด้านหลังตู้หนังสือภายในห้องนอนของเจนที่เป็นหัวหน้าสาวใช้นั้นถึงกับทำให้นากาสับสนไปสักพักใหญ่ๆ ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธนั้นก็ได้เดินตรงไปทางกำแพงห้องฝั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับประตูลับที่ถูกเดรคจัดการไปและยื่นมือไปคลำๆ หาแถวนั้นอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีคันโยกอันหนึ่งถูกดีดออกมาจากกำแพง
“อื้ม… เอ้าฮึบ—”
กรึก–กรึก–กรึก—
เอริซาเบธที่เห็นคันโยกโผล่ออกมาจากกำแพงนั้นไม่รอช้าที่จะลองดึงมันลงไปทางด้านล่างในทันที ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะต้องออกแรงอยู่บ้างสักหน่อยแต่ว่าตัวประตูลับอีกบานหนึ่งก็ถูกกลไกของมันเลื่อนออกไปทางด้านข้างได้อย่างง่ายดาย และเผยให้ห้องนอนหรูหราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งที่ดูคุ้นตานากาอยู่มากพอตัวอยู่
“นั่นมัน… ห้องนอนของเวก้าเขานี่”
“เห… ห้องเลี้ยงเด็กลับที่อยู่ตรงกลางระหว่างห้องนอนของหัวหน้าสาวใช้กับห้องนอนของคุณชายเจ้าของคฤหาสน์งั้นหรอ~”
เอริซาเบธที่ได้ยินชื่อของเจ้าของห้องเบื้องหน้าได้ส่ายหางฟูๆ ของเธอไปมาด้วยแววตาแพรวพราว ส่วนทางด้านนากาที่ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวห้องนอนของเวก้าสักเท่าไหร่นักเพราะเคยเข้าไปข้างในมาแล้วก็ได้ลองเดินไปแง้มผ้าม่านที่ถูกติดเอาไว้ทุกฝั่งของผนังห้องเลี้ยงเด็กลับๆ แห่งนี้ดูก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาด้วยความมึนงงเมื่อได้พบว่าด้านหลังผ้าม่านเหล่านั้นมีเพียงแค่กำแพงเปล่าๆ โดยไร้ซึ่งหน้าต่างแม้แต่สักบานเดียว
“แล้วนี่ผ้าม่านพวกนี้มันมีไว้เพื่ออะไรกันแน่ล่ะเนี่ย… ด้านหลังนี่มันเป็นแค่กำแพงเปล่าๆ เองนะ”
“ก็มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากจะให้เสียงจากข้างในนี้ดังออกไปข้างนอกให้คนอื่นได้ยินยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของเอริกะพูดตอบคำถามของนากาดังขึ้นมาจากทางเข้าห้องลับทางฝั่งห้องของเจน ซึ่งเมื่อนากาและเอริซาเบธหันไปมองพวกเขาก็ได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังยืนกอดยกถือแฟ้มเอกสารชะเง้อคอมองสำรวจภายในห้องลับอยู่ด้วยความสนอกสนใจ
“อ้าว มาแล้วหรอเอริกะ”
“อื้อ พอดีว่าเจอของที่น่าสนใจเร็วกว่าที่คิดน่ะ ส่วนรื่องผ้าม่านที่เธอถามถึงนี่ก็ถ้าเกิดว่ามันเป็นผ้าม่านที่หนาขนาดนี้มันจะช่วยกั้นเสียงได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ”
เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับเดินเข้าไปตรงกลางห้องลับเพื่อชะโงกหน้ามองดูเปลเด็กขนาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องด้วยความสนใจ แต่ว่าเมื่อเธอไม่พบกับเจ้าของเตียงที่น่าจะนอนอยู่ข้างในนั้นเธอก็ได้หันไปพูดถามคนอื่นๆ ขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“เตียงนี้ไม่มีใครนอนอยู่เลยหรอ?”
“ค่ะ ตอนที่พวกฉันเข้ามามันก็ว่างอยู่อย่างนี้อยู่แล้วล่ะค่ะ”
“อื้ม เวก้าเขาอาจจะเตรียมห้องเอาไว้ให้ลูกของเขาในอนาคตก็ได้ล่ะมั้งนะ”
ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธพูดตอบคำถามของเอริกะออกมาดีๆ นั้น ทางด้านนากาที่ไม่ได้รู้เรื่องภายในแวดวงสังคมขุนนางสักเท่าไหร่นักก็ได้พูดออกมาตามที่เขาคิดได้ แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เขาแล้วจึงพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง
“ไม่น่าจะใช่เตรียมเอาไว้ให้ลูกของเขาหรอก เพราะว่าที่ผ่านมาฉันยังไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาหมั้นกับใครเลย… ไม่สิ ต้องบอกว่าที่ผ่านมาฉันยังไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษซะด้วยซ้ำ… ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าก็คือเขาน่าจะแต่งงานมีลูกไปแล้ว แล้วก็มีเหตุผลอะไรสักอย่างที่จะต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับน่ะนะ”
“เหตุผลที่บอกคนอื่นไม่ได้งั้นหรอ… ไม่ใช่ปกติเวลาที่พวกขุนนางเขาจะแต่งงานกันทีเขาก็จะกระจายข่าวกันไปทั่วทุกสารทิศหรือไง ขนาดหมู่บ้านของฉันอยู่ตั้งไกลขนาดนั้นบางทีก็ยังมีข่าวมาถึงเลยนะว่าขุนนางคนนู้นคนนี้ของเมืองนั้นเมืองนี้จะแต่งงานกันน่ะ”
คำพูดอธิบายของเอริกะได้ทำให้นากาต้องเกาหัวตัวเองไปมา เพราะว่าเดิมทีแล้วตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนจากตระกูลขุนนางอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาก็เลยไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นักว่าวันๆ หนึ่งพวกขุนนางและชนชั้นสูงคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริซาเบธที่ยืนฟังอยู่ด้วยกันนั้นก็กลับทำท่าเหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้เธอจึงได้หันไปพูดถามเอริกะขึ้นมา
“ที่ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับนี่อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่เขาชอบไม่ใช่คนที่จะเอาไปอวดหรือว่าเอาไปบอกให้ใครรู้ได้งั้นสินะคะ”
“อื้ม…”
เอริกะพูดตอบเอริซาเบธกลับไปเบาๆ แล้วจึงหันไปมองทางด้านร่างของเจนที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆ พร้อมกับพูดถามถึงเรื่องอื่นขึ้นมา
“อัศวินคนที่นอนอยู่นั่นคือคนที่เธอจะเอามาตรวจดูหรอน่ะเอริ?”
“ใช่ค่ะ ฉันกับเดรคไปเจอเขาอยู่ด้านในห้องเก็บของที่ชั้นหนึ่งน่ะค่ะ”
“โกดังเก็บของงั้นหรอ…”
เอริกะพูดพึมพำออกมาก่อนที่เธอจะเปิดแฟ้มเอกสารที่เธอถือเอาไว้ในมือดูอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดสั่งงานกับพวกเด็กๆ ออกมาอีกครั้ง
“ถ้างั้นเดี๋ยวเธอไปช่วยฉันตรวจสอบที่ห้องเก็บของหน่อยสินากาคุง ส่วนเอริถ้าเธอตรวจสอบร่างของอัศวินคนนั้นเสร็จแล้วก็ฝากเธอพาเดรคไปเดินสำรวจคฤหาสน์หาตัวเด็กคนที่น่าจะเป็นเจ้าของห้องนี่อีกทีนึงก็แล้วกัน”
“เอ๋… ตอนแรกฉันกะจะขอยืมแรงนากาคุงเขาช่วยแงะชุดเกราะนั่นสักหน่อย แต่ถ้าคุณเอริกะว่างั้นมันก็ได้แหล่ะค่ะ…”
เอริซาเบธที่ถูกแย่งแรงงานไปนั้นได้ทำหน้ามุ่ยและพูดบ่นออกมาเล็กน้อย จนทำให้เอริกะผุดรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาก่อนจะพูดบอกเธอกลับไป
