บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 4
“……….”
เด็กสาวผมสีขาวที่ได้ยินคำทักทายของนากาได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปมากกว่าเดิมก่อนที่เธอจะทำท่าเหมือนกับว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงจนทำให้นากาได้แต่ต้องรีบร้องห้ามขึ้นเอาไว้ก่อน
“อะ—เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าเธอขยับตัวอย่างงั้นเดี๋ยวแผลก็ได้เปิดอีกรอบหรอก!”
“อลิซ…”
“หะ—?”
“ชื่อของฉัน… อลิซ… ส่วนชื่อของนายก็คงจะเป็นนากามูระใช่หรือเปล่าล่ะ…”
“อ—อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะอลิซ แต่เธอเรียกฉันว่านากาเฉยๆ ก็พอแล้วล่ะ”
“เฮ้อ….”
คำพูดของนากาที่ยังคงยืนยันว่าให้เธอเรียกชื่อของเขาสั้นๆ นั้นได้ทำให้อลิซเหลือกตาถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายก่อนที่เธอจะเหลือบมองไปยังดาบสีเทาเปื้อนเลือดที่นากาพกมันเอาไว้ติดตัวแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“อย่างน้อยๆ นายก็ใช้มันได้งั้นสินะ… ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ…”
“เธอหมายถึงเจ้าดาบนี่น่ะหรอ? นี่อย่าบอกนะว่าเธอรู้ว่ามันโผล่ออกมาได้ยังไงน่ะ?”
“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ล่ะมั้ง…”
อลิซพูดตอบนากากลับไปสั้นๆ และยื่นมือข้างขวาของเธอออกมาเบื้องหน้าก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีละอองแสงสีขาวปรากฏขึ้นมาทั่วทั้งบริเวณห้องและพุ่งเข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นดวงแสงที่มีลักษณะเหมือนกับดาบเล่มหนึ่ง
และเมื่ออลิซยื่นมือออกไปจับมันเอาไว้และออกแรงสะบัดมันจนละอองแสงสีขาวพวกนั้นฟุ้งกระจายหายไปนากาก็ได้พบว่าในมือของอลิซได้กำดาบเล่มหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับดาบสีเทาเปื้อนเลือดของเขาไม่มีผิดเพี้ยนเพียงแต่ว่ามีสีขาวและไร้ซึ่งรอยคราบเลือดสีแดงเอาไว้ในมือ
ซึ่งถึงแม้ว่าในโลกใบนี้ทุกคนจะมีพลังที่เรียกว่าวิซที่สามารถใช้งานผ่านคริสตัลต่างๆ ได้ก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามที่ตัวคริสตัลถูกปรับแต่งเอาไว้อย่างเช่นการสร้างลมพัด การจุดไฟ หรือว่าการปรับสภาพผิวดินอะไรพวกนั้นเพียงเท่านั้นไม่ใช่การสร้างละอองแสงออกมาเพื่อสร้างดาบทั้งเล่มออกมาจากความว่างเปล่าแบบนี้
“น—-นั่นมันอะไรกันน่ะ—”
“ดาบของฉัน… พลาฟด้า ดูเวร่า…”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย! ฉันหมายถึงที่เธอเรียกดาบออกมาจากอากาศนั่นต่างหากเล่า!!”
“มันก็ไม่ได้มีแค่ฉันที่ทำแบบนี้ได้สักหน่อยนี่…”
อลิซพูดตอบนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะหันไปมามองซ้ายมองขวาแล้วจึงยื่นแขนของเธอไปดันเสาน้ำเกลือที่ว่างเปล่าต้นหนึ่งให้มันล้มลงใส่นากาแล้วจึงเอ่ยปากพูดสั่งขึ้นมา
“นายลองจับมันเอาไว้แล้วก็หลับตานึกถึงดาบของนายดูสิ…”
“เอ๋ะ—?”
“เลิกทำหน้าเอ๋อๆ แล้วก็ลองทำดูเถอะหน่า…”
อลิซที่เห็นว่านากาทำท่าทางสงสัยเหมือนกับว่ากำลังจะพูดถามเธอกลับมาได้ขมวดคิ้วพูดสั่งเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดจนทำให้นากาได้แต่ต้องยอมที่จะทำตามที่อีกฝ่ายสั่งแต่โดยดี
“—-!?”
ในทันทีที่นากาหลับตาลงและนึกถึงภาพของดาบเปื้อนเลือดของเขานั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของเสาน้ำเกลือที่เขาจับเอาไว้ก่อนที่ทันใดนั้นเองเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันถูกยกขึ้นเหนือพื้นจนทำให้เขาต้องรีบส่งแรงไปยึดจับมันเอาไว้ให้แน่นกว่าเดิม
ซึ่งสิ่งที่นากาสัมผัสได้นั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องลืมตากลับขึ้นมามองดูเสาน้ำเกลือในมือของเขาด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะได้พบว่าในขณะนี้ในมือของเขาได้ถือดาบสีเทาเปื้อนเลือดเอาไว้โดยไร้ซึ่งเสาน้ำเกลือที่อลิซผลักมันล้มลงมาทับเขาเมื่อสักครู่ในขณะที่บริเวณเอวของเขาที่เขาเสียบดาบเปื้อนเลือดเอาไว้เมื่อสักครู่นี้ก็ได้มีแท่งเหล็กสีดำเปื้อนเลือดที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแท่งเหล็กที่ปักคาอยู่บนไหล่ของอลิซในทีแรกถูกเสียบเอาไว้กับผ้ารัดเอวของเขาอยู่แทน
“น—นี่มันอะไรกันน่ะ วิธีการใช้วิซรูปแบบนึงงั้นหรอ—!?”
“ไม่ใช่… มันคือสิ่งที่จะช่วยชีวิตของนายในเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก… ส่วนเรื่องที่ว่ามันคืออะไรกันแน่นั่นมันเป็นเรื่องที่นายจะต้องหาคำตอบด้วยตัวเองแล้วล่ะ…”
“เธอหมายความว่ายังไงน่ะ…?”
คำตอบที่ฟังดูกำกวมของอลิซได้ทำให้นากาได้แต่ต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นอลิซก็กลับไม่ได้พูดตอบคำถามของเขากลับมาตรงๆ อยู่ดี
“มันก็หมายความตามที่ฉันพูดนั่นล่ะ… แต่ฉันคงจะบอกอะไรนายมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกนะ…”
“บอกไม่ได้? ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนให้พลังเรียกดาบนี่กับฉันมาน่ะนะ?”
“ฉันไม่ได้ให้พลังอะไรนายสักหน่อย…”
“ไม่ได้ให้งั้นหรอ…”
นากาที่เห็นว่าอลิซคงจะไม่ยอมพูดตอบคำถามของเขาออกมาตามตรงได้ก้มหน้าลงไปจ้องมองใบดาบเปื้อนเลือดในมือของเขาเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่งเพราะดูท่าทางแล้วว่าเด็กสาวผมสีขาวคนนี้คงจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอพูดออกมาให้เขาฟังไม่ได้
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้มีเสียงร้องของพรีมูล่าดังขึ้นมาให้เขาได้ยินเข้าซะก่อน
“พี่นากาาาาาา พี่อารอนเขาเรียกอ่ะ~~~”
“เอ๋ะ— อื้ม ได้ยินแล้วๆ แต่เดี๋ยวขอเวลาพี่อีกแป๊บนึงก็แล้วกันนะ”
“รีบไปซะสิ… ต่อให้นายคิดจะถามอะไรฉันเกี่ยวกับดาบของนายอีกฉันก็คงจะให้คำตอบไม่ได้หรอกนะ… หรือถ้าเกิดว่านายมีคำถามอื่นก็ไว้ค่อยมาถามฉันทีหลังก็ได้… เพราะว่าเดี๋ยวพวกเราจะได้เห็นหน้ากันไปอีกยาวเลยล่ะ…”
“ถ—ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ…”
นากาพยักหน้าพูดตอบอลิซกลับไปสั้นๆ แล้วจึงเดินออกจากห้องฉุกเฉินเพื่อเดินตรงเข้าไปภายในห้องพักของอารอนที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับอย่างรวดเร็ว
และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับพรีมูล่าที่อาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังกระโดดเกาะไหล่ของอารอนอยู่ด้วยท่าทีตื่นเต้นในขณะที่ทางด้านโมโกะนั้นกลับกำลังยืนเหงื่อตกอ่านเอกสารอะไรแผ่นหนึ่งอยู่ด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง
“อ้าว… มาแล้วหรอนากา… เอ้านี่เอกสารของนายน่ะ…”
อารอนที่หันมาเห็นนากาเดินเข้ามาภายในห้องพักได้หยิบเอาซองจดหมายซองหนึ่งที่เขาวางเอาไว้บนโต๊ะขึ้นมาส่งให้กับนากา ซึ่งนากาที่ยื่นมือไปรับมันมาจากอารอนนั้นก็ได้เอามันมามองดูด้วยความสงสัยว่ามันเป็นเอกสารอะไรกันแน่ที่ถึงกับให้โมโกะตกใจได้ขนาดนั้น
“อ่าหะ ว่าแต่โมโกะเขาตกใจอะไรจนตัวแข็งไปแล้วล่ะนั่น?”
“โมโกะจังเขาก็ขี้ตื่นอย่างงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่หรอ~ พี่นากาเองก็ลองอ่านมันดูบ้างสิ~”
“เอาจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก… มันก็แค่จดหมายแนะนำตัวของพวกนายสำหรับเอาไว้ไปยื่นให้กับเพื่อนเก่าของฉันที่ทำงานให้กับวังหลวงของรีมินัสน่ะ… ถึงฉันจะไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้มาตั้งนานแล้วก็เถอะแต่ถ้าเกิดว่าเธอคนนั้นได้เห็นจดหมายของฉันเข้าเธอก็น่าจะสนใจพวกนายขึ้นมาบ้างล่ะนะ…”
“นั่นแหล่ะๆ ทีนี้พี่นากาก็จะได้ไปเรียนในเมืองด้วยกันกับหนูแล้วใช่มั้ยล่า~~”
“หะ? เอ๋ะ? ตะกี้นี้ที่นายบอกว่าวังหลวงของรีมินัสนี่อย่าบอกนะว่านายหมายถึงเมืองรีมินัสที่เป็นหนึ่งในสี่เมืองหลวงนั่นน่ะ!?”
นากาที่ได้ยินคำพูดอธิบายของอารอนได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะว่าเมืองรีมินัสที่ว่านั้นก็คือชื่อของหนึ่งในเมืองใหญ่ที่มีอยู่เพียงแค่สี่แห่งในทวีปแห่งนี้อีกทั้งทุกคนยังพูดกันว่ามันเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่เมืองทั้งสี่อีกด้วย และถ้าสี่งที่อารอนพูดเป็นความจริงล่ะก็ เพื่อนของอารอนที่ทำงานในวังหลวงก็อาจจะสามารถยื่นเรื่องให้พวกเขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนในเมืองได้จริงๆ ก็ได้
“เมืองรีมินัสมันก็มีอยู่เมืองเดียวนั่นแหล่ะ…แต่ถึงจะมีจดหมายแนะนำตัวของฉันไปด้วยก็เถอะ… เธอคนนั้นจะสนใจช่วยเหลือนายหรือเปล่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวนายมีอะไรดีหรือว่ามีอะไรที่แปลกกว่าชาวบ้านให้เธอสนใจหรือเปล่าล่ะนะ…”
“อะไรที่แปลกกว่าชาวบ้านงั้นหรอ…”
คำพูดของอารอนได้ทำให้นากาหน้าเจือนลงไปเล็กน้อย เพราะว่าสิ่งที่เขาแปลกไปจากคนอื่นๆ มันก็มีเพียงแค่เรื่องที่ว่าตัวเขาไม่สามารถใช้วิซได้เพียงแค่นั้นเอง ซึ่งเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเพื่อนของอารอนได้ยินเรื่องนี้เข้าไปล่ะก็เธอก็คงจะทำเป็นเมินเขามากกว่าจะช่วยเหลืออย่างแน่นอน
“ถ้าเกิดว่าเขาได้ยินเรื่องนั้นเข้าไปเขาก็คงจะ…. เฮ้อ… เอาเถอะ ยังไงก็ขอบใจนายมากนะอารอน”
“ขอบคุณค่ะพี่อารอน~~”
“คิดมากน่า…”
อารอนที่ถูกพรีมูล่าเข้ามาเกาะแขนเอาไว้ได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวของเด็กสาวผมชมพูเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองโมโกะที่ตกใจจนยืนตัวแข็งไปหลังจากที่เธอได้อ่านจดหมายแนะนำตัวของอารอนจะได้สติและหันไปพูดถามนายแพทย์หนุ่มขึ้นมาเสียงดัง
“เดี๋ยวสิๆ!! แต่ถ้าเป็นแบบนี้มันก็หมายความว่าพวกเราจะต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองรีมินัสกันไม่ใช่หรอ!?”
“หืม…? มันก็ใช่น่ะสิ… เอาไว้พอพวกคนขับเขาหายเหนื่อยกันเมื่อไหร่พวกเราก็จะออกเดินทางกันเมื่อนั้นเลยนั่นแหล่ะ… อย่างช้าที่สุดก็น่าจะประมาณช่วงเที่ยงๆ ของวันพรุ่งนี้ล่ะมั้ง…”
“หาาาาา!?”
คำตอบของอารอนได้ทำให้โมโกะหลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเขย่าตัวของอารอนอย่างแรงและพูดต่อว่าเขาขึ้นมาเสียงดัง
“นี่นายไม่คิดจะให้พวกฉันได้มีเวลาเตรียมตัวกันสักหน่อยเลยหรือไงยะอารอนนนนน!!!”
“เขย่ามากๆ แบบนี้มันเวียนหัวนะโมโกะ…”
“จ—ใจเย็นก่อนสิโมโกะ—”
ถึงแม้ว่าอารอนที่กำลังถูกโมโกะจับเขย่าอย่างรุนแรงนั้นจะไม่ได้มีท่าทางเวียนหัวอย่างที่เขาพูดขึ้นมาและพูดบอกโมโกะกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ เหมือนกับปกติก็ตามทีแต่ว่านากาที่เห็นตัวอารอนถูกจับเขย่าจนโยกไปโยกมาก็อดไม่ได้ที่จะพยายามพูดให้โมโกะใจเย็นลงก่อนจนทำให้โมโกะยอมปล่อยมือของเธอออกจากตัวของอารอนและเปลี่ยนไปเดินกุมหัวไปมาด้วยความกลุ้มใจแทน
“มีเวลาแค่วันเดียวแบบนี้แล้วฉันจะเตรียมข้าวของได้ทันมั้ยเนี่ย— ไอ้นู้นก็อยากเอาไปด้วยไอ้นี่ก็ทิ้งไปไม่ได้ แล้วไหนยังจะมีเรื่องเตรียมเสื้อผ้าอีก—”
“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ถ้าขาดเหลืออะไรก็ค่อยไปหาซื้อที่เมืองรีมินัสเอาก็ได้ล่ะมั้ง แล้วที่พูดนี่อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะขนพวกของเก่าในห้องของเธอไปด้วยจริงๆ น่ะ?”
“นั่นสิๆ พวกขยะในห้องของโมโกะจังน่ะปล่อยทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็ได้ล่ะมั้ง ไม่งั้นต่อให้มีรถอีกสักคันนึงก็ขนไปด้วยไม่หมดหรอกเนอะพี่นากาเนอะ~~”
“เมื่อกี้นี้เธอพูดว่ายังไงนะ—!!”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดของพรีมูล่าถึงกับปล่อยมือของเธอที่กุมหัวตัวเองอยู่ออกและหันไปจ้องทางพรีมูล่าด้วยแววตาดุร้ายก่อนจะพุ่งเข้าไปดึงแก้มของเด็กสาวผมสีชมพูจนยืดในทันที
“โอ๊ยๆ อย่าทำร้ายร่างกายกันสิโมโกะจังงงง!!”
“แล้วใครใช้ให้เธอเรียกของในห้องฉันว่าขยะกันล่ะหะ! ถ้าเกิดว่าของมันยังใช้งานได้อยู่มันก็ไม่ใช่ขยะนะเข้าใจมั้ย!!”
“แต่ของพวกนั้นมันก็คืนขยะที่คนอื่นทิ้งแล้วได้โมโกะจังเก็บกลับมาซ่อมจริงๆ ไม่ใช่หรอ— อ๊าาาาาาากกกกก อย่าบีบหัววววววว—!!”
“เฮ้อ… พวกเธอนี่ก็ร่าเริงกันดีจังนะ… ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนั้นขึ้นมาแท้ๆ น่ะ…”
“ยัยนั่นร่าเริงแบบนั้นได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงน่ะ หรือว่านายอยากจะเจอพรีมูล่าที่กำลังงอแงอยู่แทนล่ะ”
นากาที่ได้ยินคำพูดบ่นของอารอนได้พูดตอบเขากลับไปแบบยิ้มๆ แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ มานั่งลงไป ส่วนทางด้านอารอนเองก็ได้ยื่นมือไปคว้าเอาเหยือกกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะของเขามาเทกาแฟลงใส่ถ้วยให้กับนากา
“อ่ะนี่… คุณพยาบาลเขาเป็นคนชงเองน่ะ…”
“อ่า ขอบใจ”
“ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าจนกระทั่งวันนี้นายก็ยังสัมผัสหรือว่าใช้วิซไม่ได้เหมือนเดิมเลยงั้นสินะ…”
“…อื้ม”
คำถามของอารอนได้ทำให้นากาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเขากลับไปสั้นๆ ด้วยความอัดอั้น เพราะถึงแม้ว่าพรีมูล่าผู้ที่เป็นน้องสาวของเขาจะมีท่าทีบ้าๆ บอๆ แบบนั้นแต่ว่าถ้าจะให้พูดกันตามความเป็นจริงแล้วเธอก็นับว่าเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านการใช้วิซที่เรียกได้ว่าหาตัวจับได้ยาก อีกทั้งนอกจากตัวพรีมูล่าแล้วคุณแม่ของพวกเขาเองก็ยังเป็นผู้ที่มีพลังวิซที่เข้ากันได้กับคริสตัลวิซธาตุน้ำแข็งที่น้อยคนนักจะสามารถใช้งานมันได้อีกด้วย
แต่ทั้งๆ ที่เขามีน้องสาวที่มีพรสวรรค์และมีคุณแม่ที่มีวิซธาตุหายากแบบนั้น แต่ว่าตัวเขาเองกลับไม่สามารถสัมผัสหรือว่ารับรู้วิซในร่างกายของตนเองได้เลยแม้แต่น้อยจนทำให้อารอนที่เห็นท่าทางห่อเหี่ยวของนากาได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาตบไหล่ของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดพยายามพูดปลอบใจออกมา
“เอาหน่า… เดี๋ยวอีกไม่นานนายก็น่าจะใช้มันได้เหมือนกับทุกๆ คนเองนั่นแหล่ะ… ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไปแล้วว่ามันเคยมีกรณีของเด็กที่ใช้วิซไม่ได้แบบนายอยู่ด้วยเหมือนกัน… แต่ว่าส่วนมากแล้วพวกเขาก็ใช้วิซออกมาได้ตอนช่วงอายุสักห้าหกขวบไม่เหมือนกับนายที่จนป่านนี้แล้วก็ยังใช้ไม่ได้น่ะนะ…”
“นี่นายพยายามจะปลอบแน่แล้วใช่มั้ยเนี่ย…?”
“ก็พยายามแล้วล่ะ… แต่นายก็รู้ว่าฉันพูดอะไรแบบนี้ไม่เก่งสักเท่าไหร่ด้วยสิ… เอาเป็นว่านายไปขอคำพูดปลอบใจจากคุณพยาบาลเขาแทนก็แล้วกัน…”
“ฮะฮะ…นายเนี่ยน๊า…”
คำพูดของอารอนถึงกับทำให้นากาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบอีกฝ่ายกลับไป
“แต่ถ้านายพูดแบบนั้นมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้งนะ เพราะว่าที่ผ่านมานายเคยตรวจอาการป่วยพลาดซะที่ไหนละจริงมั้ย… แต่ก็นะ… การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยที่ไม่มีวิซนี่มันจะเป็นยังไงกันนะ…”
“เรื่องนั้น… เอาเป็นว่านายไม่ต้องกังวลหรอก… ถ้าเกิดว่านายทำให้เพื่อนเก่าของฉันสนใจขึ้นมาได้ล่ะก็ฉันรับรองเลยว่าเขาจะทำให้นายใช้ชีวิตที่นั่นได้สะดวกสบายกว่าที่หมู่บ้านนี่แน่ๆ ล่ะ…”
“เพื่อนของนายเขาทำได้ขนาดนั้นเลยหรอ… นี่นายไปสนิทกับคนประเภทไหนมาเนี่ย?”
“ก็แค่เพื่อนเก่าแก่ตั้งแต่สมัย…… เอาเป็นว่าสมัยก่อนฉันเคยออกเดินทางด้วยกันกับยัยนั่นแล้วก็คนอื่นๆ อยู่สักพักนึงก็แล้วกันน่ะ…”
อารอนพูดตอบนากากลับไปก่อนที่เขาจะหยิบเอาหนังสือปกหนังที่ดูเก่าๆ ออกมาจากด้านในเสื้อกาวน์แล้วพลิกไล่มันไปตามหน้ากระดาษอยู่สักพักหนึ่งจนไปหยุดอยู่ที่หน้ากระดาษหน้าหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ซึ่งท่าทางแบบนี้ของอารอนที่ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ นั้นก็ทำให้นากาเกิดความสนใจขึ้นมาว่าอีกฝ่ายเปิดหนังสือขึ้นมาดูอะไรกันแน่
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้ชะโงกหน้าไปดูว่าอีกฝ่ายหยิบอะไรขึ้นมาดูนั้นอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงโวยวายของนางพยาบาลผมบลอนด์และเด็กสาวผมสีขาวที่ชื่อว่าอลิซดังขึ้นมาจากภายนอกห้องพักเข้าซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิคะ! เป็นคนเจ็บก็ช่วยหัดอยู่เฉยๆ ให้สมกับที่เป็นคนเจ็บหน่อยสิ!”
“เกะกะน่า! ฉันมีเรื่องที่จะต้องไปคุยกับอารอนเดี๋ยวนี้!”
ปึ้ง!!
หลังจากที่สิ้นเสียงร้องของอลิซได้ไม่ทันไร ประตูห้องพักของอารอนก็ถูกกระแทกให้เปิดออกอย่างแรงโดยอลิซที่ควรจะนอนพักฟื้นอยู่ในห้องฉุกเฉินจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมองเป็นสายตาเดียวกันและนั่นก็ทำให้พยาบาลสาวผมบลอนด์ที่เดินตามหลังอลิซมาต้องรีบพูดอธิบายขึ้นมาในทันที
“ขอโทษด้วยค่ะอารอน พอดีว่าคุณอลิซเขาบอกว่ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับอารอนให้ได้น่ะค่ะ…”
“ระวังตัวหน่อยสิอลิซ… คนเจ็บแบบเธออย่าวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้สิ…”
อารอนที่ได้ยินคำอธิบายของพยาบาลสาวผมบลอนด์ได้หันไปจ้องมองอลิซด้วยแววตาดุๆ พร้อมกับพูดเตือนขึ้นมา แต่ว่าทางด้านอลิซนั้นก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจคำพูดดุว่าของอารอนเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดเถียงกลับมา
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า… ตอนนี้มีคนกำลังกระจายตัวกันไปล้อมคลินิกนี้เอาไว้อยู่ แล้วถ้าฉันเดาไม่ผิดเจ้าพวกนั้นก็น่าจะเป็นพวกเดียวกันคนที่เข้ามาโจมตีฉันกับนากาในป่านั่นแหล่ะ ตอนนี้พวกเราพร้อมจะออกเดินทางกันเลยหรือเปล่า?”
“มีคนมาล้อมคลินิกเอาไว้…?”
อารอนที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจในขณะที่ทางด้านนางพยาบาลสาวผมบลอนด์ก็ได้เดินไปที่หน้าต่างของห้องพักเพื่อสอดสายตาออกไปเบื้องนอกก่อนจะเลื่อนปิดผ้าม่านด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติแล้วจึงหันกลับมาพยักหน้าให้กับอารอนและเดินออกจากห้องพักไป
ซึ่งท่าทีของพยาบาลผมบลอนด์นั้นก็ได้ทำให้อารอนเผยสีหน้าลำบากใจออกมาก่อนที่เขาจะพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ
“แบบนี้ดูท่าทางว่าพวกเอริคงจะได้เหนื่อยกันหน่อยซะแล้วล่ะมั้งเนี่ย…”
“เดี๋ยวๆๆๆ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะอารอน!?”
ท่าทางเคร่งเครียดของอารอนนั้นได้ทำให้เด็กๆ ทั้งสามคนที่ตามสถานการณ์กันไม่ทันได้แต่ต้องเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ว่าทางด้านอารอนนั้นก็กลับหันไปหานากาและพูดตอบคำถามของเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ตามปกติเหมือนกับว่าเขาไม่กังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าข้างนอกนั่นจะมีปัญหานิดหน่อยน่ะ… เพราะงั้นดูท่าทางว่าพวกเราคงจะต้องออกเดินทางกันตอนนี้แทนแล้วล่ะ…”
“ห—หะ—!? / เย้~!! / เอาจริงดิ!?”
“อื้ม… ตอนนี้ฉันฝากพวกเธอเฝ้าพรีมูล่าเอาไว้ให้หน่อยอย่าเพิ่งให้เธอทำอะไรซนๆ ล่ะ… แล้วก็ถ้าหลังจากนี้ฉันสั่งอะไรก็ให้ทำตามที่บอกด้วยล่ะเข้าใจมั้ย…”
“อารอน ฉันปิดประตูกับหน้าต่างทุกบานแล้วก็ปลุกเอริซาเบธกับเดรคให้เรียบร้อยแล้วค่ะ!”
ในขณะที่อารอนกำลังพูดสั่งงานออกมาอยู่นั้น นางพยาบาลสาวผมบลอนด์ก็ได้โผล่กลับเข้ามาภายในห้องพักอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับร้องบอกอารอนขึ้นมาเสียงใส ซึ่งอารอนก็ได้พยักหน้ากลับไปให้เธอแล้วจึงยื่นมือไปยังบริเวณที่เขาวางร่มเก่าๆ สีดำประจำตัวของเขาไว้ ก่อนจะได้พบว่าในบัดนี้ร่มสีดำคู่มือของเขากำลังถูกถือเอาไว้โดยอลิซที่เดินเข้ามาหยิบมันไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ อีกทั้งในมืออีกข้างหนึ่งของอลิซเองก็ได้ถือดาบสีขาวประจำตัวของเธอที่กำลังเรืองแสงอ่อนๆ เอาไว้คู่กันอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้อารอนรู้สึกประหลาดใจจนต้องขมวดคิ้วจ้องมองนั้นก็กลับเป็นการที่ร่มของเขากำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนๆ ออกมาเช่นเดียวกันอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเด็กสาวผมสีขาวกำลังใช้งานมันอยู่นั่นเอง
“เธอใช้งานมันได้ยังไง…”
“ก็แค่ยืมใช้นิดหน่อยเองน่าทำเป็นคิดมากไปได้”
“ยืมใช้…? เฮ้อ… เอาเถอะ… เธอพอจะบอกได้หรือเปล่าว่าพวกนั้นมากันกี่คนน่ะ”
“อย่างต่ำก็สี่… ในป่าด้านหน้าหมู่บ้านสอง ด้านหลังคลินิกอีกสอง… ถึงจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันแน่ๆ ล่ะ”
“สี่คนงั้นหรอ… คนที่พอจะสู้ได้ก็มีแค่เธอกับนากาซะด้วยสิเพราะว่าพวกคนขับรถเขากน่าจะยังไม่ฟื้นตัวกัน… แต่ว่าฉันเองยังไม่ได้ตรวจร่างกายให้นากาหลังจากที่เขากลับมาจากในป่าเลยนี่สิ…”
“ฉันก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติตรงไหนสักหน่อยนี่ นายจะให้ฉันออกไปรับมือพวกนั้นให้ก่อนหรือเปล่าล่ะอารอน?”
นากาที่ได้ยินคำพูดพึมพำของอารอนได้รีบพูดเสนอตัวขึ้นมาในทันที แต่ว่าทางด้านอารอนก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เขาและพูดห้ามปรามขึ้นมา
“ไม่… ถ้าเกิดว่าสี่คนนั้นเป็นพวกเดียวกับคนที่โผล่มาสู้กับนายในป่าจริงๆ ล่ะก็พวกเขาก็คงจะไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่ๆ ล่ะ… อีกอย่างนึงฉันคงจะปล่อยให้นายออกไปสู้อีกครั้งนึงโดยที่ยังไม่ได้ตรวจร่างกายให้นายไม่ได้หรอกนะมันเสี่ยงเกินไป…”
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะออกไปสู้เอง พวกนายคอยดูแลยัยแมวสีน้ำตาลกับยัยเอ๋อผมชมพูนั่นไปก็แล้วกัน”
อลิซที่เห็นท่าทางเป็นห่วงเกินเหตุของอารอนได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดอาสาตัวขึ้นมา ซึ่งคำพูดที่เธอใช้ระบุตัวโมโกะกับพรีมูล่านั้นก็ถึงกับทำให้ทั้งสองคนร้องโวยวายขึ้นมาพร้อมกันในทันที
“เดี๋ยวสินี่เธอเรียกใครว่ายัยแมวกันหะ!? แล้วสภาพของเธอเป็นแบบนั้นนี่คิดว่าจะออกไปสู้ใครเขาไหวจริงๆ หรือไง!?”
“ช่ายๆ แล้วถ้าเกิดว่ามีใครบุกเข้ามาจริงๆ ล่ะก็หนูเองก็สู้ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาคอยดูแลหรอกนะ เพราะถ้าเกิดว่าน้องอลิซยังไม่เห็นล่ะก็หนูเองก็มีทั้งปืนทั้งดาบเลยนะ!”
คำพูดของพรีมูล่าที่พูดเหมือนกับว่าอลิซเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าตัวเองเพียงเพราะว่าส่วนสูงของอลิซมีน้อยกว่าพรีมูล่าที่สูงเกือบๆ จะเท่ากันกับเด็กหนุ่มอย่างนากานั้นได้ทำให้อลิซหันไปมองเด็กสาวผมชมพูตาขวาง ซึ่งนั่นก็ทำให้นากานึกถึงคำพูดที่อารอนพูดเอาไว้ว่าเด็กสาวผมสีขาวดูเหมือนว่าจะมีอายุเยอะกว่าพวกเขาขึ้นมาได้จนทำให้เขาต้องรีบเอ่ยปากเตือนน้องสาวของเขาขึ้นมา
“อย่าไปเรียกคนอื่นว่าน้องเพราะว่าเขาแค่ตัวเตี้ยกว่าเธอสิพรีมูล่า—โอ๊ย—!?”
คำพูดของนากาได้ทำให้อลิซละสายตาออกมาจากเด็กสาวผมชมพูและหวดขาเข้าใส่หน้าแข้งของนากาเต็มแรงในขณะที่ทางด้านพรีมูล่าก็ได้กะพริบตาปริบๆ มองดูอลิซอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงแก้ไขคำพูดของตัวเองขึ้นมา
“ช่ายๆ ถ้าเกิดว่ามีใครบุกเข้ามาจริงๆ ล่ะก็หนูเองก็มีทั้งปืนทั้งดาบเลยนะ พี่อลิซดูสิ~”
“อย่าเอาอาวุธไปจิ้มคนอื่นสิพรีมูล่า… แล้วไม่ใช่ว่าเธอมีแค่กระสุนฝึกแถมฝีมือดาบก็ยังไม่ได้เรื่องไม่ใช่หรือไงน่ะ… เอาเป็นว่าพวกเธอรออยู่ข้างในนี่แล้วช่วยยิงสนับสนุนอลิซเขาจากข้างในน่าจะดีกว่านะ…”
อารอนที่เห็นว่าพรีมูล่ากำลังพยายามใช้ปืนของเธอจิ้มไปที่อลิซเพื่อเรียกความสนใจของอีกฝ่ายมานั้นได้เอ่ยปากพูดห้ามปรามเด็กสาวผมชมพูขึ้นมา ในขณะที่ทางด้านอลิซเองก็ได้ละความสนใจออกมาจากนากาที่กำลังนั่งกุมขาของตัวเองอยู่พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ก็ตามที่อารอนเขาว่ามานั่นแหล่ะ… เดี๋ยวฉันจะออกไปจัดการเจ้าพวกสองคนด้านหน้าคลินิกให้เอง แล้วระหว่างนั้นพวกนายก็หาโอกาสรีบวิ่งขึ้นรถกระบะไปก็แล้วกัน…”
“เดี๋ยวสิ— ไม่ใช่ว่าตัวเธอเองก็บาดเจ็บอยู่หรอน่ะอลิซ?”
ทันใดนั้นเองนากาที่เหลือบไปเห็นผ้าพันแผลของอลิซก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจบาดแผลของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“คิดมากน่า… นี่ก็ได้อารอนช่วยทำแผลให้แล้วเพราะงั้นสบายมาก… แล้วอีกอย่างนึงอารอนเองก็น่าจะมียาอะไรที่พอจะช่วยได้อยู่ใช่หรือเปล่าล่ะ…”
“…….”
อารอนที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่อลิซดูเหมือนจะรู้จักตัวยาที่เขามีสำรองเอาไว้ได้ แต่ว่าในเมื่อตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเขาจึงได้แต่ต้องยอมปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
“จะว่ามีมันก็มีนั่นล่ะ… แต่ที่ฉันยอมให้ใช้ในคราวนี้มันเป็นเพราะว่ามันเป็นเหตุฉุกเฉินนะ…”
อารอนเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะเดินไปทางตู้เก็บยาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันและหยิบเอาอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนหนึ่งออกมาและยื่นยาเม็ดจำนวนหนึ่งส่งไปให้กับอลิซ
“กินยานี่ซะ… แล้วก็ยื่นแขนมานี่ฉันจะได้ฉีดยาให้…”
อลิซที่ได้รับคำสั่งไปจากอารอนได้โยนยาเม็ดจำนวนหนึ่งที่อารอนส่งมาให้เข้าปากไปพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อออกเล็กน้อยเพื่อยื่นแขนของเธอที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ชุดของเธอที่เป็นชุดเดรสแขนยาวไปให้อารอนแต่โดยดีโดยไม่มีท่าทีเขินอายเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งอารอนก็ได้จ่อเข็มฉีดยาของเขาเอาไว้ที่ต้นแขนของอลิซจนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักครู่จนยาเม็ดของเขาออกฤทธิ์เขาจึงได้ทิ่มเข็มฉีดยาเข้าใส่ต้นแขนของอลิซและฉีดของเหลวที่ถูกบรรจุเอาไว้ภายในเข้าไปภายในร่างกายของเด็กสาวพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมา
“ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะว่าถึงตอนนี้เธอจะไม่รู้สึกอะไรก็ตาม… แต่ถ้าเกิดว่าเธอโลดโผนเกินไปจนปากแผลฉีกขึ้นมาล่ะก็ตอนที่ฉันทำแผลให้เธออีกรอบเธอจะเจ็บจนต้องสำนึกเลยล่ะ…”
“ก็รู้อยู่แล้วล่ะน่า… เอาเป็นว่าฉันจะรีบๆ จัดการพวกที่อยู่ด้านหน้าเร็วๆ จะได้รีบหนีกันก็แล้วกัน”
ทันทีที่อลิซพูดจบเธอก็คว้าดาบสีขาวของเธอขึ้นมาถือเอาไว้อีกครั้งและแกว่งมันไปมาเพื่อเตรียมความพร้อมจนเกิดเสียงแหวกอากาศที่ฟังดูน่าหวาดเสียว ซึ่งสภาพของอลิซที่ดูเหมือนว่าจะหายเจ็บเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่เธอได้รับยาของอารอนเข้าไปนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่เธอคิดจะไปสู้ในสภาพแบบนั้นจริงๆ หรอน่ะ!?”
“ฉันก็แค่บาดเจ็บนิดหน่อยเองนี่ไม่ได้อาการหนักถึงขั้นจะสู้ไม่ได้สักหน่อย… เพราะงั้นเรื่องนี้นายปล่อยให้ผู้ใหญ่อย่างฉันกับอารอนจัดการกันเองเถอะน่า… แล้วถ้าเกิดว่านายอยากจะซ่าไปสู้กับใครเขามากนักอย่างน้อยก็รอจนกว่าจะหาอาวุธอย่างอื่นๆ มาได้ก่อนก็แล้วกัน…”
อลิซที่ได้ยินคำพูดด้วยความเป็นห่วงของนากาได้เผยสีหน้าหงุดหงิดออกมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงพร้อมกับพูดบ่นเขาออกมาจนทำให้พรีมูล่าที่เห็นว่าพี่ชายของเธอกำลังถูกต่อว่าอยู่รีบพูดขึ้นมาเพื่อปกป้องเขาอย่างรวดเร็ว
“เอ๋~ แต่ว่าอลิซจังตัวเล็กขนาดนี้แน่ใจหรอว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ อ่ะ—”
“ห๋า…?”
“อ–เอ่อ…. หนูหมายความว่าพี่อลิซตัวเล็กยิ่งกว่าพวกเด็กๆ ในห้องเรียนของหนูอีกอ่ะ พวกเราจะให้ผู้ใหญ่ตัวกระจิ๋วแบบพี่อลิซออกไปสู้แบบนี้มันจะดี—มงื๊ออออ———”
ในขณะที่พรีมูล่ากำลังพ่นคำพูดที่ไม่ได้ฟังดูดีกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อยออกมาอยู่นั้นปากของเธอก็ถูกอุดเอาไว้ด้วยอุ้งมือของโมโกะและนากาเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผมสีขาวดูเหมือนจะรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้อารอนได้แต่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาก่อนที่เขาจะดันหลังของอลิซไปทางประตูห้องจนทำให้เด็กสาวผมสีขาวได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ไปคิดบัญชีในวันหลังแทน
“พอฉันกลับมาแล้วเธอเตรียมตัวเอาไว้ได้เลย…”
อลิซเอ่ยปากพูดขู่พรีมูล่าออกมาก่อนที่เธอจะเดินไปทางประตูหน้าของคลินิกและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว