บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 46 Crumbling Composure
ในช่วงเช้าของวันถัดมาหลังจากเกิดเหตุที่ปราสาทแพนเทร่า หรือก็คือวันที่ เจน สาวใช้แม่เลี้ยงของแมรี่หรือเด็กสาวผมสีเทาที่ตอนนี้ใช้ชื่อว่าคาร์เทียร์นั้นได้ขาดการติดต่อกับเอริกะไปจนเป็นสาเหตุให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะส่งนากากับเอริซาเบธไปสืบดู
และหลังจากที่ทางเอริกะนั้นได้สั่งงานให้นากากับเอริซาเบธผ่านเครื่องสื่อสารขนาดเล็กไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้เดินพาอลิซเข้าไปในคลินิกของอารอน และเมื่อนางพยาบาลสาวผมบลอนด์ที่นั่งประจำการอยู่ตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับได้เห็นผู้มาเยือนเข้าเธอก็พยักหน้าให้กับเอริกะไปทีหนึ่งก่อนจะรีบเดินเข้าไปแจ้งอารอนที่กำลังตรวจคนไข้อยู่ในทันที
“อารอนคะ! มีคนไข้ด่วนมาค่ะ!”
“หื้ม…? คนไข้ด่วนงั้นหรอ…อาการสาหัสขนาดไหนล่ะ…?”
เมื่อนางพยาบาลได้ยินคำถามของอารอน เธอก็รีบเดินผ่านคนไข้ในชุดทหารยามของรีมินัสเพื่อเข้าไปกระซิบบอกอารอนเบาๆ โดยระวังไม่ให้คนไข้ของเขาได้ยิน
“…คุณเอริกะมาค่ะ”
“อื้ม… ท่าทางจะแย่เหมือนกันนะเนี่ย…”
“เอ่อ… ถ้าคนที่เพิ่งมาเขาอาการหนักจริงๆ คุณหมอรีบไปรักษาเขาก่อนเถอะครับ ยังไงซะอาการของผมก็ไม่ได้หนักขนาดนั้นอยู่แล้ว”
คนไข้ในชุดเครื่องแบบทหารของรีมินัสนั้นได้รีบพูดขึ้นมาเมื่อเขาเห็นว่าอารอนทำสีหน้าลำบากใจและชำเลืองมองมาทางเขาเหมือนกับว่ากำลังเกรงใจเขาอยู่ และเมื่ออารอนได้ยินแบบนั้นเขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับก้าวเดินไปทางประตูห้องตรวจในทันที
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะให้คุณพยาบาลตรวจอาการของคุณให้แทนละกันนะครับ…”
“ได้เลยค่ะ!”
“แค่ก–แค่ก— โชคดีนะครับคุณหมออารอน!”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ…แล้วก็…ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ…”
อารอนพูดขึ้นมาพร้อมกับค้อมหัวให้คนไข้คนนั้นกลับไปทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรีบเดินออกจากห้องตรวจเพื่อเดินไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของคนไข้จำนวนมากที่นั่งรอคิวตรวจอยู่ในล็อบบี้
และเมื่ออารอนเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วเขาก็เลิกคิ้วมองอลิซที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้กับเอริกะที่นั่งอยู่ข้างๆ อยู่สักครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะว่าสภาพผ้าพันแผลบนไหล่ของอลิซนั้นก็ยังคงดูปกติดีอยู่จนไม่น่าเป็นสาเหตุให้พวกเธอพากันมาที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“ไหนล่ะคนเจ็บ…?”
“ก็นอนอยู่บนเตียงนี่ไง~ พอดีว่ามีเรื่องน่าสงสัยนิดหน่อยน่ะ ฉันก็เลยคิดว่าจะมาพาตัวเดรคกลับไปเผื่อไว้ก่อน แล้วไหนๆ ก็มาแล้วทั้งทีฉันก็เลยพาอลิซเขามาเปลี่ยนผ้าพันแผลไปด้วยเลยน่ะ~”
เอริกะตอบคำถามของอารอนกลับไปพลางจับแขนของอลิซข้างที่ไม่บาดเจ็บขึ้นมาโบกๆ ให้อารอนเห็น ในขณะที่ตัวอลิซเองนั้นก็ทำสีหน้าหน่ายๆ และเอ่ยปากทักทายอารอนไป
“ไง…”
ทางด้านอารอนที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วพลางเอื้อมมือไปล็อกประตูห้อง ก่อนที่เขาจะเดินไปยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ข้างๆ ตู้เก็บยาพร้อมกับพูดเจาะจงขึ้นมา
“ถ้ามีธุระแค่นั้นเธอคงไม่รีบตามตัวฉันมาอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ… มีอะไรก็รีบๆ ว่ามาได้แล้ว… ยังมีคนไข้รอฉันอยู่อีกเพียบเลยนะถ้าเธอไม่ทันสังเกตเห็นน่ะ…”
เมื่อเอริกะได้ยินอารอนพูดขึ้นมาตรงๆ แบบนั้นเธอก็เริ่มที่จะทำสีหน้าหน้าจริงจังขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่นอยู่เพื่อไม่ให้อลิซที่นอนอยู่ข้างๆ สงสัย
“นั่นสิเนอะ~ ถ้างั้นก็เข้าเรื่องเลยละกัน มีรายงานมาว่าวังหลวงของเมืองแพนเทร่าถูกบุกโจมตีโดยกลุ่มคนไม่ทราบสังกัด นายพอจะบังเอิญได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างรึเปล่าล่ะ?”
“หืม…? เมืองแพนเทร่าหรอ…?”
“อื้ม เมืองแพนเทร่าที่อยู่ทางทิศเหนือนั่นล่ะ”
“ถ้าจำไม่ผิดประชากรส่วนมากของที่นั่นจะเป็นพวกคนที่มีหูสัตว์งั้นสินะ… แล้วแถวทางเหนือก็อากาศดีกว่าแถบนี้ตั้งเยอะด้วย… ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปเที่ยวแถวนั้นอีกจั—–”
ในขณะที่อารอนกำลังหลับตานึกถึงเมืองแพนเทร่าที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้น เอริกะก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าไปประชิดตัวอารอนพร้อมกับกระซิบถามเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตกลงนายรู้อะไรเรื่องนี้หรือเปล่า?”
“ใจเย็นๆ สิ… เธอก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอว่ากว่าจะรื้อฟื้นข้อมูลของสถานที่ที่ไม่ได้ไปนานขนาดนั้นได้มันต้องใช้เวลาน่ะ… ว่าแต่เมืองแพนเทร่านี่กำแพงเมืองสีอะไรนะ…”
“หยุดบ่ายเบี่ยงสักทีเถอะ หรือว่าที่จริงแล้วนายเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้น่ะหะ!?”
เมื่อได้ยินเอริกะพูดขึ้นมาพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาสงสัย อารอนจึงล้วงมือเข้าไปในเสื้อกาวน์ของตนและหยิบเอาหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งออกมาไล่เปิดมันดูอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะเก็บมันกลับลงไปและพูดตอบกลับเอริกะขึ้นมา
“ไม่ล่ะ… ของฉันไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับการโจมตีที่แพนเทร่าถูกจดเอาไว้เลย… เอาจริงๆ ทางฝั่งเธอน่าจะมีข้อมูลเรื่องนั้นเยอะกว่าของฉันไม่ใช่หรือไง…?”
“งั้นหรอ ยังไงก็ขอบใจที่ช่วยตรวจสอบให้ก็ละกัน แล้วก็ขอโทษทีที่เมื่อกี้สงสัยนายนะ”
เอริกะที่ได้ยินคำตอบของอารอนแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าของตนให้เป็นปกติ ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปนั่งอยู่ข้างๆ เตียงคนไข้อีกครั้งโดยทำเป็นไม่สนใจสายตาของอลิซที่มองมาด้วยความสงสัย ในขณะที่อารอนนั้นก็เอ่ยปากถามเอริกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ว่าแต่เธอบอกว่าแพนเทร่าโดนโจมตีสินะ…แล้วสภาพตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ…?”
“นายหมายถึงสภาพอะไรล่ะ? สภาพความเสียหายของวังหลวง สภาพของกองทหารที่ต้องเข้าไปรับมือ หรือว่าสภาพจิตใจของประชาชนที่เห็นวังหลวงโดนโจมตี?”
“ทั้งหมดนั่นแหล่ะ…”
“สภาพตัวเมืองน่ะแทบไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย จะมีก็แค่ประชาชนที่ตื่นตระหนกเพราะได้ยินเสียงระเบิดนั่นล่ะ แต่ว่าทางด้านตัวปราสาทจะค่อนข้างเละหน่อยนึง หลักๆ ก็เป็นกำแพงปราสาทที่ถูกคนร้ายระเบิดจนถล่มลงมากับประตูหน้าที่พวกทหารยิงทิ้งเพื่อเปิดทางเข้าไปข้างในน่ะ”
คำตอบของเอริกะนั้นทำให้อารอนและอลิซเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่ทั้งสองคนจะเอ่ยปากถามขึ้นมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“พังประตูเพื่อบุกเข้าไป…? หมายความว่าการโจมตีเริ่มต้นจากข้างในปราสาทเลยงั้นสินะ…”
“เป็นการก่อกบฏหรือเปล่า?”
เมื่อเอริกะได้ยินคำถามของอารอนกับอลิซนั้น เธอก็นิ่งเงียบไปเพื่อใช้ความคิดสักพักหนึ่งก่อนที่จะพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ขึ้นมา
“ไม่น่าใช่ เพราะว่าถ้าเป็นพวกกบฏจริงๆ ต่อให้พวกเขาจะลักลอบเข้าไปในตัวปราสาทได้ก็ไม่น่าจะทำความเสียหายได้ขนาดนั้นหรอก”
“ขนาดนั้นที่เธอว่านี่… มันขนาดไหนกันล่ะ…?”
“เท่าที่ยืนยันแล้วก็มีขุนนางเสียชีวิตอย่างน้อยสิบคน หนึ่งในนั้นเป็นมาร์ควิสกับดยุกคนสำคัญของแพนเทร่า นอกจากนั้นก็เป็นพวกอัศวินหลวงที่ประจำการในปราสาทเกือบทุกคน แล้วก็ทหารอีกหนึ่งกองที่บุกเข้าไปเสริมทีหลังน่ะ”
“เดี๋ยวสิ! ระดับนั้นมันแทบจะเป็นการฆ่าล้างบางกันแล้วไม่ใช่หรือไง!?”
ทันทีที่อลิซได้ยินเอริกะร่ายรายชื่อผู้เสียชีวิตออกมาเรื่อยๆ จนรวมแล้วน่าจะเกินหลักร้อยนั้นเธอก็ร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ว่าเอริกะก็กลับส่ายหน้าให้กับเธอก่อนที่จะพูดต่อขึ้นมา
“ไม่ใช่การฆ่าล้างบางหรอก เพราะว่านอกจากมาร์ควิสกับดยุกแล้วก็ขุนนางอีกสิบกว่าคนที่อยู่พร้อมกันในระหว่างเกิดเหตุแล้วขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้ถูกไล่ฆ่าไปด้วย ส่วนพวกสาวใช้ในปราสาทเองก็หนีออกมากันได้เกือบหมด พวกคนที่ตายก็มีแค่พวกอัศวินที่เข้าไปต่อสู้กับผู้บุกรุกหลังจากการโจมตีครั้งแรกน่ะ”
เมื่อได้ยินคำสันนิษฐานของเอริกะแล้วอารอนก็ขมวดคิ้วกลับไปให้เธอเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลองสอบถามเพิ่มเติมดู
“แล้วทางประชากรในเมืองแพนเทร่าล่ะ…?”
“ไม่มีใครเป็นอะไรมากหรอก ต้องบอกว่าโชคดีที่ตัวปราสาทตั้งอยู่ห่างจากเขตเมืองอยู่พอสมควรซะมากกว่า ส่วนเรื่องกำแพงที่ระเบิดไปนั่นทางวังของแพนเทร่าประกาศออกมาว่าเป็นอุบัติเหตุระหว่างฝึกซ้อมน่ะ อ้อ… แล้วก็มีขบวนทหารคุ้มกันอุปกรณ์การบินรุ่นทดลองที่อยู่ในระหว่างการขนส่งไปปราสาทแพนเทร่าถูกถล่มจนเละไปด้วยเหมือนกัน แต่เห็นพวกนั้นประกาศไปว่าเป็นฝีมือของกลุ่มโจรที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองน่ะ”
“สรุปง่ายๆ ก็คือไม่ว่าจะวังหลวงของเมืองไหนก็ปิดเรื่องกันเก่งงั้นสิ แล้วงี้พวกนกน้อยที่คาบข่าวมาส่งเธอเป็นยังไงกันบ้างล่ะ? หวังว่าจะยังไม่โดนปิดปากไปด้วยเหมือนกันแล้วหรอกนะ”
“…..”
ทันทีที่ทั้งสองคนได้ยินคำถามของอลิซ พวกเขาก็เหลือบไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่อารอนจะขยับตัวไปทางตู้ยาเพื่อคุ้ยหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกมาจำนวนหนึ่ง และเดินเข้าไปหาอลิซที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในจังหวะเดียวกับที่มีเสียงของนางพยาบาลผมบลอนด์ดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องฉุกเฉินพอดี
“ฉันจ่ายยาให้ทหารยามคนนั้นไปเรียบร้อยแล้วนะคะอารอน มีอะไรให้ฉันช่วยอีกมั้ยคะ?”
“อื้อ…มาได้จังหวะพอดีเลย เธอช่วยจับล็อกตัวอลิซเขาไว้ให้หน่อยสิ”
“อ๋ออออ~ ได้เลยค่ะ!”
นางพยาบาลผมบลอนด์ที่ได้เอริกะเดินไปเปิดประตูห้องให้ได้หันไปมองอุปกรณ์การแพทย์ในมือของอารอนสลับกับอลิซที่ผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงคนไข้อยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปประชิดตัวของอลิซด้วยสีหน้ายิ้มๆ ในพริบตา จนทำให้อลิซนั้นได้แต่มองอารอนสลับกับคุณพยาบาลของเขาไปมาด้วยความหวาดระแวง
“น—นี่จับตัวฉันเอาไว้ทำไมหรอ…? แล้วอารอนนายหยิบของพวกนั้นมาทำไมน่ะ…?”
“ถ้างั้นเอริกะเดี๋ยวเรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันต่อก็ละกัน… ส่วนอลิซ เธอน่ะเป็นเด็กดีแล้วยอมให้ฉันล้างแผลซะดีๆ …”
“โชคดีนะอลิซจัง~”
“เอ๋ะ–!? ด–เดี๋ยวก่อน—-”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเองก็ได้มีสายเรียกเข้าจากเครื่องสื่อสารของเอริกะดังขึ้นมา ทำให้เอริกะต้องตัดสินใจที่จะรับสายจากพวกนากาและเอริซาเบธในห้องฉุกเฉินนี้ไปเลยและในตอนที่เธอกดรับสายนั้นเองอลิซก็ได้กรีดร้องออกมาพร้อมๆ กับที่อารอนได้ออกคำสั่งให้พยาบาลสาวของเขาจับตัวอลิซเอาไว้
“กรี๊ดดดดด!?”
“จับตัวเธอไว้…!”
“คุณอลิซอย่าดิ้นสิคะ!”
ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบพูดอธิบายให้พวกนากาและเอริซาเบธฟังก่อนที่เธอจะออกคำสั่งให้พวกเขาจับตาดูสถานการณ์ในคฤหาสน์ของเวก้าไป และเมื่อเอริกะได้ออกคำสั่งกับพวกนากาและเอริซาเบธจนเสร็จแล้ว เธอก็หันกลับไปทางอีกสามคนที่อยู่ในห้อง ก่อนจะพบว่าอลิซนั้นได้นอนสลบแน่นิ่งอยู่บนเตียงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ทำแผลใหม่เรียบร้อย…วันหลังก็อย่าไปซนอะไรมากล่ะเข้าใจมั้ย…”
“……”
“อลิซเขายังไม่ตายใช่มั้ยอ่ะ?”
“พูดแบบนี้เสียมารยาทนะ…”
อารอนที่ทำแผลให้อลิซเสร็จแล้วได้ถอดถุงมือยางที่เปื้อนเลือดของเขาออกก่อนจะโยนมันทิ้งลงถังขยะไปพร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้แล้วชิ้นอื่นๆ ในขณะที่พยาบาลผมบลอนด์นั้นก็ได้พูดขออาสาที่จะออกไปตรวจดูคนไข้ที่ต่อคิวรอกันอยู่ด้านนอกออกมา
“ถ้างั้นฉันขอออกไปดูอาการของพวกคนไข้ก่อนเนอะอารอน”
“อื้ม… ถ้ายังไงก็เบามือด้วยล่ะ…”
อารอนตอบเธอกลับไปก่อนที่เขาจะหันไปสังเกตดูอาการของอลิซอีกครั้งและเอ่ยปากถามเอริกะขึ้นมาเมื่อเขามั่นใจว่าอลิซได้สลบเหมือดไปแล้วเป็นที่แน่นอน
“เอาล่ะ… ไหนเล่ามาสิว่าพวกคนที่แจ้งข่าวเธอมาเป็นยังไงกันบ้างน่ะ…? หรือว่าโดนปิดปากไปแล้วจริงๆ …?”
“คนที่แจ้งข่าวมาก็เซซิเรียกับนิลิมนั่นแหละ สองคนนั้นเขาเอาตัวรอดกันเองได้น่า นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก~”
“บอกสภาพพวกเขามา…”
เมื่ออารอนได้ยินเอริกะพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงเขาก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับสองคนนั้นอย่างแน่นอน เขาจึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่เกาหัวตัวเองและบอกกับเขาไปตรงๆ อย่างว่าง่าย
“ก็… เซซิเรียไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ว่านิลิมโดนเล่นงานเข้าที่แขนจนขยับไม่ได้ทั้งสองข้างน่ะ”
“แขนยังติดอยู่กับตัวใช่มั้ย…?”
“จะบ้าหรอ!? ก็ต้องยังอยู่อยู่แล้วสิ!”
ทันทีที่ได้ยินคำถามของอารอนเข้าไป เอริกะก็รีบตอบกลับไปพร้อมกับหรี่ตามองดูอารอนอย่างไม่แน่ใจนักว่าเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ หรือว่าแค่พูดแกล้งเธอเล่นกันแน่
“ถ้างั้นพอพวกนั้นกลับมาถึงแล้วก็มาบอกฉันละกัน… เดี๋ยวฉันจะได้ไปดูอาการให้…”
“อื้อ เอาจริงๆ ฉันก็กะจะมาขอให้นายช่วยรักษาพวกนั้นให้อยู่แล้วละ แต่ว่าคงอีกสักสี่ห้าวันล่ะมั้งกว่าพวกนั้นจะกลับมาถึงน่ะ”
“สี่ห้าวัน…? ถึงจะบอกว่าระยะทางไปแพนเทร่ามันไกลกว่าหมู่บ้านโมริโกะก็เถอะ แต่ตอนฉันนั่งรถไปที่หมู่บ้านนั่นยังใช้เวลาแค่วันเดียวเองนะ… นี่เธอให้พวกนั้นเดินทางไปยังไงเนี่ย…?”
“เดินไปน่ะ”
ซึ่งทันทีที่อารอนได้ยินคำตอบของเอริกะเขาก็หันมาเลิกคิ้วใส่เธออย่างประหลาดใจ ก่อนที่จะเดินตรงบึ่งเข้ามาหาเอริกะในทันทีจนทำให้เอริกะต้องรีบพูดขึ้นมาต่ออย่างร้อนรน
“ก—ก็เดินเท้าไปไง เห็นบอกว่าใช้เวลาแค่สัปดาห์เดียวก็ไปถึ——-”
หมับ—
“ที่ใช้เวลาแค่เกือบสัปดาห์มันเป็นเพราะว่าพวกนั้นผ่านการฝึกมาเยอะแล้วไม่ใช่หรือไงหะ… แล้วนี่เธอไม่ได้ส่งยานพาหนะอะไรไปให้พวกนั้นเลยหรือไง?”
“นายก็รู้นี่ว่าให้ตายยังไงนิลิมก็ไม่ยอมนั่งรถม้าน่ะ ส่วนเรื่องรถยนต์ทั้งสองคนนั้นก็ขับกันไม่ได้ทั้งคู่ด้วยนี่”
“นี่เธอเป็นหัวหน้าประสาอะไรเนี่ย…”
“ฉันไม่ใช่หัวหน้าของพวกนั้นสักหน่อย เป็นแค่คนสั่งงานเฉยๆ ต่างหาก~”
เมื่ออารอนได้ยินคำตอบของเอริกะแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะจับแก้มของเอริกะที่กำลังยิ้มกวนๆ อยู่มาดึงจนยืดในทันที
“เฮ้อ…ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“โอ๊ยยยยย ขอโทษค่าาาา!”
และหลังจากที่อารอนดึงแก้มของเอริกะไปได้สักพักเขาก็ปล่อยมือออกเมื่อสังเกตเห็นว่าเอริกะกำลังทำท่าเหมือนจะพูดแก้ตัวอะไรออกมา
“ก็นายก็รู้นี่ว่าวิธีเดินทางเร็วๆ ของที่นี่มันก็มีแค่รถม้าไม่ก็รถยนต์น่ะ แล้วนิลิมก็เกลียดรถม้าจะตาย ส่วนเรื่องรถยนต์ทั้งสองคนนั้นก็ใช้งานกันไม่ได้ด้วยแล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ”
“แล้วไอนั่นล่ะ…?”
“อันนั้นนายก็รู้ว่าฉันแอบส่งแบบแปลนรุ่นทดลองไปให้ทางแพนเทร่าพัฒนาต่อตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง? แล้วล่าสุดที่ได้ข่าวมาก็คือมันโดนใครไม่รู้ระเบิดทิ้งไปในระหว่างการโจมตีที่แพนเทร่าแล้วนั่นล่ะ”
คำตอบของเอริกะนั้นทำให้อารอนได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านิลิมคงจะยอมเดินไปเองมากกว่าที่จะยอมนั่งรถม้าไปจริงๆ และในเมื่อทั้งสองนั้นไม่สามารถขับรถยนต์ไปกันเองได้ การที่จะจ้างให้คนนอกขับไปส่งนั้นก็คงจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่นักด้วย
“เฮ้อ… ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้จริงๆ ล่ะมั้ง… จะว่าไปแล้วเรื่องยูนิตของเธอไปถึงไหนแล้วล่ะ…?”
“ถ้าเรื่องนั้นฉันได้ส่งยูนิตรุ่นทดลองทั้งสามแบบไปให้พวกที่วังหลวงกับกรรมการคนอื่นตรวจสอบดูเรียบร้อยแล้ว แล้วเหมือนว่าพวกนั้นกำลังหาคนมาทดสอบกันอยู่น่ะ คิดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักล่ะมั้ง”
“แล้วประสิทธิภาพของมันเป็นยังไงบ้างล่ะถ้าเทียบกับของเมืองอื่นๆ น่ะ?”
“ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วสิ! ถึงของที่ฉันสร้างขึ้นมาจะเป็นของพื้นๆ ก็เถอะ แต่ว่าถ้าเทียบกับของโบราณหลงยุคพวกนั้นน่ะยังไงก็กินขาดอยู่แล้ว!”
เอริกะยืดอกตอบเพื่อนนายแพทย์ของเธอกลับไปอย่างมั่นใจ จนทำให้อารอนอดที่จะยิ้มหน่ายๆ พลางส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจกลับไปให้เธอเป็นไม่ได้
“ก็น่าจะตามที่เธอว่าล่ะนะ… ส่วนเรื่องรออนุมัติให้ผลิตนี่ เผลอๆ พอเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองแพนเทร่าไปถึงหูพวกนั้นเมื่อไหร่ก็คงจะเซ็นให้ผ่านกันในทันทีเลยล่ะมั้ง…”
“นั่นสิน๊า~ ถ้าพวกเขาได้ข่าวแล้วก็คงจะอนุมัติให้ผ่านไปเลยจริงๆ นั่นล่ะ แต่จะว่าไปที่พวกนั้นไม่ได้ดำเนินการกันสักทีนี่… อย่าบอกนะว่าพวกคนที่เอาไปทดลองใช้ดูไม่มีปัญญาใช้งานมันกันน่ะ”
“เธอทำออกมาให้มันใช้งานได้ยากเกินไปหรือเปล่า…?”
“ไม่มั้ง… ฉันว่าฉันทำให้มันใช้งานง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะ ชนิดที่ว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาต่อให้เป็นพวกนักเรียนในโรงเรียนรีมินัสก็เอามันมาใช้กันได้เลยน่ะ”
“เฮ้อ… ก็หวังว่าพวกนั้นคงจะไม่ได้อ่อนแอกว่านักเรียนในโรงเรียนล่ะน่ะ…”
อารอนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาทีหนึ่งพร้อมกับหิ้วถุงขยะที่ใส่อุปกรณ์ใช้แล้วเดินไปยังประตูด้านหลังคลินิกเพื่อทิ้งมันและแอบมองไปตามซอกตึกที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปคุยกับเอริกะที่อยู่ในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
“เท่าที่ฉันมองดูเหมือนว่าพวกที่แอบตามเธอมาน่าจะไปกันหมดแล้วนะ…”
“โอ้! ถ้างั้นเอาไว้เดี๋ยวพออลิซฟื้นแล้วพวกฉันจะกลับกันเลยละกัน~ แล้วนี่เดรคกับเด็กที่ชื่อโมโกะอยู่ไหนกันล่ะ?”
“อยู่ในห้องพักน่ะ… ถ้าเธออยากจะประชุมวางแผนอะไรก็ไปตามมาเองละกัน… ฉันขอไปตรวจอาการพวกคนไข้ข้างนอกนั่นก่อนล่ะ… ถึงจะไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่อีกกี่คนก็เถอะ…”
อารอนตอบคำถามของเอริกะกลับไป ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องฉุกเฉินเพื่อไปประจำการในห้องตรวจแทนพยาบาลผมบลอนด์เพื่อไม่ให้คนไข้ที่อาจจะยังเหลือหนีหายไปกันหมดซะก่อน
ส่วนทางด้านเอริกะนั้นก็แอบเดินออกจากห้องฉุกเฉินเพื่อไปตามตัวเดรคกับโมโกะมาเตรียมตัวกัน และในจังหวะที่อลิซเพิ่งจะฟื้นกลับมานั้นเอง เอริซาเบธก็ได้ติดต่อผ่านเครื่องสื่อสารมาแจ้งกับเธอว่าเหล่าอัศวินและสาวใช้ในคฤหาสน์ของเวก้ากันได้เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว ทำให้เอริกะต้องรีบสั่งให้อลิซนำทางโมโกะไปพักที่บ้านของเธอ และจากนั้นเอริกะก็พาเดรควิ่งออกไปยังคฤหาสน์ของเวก้าในทันที