“น่าๆ เธอลองพยายามแงะมันดูอีกสักรอบนึงก่อนก็แล้วกัน แล้วถ้าเกิดว่าแงะไม่ออกจริงๆ ก็บอกให้เดรคเขางัดออกมาเลยก็ได้”
“เอ๋? มันจะดีหรอคะแบบนั้น”
“อื้ม เพราะถ้าเกิดว่ามันเป็นตามที่ฉันคิดเอาไว้ล่ะก็สภาพของร่างด้านในมันคงจะดูไม่จืดสักเท่าไหร่หรอก เอาล่ะ นากาคุง พวกเราไปกันเถอะ~”
“เดี๋ยวก่อนสิ เธอหมายความว่ายังไงที่ว่ามันน่าจะดูไม่จืดน่ะ—”
ถึงแม้ว่านากาจะพยายามพูดถามเอริกะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพูดบอกเอริซาเบธไป แต่ว่าเอริกะก็กลับไม่สนใจคำถามของนากาและดึงแขนของเขาตรงออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะพูดบ่นออกมาเบาๆ ให้นากาฟัง
“เฮ้อ… เอรินี่ก็ชอบลืมเรื่องอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ ถ้าเกิดว่านากาคุงเห็นอะไรแบบนั้นเข้าไปแล้วรับไม่ได้จะทำยังไงกันเนี่ย”
“เธอก็เป็นห่วงฉันมากไปน่า ถึงฉันจะเพิ่งเคยเห็นศพใกล้ๆ แบบนั้นเป็นครั้งแรกก็เถอะแต่ว่าฉันก็ไม่ได้เกลียดหรือว่ากลัวอะไรเป็นพิเศษนะ”
“ถ้าเธอไม่คิดมากแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าปัญหามันอยู่ที่สภาพร่างของอัศวินคนนั้นต่างหากล่ะ เพราะถ้ามันเป็นไปตามที่ฉันคิดเอาไว้ล่ะก็ ฉันรับรองเลยว่าสภาพข้างในนั้นคงจะไม่น่าดูแน่ๆ ล่ะ”
เอริกะพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังพร้อมกับเดินนำนากาตรงไปยังบันไดด้านหลังของตัวคฤหาสน์เพื่อลงไปยังห้องเก็บของที่อยู่ที่ชั้นหนึ่งโดยมีเสียงของนากาที่เดินตามหลังเธอมาด้วยพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไม่น่าดูงั้นหรอ? ถ้าเกิดว่าเป็นแผลไฟไหม้จนเกรียมอะไรแบบนั้นฉันก็เคยเห็นตอนที่เอริเขาตรวจร่างที่เจอในห้องพักทหารแล้วล่ะ ของแค่นั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ”
“แหม่~ ถ้าเกิดว่ามันเป็นแค่แผลไฟไหม้ธรรมดามันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดอย่างมั่นใจของนากาได้ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะเปิดประตูห้องเก็บของเข้าไปและได้พบเข้ากับห้องเก็บของขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยชั้นวางของและกล่องไม้ใบเล็กใบใหญ่มากมาย รวมไปถึงร่างของอัศวินในชุดเกราะหนักอีกคนหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นที่สุดทางเดินอีกด้วย
ซึ่งเมื่อเอริกะได้เห็นว่าร่างของอัศวินที่นอนแน่นิ่งอยู่คนนั้นสวมใส่ชุดเกราะหนักแบบเดียวกับร่างของอัศวินที่เอริซาเบธพยายามแงะอยู่บนห้องของเจนเธอก็ไม่รอช้าที่จะกวักมือเรียกนากาเข้าไปมุงดูใกล้ๆ ในทันที
“อ๊ะ พอดีเลย เนี่ยนากาคุงลองมาดูนี่สิ เธอเห็นตรงชุดเกราะด้านในนี่มั้ยล่ะ”
เอริกะชี้ไปที่จุดหนึ่งของชุดเกราะโซ่ถักที่โผล่พ้นเกราะเหล็กส่วนนอกออกมาให้นากาดู ซึ่งเมื่อนากาได้ก้มลงไปมองดูใกล้ๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าบางส่วนของห่วงโซ่นั้นมันได้เชื่อมติดอยู่กับตัวชุดเกราะเหล็กชั้นนอกสุดไปแล้วด้วยสาเหตุอะไรสักอย่าง
“อ่าหะ เอริเขาก็บอกว่ามันติดหรืออะไรแบบนั้นจนถอดไม่ออกเหมือนกันน่ะ แล้วมันทำไมหรอ?”
