บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 27
ย้อนกลับมาประมาณสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ในคฤหาสน์ของตระกูลรีวิซซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองรีมินัสที่มีบารอนเวก้าเป็นเจ้าของ ที่ด้านในยังคงเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและร่าเริง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสาวใช้ เหล่าอัศวินประจำตระกูล ตัวบารอนเวก้า รีวิซผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ และเด็กสาวผมสีเทาคนหนึ่ง…
เด็กสาวคนนั้นกำลังใช้นัยน์ตาสีฟ้าของเธอเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามผ่านทางหน้าต่างห้องนอนของเธออย่างไร้จุดหมาย และบางทีก็หันกลับลงมามองเหล่าอัศวินที่เดินผ่านไปมาให้เธอเห็น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก่อนที่ทันใดนั้นจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา พร้อมมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามของประตูนั้น
“แมรี่หนูอยู่ในห้องหรือเปล่าจ๊ะ? นี่แม่เองนะ”
“อ่ะ คุณแม่!?”
ทันทีที่เด็กสาวได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เธอคุ้นเคย เธอก็รีบวิ่งไปเปิดประตูและโผตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงในทันที ทำให้หญิงสาวผมทองในชุดสาวใช้ต้องรีบรับตัวเธอเอาไว้ ก่อนที่จะสวมกอดกลับไปและลูบหัวของเธอเบาๆ
“อุ๊ย– มันอันตรายนะแมรี่ อย่าวิ่งออกมาแบบนี้สิจ๊ะ ว่าแต่หนูเป็นไงบ้างล่ะ ไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะ”
“คุณแม่นั่นแหละเป็นยังไงบ้าง! อยู่ดีๆ ก็หายไปตั้งครึ่งปีแน่ะ แถมไม่บอกกันก่อนเลยอีกต่างหาก!”
“ขอโทษทีจ้ะ…พอดีท่านเวก้าเขามีงานด่วนให้แม่ต้องไปทำน่ะ”
เจนพูดตอบกลับแมรี่ก่อนที่เธอจะเหลือบหันไปมองชายผมสีน้ำตาลที่กำลังยืนมองดูพวกเธอทั้งสองอยู่ไกลๆ เมื่อแมรี่เห็นแบบนั้นเธอก็หันไปมองบ้างและพบกับเวก้าที่กำลังโบกมือให้กับพวกเธออยู่
“อย่างน้อยก็บอกหนูสักหน่อยก่อนจะไปก็ได้นี่นา! ตอนนั้นหนูตกใจแทบแย่เลยนะที่พี่สาวคนใช้เขาบอกว่าคุณแม่ไม่อยู่แล้วก็ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่น่ะ!”
แมรี่ทำแก้มป่องใส่เวก้าก่อนที่จะหันกลับมาโวยวายใส่คุณแม่ของเธอ ทำให้เวก้าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะเดินหลบออกจากตรงนั้นเพื่อไปจัดการงานของเขาต่อ
“ว่าแต่คุณแม่ผอมลงไปตั้งเยอะเลยนี่คะ ตอนไปข้างนอกได้กินอาหารครบทุกมื้อรึเปล่าคะเนี่ย?”
“ม—แม่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่แมรี่กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ? แม่ได้ยินมาว่าในเมืองมีร้านแพนเค้กเปิดใหม่ด้วยนะ เราลองไปกินดูกันมั้ยจ๊ะ?”
“อื้อ! ไปค่ะ!”
ในสายตาของทุกคนนั้นทั้งสามดูเหมือนเป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี ถึงแม้ว่าเจนนั้นจะเป็นเพียงหัวหน้าสาวใช้ที่คบหาอยู่กับเวก้าซึ่งเป็นขุนนาง แต่ว่าทุกคนก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเธอและยังช่วยกันปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้คนนอกได้รู้อีกต่างหาก
ที่ถึงแม้ว่าบางครั้งเวก้าจะจำเป็นต้องทำงานที่ดูมีพิรุธให้กับทางวังหลวงอยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็เก็บมันเอาไว้และสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแมรี่เป็นอันขาด ทำให้เธอไม่เคยได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
และเมื่อเจนได้กลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้ก็ทำให้บรรยากาศที่เคยเงียบเหงาลงไปบ้างนั้นเต็มไปด้วยความสุขอีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งที่พวกเขาทั้งสามได้นั่งทานอาหารเย็นในห้องทานอาหารกันเหมือนทุกวัน
“ขออภัยที่มารบกวนเวลารับประทานอาหารค่ะ เมื่อสักครู่นี้มีคนมาส่งข้อความถึงท่านเวก้าค่ะ”
“หืม?”
