บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 51 Transposing
นับเป็นเวลาสี่วันแล้วหลังจากที่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มทหารสองกลุ่มที่บริเวณทุ่งราบทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองรีมินัส ซึ่งในช่วงสี่วันมานี้กลุ่มของนากาที่ประกอบไปด้วยตัวเขาเอง พรีมูล่าน้องสาวของเขา เพื่อนสาวแมวขโมยโมโกะ และอัศวินหลวงคอนแนลก็ได้ถูกเอริกะสั่งให้มาซ่อมแซมคฤหาสน์ของเวก้าที่เสียหายไปบางส่วนกัน
โดยโมโกะได้รับหน้าที่ซ่อมแซมสวนหลายๆ จุดที่เป็นหลุมเป็นบ่อและพื้นหญ้าที่ไหม้ดำทั้งจากฝีมือของเวก้าและไฟฟ้าของแมรี่รวมถึงตัวเรือนกระจกที่ถูกลูกหลงจนกระจกแตกไปบางส่วนด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้านนากาและคอนแนลนั้นก็ตกลงแบ่งงานกันซ่อมแซมตัวคฤหาสน์ที่พังถล่มลงมาทั้งแถบจากการที่เวก้ายิงระเบิดอัดเข้าใส่ตัวคฤหาสน์เพื่อไล่แมรี่ออกมา
โดยที่พรีมูล่าที่ไม่อาจซ่อมอะไรสักอย่างได้โดยไม่เพิ่มงานให้คนอื่นเลยนั้นก็ได้ถูกทุกคนไล่ให้ไปเป็นพนักงานต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเอริซาเบธที่มาสั่งและตรวจสอบงานซ่อมเป็นพักๆ และเดรคที่นำอุปกรณ์ก่อสร้างจำนวนมากมาส่งแทน
ต๊อก! ต๊อก! ต๊อก!
“นากา! หน้าต่างข้างล่างนี่ติดตั้งใหม่เสร็จแล้วนะครับ! ข้างบนนั้นเป็นไงบ้างให้ผมขึ้นไปช่วยมั้ย!?”
ในขณะที่นากาซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้มาเป็นกรรมกรก่อสร้างแบบที่อาจารย์ในหมู่บ้านเคยพูดเอาไว้จริงๆ กำลังใช้ค้อนตอกตะปูเพื่อมุงหลังคาของคฤหาสน์ที่แหว่งไปอยู่คอนแนลที่เพิ่งจะจัดการหน้าต่างด้านล่างที่เขารับผิดชอบเสร็จก็ได้ตะโกนถามขึ้นมาจนทำให้นากาต้องรีบตะโกนตอบกลับไป
“โอ๊ส! อีกนิดเดียวแหละ!!”
ต๊อก!!
นากาทุบค้อนลงไปบนตะปูอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยบนหลังคาอีกครั้ง และเมื่อเขาเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้วเขาก็เหวี่ยงตัวเองไปทางบันไดที่พาดเอาไว้ใกล้ๆ กันและปีนกลับลงไปที่พื้นดินพร้อมกับพูดถามคอนแนลขึ้นมาบ้าง
“ฟู่ว~ เสร็จสักที… เหลือตรงไหนที่พวกเราต้องซ่อมอีกมั้ยเนี่ยคอนแนล?”
“ถ้าหลังคาเสร็จเรียบร้อยก็น่าจะหมดแล้วนะครับ… นอกซะจากว่าพรีมูล่าเขาจะแอบไปทำอะไรพังเข้าอีกน่ะ เพราะว่าส่วนของโมโกะก็ทำเสร็จไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วย”
“เฮ้อ… ใช้เวลาหลายวันอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
นากาถอนหายใจออกมาพร้อมกับล้มตัวลงไปนอนบนสนามหญ้าข้างตัวคฤหาสน์อย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่เขาต้องออกแรงซ่อมคฤหาสน์หลังนี้ไปพร้อมๆ กับคอยรับมือพรีมูล่าที่เผลอๆ ก็ทำข้าวของพังหรือมาคอยแกล้งเขาเวลาเธอเบื่อๆ มาตลอดทั้งสี่วันโดยไม่ได้หยุดพัก
“ฮะฮะ เหนื่อยหน่อยนะครับ แต่ผมว่าจริงๆ แล้วใช้เวลาแค่สี่วันกับความเสียหายระดับนี้นี่ก็ถือว่าเร็วมากแล้วนะครับเนี่ย”
“ที่มันเร็วขนาดนี้ก็เพราะว่าได้นายมาช่วยนี่ล่ะ เพราะจะให้เด็กผู้หญิงอย่างโมโกะเขามาโบกปูนหรือมุงหลังคามันก็ใช่เรื่องใช่มั้ยล่ะ… ส่วนยัยพรีมูล่านั่นไม่ต้องนับเป็นแรงงานเลย แค่คุมไม่ให้ก่อเรื่องได้ก็เหนื่อยกว่าทำงานทั้งวันแล้ว…”
นากายิ้มตอบคอนแนลกลับไปและหันไปดูคฤหาสน์ฝีมือพวกเขาอีกครั้งหนึ่งอย่างอดภูมิใจกับมันนิดหน่อยเป็นไม่ได้ ก่อนที่เขาจะถามคอนแนลขึ้นมาเผื่อว่าอัศวินหลวงคนโปรดของเอริกะคนนี้จะรู้สาเหตุที่เอริกะต้องการให้พวกเขาซ่อมคฤหาสน์หลังนี้ให้เสร็จไวๆ
“ว่าแต่นายพอจะรู้หรือเปล่าล่ะว่าทำไมเอริกะถึงให้พวกเรามาซ่อมคฤหาสน์นี่กันน่ะ?”
“เรื่องนี้ผมเคยถามคุณเอริกะดูแล้วนะครับ แต่ว่าคุณเอริกะเขาก็ไม่ยอมบอกอะไรมาเหมือนกัน แต่ในเมื่อคุณเอริกะสั่งมาแบบนี้ก็คงต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่แล้วล่ะครับ อย่างทางวังจะส่งคนมาตรวจสภาพที่เกิดเหตุหรืออะไรอย่างงี้”
“แต่เล่นปิดเงียบไว้แบบนี้ถ้าไม่ใช่ว่าทางวังจะส่งคนมาตรวจแบบที่นายบอกก็คงไม่พ้นอุบไว้แกล้งพวกเราเล่นหรอกจริงมั้ยล่ะ… หรือไม่แน่ว่าอาจจะแค่อยากหาที่เก็บอุปกรณ์ที่ใหม่ก็ได้ล่ะมั้ง เพราะว่าพอพวกเราไปอยู่กันตั้งห้าคนแบบนั้นในบ้านก็แทบจะไม่มีทางเดินกันอยู่แล้วนี่น่ะ”
“นั่นสินะครับ~”
แอ๊ด….
ในขณะที่พวกเขากำลังนินทาเอริกะกันเล่นอยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ ก็ได้มีเสียงของประตูหน้าคฤหาสน์ที่ถูกเปิดออกดังขึ้นมาจนทำให้พวกเขาสะดุ้งตกใจจนลุกขึ้นมานั่งกันในทันที
ซึ่งเมื่อทั้งสองคนหันไปมองดูพวกเขาก็พบกับเอริกะที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูรั้วมากำลังยืนกอดอกมองดูคฤหาสน์ที่ถูกซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่อย่างพึงพอใจ
“อ–อ่าว คุณเอริกะ ไม่ใช่ว่าวันนี้ยังต้องซ่อมอุปกรณ์พวกนั้นอยู่หรอครับ?”
“ช่างหัวมันสิ~ งานอะไรไม่เห็นมีเลย~”
“เอางั้นเลยนะ…”
นากาที่เห็นเอริกะทำหูทวนลมปัดคำถามของคอนแนลไปอย่างไม่ไยดีนั้นได้แต่เกาแก้มตัวเองเบาๆ ก่อนที่เขาจะใช้โอกาสนี้ลองถามเธอดู
“ว่าแต่สรุปแล้วเธอให้พวกฉันมาซ่อมคฤหาสน์นี่กันทำไมน่ะเอริกะ? ซ่อมกันจนเสร็จแล้วแบบนี้น่าจะบอกกันได้แล้วล่ะมั้ง”
“นั่นสิครับ เรื่องนี้ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนะครับ”
“ก็พวกนายไง~”
“หะ?”
“ก็เพราะว่าพวกนายมาสิงกันอยู่ที่บ้านฉันกันตั้งห้าคนแบบนั้นมันก็เกะกะน่ะสิ~ แล้วในเมื่อซ่อมกันเสร็จแล้วแบบนี้งั้นเดี๋ยวก็กลับไปเก็บกระเป๋าแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่กันแทนได้เลย~~”
“เอ๋? แต่ที่นี่มั—-”
“นายจะบอกว่า ‘แต่ที่นี่มันเป็นของคาร์เทียร์นะ!’ ใช่มั้ยล่ะ! ผิดถนัดเลย~ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันเป็นของเด็กทารกลูกของเวก้าที่สาวใช้คาร์เทียร์เป็นผู้ดูแลต่างหากล่ะ! แล้วในเมื่อคาร์เทียร์มอบอำนาจให้ฉันดูแลมันแทนจนกว่าเด็กคนนั้นจะโตพอ งั้นตอนนี้ฉันจะให้ใครเข้าไปอาศัยอยู่กันก่อนมันก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยล่ะ~ อีกอย่างนึงก็คือฉันขออนุญาตคาร์เทียร์จังเขามาก่อนเรียบร้อยแล้วด้วย~”
“พูดถึงเรื่องสิง… แบบนี้มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอครับคุณเอริกะ? ที่นี่มีพวกรุ่นพี่อัศวินของผมกับสาวใช้ในคฤหาสน์เสียชีวิตกันเต็มไปหมดเลยนะครับ เราไปติดต่อทางโบสถ์ให้มาทำพิธีอะไรกันสักหน่อยจะดีกว่ามั้ยครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินเอริกะพูดแบบนั้นขึ้นมาก็ได้แต่พูดขึ้นมาบ้างอย่างไม่สบายใจสักเท่าไหร่นัก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งมาก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นก็ตาม แต่ว่าเขาก็เคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้รวมถึงรู้จักเหล่ารุ่นพี่อัศวินและคนใช้หลายๆ คนในคฤหาสน์หลังนี้ด้วยเช่นกัน และเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าวิธีที่ทางวังหลวงจะเลือกใช้คงจะเป็นการกลบให้มิดมากกว่าจะจัดพิธีศพให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน
“หืม? อ้อ~ เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ฉันส่งพวกเขากลับไปให้ครอบครัวทำพิธีกันหมดแล้วล่ะ แถมนากาคุงที่พักที่นี่เมื่อวันก่อนก็ไม่เจออะไรด้วยเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?”
“หะ? ก็ไม่เห็นจะเจออะไรเลยนี่ ถึงจะอยู่นอกเมืองก็เถอะแต่ว่าที่นี่มันก็คฤหาสน์ของขุนนางอย่างเวก้าเขานะ พวกโจรขโมยคงไม่กล้าเข้ามายุ่งหรอกมั้ง”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย ฉันหมายถึงเรื่องผีสาง วิญญาณร้าย วิญญาณคนตายหรืออะไรพวกนั้นต่างหากล่ะ~”
เอริกะที่เห็นว่านากาเหมือนจะเข้าใจผิดไปไกลนั้นได้พูดขึ้นมาพร้อมกับขยับมือหยุกหยุยเหมือนกับว่ากำลังหลอกเด็กเจ็ดขวบอยู่ ซึ่งนากาที่ได้ยินเอริกะพูดแบบนั้นก็ถึงกับสะดุ้งและหันไปมองรอบๆ อย่างหวาดผวาในทันที
“หะ– หะ? เธอจะบอกว่าที่นี่มันมีอะไรแบบนั้นอยู่ด้วยหรอ?”
“…ก็ไม่รู้สิ ถึงส่วนตัวฉันจะคิดว่ามันไร้สาระก็เถอะนะ แต่ว่ากับบางคนจะอธิบายสักแค่ไหนพวกเขาก็ยังเชื่อว่ามันมีจริงอยู่น่ะ”
“แล้วสรุปว่ามันมีหรือว่าไม่มีกันแน่ล่ะนั่น!?”
“ก็เห็นเขาบอกกันว่าที่ไหนที่มีคนตายเยอะๆ มันก็จะโผล่ออกมากันน่ะ แต่ว่านายก็เคยค้างคืนที่นี่แล้วไม่ใช่หรือไง แล้วได้เจออะไรบ้างมั้ยล่ะ?”
“เอ่อ… ก็เงียบสนิทล่ะมั้ง ไม่รู้สิ… วันนั้นเดรคเขาไม่ว่างน่ะฉันเลยต้องขนอุปกรณ์มาเองก็เลยเหนื่อยมาก พอหัวถึงหมอนแล้วก็หลับสนิทไปเลย”
“หรือก็คือไม่มีอะไรที่นี่ทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ? หรือต่อให้มีอะไรอยู่จริงๆ ฉันว่าพวกนั้นก็คงจะโดนน้องสาวของนายก่อกวนจนเตลิดไปหมดแล้วล่ะมั้ง~”
นากาที่ได้ยินเอริกะยักไหล่พูดออกมาแบบนั้นก็ได้แต่เกาแก้มตัวเองเบาๆ เพราะเขาเองก็คิดว่าถ้าเกิดมียัยตัวแสบอย่างพรีมูล่าอยู่ในคฤหาสน์นี้ก็คงจะไม่มีใครหรืออะไรกล้าสิงอยู่จริงๆ นั่นล่ะ
“ก็จริงอย่างที่เธอว่าล่ะมั้ง…”
“ถ้างั้นก็ตกลงว่าเดี๋ยวพวกเธอก็กลับไปเก็บกระเป๋ากันแล้วก็ย้ายมาอยู่ที่นี่กันแทนเลยละกันเนอะ~”
“ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ เพราะว่าบ้านของคุณเอริกะก็เล็กเกินไปสำหรับคนหกคนจริงๆ นั่นล่ะครับ”
คอนแนลพยักหน้ารับคำของเอริกะไปถึงแม้ว่าเขาจะแอบมีท่าทีเสียดายที่จะต้องย้ายออกมาจริงๆ อยู่บ้างก็ตาม
“อ่ะ จริงด้วยสิคอนแนล อันนี้ของนายน่ะ”
ทันใดนั้นเองเอริกะก็ได้หันขวับไปทางคอนแนลและส่งม้วนกระดาษบางอย่างให้จนทำให้เขาแอบสะดุ้งและรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติและรีบตอบกลับไปในทันที
“…เอกสารจากวังหลวงหรอครับ?”
คอนแนลที่เห็นม้วนกระดาษที่ถูกประทับตราด้วยหมึกสีน้ำเงินนั้นสามารถบอกได้ทันทีว่าเอกสารม้วนนี้ถูกส่งออกมาจากที่ไหนและนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบคลี่มันออกมาอ่านดูด้วยความสงสัย ในขณะที่เอริกะนั้นก็พูดอธิบายเนื้อหาด้านในเสริมออกมาไปด้วยพร้อมๆ กัน
“มันคือเอกสารขอโยกย้ายตำแหน่งของนายให้มาทำงานใต้สังกัดฉันไงล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะว่านายก็ยังมียศเป็นอัศวินอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะ แล้วคำสั่งนี่ก็ได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้วด้วย เพราะงั้นตอนนี้ขอแค่นายเซ็นชื่อยืนยันลงไปคำสั่งก็มีผลบังคับใช้ทันทีเลยล่ะ แต่ถ้าเกิดว่านายไม่อยากเซ็นก็บอกมาละกันเนอะฉันจะได้ส่งคืนกลับไปให้~”
“อ–เอ๋ะ!?”
ทันทีที่คอนแนลได้ยินคำอธิบายของเอริกะนั้นเขาก็เงยหน้ามองเธออย่างประหลาดใจก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารนั้นดูอีกครั้งและพบว่ามันคือเอกสารขอโยกย้ายตำแหน่งจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายพูด
“นี่คุณเอริกะไปคุยยังไงให้วังหลวงเขายอมได้กันครับเนี่ย!?”
“ไม่เห็นยากเลย~ ก็แค่บอกไปว่า ‘ถ้าเกิดไม่ยอมส่งอัศวินคนนี้ให้ฉัน ฉันก็จะไม่ซ่อมของพวกนั้นให้นะ’ นั่นแหล่ะ~”
“เล่นหักดิบแบบนี้กระทั่งกับวังหลวงเลยเนี่ยนะ…”
“สมกับเป็นคุณเอริกะจริงๆ ให้ตายสิครับ…”
ทั้งสองคนพูดออกมาด้วยความทึ่งกับอำนาจต่อรองที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้ามีต่อเมืองนี้ เพราะว่าเธอเพิ่งจะพูดและทำตัวราวกับว่าวังหลวงของรีมินัสที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวนั้นเป็นเพียงร้านค้าเล็กๆ ที่หัวมุมถนนเลยซะด้วยซ้ำ
“มันเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้ยึดติดกับที่นี่สักเท่าไหร่ต่างหาก~ ถ้าเกิดว่าเจ้าพวกนั้นทนไม่ไหวจนไล่ฉันออกจากเมืองจริงๆ ฉันก็แค่ย้ายไปแพนเทร่าไม่ก็เมืองอื่นๆ เอาก็ได้ ยังไงซะทางด้านนั้นก็อ้าแขนต้อนรับฉันอยู่แล้ว”
“เพราะงั้นเมืองรีมินัสเลยต้องยอมตามใจเธอสินะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียผลประโยชน์เอาได้น่ะ”
“ถูกต้อง~ ขอแค่มีผลประโยชน์ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็พอจะตกลงกันได้ทั้งนั้นล่ะ~ แต่เอาจริงๆ เรื่องงัดตรงๆ กับวังหลวงแบบนี้ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำมันบ่อยๆ หรอกนะ เพราะว่า—”
หมับ
ในระหว่างที่เอริกะกำลังคุยเล่นกับพวกเขาทั้งสองคนจนดูท่าว่าจะติดลมนั้น อยู่ๆ ไหล่ก็เธอก็ถูกจับเอาไว้ด้วยมือของเซซิลที่เหมือนกับว่าจะยืนรออยู่สักพักแล้วโดยที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็น และนั่นก็ทำให้เอริกะสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบพูดเข้าเรื่องในทันที
“อ่ะ จริงด้วยๆ นากา คอนแนล พอดีว่ามีเพื่อนของพวกเธอจากโรงเรียนรีมินัสมาหาถึงที่บ้านน่ะ ฉันก็เลยอาสานำทางเธอมาหาพวกนายที่นี่ซะเลย”
“หรือก็คือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้โดดงานสินะครับ?”
“โถ่! นายก็พูดเหมือนกับว่าฉันเอาแต่หาเรื่องโดดงานอย่างนั้นล่ะ~”
“ว่าไงเซซิล? หายดีแล้วรึยังน่ะ?”
“อื้ม…”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะๆ”
หลังจากที่นากาเอ่ยปากทักทายเซซิลไปแล้ว คอนแนลที่ยังคงเป็นนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสอยู่เช่นกันถึงแม้ว่าเขาจะได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินไปแล้วก็ตามทีก็ได้พูดถามขึ้นมาบ้าง เพราะว่าเขาเองก็พอจะรู้จักกับเซซิลมาก่อนแล้วและรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะสุงสิงหรือว่าเข้าหาคนอื่นสักเท่าไหร่นักถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเหตุจำเป็นอะไร
“ว่าแต่คุณเซซิลมาหาเองถึงที่นี่แสดงว่ามีธุระอะไรสำคัญสินะครับ”
“อืม…”
เซซิลพยักหน้าตอบคอนแนลกลับไปเบาๆ และหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาส่งให้นากา
“หืม? ของฉันหรอ?”
ซึ่งเมื่อนาการับจดหมายนั้นมาแล้วเขาก็จับมันพลิกไปพลิกมาดูเพื่อพยายามมองหาชื่อผู้ส่ง ก่อนที่คอนแนลที่ยืนดูอยู่ข้างๆ จะสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์สีแดงรูปประภาคารที่ประทับไว้บนตัวซองจดหมาย
“ประภาคารสีแดง? น่าจะถูกส่งมาจากโรงเรียนรีมินัสนะครับ”
“เอ๋ะ? ใช่หรอ?”
เมื่อนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบแกะซองจดหมายออกเพื่ออ่านข้อความด้านในอย่างรีบร้อน เพราะเขาคิดว่าการที่ทางโรงเรียนจะส่งจดหมายมาหาเขาที่เพิ่งจะสอบเข้าไปเมื่อวันก่อนนี้และยังไม่ได้รับผลการสอบเลยนั้นมันอาจจะหมายความว่าผลการสอบของเขามีปัญหาอะไรบางอย่างก็ได้
“มีแค่ของนากาหรอครับ? แล้วมีของโมโกะกับพรีมูล่าด้วยหรือเปล่า?”
“…..”
เซซิลที่ได้ยินคำถามของคอนแนลได้หันไปมองเขาและส่ายหน้าให้อย่างเงียบๆ จนทำให้คอนแนลที่พยายามมองในโลกแง่ดีว่าอาจจะเป็นจดหมายแจ้งเรื่องผลการสอบเฉยๆ ได้แต่เกาแก้มตัวเองและเดินเข้าไปถามนากาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างครับนากา…? ทางโรงเรียนเขาคงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่หรือเปล่าครับ?”
“อื้ม…คอนแนลนายพอจะรู้จักคนชื่อ ไดเอน่า เซมฟิร่า หรือเปล่า?”
“เอ๋ะ?”
คอนแนลส่งเสียงร้องออกมาอย่างสงสัยหลังจากที่เขาได้ยินชื่อที่นากาพูดขึ้นมา เพราะว่าถ้าพูดกันตามตรงแล้วเด็กหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านเกือบสุดขอบทวีปอย่างนากาไม่น่าจะรู้จักชื่อนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเข้าไปแสดงความสามารถในโรงเรียนรีมินัสมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม
“เห~ นี่ไดเอน่าจังเป็นคนส่งจดหมายมาเองเลยหรอเนี่ย~ แสดงว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ นั่นน่ะแหละ”
“อ่าว นี่เธอก็รู้จักเหมือนกันหรอเอริกะ?”
นากาที่ได้ยินเอริกะพูดแทรกขึ้นมานั้นได้ถามกลับไปอย่างแปลกใจ ก่อนที่เขาจะหันไปมองเซซิลกับคอนแนลที่มีท่าทางเหมือนกับว่ารู้จักเจ้าของชื่อที่เขาพูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ฉันรู้จักแค่ชื่อ…”
“ผมก็เหมือนกันครับ เอาจริงๆ เธอก็เป็นคนดังในโรงเรียนรีมินัสอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรเธอขนาดนั้นหรอก เพราะงั้นให้คุณเอริกะอธิบายน่าจะดีกว่าละกันครับ”
“ก็ไดเอน่าจัง… ถ้าเอาชื่อเต็มๆ ก็ ไดเอน่า เซมฟีร่า ลูกสาวของตระกูลขุนนางเซมฟีร่าน่ะ ตอนนี้เธอมีตำแหน่งเป็นประธานสภานักเรียนของโรงเรียนรีมินัสอยู่ ถึงจะเพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้วนี่เองก็เถอะ”
“สรุปง่ายๆ ก็คือเป็นลูกขุนนางคนดังประจำโรงเรียนงั้นสินะ”
เมื่อนากาฟังคำอธิบายจากเอริกะแล้วเขาก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าในเมื่ออีกฝ่ายเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางแล้วก็คงจะไม่พ้นมีนิสัยที่ไม่น่าคบสักเท่าไหร่หรอก
“แหม~ อย่าอคติขนาดนั้นสิ ถึงไดเอน่าจังจะเพิ่งรับตำแหน่งมาเมื่อปีที่แล้วก็เถอะ แต่ว่าเธอก็ปฏิรูปโรงเรียนนี้ไปเยอะเหมือนกันนะ คร่าวๆ ก็มีปรับตารางเรียนให้เป็นระบบ ระบุเวลาเรียนเวลาสอนให้ชัดเจนแล้วก็เปิดวิชาเรียนใหม่ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสอนให้นักเรียนที่สนใจน่ะ แต่ที่ดังที่สุดก็คงเป็นการเสนอแผนการปฏิรูปโรงเรียนอันใหม่ที่รัดกุมขนาดที่ว่าผู้อำนวยการระเบียบจัดคนนั้นยังหาเรื่องติไม่ได้นั่นล่ะ จะบอกว่าเธอเป็นลูกขุนนางดีๆ ที่มีพรสวรรค์ก็ได้ล่ะมั้ง ไม่เหมือนพวกลูกขุนนางถั่วๆ ที่เดินกันเกลื่อนวังหลวงพวกนั้นหรอก~”
“หว๊าย…”
นากาที่ได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมจากเอริกะไปแล้วก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างหวาดๆ และยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มของตัวเองเหมือนกับว่ากำลังกังวลอะไรอยู่จนทำให้เซซิลและคอนแนลหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ
“…?”
“มีอะไรหรือเปล่าครับนากา? ทำไมถึงทำหน้าเหมือนกับเจอพรีมูล่าแบบนั้นล่ะ”
“ก็แบบว่า…ถ้านักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะสอบเสร็จแล้วยังไม่ได้รับผลการสอบแบบฉันโดนสุดยอดประธานนักเรียนแบบที่เอริกะว่ามานั่นตามให้ไปพบตัวด่วนนี่ฉันควรจะเป็นห่วงตัวเองดีมั้ยเนี่ย…?”
“เอ๋ะ? เรียกให้ไปพบหรอครับ? ขอผมดูจดหมายนั่นหน่อยได้หรือเปล่าครับนากา?”
คอนแนลพูดขึ้นมาพร้อมกับหยิบจดหมายในมือนากาไปอ่านดู ซึ่งเขาก็พบว่านอกจากที่ระบุเอาไว้ว่าให้นากาไปพบกับประธานนักเรียนที่โรงเรียนอย่างลับๆ โดยด่วนที่สุดแล้วยังเขียนไว้ว่าให้พาพรีมูล่าน้องสาวของเขาและเซซิลที่เป็นคนส่งจดหมายให้ไปพร้อมกันอีกด้วย และนั่นก็ทำให้เซซิลที่ชะโงกหน้ามาแอบอ่านจดหมายดูร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเดียวกับนากาเมื่อสักครู่ไม่มีผิด
“หว๊าย…”
“นี่นายพาเซซิลกับพรีมูล่าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือเปล่าครับเนี่ยนากา?”
“ฉันจะไปรู้หร๊อ!?”
นากาตะโกนตอบคอนแนลกลับไปในทันทีจนทำให้เอริกะที่กำลังตรวจสอบสภาพคฤหาสน์อยู่นั้นเดินกลับมาหาทั้งสามคนและพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“หน่าๆ ถึงไดเอน่าจังจะดูเข้าถึงยากเพราะว่าตำแหน่งประธานนักเรียนนั่นก็เถอะ แต่เอาจริงๆ แล้วเธอไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ~”
“ฮะฮะ… อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ เพราะว่าพวกรุ่นพี่อัศวินเคยเตือนผมเอาไว้ว่าอย่าไปทำอะไรให้เตะตาประธานนักเรียนรุ่นนี้อยู่ด้วยเหมือนกันนะครับ”
คอนแนลที่ได้ยินเอริกะพูดออกมาแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบเธอกลับไป เพราะว่าในตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าประจำการนั้นเขาก็ได้มีโอกาสคุยกับพวกอัศวินรุ่นพี่ที่เคยเรียนในโรงเรียนรีมินัสเหมือนกันมาก่อนอยู่บ้าง ซึ่งเมื่อพวกรุ่นพี่เหล่านั้นได้ยินว่าใครกำลังดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนอยู่ในตอนนี้พวกเขาก็รีบเอ่ยปากเตือนขึ้นมาในทันที
“คิดมากน่าคอนแนล~ อ่ะ แต่จะว่าไปถ้าเกิดเป็นช่วงนี้ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ เพราะว่าตอนนี้พวกเด็กๆ กำลังไปสอบเข้าโรงเรียนกันเพียบจนทางสภานักเรียนน่าจะยุ่งกันใหญ่เลยล่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดพวกเธอมัวแต่คุยกันอยู่แบบนี้ไดเอน่าจังเขาอาจจะอารมณ์เสียขึ้นมาแล้วก็ได้นะ~”
“ถ้างั้นพวกเรารีบไปกันเถอะเซซิล!!”
“….!”
คำพูดหยอกเล่นของเอริกะนั้นทำให้นาการีบหันไปคว้ามือของเซซิลเอาไว้และพุ่งตัวออกจากคฤหาสน์ไปโดยไม่ถามอะไรอีกฝ่ายก่อนสักคำ ส่วนทางด้านเอริกะเองก็มองตามไปแบบยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าการกลั่นแกล้งของเธอประสบผลสำเร็จและพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว~ ไปซะแล้วแหะ~”
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีล่ะครับคุณเอริกะ? ให้ผมไปตามเดรคมาให้มั้ย ตอนนี้น่าจะยังอยู่ที่ด้านหลังคฤหาสน์นะครับ”
“ไม่ต้องหรอก~ แต่เอาเป็นว่าฝากเธอไปบอกเดรคเขาว่าถ้าจัดการเก็บกวาดเสร็จเมื่อไหร่ก็กลับไปเตรียมกระเป๋าสำหรับย้ายบ้านกันได้เลยละกัน”
“โอเคครับ! ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้เจอกันที่บ้านอีกทีก็ละกันนะครับคุณเอริกะ”
เมื่อเอริกะได้ยินคอนแนลตอบกลับมาแบบนั้นเธอก็พยักหน้ากลับไปให้เขาทีหนึ่งก่อนจะโบกมือลาและเดินออกจากคฤหาสน์เพื่อกลับเข้าสู่เมืองรีมินัสตามหลังพวกนากาไป
ในขณะเดียวกันที่โรงเรียนรีมินัสเองก็ได้มีหญิงสาวสองคนในชุดเครื่องแบบนักเรียนกำลังนั่งจัดการกองเอกสารจำนวนมากกันอยู่อย่างเงียบๆ ภายในห้องขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งเหมือนกับว่าเป็นการควบรวมห้องทำงานและห้องประชุมเอาไว้ด้วยกัน โดยที่ด้านในสุดของห้องนั้นมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ถูกตั้งเอาไว้ ในขณะที่ตรงกลางห้องเองก็มีโต๊ะยาวๆ อีกหนึ่งตัวที่ถูกตั้งคู่กับโซฟายาวนุ่มๆ สองตัว
ซึ่งที่โต๊ะทำงานด้านในสุดนั้นก็ได้มีเด็กสาวที่มีเส้นผมสีทองที่ถูกมัดเอาไว้เป็นทรงทวินเทลกำลังนั่งเขียนเอกสารบางอย่างอยู่อย่างเงียบๆ
ส่วนเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีม่วงซึ่งถูกมัดไว้เป็นทรงทวินเทลเช่นเดียวกันก็กำลังยืนตรวจทานเอกสารที่อีกฝ่ายส่งมาให้เรื่อยๆ และนำมันมาจัดเข้าในแฟ้มเดียวกันอยู่
“ด… ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีนักเรียนใหม่มาสมัครอยู่เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย… แล้วไหนยังจะมีอาจารย์อีกคนที่เพิ่งจะบรรจุเข้ามาแบบกะทันหันอีก ไดเอน่าจังคิดว่ายังไงบ้างคะ?”
เด็กสาวผมสีม่วงที่เพิ่งจะรับเอกสารมาอีกแผ่นหนึ่งได้เอ่ยปากชวนอีกฝ่ายคุยดูด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ราวกับกลัวว่าตัวเองจะไปขัดสมาธิของอีกฝ่ายเข้า ซึ่งเด็กสาวผมสีทองที่ถูกเรียกว่าไดเอน่านั้นก็ได้หยุดมือของเธอที่กำลังเขียนเอกสารอยู่ลงและหันไปมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาสองสีของเธอพร้อมกับพูดถามขึ้นมา
“เธอคงจะหมายถึงอาจารย์อารอนคนนั้นสินะ ถึงเขาจะไม่เคยเป็นครูมาก่อนก็เถอะแต่ว่าตัวเขาเองก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควรทั้งจากในวังและในหมู่ชาวเมืองจากเขตตัวเมืองชั้นนอกเลยนะ แถมเขายังได้คุณเอริกะแนะนำมาเองอีกต่างหาก เพราะงั้นก็คงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก… แล้วมายะคิดว่ายังไงบ้างล่ะ เกี่ยวกับเรื่องอาจารย์อารอนแล้วก็พวกนักเรียนใหม่ในปีนี้น่ะ?”
“อ—-อ่ะ—”
มายะที่เผลอไปสบนัยน์ตาสองสีที่ข้างหนึ่งเป็นสีเขียวมรกตและอีกข้างหนึ่งที่เป็นสีเหลืองน้ำผึ้งของอีกฝ่ายเข้านั้นได้รีบหันหน้าหลบไปอย่างประหม่าในทันทีก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก
“ถ… ถ้าเป็นเรื่องอาจารย์อารอนคนนั้นฉันก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ เพราะว่าสองสามวันมานี้ขนาดซึบากิที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครก็ยังแอบแวะไปที่ห้องพยาบาลอยู่บ่อยๆ เลย… เพราะงั้นถ้าเกิดเขาทำให้ซึบากิคนนั้นยอมเปิดใจได้ก็น่าจะเข้ากับนักเรียนคนอื่นได้ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ… น่าจะ…ล่ะ… มั้งคะ”
“หืม? ซึบากิงั้นหรอ…? แต่ว่าเธอคนนั้นเองก็เป็นคนแปลกๆ ซะด้วยสิ… ฉันหมายเรื่องที่ว่าเธอชอบพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ น่ะนะ เอาเป็นว่าฉันขอฝากให้เธอจัดการเรื่องจับตาดูซึบากิกับอาจารย์อารอนไปสักพักหน่อยละกันนะมายะ”
ไดเอน่าเอ่ยปากวานมายะที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอออกมาตรงๆ เพราะว่าด้วยตำแหน่งประธานนักเรียนของตัวเธอนั้นไม่ว่าเธอจะขยับตัวไปทางไหนก็มักจะเป็นที่สะดุดตาคนอื่นอยู่เสมอแถมยังจะทำให้เหล่านักเรียนที่เธอเข้าไปสอบถามลำบากใจซะเปล่าๆ อีกต่างหาก เพราะแบบนั้นเธอจึงจำเป็นจะต้องรบกวนมายะที่คนอื่นรู้สึกว่าเข้าหาได้ง่ายกว่าให้คอยจัดการเรื่องแบบนี้อยู่เป็นประจำ
“น…แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! ขอแค่ไดเอน่าจังบอกมาแค่นั้น แล้วเดี๋ยวฉันจะจัดการให้เองค่ะ…”
“อื้อ ขอบใจนะจ้ะ”
ไดเอน่ายิ้มตอบเพื่อนคนสนิทของเธอกลับไปในขณะที่มือของเธอก็เลื่อนลงไปดึงลิ้นชักของโต๊ะที่เธอนั่งอยู่และหยิบเอาซองเอกสารที่ถูกประทับตราสีแดงเอาไว้ออกมาวางบนโต๊ะพร้อมกับขมวดคิ้วมองมันอย่างลำบากใจ
“เรื่องเอกสารของพวกนักเรียนใหม่ก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่เจ้านี่แล้วงั้นสินะ…”
“นั่นสินะคะ…ไดเอน่าจังคิดออกหรือยังล่ะคะว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดีน่ะ…?”
“เฮ้ออออ~ ถ้ามันคิดออกได้ง่ายๆ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ”
ตึกตึกตึกตึก—!
“หืม… เหมือนว่าพวกเขาจะมากันแล้วล่ะ ฝากเธอออกไปต้อนรับพวกเขาหน่อยสิมายะ แล้วก็ฝากเธอดุพวกเขาเรื่องวิ่งบนระเบียงแทนฉันด้วยนะจ๊ะ~”
“ค—ค่ะ!! ด… ดุพวกเขางั้นสินะคะ… ดุพวกเขา… ดุพวกเขา…”
มายะรับคำอย่างแข็งขันก่อนที่จะเดินไปทางประตูห้อง แต่ว่าในระหว่างที่กำลังเดินไปอยู่นั้นความแข็งขันของเธอก็เหมือนจะหดลงไปเรื่อยๆ จนทำให้หญิงสาวผมสีม่วงต้องพูดพึมพำปลุกใจตัวเองขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ไดเอน่าอดที่จะยิ้มแบบเหนื่อยๆ ให้กับท่าทีของอีกฝ่ายเป็นไม่ได้
แต่ว่าเมื่อมายะเดินไปถึงประตูห้องแล้วเสียงฝีเท้าที่ไดเอน่าคาดไว้ว่าน่าจะเป็นของผู้มาเยือนนั้นก็กลับวิ่งเลยผ่านไปจนทำให้มายะได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองประตูห้องอย่างสงสัย
แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นก็อยู่ๆ ได้มีเสียงอันแสนร่าเริงของเด็กสาวคนหนึ่งดังลอดผ่านเข้ามาจากเบื้องนอกเข้าซะก่อน
“พี่นากาดูสิ~ ประตู! มีแต่ประตูเต็มไปหมดเลย~!”
“มันห้องไหนกันแน่เนี่ยเซซิล!?”
“เลยแล้ว…”
“เอ๊า! วันหลังก็รีบบอกกันก่อนสิ!”
ตึกตึกตึกตึก!
เสียงฝีเท้าที่วิ่งเลยผ่านไปนั้นได้ดังกลับขึ้นมาอีกครั้งและตรงกลับมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูของห้องสภานักเรียนจนทำให้มายะที่กำลังคิดจะแง้มประตูออกไปดูนั้นถึงกับชะงักและถอยกรูดออกห่างจากประตูด้วยสีหน้าซีดเผือด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“สวัสดีครับ! มีใครอยู่หรือเปล่าครับ!? ผม นากามูระ อาร์ทิอัส ที่ถูกจดหมายเรียกตัวมาครับ!”
เสียงของนากาดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูสุภาพและเป็นทางการที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ซึ่งมายะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่หันกลับไปมองไดเอน่าด้วยท่าทางลังเลเหมือนกับไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“….”
ไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าให้เธอกลับไปเบาๆ ก่อนที่มายะจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเปิดประตูห้องเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน
“ค…คุณนากามูระสินะ…คะ…?”
“โหว~~!”
“—-!!?”
ในขณะที่มายะกำลังสอบถามผู้มาเยือนอยู่นั้น พรีมูล่าที่เหมือนจะลืมคำว่ามารยาทไปแล้วก็ได้แทรกตัวผ่านนากาเข้าไปข้างในห้องพร้อมกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้นจนทำให้มายะถึงกับสะดุ้งและเดินถอยกรูดกลับไปด้วยสีหน้าซีดเผือด และนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบกระชากคอเสื้อน้องสาวของตนกลับไปในทันที
“น—นี่พรีมูล่าอย่าทำตัวเสียมารยาทแบบนั้นสิ!”
นาการีบพูดดุน้องสาวของเขาออกมาและเหลือบไปดูท่าทีของหญิงสาวผมสีทองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของห้องว่ามีท่าทีไม่พอใจหรือเปล่าและเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายยังคงมองกลับมาแบบยิ้มๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมานั้นนากาก็ได้พูดถึงสาเหตุที่เขามาที่นี่ออกมาอีกครั้ง
“อ…เอ่อ ผมนากามูระครับ เห็นว่าคุณไดเอน่าที่เป็นประธานนักเรียนฝากจดหมายเรียกตัวผมผ่านทางเซซิลมาน่ะครับ”
“หื้ม? ไม่เห็นมีนี่ พูดถึงจดหมายอะไรอยู่หรอ?”
“ห—หะ— / เอ๋!? / อ่าว…”