“ก็เพราะว่าปกติแล้วชุดเกราะโซ่พวกนี้มันจะไม่ได้เชื่อมติดไปกับตัวชุดเกราะเหล็กน่ะสิ… แล้วนากาคุงคิดว่ามีสาเหตุอะไรบ้างล่ะที่จะทำให้เหล็กมันหลอมละลายจนเชื่อมติดกันได้แบบนั้นน่ะ?”
“เอ่อ… ก็ความร้อนล่ะมั้ง…?”
นากาที่ไม่เข้าใจว่าเอริกะจะพูดถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมได้แต่ต้องพยายามคิดหาคำตอบกลับไปให้เธอ ซึ่งคำตอบของเขานั้นก็ได้ทำให้เอริกะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ใช่แล้วล่ะ แล้วทีนี้นากาคุงลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดมันมีความร้อนขนาดที่ทำให้เหล็กหลอมละลายจนเป็นเนื้อเดียวกันแบบนี้ได้พุ่งเข้าใส่คนในชุดเกราะเหล็กเข้าสภาพของคนที่อยู่ด้านในจะเป็นยังไงเอ่ย~?”
“หึ๊ย…”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเอริกะจะฟังดูสบายๆ ก็ตามที แต่ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นถึงกับทำให้นากาขนหัวลุกจนทำให้นากาต้องรีบหาเรื่องอื่นมาพูดเพื่อพยายามลบภาพที่เขาจินตนาการในหัวอยู่ออกไป
“แต่ถ้าเป็นแบบนี้นี่หมายความว่าคนร้ายเป็นคนที่ใช้วิซธาตุไฟหรือเปล่าน่ะ?”
“ก็เป็นไปได้… แต่ฉันไม่คิดว่าจะใช่หรอกนะ เพราะว่าคนที่สามารถใช้วิซธาตุไฟได้เก่งกาจถึงขนาดที่ว่าจะสามารถมาไล่ฆ่าคนในคฤหาสน์รวมถึงพวกอัศวินของคุณเวก้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการคุ้มกันได้จนครบทุกคนโดยที่ไม่มีใครทันได้รู้ตัวแบบนี้มันมีจำนวนอยู่แค่แทบจะนับนิ้วได้เลยล่ะ”
เอริกะพูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะยกนิ้วขึ้นมาจับที่ขาแว่นของตัวเองแล้วจึงมองไปมองมาอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะหันไปเลิกคิ้วมองดูกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูงมากกว่าส่วนสูงของเธออีกและเดินเข้าไปมองดูมันใกล้ๆ พร้อมกับพูดอธิบายขึ้นมาให้นากาฟังไปด้วย
“แล้วก็ถ้าเกิดว่าเป็นฝีมือของวิซธาตุไฟจริงๆ ล่ะก็ บาดแผลของพวกอัศวินกับพวกสาวใช้ก็ควรจะสลับกันด้วย… อย่างพวกสาวใช้ที่ไม่ได้ใส่ชุดเกราะก็ควรจะมีแผลหนักกว่าพวกอัศวินที่ใส่ชุดเกราะใช่มั้ยล่ะ แต่นี่พวกอัศวินกลับมีแผลที่ดูรุนแรงกว่าพวกสาวใช้เยอะเลย”
“อื้ม ก็จริงนะ… แต่จะว่าไปเท่าที่ฉันดูแล้วนี่พวกอัศวินเขายังไม่ทันจะได้ชักดาบออกจากฝักกันสักคนเลยนะ มันอย่างกับว่าพวกเขาไม่ทันจะได้รู้ตัวซะด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนอะไรเข้าไปน่ะ…”
“เฮ้อ… เอาจริงๆ ฉันก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่… รวมถึงเรื่องที่ว่าคนข้างในคฤหาสน์นี้โดนฆ่าตายด้วยวิธีไหน แล้วก็เพราะอะไรมันถึงไม่มีร่องรอยว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับใครหรือว่าอะไรเลยน่ะ…”
“เอ๋ะ? เธอรู้แล้วหรอ—”
เปรี้ยง!!
“–!!”
ในขณะที่นากากำลังจะพูดถามเอริกะขึ้นมาอยู่นั้นอยู่ๆ ก็ได้มีแสงสว่างวาบลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นที่ถึงกับทำให้นากาสะดุ้งไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องเหลือบสายตาไปมองดูเมฆฝนสีดำครึ้มผ่านทางหน้าต่างเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี
“แหม่ ผ่ามาได้จังหวะพอดีเลยนะ… ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่เป็นตัวการฆ่าพวกอัศวินกับสาวใช้ในคฤหาสน์หลังนี้ก็คือสายฟ้ายังไงล่ะนากาคุง— อ๊ะ ตรงนี้สินะ”
แอ๊ด—
“หา? ทางลับอีกแล้วหรอ?”
นากาที่เห็นว่าอยู่ดีๆ เอริกะก็ได้เลื่อนมือไปจับที่ขอบด้านหนึ่งของกล่องไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะดึงมันจนเปิดออกเหมือนกับประตูบานหนึ่งนั้นแทบจะอ้าปากค้างกับทางลงบันไดไปยังห้องใต้ดินที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังของมัน แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับยืนกอดอกพยักหน้าพูดยืนยันความคิดของเธอขึ้นมาอย่างมั่นใจ
“ว่าแล้วเชียว อย่างคุณเวก้าเขาน่ะคงจะไม่เอาอัศวินเกราะหนักแบบนี้มายืนเฝ้าห้องเก็บของให้เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ แบบนั้นหรอก เอาล่ะ พวกเราลองลงไปดูข้างล่างกันเถอะนากาคุง”
เอริกะกวักมือเรียกนากาก่อนที่เธอจะคว้าเอาเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ริมเสามาถือเอาไว้และเดินนำนากาลงไปยังทางลับใต้ดินพร้อมกับพูดอธิบายเรื่องสายฟ้าออกมาให้นากาฟังต่อ
“ส่วนสาเหตุที่ฉันคิดว่ามันเป็นฝีมือของคนที่ใช้วิซธาตุไฟฟ้ามากกว่าคนใช้วิซธาตุไฟนั่นมันก็เป็นเพราะรอยแผลที่ดูกลับกันของพวกสาวใช้กับพวกอัศวินนั่นแหล่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นไฟฟ้าล่ะก็ มันก็จะช่วยอธิบายได้ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมพวกอัศวินที่ใส่เกราะเหล็กถึงมีรอยแผลที่ดูรุนแรงกว่าพวกสาวใช้ที่อย่างมากที่สุดก็มีแค่เครื่องประดับที่ทำจากโลหะเล็กๆ น้อยๆ นั่นไง”
“ชุดเกราะที่ควรจะปกป้องผู้สวมใส่ดันกลายเป็นว่าทำให้บาดเจ็บหนักกว่าเดิมงั้นหรอ…”
“อื้ม สำหรับชุดเกราะหนักที่ทำจากเหล็กแบบนั้นน่ะ ถ้าเกิดว่าเจอกับวิซธาตุไฟฟ้าเข้าไปมันก็ไม่ได้ต่างไปจากโลงศพเดินได้สักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะว่าพอเหล็กมันนำไฟฟ้าได้ดีแบบนั้น ยิ่งมีส่วนที่เป็นเหล็กมากเท่าไหร่ผู้สวมใส่ก็ยิ่งบาดเจ็บหนักมากขึ้นเท่านั้นนั่นแหล่ะ”
คำพูดอธิบายของเอริกะนั้นถึงกับทำให้นากาล้มเลิกความคิดที่จะลองหาชุดเกราะเหล็กแบบเต็มตัวมาใส่เพราะคิดว่าชุดเกราะแบบนั้นมันน่าจะเหมาะกับเขาที่ใช้ดาบเป็นอาวุธไปในทันที เนื่องจากว่าเขายังไม่มีความคิดที่ว่าอยากจะลงเอยแบบเดียวกับอัศวินพวกนั้น
“แต่ถ้าเกิดว่าเป็นวิซธาตุไฟฟ้าตามแบบที่ฉันคิดจริงๆ ล่ะก็พวกเราก็มีปัญหากันแล้วล่ะ เพราะถึงฉันจะพอรู้จักคนที่ใช้วิซธาตุไฟระดับนี้อยู่บ้าง แต่ว่าฉันไม่เคยเห็นคนที่ใช้วิซธาตุไฟฟ้าได้มานานหลายปีแล้วเนี่ยสิ”
“หือ? นี่สรุปว่าวิซธาตุน้ำแข็งกับธาตุไฟฟ้านี่มันหาคนใช้ได้ยากขนาดนั้นจริงๆ เลยหรอน่ะ?”
“แหม่ นากาคุงนี่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยจริงๆ สินะเนี่ย เวลาอยู่ในห้องเรียนนี่ดูท่าทางว่าจะแอบหลับไม่ยอมฟังที่อาจารย์เขาสอนละสิท่า~”
“ม–ไม่ใช่สักหน่อย ก็ฉันเห็นว่ายัยพรีมูล่าเล่นสร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมาโยนเล่นได้แทบจะทุกวันแบบนั้น ก็เลยไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่หาได้ยากอะไรขนาดนั้นเฉยๆ น่ะ”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาที่เห็นน้ำแข็งของพรีมูล่าอยู่แทบจะทุกวี่ทุกวันจนคุ้นชินกับวิซธาตุน้ำแข็งไปแล้วต้องรีบพูดเถียงกลับไปในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่พอจะเข้าใจความคิดของเขาได้ได้พูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มฟัง
“จ้าๆ แต่ถ้าจะให้พูดถึงความหายากล่ะก็ ฉันคงจะต้องบอกว่าพรีมจังน่ะเป็นเด็กที่มีวิซธาตุหลักเป็นธาตุน้ำแข็งคนที่สองที่ฉันเคยเห็นในช่วงนี้เลยล่ะ ส่วนวิซธาตุไฟฟ้านี่ในยุคนี้ฉันยังไม่เคยเห็นเลยสักคนเดียว”
“ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมอยู่ดีๆ คนที่หายากขนาดนั้นถึงได้บุกมาไล่ฆ่าคนอื่นเขาจนหมดบ้านแบบนี้กันล่ะ?”
“มัน… ก็ไม่เชิงว่าอยู่ดีๆ ก็โผล่มาไล่ฆ่าหรอก อ่ะ… เธอลองเอาเจ้านี่ไปอ่านดูสิ”
เอริกะพูดตอบนากากลับไปเบาๆ ก่อนจะส่งแฟ้มเอกสารในมือที่เธอรวมรวมมาจากห้องออฟฟิศของเวก้าไปให้นากาลองอ่านดู
“อะไรล่ะเนี่ย?”
“เธอลองอ่านมันดูสิ ฉันว่าสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นมันน่าจะบอกถึงสาเหตุอะไรหลายๆ อย่างได้อยู่เหมือนกันนะ”
“หืม…?”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสลองเปิดมันอ่านดู เอริกะที่เดินนำหน้าเขาลงบันไดมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้หยุดชะงักไปเมื่อเธอเดินลงมาจนสุดบันไดทางลงห้องใต้ดินและพบเข้ากับโถงทางเดินแคบๆ ที่ทอดยาวตรงไปยังเบื้องหน้าเข้า
ซึ่งที่ทางฝั่งซ้ายของโถงทางเดินนั้นมีบานประตูอยู่สองบานตั้งอยู่ใกล้ๆ กันในขณะที่ทางฝั่งด้านขวามือนั้นมีบานประตูอยู่เพียงแค่บานเดียว
“อื้ม… เอาบานนี้ก็แล้วกัน~”
เอริกะที่เห็นว่ามีประตูถึงสามบานให้เธอเลือกเปิดนั้นได้เดินตรงไปยังบานประตูที่สองของทางฝั่งซ้ายมือด้วยท่าทีที่มองดูก็รู้ว่าเธอแค่สุ่มเลือกมันไปมั่วๆ เท่านั้นจนทำให้นากาได้แต่ต้องส่ายหัวเดินตามเธอไปด้วยความเหนื่อยใจ
แต่ว่าในทันทีที่เอริกะผลักบานประตูบานนั้นให้เปิดออกพวกเขาทั้งสองคนก็ถึงกับชะงักไปเมื่อได้เห็นสภาพภายในของมัน