ในระหว่างที่เขากำลังนั่งลูบคริสตัลสีม่วงที่เขาเผลอหยิบติดมือมาจากห้องทำงานนั้นเอง สาวใช้คนหนึ่งของเขาก็ได้เปิดประตูเข้ามาและยื่นซองจดหมายสีขาวมาให้ ซึ่งมันก็ทำให้เวก้าหันไปขมวดคิ้วมองเธอด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป เสียงของแมรี่และเจนก็ดังขึ้นมาดึงความสนใจของเขาไปซะก่อน
“เลอะไปหมดแล้วนะแมรี่”
“แฮะๆ ขอบคุณค่ะคุณแม่~”
ดูเหมือนว่าแมรี่นั้นจะเอาส้อมจิ้มก้อนเนื้อในจานสปาเกตตี้้เบื้องหน้าของเธอเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนซอสเปื้อนแก้มของเธอไปหมด ทำให้เจนที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องเอ่ยปากเตือนออกมาและเอาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดให้
เวก้าที่เห็นภาพของสองแม่ลูกที่กำลังทานอาหารอย่างมีความสุขก็ยิ้มออกมาและส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปตอบสาวใช้คนนั้นด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“ต่อให้เป็นวังหลวงก็น่าจะรู้จักมารยาทกันหน่อยนะครับเนี่ย… ยังไงก็ช่วยแจ้งผู้ส่งสาส์นว่าวันนี้มันเลยเวลาราชการแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรให้มาใหม่ในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ”
แต่ว่าเมื่อสาวใช้คนนั้นได้ยินคำตอบของเวก้าเธอก็กลับโค้งหัวให้เขาอีกครั้ง ก่อนที่จะรีบพูดเสริมออกมาด้วยท่าทีลนลาน
“ข—ขออภัยค่ะ! คราวนี้ไม่ใช่จดหมายจากวังหลวง แต่ว่าคนที่นำมันมามอบให้บอกว่าเป็นสายของท่านค่ะ เป็นเรื่องด่วนและสำคัญมากให้รีบส่งมอบให้ท่านโดยเร็วที่สุดค่ะ”
“จากสายที่ส่งไปงั้นหรอครับ…”
พอเวก้าได้ยินแบบนั้นเขาก็ก้มหน้าลงใช้ความคิดเล็กน้อย เพราะว่าปกติแล้วหน่วยของเขาจะไม่ใช้วิธีส่งข้อความผ่านจดหมายแบบนี้สักเท่าไหร่เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล ยกเว้นแต่ว่าจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ
“ถ้างั้นก็หวังว่าจะเป็นข่าวดีละกันนะครับ”
เขาพูดตอบกลับไปและรับจดหมายมาจากสาวใช้คนนั้น ก่อนที่เธอจะโค้งตัวให้เขาอีกครั้งแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง ในขณะที่เวก้าก็พลิกมองดูจดหมายในมือของเขาสักครู่และพบว่ามันไม่ได้ถูกจ่าหน้าอะไรเอาไว้เลย
“ถ้างั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนละกันนะครับ คุณเจน คุณไปด้วยกันกับผมหน่อยสิครับ”
“อ่ะ…ได้สิคะ ถ้างั้นแมรี่ เดี๋ยวหนูกินเสร็จเมื่อไหร่ก็เอาจานไปให้พวกพี่สาวใช้ในครัวได้เลยนะจ๊ะ”
“ค่าาา~”
แมรี่ขานรับกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส ทำให้เจนอดไม่ได้ที่จะยกมือมาลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินตามเวก้าที่ยิ้มน้อยๆ มองดูพวกเธออยู่ตรงหน้าประตูออกไปยังห้องทำงานของเขา
“อ่ะ—อะไรอ่ะ?”
แต่เมื่อแมรี่ที่มองตามพวกเขาทั้งสองไปกำลังจะหันกลับมาเพื่อที่จะทานอาหารของเธอต่อนั้น เธอก็ได้เหลือบไปเห็นคริสตัลสีม่วงก้อนเกือบเท่าฝ่ามือที่วางอยู่ข้างๆ จานของเวก้า ทำให้เธอร้องออกมาอย่างสงสัยและหยิบมันขึ้นมาดู
‘สงสัยคุณพ่อลืมเอาไว้ละมั้ง? เอาไปส่งให้คุณพ่อก่อนดีกว่า~’
เธอคิดแบบนั้นอยู่ในใจก่อนที่จะลุกขึ้นและออกเดินไปหาเวก้าที่ห้องทำงานของเขาเพื่อที่จะเอาคริสตัลที่เขาลืมวางทิ้งไว้ไปคืนให้
“แต่ถ้าดูจากผลการทดลองที่ผ่านมาแล้วโอกาสรอดของเธอก็แทบจะไม่มีเลยไม่ใช่หรอคะ!?”
“—?”
แต่ว่าเมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของเวก้าและกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั้น แมรี่ก็ได้ยินเสียงของเจนดังลอดผ่านประตูออกมาซะก่อน และจากการที่เธอไม่เคยเห็นเจนกับเวก้าขึ้นเสียงใส่กันมาก่อนเลยนั้นก็ทำให้เธอหยุดมือลงและตัดสินใจที่จะแอบฟังดูว่าพวกเขานั้นกำลังเถียงเรื่องอะไรกันอยู่แทน
“ผมก็เกรงว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน…”
ปึ้ง!
“ถ้างั้นเราปฏิเสธงานครั้งนี้หรือขอเลื่อนมันไปก่อนไม่ได้หรือไงกันคะ! ฉันไม่อยากให้แมรี่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอะไรแบบนั้นนะคะ!!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอะไรบางอย่างกระแทกลงบนโต๊ะขัดคำพูดของเวก้าไป ก่อนจะตามด้วยเสียงของเจนที่ตวาดใส่เวก้าอย่างไม่เกรงใจว่าเขาเป็นเจ้านายของเธอเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเสียงของเวก้าก็เงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลังเลและแผ่วเบาราวกับว่าเขากำลังหมดหวัง
“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นนะครับ…. แต่ว่ามันเป็นคำสั่งโดยตรงจากองค์ราชา ถ้าพวกเราขัดคำสั่งอาจจะโดนพวกเขาตั้งข้อหากบฏเลยก็ได้… อีกอย่างนึงพวกเขาก็คงจะไม่สนใจแล้วจับตัวแมรี่ไปดำเนินการกันเองอยู่ดีด้วย….”
“ถ้าคุณไม่กล้าละก็ฉันจะไป—-”
“มันไม่ใช่เรื่องกล้าหรือไม่กล้านะครับ!!”
เวก้าพูดออกมาเสียงดังก่อนที่เสียงในห้องนั้นจะเงียบลงไปสักพัก และตามมาด้วยเสียงของเวก้าที่พูดกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“คุณเจน… คุณเป็นสาวใช้เลยอาจจะไม่รู้เรื่องข้างในนักมากนัก แต่ว่าคุณก็น่าจะได้ยินมาจากคุณเอริกะบ้างใช่มั้ยละครับว่าข้างในนั้นมันเป็นยังไงน่ะ… ไม่ใช่ว่าผมไม่รักแมรี่นะครับ… แต่ว่าความปลอดภัยของคุณกับลูกของเรามันสำคัญกับผมมากกว่า …เพราะงั้นได้โปรดตัดใจเถอะครับ”
‘ต–แต่หนูก็ลูกของคุณพ่อไม่ใช่หรอ…?’
เมื่อแมรี่ที่ยืนแอบฟังอยู่หน้าห้องได้ยินสิ่งที่เวก้าพูดออกมา เธอก็ผงะถอยออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะเวก้าที่เธอคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดนั้นกลับพูดออกมาเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่พ่อของเธอเลยแม้แต่น้อย
ทางด้านเวก้า หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็ลุกขึ้นมาสวมกอดเจนเอาไว้ และมองดูเธอที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่ก่อนที่จะพูดออกมา
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้นะครับ หวังว่าคุณจะเข้าใจนะ…”
“ค…ค่ะ…”
เธอพยักหน้าให้เวก้า ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่คลอเบ้าของเธอออกให้
“ตอนนี้แมรี่น่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว ฝากคุณไปบอกเธอให้เตรียมตัวหน่อยละกันนะครับ”
“รับทราบค่ะ…”
เจนพยักหน้าให้เวก้าเบาๆ ก่อนที่เธอจะก้มหัวให้เขาและเปิดประตูเดินออกจากห้องไป
“….?”
แต่ว่าเมื่อเธอกำลังจะปิดประตูห้องกลับไปนั้น เธอก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าที่กำลังวิ่งอยู่และเมื่อเธอหันไปมองก็พบกับปลายเส้นผมสีเทาที่เพิ่งสะบัดหายไปทางหัวมุมบันได
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
เวก้าที่เห็นเจนทำท่าเหมือนจะปิดประตูแต่กลับหันไปมองทางอื่นและนิ่งไปแบบนั้นก็เอ่ยปากถามเธอขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณเจนครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ… ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เจนที่ได้ยินเสียงของเวก้าเรียกเธออีกครั้งก็รีบตอบปฏิเสธกลับมาก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องลงและเดินไปยังห้องทานอาหารที่ชั้นล่างของคฤหาสน์
“อ–อ่ะ คุณแม่กลับมาแล้วหรอคะ?”
เมื่อเจนเดินมาถึงห้องทานอาหารและเปิดประตูเข้าไปนั้น เธอก็เห็นแมรี่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนที่นั่งของเธอซึ่งเบื้องหน้านั้นยังมีจานอาหารของเธอที่เหลืออีกครึ่งจานวางไว้อยู่
“…อิ่มแล้วหรอจ๊ะแมรี่ ยังเหลืออีกเยอะเลยนี่นาจะกินต่อก่อนก็ได้นะจ๊ะ แล้วเราค่อยไปเตรียมตัวกัน”
“ค–ค่ะ…หนูอิ่มแล้วค่ะ…”
แมรี่พยักหน้าตอบกลับคุณแม่ของเธอไปอย่างว่าง่าย ก่อนที่เด็กสาวจะลุกขึ้นและเดินตามหลังเจนออกจากห้องทานอาหารตรงไปยังโกดังของคฤหาสน์ที่มีอัศวินในชุดเกราะเหล็กแบบเต็มตัวยืนเฝ้าอยู่คนหนึ่ง
“สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณเจน คุณหนูแมรี่”
“ส…สวัสดีค่ะพี่โรเว่น”
“คุณก็เช่นกันค่ะคุณโรเว่น หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะคะ?”
เขาพูดทักทายพร้อมทำความเคารพทั้งสองคนออกมาซึ่งทั้งคู่นั้นก็พยักหน้าให้ ก่อนที่เจนจะถามทักทายเขาในฐานะเพื่อนร่วมงานของเธอกลับไป
“อุปกรณ์ทุกอย่างถูกมาส่งเรียบร้อยดีครับ ส่วนอัศวินคนอื่นๆ ก็ได้ไปประจำตำแหน่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ายังไงก็ขอให้คุณหนูแมรี่โชคดีนะครับ!”
“ข–ขอบคุณค่ะ…”
พอแมรี่ได้ยินอัศวินคนนั้นพูดอวยพรออกมาเธอก็รีบก้มหัวพร้อมกล่าวขอบคุณเขากลับไป ก่อนที่จะรีบเดินตามเจนเข้าไปในโกดังเก็บของนั้น
ซึ่งเจนก็เดินนำแมรี่ผ่านอัศวินที่เฝ้าหน้าทางลับใต้ดินลงไปด้านล่าง และพาเธอเข้าไปในห้องที่อยู่ฝั่งขวาของทางเดิน ก่อนจะหยิบเอาชุดผ้าสีขาวกับยาเม็ดหนึ่งออกมาจากชั้นวางและส่งให้กับแมรี่
“นี่ชุดของหนูจ๊ะ เปลี่ยนเสร็จแล้วก็กินยาให้เรียบร้อยนะ แค่ตรวจประจำวันเหมือนเดิมเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วล่ะจ้ะ”
“….”
“แมรี่จ๊ะ?”
แมรี่ที่รับชุดและยาไปแล้วนั้นกลับกอดพวกมันเอาไว้แน่น ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงและพูดถามแมรี่ออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนราวกับกำลังจะร้องไห้
“หนู… หนูไม่ใช่ลูกของคุณแม่กับคุณพ่อหร—”
แต่ว่าแมรี่ยังไม่ทันที่จะถามจนจบ เจนก็คุกเข่าลงมาสวมกอดเด็กสาวเอาไว้แน่นในทันที ก่อนที่เธอจะพูดกับแมรี่ด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“แม่ขอโทษ…”
แม้ว่าเจนจะพูดกลับมาเพียงแค่นั้น แต่ว่ามันก็ทำให้แมรี่ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เธอได้ยินเวก้าพูดกับเจนนั้นเป็นความจริง ทำให้เธอถามคำถามต่อไปออกมาด้วยสีหน้าสับสนและหวาดกลัว
“…ล…แล้ว…หลังจากนี้หนูจะไม่รอดหรอ…คะ…?”
“ไม่! แม่ไม่มีทางปล่อยให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว!!”
เจนที่ได้ยินคำถามของเธอก็ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น พร้อมกับกอดร่างของสาวน้อยที่กำลังสั่นคลอนเอาไว้และลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน
“แมรี่หนูฟังแม่นะ… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่จะปกป้องลูกเอง แม่จะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรไปเด็ดขาด… คุณพ่อเองก็กำลังหาทางออกอยู่… หนูเป็นเด็กดีแล้วเชื่อแม่นะลูก…”
“…ค่ะ”
แมรี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็พยายามที่จะเชื่อใจในตัวหญิงสาวเบื้องหน้าและยกมือขึ้นมากอดเจนกลับไป แต่ถึงแบบนั้นในใจของเธอก็ยังเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาอยู่ดี
‘ถ้าเกิดว่าเวก้าและเจนไม่ใช่พ่อแม่ของเธอ… แล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอคือใครกันล่ะ?’
ถึงแม้ว่าแมรี่จะพยายามถามเรื่องนี้กับเจนอยู่หลายครั้ง แต่ว่าเจนนั้นก็บอกปัดเธอกลับมาทุกครั้ง ส่วนทางเวก้านั้นก็ดูเหมือนว่าจะยุ่งอยู่กับงานจนเธอแทบจะไม่เห็นตัวเขามาสักพักแล้วทำให้แมรี่ไม่มีโอกาสลองถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสักที
และในที่สุดวันหนึ่งแมรี่ก็ทนความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ทำให้เธอตัดสินใจที่จะลองแอบเข้าไปในห้องทำงานของเวก้าดูเพื่อที่จะสืบค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เธอได้เลือกเอาวันที่เวก้านั้นรู้สึกเหนื่อยมากจนขอเข้านอนเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะแอบเข้าไปในห้องทำงานของเขาในยามดึก แต่ว่าในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านบริเวณโถงทางเดินชั้นสองนั้นเอง เธอก็กลับพบกับเจนในชุดนอนที่กำลังเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองเข้าซะก่อน
“—!?”
“…แมรี่? ดึกป่านนี้แล้วทำไมหนูยังไม่นอนล่ะจ้ะ…?”
“ห…ห้องน้ำค่ะ…หนูอยากไปห้องน้ำอ่ะ…”
เจนที่หันมาเห็นเธอก่อนที่เธอจะได้แอบหลบไปนั้นก็ได้เอ่ยปากถามเด็กสาวขึ้นมา ทำให้เธอต้องรีบเอ่ยปากแก้ตัวไปอย่างร้อนรน
“…..”
แต่เจนที่ได้ยินแบบนั้นกลับจ้องมองเธอดูอย่างเงียบๆ จนทำให้แมรี่รู้สึกกังวัลใจขึ้นมา ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองจ้องมองกันเงียบๆ ได้สักพักเจนก็ยิ้มให้กับแมรี่แล้วจึงพูดออกมาก่อนที่จะเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
“ถ้ายังไงก็เบาเสียงหน่อยละกันนะจ๊ะ… ท่านเวก้าเพิ่งจะเข้าไปนอนเมื่อกี้นี้เอง วันนี้เขาเหนื่อยมากเลย อย่าไปรบกวนคุณพ่อเขานะจ๊ะ…”
“ค—คะ? ด…ได้ค่ะ…”
ถึงแม้ว่าแมรี่จะสงสัยในสายตาของเจนที่จ้องมองเธอดูเมื่อสักครู่นั้น แต่ว่าเธอก็ตัดสินใจที่จะทำภารกิจสายลับเล็กๆ ของเธอต่อไปโดยไม่รอช้า เพราะว่านี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งเจนและเวก้านั้นกลับเข้านอนไปแล้ว
แต่ว่าเมื่อเธอเดินมาถึงประตูออฟฟิศของเวก้าแล้วเธอก็ชะงักไปเพราะว่าเธอลืมเรื่องสำคัญที่สุดไปสนิท
“ปกติแล้วคุณพ่อจะล็อกประตูไว้นี่นา…”
แกร๊ก—แอ๊ด…
“…?”
แมรี่ที่ลองบิดลูกบิดประตูดูก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อมันถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกสงสัยแต่แมรี่ก็รีบใช้โอกาสนี้ลอดกายเข้าไปในออฟฟิศและปิดประตูล็อกมันเอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามาภายในได้อีก
“เอาล่ะ…”
เธอรีบเดินตรงไปยังชั้นวางเอกสารของเวก้าในทันที ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาในห้องนี้บ่อยนัก แต่ว่าเธอก็เคยเข้ามาช่วยเจนทำความสะอาดห้องนี้อยู่บ้าง ทำให้เธอพอจะรู้ว่าเวก้านั้นจัดแยกเอกสารของเขายังไงบ้าง
“ใบสั่งซื้ออุปกรณ์…? รายงานบ้านซิกมอร์…? ฮื้ม…?”
ในขณะที่แมรี่กำลังไล่ดูเอกสารในตู้ไปทีละชุดนั้นเอง เธอก็สะดุดตาเข้ากับเอกสารชุดหนึ่ง ที่ถูกวางยื่นออกมาเล็กน้อยและยังมีกระดาษคั่นหน้าเอาไว้ราวกับว่าจะให้เธอสังเกตเห็นมันง่ายๆ
“รายงานการชิงตัวเป้าหมายเอ…?”
ซึ่งข้อความในเอกสารนั้นระบุรายละเอียดถึงสามีและภรรยาคู่หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นนอกของรีมินัส และข้อมูลที่ว่าบุตรสาวของสามีภรรยาคู่นี้ได้ถือกำเนิดมาพร้อมมีวิซธาตุสายฟ้าเป็นธาตุหลักเพียงคนเดียวในรอบหลายสิบปี
“…!?”
แต่แล้วข้อความในเอกสารหน้าถัดไปนั้นกลับทำให้แมรี่ผงะไป เมื่อเธอเห็นคำสั่งของภารกิจที่ถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารแผ่นนั้น
‘จัดการชิงตัว เอ มาให้ได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายอนุญาตให้กำจัดทิ้ง หากมีพยานรู้เห็นอนุญาตให้กำจัดทิ้งได้เช่นกัน’
คำสั่งที่ถูกเขียนเอาไว้นั้นไม่แสดงถึงความปรานีโดยแม้แต่น้อย และมันถูกลงตราประทับยืนยันคำสั่งด้วยหมึกสีน้ำเงินกับลายเซ็นของคนที่เธอไม่รู้จัก
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงนั้นคือลายเซ็นตอบรับคำสั่งของเวก้าที่ถูกเขียนไว้ท้ายกระดาษนั่นต่างหาก
แมรี่รีบพลิกอ่านเอกสารหน้าต่อไปในทันที และเธอก็พบว่ามันคือเอกสารรายงานภารกิจรวมถึงขั้นตอนที่เขาใช้ในการทำมัน
‘ปลอมตัวเป็นบุคลากรทางการแพทย์เพื่อตีสนิทเป้าหมาย : สำเร็จ
ใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับวิซธาตุไฟฟ้าของเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบโครงสร้างบ้าน : สำเร็จ
ขอเบิกใช้อุปกรณ์ตัดกระจกรุ่นต้นแบบเพื่อแอบเข้าไปในบ้านตอนกลางคืน : อนุมัติ
สังหารเป้าหมาย บี และ ซี และชิงตัวเป้าหมาย เอ : สำเร็จ
จัดฉากว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย : สำเร็จ
หมายเหตุ: ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ถูกพบเจอโดยเพื่อนบ้านของเป้าหมาย จึงทำการกำจัดทิ้งด้วย จากนี้ขอแทนว่า เป้าหมาย ดี และทำการกำจัดเป้าหมาย ดี เรียบร้อยแล้ว
ลงชื่อ : เวก้า รีวิซ สมาชิกฝ่ายค้นคว้าและวิจัยศาสตร์โบราณ’
“ม…ไม่จริง…”
ในเอกสารหน้าต่อไปนั้นถูกตัดปะด้วยข่าวของหนังสือพิมพ์ประจำเมืองเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งมันเป็นข่าวเล็กๆ รายงานถึงบ้านหลังหนึ่งที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เพราะว่าเผลอจุดเตาในครัวทิ้งเอาไว้ ทำให้สามีภรรยากับทารกที่เพิ่งเกิดของพวกเขานั้นถูกไฟคลอกเสียชีวิต
“ฮึก…”
น้ำตาของเด็กสาวค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม พร้อมๆ กับที่ตัวเธอได้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้มาแล้วว่าเวก้านั้นไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเธอ แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอไป
และมันยังเกิดจากการที่ตัวเธอนั้นเกิดมาพร้อมกับวิซธาตุหายากเพียงแค่นั้นเองด้วย
“ท…ทำไม…ฮึก…คุณพ่อคะ…คุณแม่…”
แมรี่พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของเธอเอาไว้ และอ่านข้อความในกระดาษนั้นซ้ำไปมาอีกหลายครั้ง แต่ว่าเธอก็ไม่อาจตีความข้อมูลในเอกสารนั้นเป็นอย่างอื่นอีกได้เลยนอกว่าเวก้านั้นเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของเธอแล้วยังลักพาตัวเธอมาไว้ที่นี่
“น…หนูไม่ยอม…หนูไม่ยอมให้มันจบลงแค่นี้แน่…หนูสัญญา…!”
เธอกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้น ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอและเก็บเอาเอกสารนั่นกลับเข้าที่ให้เหมือนกับว่าไม่มีใครเคยเข้ามาในออฟฟิศนี้มาก่อน
จากนั้นเธอก็แอบเดินหลบเหล่าสาวใช้กะกลางคืนและอัศวินที่เดินตรวจตราจนมาถึงห้องของเจนได้สำเร็จ ก่อนที่เธอจะหยิบเอากรรไกรจากด้านในโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาเจนที่นอนหลับอยู่บนเตียง
เธอชูกรรไกรขึ้นสูงเหนือร่างของเจนและจ้องมองเธอด้วยสายตาเคียดแค้น แต่ว่าเธอก็ยังไม่อาจตัดใจที่จะแทงกรรไกรในมือของเธอใส่ร่างเบื้องหน้าได้
“หืม… แมรี่หรอจ้ะ? มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงมาหาแม่ดึกป่านนี้ล่ะ?”
ดูเหมือนว่าแมรี่นั้นจะลังเลจนเวลาผ่านไปนานโดยที่เธอไม่รู้ตัว จนทำให้เจนนั้นตื่นขึ้นมาหลังจากที่เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมายืนจ้องเธออยู่ข้างเตียง ทำให้แมรี่ที่เห็นแบบนั้นรีบปล่อยกรรไกรในมือของเธอลงกับพื้นและเตะมันไปซ่อนอยู่ใต้เตียงในทันที
“แมรี่จ๊ะ…?”
“ม…ไม่เป็นไรค่ะ…หนูไม่เป็นไร…”
แต่ว่าเมื่อแมรี่ได้ยินเจนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงนั้น น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะพูดปฏิเสธออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกักและรีบหันตัวกลับเพื่อที่จะวิ่งไปยังห้องของตัวเองในทันที
หมับ
“—!”
แต่ว่าเจนนั้นกลับคว้าแขนของเธอเอาไว้และดึงตัวเธอเข้ามากอดก่อนที่จะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่กำลังไหลอยู่ให้กับเธอพร้อมกับลูบหัวเธอเบาๆ ไปด้วย
“ฝันร้ายหรอจ้ะ? ไม่เป็นไรแล้วนะ… แม่อยู่นี่แล้ว หนูไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
“ห…หนูไม่ได้ฝันร้ายสักหน่อยค่ะ…”
“ฮิฮิ… สมัยแม่ยังเด็กเวลาฝันร้ายขึ้นมาก็ปากแข็งแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
เมื่อแมรี่ได้เห็นท่าทางของเจนแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกสับสนทำตัวไม่ถูกมากขึ้นไปกว่าเดิม ทำให้เธอได้แต่มองตาของเจนที่สบกลับมาด้วยแววตาอ่อนโยน
“คืนนี้นอนกับแม่ละกันนะจ๊ะ… อยู่กับแม่รับรองว่าไม่ฝันร้ายแน่นอน…”
“ค…ค่ะ…”
เธอตอบกลับเจนไปและล้มตัวลงนอนข้างๆ ปล่อยให้เจนนั้นลูบหัวของเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยนจนเธอผล็อยหลับไป ในขณะที่เจนนั้นก็มองหน้าของแมรี่ที่หลับลงไปแล้วด้วยแววตาโศกเศร้า
หลังจากเรื่องในคืนนั้นแมรี่ก็พยายามที่จะทำตัวให้ดูปกติที่สุดเหมือนกับว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดแค้นเวก้าและคนของเขามากสักเท่าไหร่ แต่ว่าเธอก็รู้ตัวดีว่าตัวเธอเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถแก้แค้นให้กับพ่อแม่ที่แท้จริงได้แน่นอน
แมรี่นั้นเลยได้แต่กัดฟันเก็บความรู้สึกของเธอเอาไว้ รอคอยหาโอกาสที่เธอจะได้ลงมือแก้แค้น ในขณะที่เจนนั้นก็ยังทำตัวเหมือนกับว่าเธอคือแม่แท้ๆ ของแมรี่ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดและไม่ชอบใจขึ้นมาทุกครั้งจนบางทีเธอก็เผลอแสดงท่าทางไม่ดีใส่เจนไปบ้าง
แต่ถึงแบบนั้น แมรี่ก็รู้สึกได้ว่าความแค้นของเธอนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เจนเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่ไม่ชอบใจที่เจนนั้นทำตัวเป็นแม่ของเธอทั้งๆ ที่น่าจะรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้วเท่านั้นเอง
และแล้วในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกกระหน่ำลงมานั้น จู่ๆ เจนก็เดินเข้ามาตามเธอที่กำลังนั่งกินข้าวเย็นอยู่คนเดียวก่อนที่จะถึงเวลาตรวจตามปกติ โดยมีผู้ชายในเสื้อกาวน์สีขาวที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนตามมาด้วยอีกสองคน
“แมรี่… เดี๋ยววันนี้หนูคงต้องตรวจร่างกายเร็วกว่าปกตินิดหน่อยนะจ๊ะ…”
“…เอะ? เข้าใจแล้วค่ะ…”
“ถ้างั้นก็ตามพวกผมมาเลยครับ”
“เดี๋ยวก่อนสิ—? ล… แล้วคุณแม่ล่ะคะ…?”
ทันทีที่เธอพูดจบ ผู้ชายในเสื้อกาวน์ทั้งสองคนก็ได้เดินเข้ามาดึงแขนของเธอให้ลุกขึ้นในทันที ทำให้เธอรีบหันไปมองเจนด้วยความตื่นตระหนกเพราะว่าทุกทีแล้วเวลาที่เธอต้องเข้ารับการตรวจนั้นเจนก็จะเป็นคนพาเธอไปเองทุกครั้ง
“…หนูไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่ตามไป…”
“…พวกพี่ไม่ต้องดึงก็ได้ค่ะ หนูเดินเองได้นะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแมรี่ก็เมินเจนไปและไม่สนใจที่จะถามอะไรอีก เพราะว่าเมื่อเป็นเรื่องของการตรวจแล้ว หัวหน้าสาวใช้ผู้เป็นแม่เลี้ยงของเธอนั้นไม่เคยผ่อนปรนเลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนที่เธอจะหันไปบอกกับชายทั้งสองที่จับแขนของเธอเอาไว้และสะบัดแขนของเธอให้หลุดออกมา
“แมรี่…!!”
แต่ว่าทันใดนั้นเองเจนกลับเรียกชื่อของเธอออกมาอีกครั้งทำให้แมรี่หันกลับไปด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะถูกเจนโผเข้ามากอดและลูบหัวของเธอเบาๆ ด้วยมือที่กำลังสั่นอยู่เล็กน้อย
“…มีอะไรคะ?”
“…หนูจำร้านแพนเค้กที่ไปกินกันเมื่อวันนั้นได้มั้ย? ร้านที่หนูบอกว่าอร่อยมากนั่นน่ะ… เอาไว้พรุ่งนี้พวกเราไปกินกันแค่สองคนดีมั้ยจ๊ะ…?”
เจนที่เงียบไปนานได้ถอยออกมาและจับแก้มของเธอเอาไว้เบาๆ ก่อนที่จะพูดถึงร้านแพนเค้กที่พวกเธอไปกินกันในวันที่เธอเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ทำให้แมรี่มองหน้าอีกฝ่ายกลับไปด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเวก้าจะไม่ค่อยอยากให้เธอออกไปจากคฤหาสน์สักเท่าไหร่ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ
“ถ้าคุณเวก้าเขาไม่ว่าอะไรก็ได้ค่ะ…”
“อื้อ…! ถ้างั้นเดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เจอกันนะจ๊ะ!”
แมรี่ที่ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเธอคิดว่าเวก้านั้นก็คงจะไม่อนุญาตอยู่แล้วเลยทำให้เธอตอบกลับไปแบบส่งๆ และหลังจากที่เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปอ้อนเวก้าให้เขาพาเธอออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้วแม้แต่น้อย
หลังจากที่ตอบกลับไปแมรี่ก็หันหลังกลับและเดินตามผู้ชายในชุดกาวน์ทั้งสองคนออกจากห้องไปโดยไม่ได้รู้เลยว่าบนใบหน้าของเจนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นได้มีหยดน้ำไหลรินลงมาอาบแก้มอยู่เงียบๆ
และเมื่อเธอได้เดินมาถึงห้องทดลองใต้ดิน เธอก็ได้ตรงเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับรับการตรวจเหมือนอย่างทุกที ก่อนที่จะเดินไปยังห้องตรวจเหมือนกับทุกครั้งที่ทำมาตลอดหลายปี
“….!”
แต่ว่าในครั้งนี้เธอกลับไม่พบตัวเจนหรือว่าสาวใช้ที่คอยทำหน้าที่ตรวจร่างกายของเธอเหมือนกับทุกๆ ครั้ง แต่กลับมีทีมแพทย์สี่คนในชุดคลุมพร้อมผ้าปิดปากและหมวกคลุมผมสีขาวสะอาดสะอ้านที่กำลังยืนเตรียมอุปกรณ์จำนวนมากที่เธอไม่เคยเห็นอยู่ภายในห้อง
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วสินะครับ? ถ้างั้นเชิญมานอนรอที่เตียงนี่ก่อนเลย”
เมื่อหนึ่งในสี่คนนั้นเห็นแมรี่เดินเข้าห้องมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธอและชี้ไปยังเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้อง
ก่อนที่เขาจะอุ้มตัวเธอขึ้นมานอนบนเตียง เมื่อเขาเห็นว่าเธอกำลังปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะความสูงของมัน
จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นไปปรับถาดที่มีโคมไฟติดอยู่จำนวนมากบนเพดานให้มันหันไปทางอื่นก่อน และหยิบเอาหน้ากากที่มีท่อต่ออยู่ขึ้นมาครอบปากกับจมูกของตัวเองให้แมรี่ดูก่อนจะส่งมันให้กับเธอ
“หนูใส่หน้ากากอันนี้ไว้แบบนี้แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เลยนะ”
“ค…ค่ะ…”
แมรี่ที่กำลังนอนมองขั้นตอนที่ต่างไปจากทุกทีด้วยความสงสัยได้รับหน้ากากนั้นมาถือไว้ และประกบมันครอบปากกับจมูกของเธอเอาไว้และสูดหายใจเข้าลึกตามที่หมอคนนั้นได้ทำให้เธอดู
“—!?”
แต่เมื่อเธอลองสูดหายใจเข้าไปนั้นแมรี่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป ราวกับว่าอากาศที่ส่งมาตามท่อนั้นมีอะไรปะปนอยู่ด้วย ทำให้เธอรีบเอามันออกในทันที
“ไม่ต้องกลัว… สูดเข้าไปแบบนั้นล่ะ”
“…!!”
แต่ว่าหมอคนนั้นกลับจับมือของเธอเอาไว้แน่นจนไม่สามารถยกออกได้ ทำให้เธอพยายามสะบัดเอามือของเขาออกอย่างรุนแรงแต่ว่ามือของเขานั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว
แมรี่เริ่มรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าของเธอค่อยๆ มืดลงพร้อมๆ กับที่แรงของเธอนั้นค่อยๆ หดหายไปทุกที โดยที่สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนทุกอย่างจะดำมืดไปนั้นก็คือกระปุกแก้วใสซึ่งมีลูกตาลูกหนึ่งลอยหมุนไปมาอยู่ข้างใน
“ถ้างั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ”