บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 57 Bystanders
ครึกครึกครึก…
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกนากากำลังเดินออกมาจากปราสาทกราวิทัสและกำลังห้ามปรามพรีมูล่าที่กำลังโวยวายเพราะว่าอดเที่ยวเล่นในต่างเมืองนั้น บนถนนของเมืองกราวิทัสเองก็มีรถกระบะคันหนึ่งกำลังแล่นเอื่อยๆ ไปตามถนนโดยมีเสียงบ่นของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ขับรถคันนั้นดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ให้เพื่อนของเขาที่นั่งมาด้วยกันฟัง
“ให้ตายสิเจ้าพวกนั้น เห็นว่าฉันยอมรับงานให้ครั้งนึงแล้วคิดว่าจะเรียกใช้งานตอนไหนก็ได้เลยหรือไงเนี่ย”
เอี๊ยด!
“เฮ้อ… สงสัยวันหลังคงต้องเรียกค่าจ้างเพิ่มสักหน่อยแล้วสิ”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินบ่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเปิดประตูลงไปยืนรับลมอยู่ข้างๆ หลังจากที่รถของพวกเขาจอดลงที่ด้านหน้าของหอนาฬิกากลางเมืองเพื่อรอเหล่าผู้โดยสารที่น่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า ซึ่งเพื่อนของเขาที่นั่งมาด้วยกันนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากเบาะคนขับและส่งมันไปให้อีกฝ่าย
“ฮะฮะ ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะนายเองก็เรียกค่าจ้างถูกเกินไปจริงๆ นั่นแหล่ะ เอ้านี่… เอกสารของนายน่ะ เดริค”
“ให้ตายสิ…”
เดริคบ่นออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นแผ่นเอกสารที่เขาเผลอนั่งทับจนยับไปหมดแผ่นนั้นและพูดถามเพื่อนของเขาหรือก็คือ ทีออส เด็กหนุ่มผมสีเขียวอ่อนที่นูลิสได้พบในสุสานที่แถบชานเมืองก่อนหน้านี้กลับไป
“ว่าแต่นายเถอะทีออส คิดจะติดรถไปรีมินัสกับฉันแบบนี้นี่มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอ?”
“อื้ม เพราะยังไงฉันก็ต้องไปรับอะไหล่ที่สั่งทำจากเมืองรีมินัสอยู่แล้วน่ะ… อีกอย่างนึงพวกนั้นก็รู้ว่าถ้าฉันต้องสั่งของมาจากต่างเมืองมันก็หมายความว่าของอันนั้นมันหาในกราวิทัสนี่ไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ”
“งั้นหรอ… ท่าทางว่านายคงจะไม่ยอมล้มเลิกจริงๆ งั้นสินะ เรื่องของเจ้านี่น่ะ”
เดริคพูดถามทีออสกลับไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหอนาฬิกาขนาดใหญ่เบื้องหน้าที่เข็มนาฬิกาทั้งสองยังคงหยุดนิ่งอยู่ ซึ่งทีออสนั้นก็เงยหน้าไปมองมันด้วยเช่นกันและพูดตอบกลับไปเบาๆ
“อ่า… แน่นอนอยู่แล้วล่ะ”
“เฮ้อ…ถึงฉันจะไม่เห็นด้วยก็เถอะแต่ว่าถ้านายตัดสินใจไปแล้วฉันก็จะไม่ห้ามละกัน… เอาเป็นว่าขอแค่นายอย่าฝืนตัวเองมากเกินไปก็พอแล้วล่ะ”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะเดริค…”
“เฮ้อออออ… ต้องบอกว่าไม่เข้าใจเลยสักนิดแต่ก็รู้ว่าต่อให้จะห้ามยังไงนายก็คงจะไม่ยอมหยุดซะมากกว่าต่างหากล่ะ…”
เดริคถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้าไปมาแบบปลงๆ เพราะเขาเองก็รู้ว่าต่อให้จะห้ามยังไงอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมวางมือแต่โดยดีแน่ๆ ซึ่งทีออสนั้นก็เหมือนจะรู้ถึงสิ่งที่เพื่อนของตนคิดอยู่เขาจึงยิ้มแห้งๆ กลับไปให้อีกฝ่ายแล้วจึงพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“ว่าแต่งานรอบนี้ของนายคืออะไรล่ะเดริค? ฉันได้ยินมาแค่ว่านายจะต้องไปที่รีมินัสก็เลยกะจะขอติดรถไปด้วยเพื่อประหยับงบแต่ยังไม่รู้เลยว่านายจะต้องไปทำอะไรที่รีมินัสบ้างน่ะ”
“เอ… นั่นสิ เดี๋ยวขออ่านดูแป๊บนะ”
“น—นี่นายรับงานมาโดยไม่ได้ดูรายละเอียดงานอีกแล้วหรอเนี่ยหะ”
“พูดมากน่า! คนไม่มีงานประจำแบบฉันถ้ามีใครมาจ้างอะไรก็ต้องรับเอาไว้ก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนเรื่องรายละเอียดนั่นเดี๋ยวเอาไว้ค่อยมาดูกันทีหลังก็ได้!”
เดริครีบหันไปตอบทีออสที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยสายตาจับผิดก่อนที่เขาจะก้มลงไปอ่านรายละเอียดการว่าจ้างที่ถูกระบุไว้ในแผ่นเอกสาร ซึ่งทีออสที่ได้ยินคำตอบของเพื่อนของเขาไปนั้นก็พยายามชะโงกหน้าเข้าไปอ่านเอกสารที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ด้วยเช่นกันและพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ไหนขอฉันดูบ้างสิ… หวังว่าพวกนั้นคงจะไม่ได้สั่งให้นายไปทำอะไรเสี่ยงๆ หรอกนะ…”
“ฮะฮะ งานนี้ทางวังเขาเป็นคนจ้างฉันมาเองเลยนะรู้มั้ย พวกคนในวังเขาคงไม่เอาเด็กรับจ้างอย่างฉันไปทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นหรอกน่า”
“จะงานจากที่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวกันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ ขืนนายยังรับงานมั่วซั่วแบบนี้ต่อไปเกิดวันดีคืนดีมีทหารมาเคาะประตูบ้านแล้วบอกว่านายไปรับงานผิดกฎหมายขึ้นมาจะทำยังไงหะ”
“แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากทางวังหลวงซะเองมันไม่มีทางที่จะผิดกฎหมายอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ~”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของทีออสไปแล้ว แต่ว่าเดริคก็ยังคงมีท่าทีสบายๆ เหมือนกับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าเอกสารในมือจะสั่งให้เขาไปทำอะไรที่ไหนบ้าง แต่ว่าเมื่อเขาเห็นสายตาของทีออสที่มองมาด้วยความเป็นห่วงนั้นเขาจึงได้ยอมที่จะอ่านรายละเอียดงานที่ถูกระบุไว้ในเอกสารขึ้นมาให้เพื่อนของเขาฟังแต่โดยดี
“อื้ม… ก็แค่งานให้คอยดูแลกลุ่มนักเรียนที่มาจากโรงเรียนรีมินัสระหว่างที่พวกเขาอยู่ที่นี่แล้วก็ขับรถไปส่งพวกเขาที่รีมินัสในตอนที่พวกเขาอยากกลับกันน่ะ”
“นักเรียน? อ๋อ… น่าจะมากับรถที่ขับออกไปเมื่อวานล่ะมั้ง เมื่อวานนี้ตอนที่ฉันทำงานอยู่ข้างบนนั่นฉันเห็นรถคันนึงวิ่งออกไปน่ะ ตอนแรกก็นึกว่าเจ้าพวกนั้นเอาออกไปขับเล่นตามกำหนดการซะอีก”
“เมื่อวานงั้นหรอ…? อย่าบอกนะว่าคนขับเขาขับไปถึงรีมินัสเมื่อวานนี้แล้วก็ขับกลับมาถึงที่นี่ในตอนเช้าเลยน่ะ… งั้นก็คงจะหมายความว่าคนขับรถที่นายเห็นนั่นคงจะสลบเหมือดไปแล้วแน่ๆ ล่ะงานนี้ถึงได้ตกมาอยู่ในมือฉันได้น่ะ”
เดริคที่ได้ยินคำพูดของทีออสนั้นได้พูดขึ้นมาอย่างสยองขวัญเพราะว่าถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วปริมาณวิซที่จะต้องใช้ในการขับรถยนต์จากกราวิทัสไปยังรีมินัสนั้นไม่ใช่น้อยๆ และตามปกติแล้วคนขับรถควรจะได้พักผ่อนกันสักวันสองวันก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง
แต่ว่านี่กลับดูเหมือนว่าทางวังหลวงจะให้คนขับรถคนก่อนหน้านี้ขับไปกลับระหว่างรีมินัสกับกราวิทัสภายในวันเดียวกันซะด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็ทำให้เดริคต้องก้มลงไปอ่านเอกสารในมือซ้ำดูอีกครั้งว่าเขาอ่านวันเวลาที่ถูกระบุไว้ในเอกสารผิดพลาดอะไรไปหรือเปล่าก่อนที่เขาจะยักไหล่ทีหนึ่งและพูดขึ้นมาต่ออย่างสบายๆ
“แต่ก็เอาเถอะ… สรุปง่ายๆ มันก็แค่งานดูแลพวกลูกคุณหนูที่มาเที่ยวที่นี่จนกว่าพวกเขาจะพอใจจนอยากจะกลับกันนั่นล่ะ เห็นมั้ย นายน่ะคิดมากเกินไปแล้วนะทีออส”
“เฮ้อ… ก็โชคดีละกันที่มันเป็นงานธรรมดาๆ น่ะ วันหน้าวันหลังนายก็หัดอ่านรายละเอียดงานก่อนด้วยละกัน”
“…ว่าแต่ในนี้มีบอกว่าให้จัดหาที่พักให้ลูกคุณหนูพวกนั้นด้วย ทำไมพวกในวังไม่ให้คุณหนูพวกนั้นพักในปราสาทไปเลยละนั่น…”
“ก็แบบว่าพอมีคนนอกอยู่ด้วยแล้วจะทำอะไรมันก็ไม่สะดวกล่ะมั้งเลยต้องให้พวกเขาออกมาพักกันข้างนอกน่ะ”
ทีออสพูดตอบเพื่อนของเขากลับไปและหยิบเอาเอกสารที่เดริคยื่นมาให้มาอ่านดูอีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายได้อ่านอะไรตกหล่นไปบ้างหรือเปล่า ในขณะที่เดริคนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบคางเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักก่อนที่เขาจะพูดขอความเห็นขึ้นมา
“อืม… ถ้าเกิดว่าลูกคุณหนูพวกนั้นสนใจจะเที่ยวในเมืองนี่ฉันจะพาพวกนั้นทัวร์เมืองเล่นสักหน่อยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจะดีมั้ยนะ… นายคิดว่าไงบ้างล่ะทีออส?”
“ไม่คิดเงิน…? อย่างนายเนี่ยนะ? นี่นายแอบวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่าเนี่ยหะ?”
ทีออสที่ได้ยินไอเดียของเดริคนั้นได้หรี่ตาจ้องมองเพื่อนของเขาด้วยความไม่ไว้ใจ ซึ่งเดริคที่ได้ยินคำถามของทีออสนั้นก็เหมือนจะเพิ่งได้สติและรีบพูดปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดในทันที
“เปล๊าาาาาาาา”
“…บอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่านายวางแผนอะไรอยู่กันแน่น่ะ”
“ฮะฮะ… ก็ไม่มีอะไรมากหรอกน่า แค่ว่าถ้าเกิดลูกคุณหนูพวกนั้นมาจากโรงเรียนรีมินัสนั่นก็น่าจะพอรู้แหล่งทำเงินในเมืองรีมินัสอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ …ฉันก็เลยคิดว่าพวกนั้นอาจจะให้คำแนะนำอะไรได้บ้างเท่านั้นล่ะ เพราะนายเองก็รู้นี่ว่าสภาพจริงๆ ของที่นี่มันเป็นยังไงน่ะ…”
เดริคที่ถูกเพื่อนของเขาจ้องด้วยสายตาไม่ไว้วางใจนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดอธิบายให้อีกฝ่ายฟังไปด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนที่เขาจะเงียบไปสักพักหนึ่งและพูดถามเพื่อนของเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“…ถ้าเกิดว่าพวกนั้นให้คำแนะนำดีๆ มาได้จริงๆ ล่ะก็นายสนใจจะไปด้วยกันมั้ยล่ะทีออส?”
“ฉัน…?”
ทีออสที่ได้ยินคำถามที่เขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนนั้นก็ได้นิ่งไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองเข็มนาฬิกาทั้งสองเข็มที่ยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางลำบากใจจนทำให้เดริคที่เห็นแบบนั้นได้แต่เกาหัวตัวเองและพูดขึ้นมา
“เฮ้อ… โทษทีที่ชวนละกัน ฉันก็แค่อยากให้นายลองเปิดใจรับอะไรใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตบ้างไม่ใช่มานั่งจมปรักอยู่กับอดีตแบบนี้น่ะ… แต่ถ้านายจะตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“ฮะฮะ… ไม่เป็นไรๆ ฉันก็เข้าใจว่านายคงจะเป็นห่วงนั่นแหล่ะ… แต่ว่าฉันคงจะไปจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ เพราะว—-”
แต่ยังไม่ทันที่ทีออสจะได้พูดออกมาจนจบเดริคที่เหมือนจะรู้ถึงสิ่งที่ทีออสคิดจะพูดออกมานั้นก็รีบพุ่งมือไปอุดปากอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับพูดห้ามออกมาซะก่อน
“ฉันเข้าใจแล้วก็จำได้ดีเลยล่ะ… เพราะงั้นเรื่องพวกนั้นนายไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำออกมาอีกรอบหรอก”
“ขอบใจนะเดริค…”
ท่าทางของเดริคนั้นทำให้ทีออสรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งสองคนก็ได้มองดูหอนาฬิกาใจกลางเมืองกันอยู่เงียบๆ ต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่ทีออสจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่นายไม่สนใจจะไปเรียนต่อบ้างหรอ? เท่าที่ฉันรู้มาดูเหมือนว่าพวกลูกคุณหนูที่นายจะต้องดูแลนั่นจะเส้นใหญ่น่าดูในโรงเรียนรีมินัสเลยล่ะ ถ้าเกิดนายทำตัวถูกใจพวกนั้นไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะใช้เส้นสายให้นายเข้าเรียนในโรงเรียนรีมินัสได้ก็ได้นะ”
“หะ—”
เดริคที่ได้ยินแบบนั้นรีบหันไปมองทีออสอย่างแปลกใจในทันที เพราะเขานั้นไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของทีออสซะเองทำให้เขาต้องรีบถามอีกฝ่ายกลับไปอย่างประหลาดใจ
“ถ– ถ้าฉันไปจริงๆ แล้วนายจะอยู่ได้หรอ? ตอนเช้าใครจะเป็นคนปลุกนายให้ไปทำงานล่ะ? แล้วไหนจะยังมีเรื่องทำความสะอาดห้องอีก… จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ไปดูให้สักพักแล้วนี่ไม่ใช่ว่าห้องของนายกลายเป็นรังหนูไปแล้วหรอกนะ”
“ห้องฉันไม่ได้รกขนาดนั้นสักหน่อย! แล้วนี่นายเป็นแม่ฉันหรือไงหะ!?”
“ฮะฮะ ล้อเล่นน่า… แต่ว่านายแน่ใจแล้วหรอ ถ้าเกิดบังเอิญว่าฉันได้เข้าเรียนหรือว่าหางานที่รีมินัสได้ขึ้นมาจริงๆ มันก็หมายความว่าฉันจะต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้วนายก็จะต้องอยู่รับมือพวกวังหลวงคนเดียวนะทีออส…”
“อื้ม ถ้านายหางานที่เมืองอื่นได้หรือว่าหาวิธีเข้าเรียนต่อได้จริงๆ มันก็น่าจะดีกว่าการที่จะต้องมานั่งทำงานรับใช้วังหลวงของที่นี่อยู่แล้วล่ะ ขอแค่นานๆ ทีนายกลับมาเยี่ยมกันบ้างก็พอแล้วล่ะ”
ทีออสยิ้มบางๆ ตอบเพื่อนของเขากลับไป แต่ว่าเดริคนั้นก็กลับส่ายหน้าไปมาและหัวเราะแห้งๆ กลับมาใส่เขา
“ฮะฮะ… ถึงนายจะบอกแบบนั้นก็เถอะ แต่เอาเป็นว่าไว้ฉันหางานที่นั่นได้หรือว่าเก็บเงินได้มากพอจนพอจะจ่ายค่าสมัครเรียนได้จริงๆ ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีละกัน”
“เฮ้อ… ก็นั่นสินะ… ว่าแต่รอบนี้นายได้ค่าจ้างมาจากวังหลวงเท่าไหร่ล่ะเนี่ย?”
“พวกนั้นให้ค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลพวกคุณหนูจากเมืองรีมินัสมาหนึ่งร้อยห้าสิบคริสต้าถ้วน หลังจบงานแล้วเหลือเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้นนั่นล่ะ ก็ได้แต่หวังว่าคุณหนูพวกนั้นจะไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปล่ะนะ”
“หะ—!?”
คำอธิบายของเดริคนั้นทำให้ทีออสถึงกับขมวดคิ้วหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาด้วยความขยะแขยง
“นั่นมันไม่ถึงหนึ่งในสิบที่พวกนั้นเบิกไปซะด—”
“ชู่วๆๆๆ เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับพวกเราเพราะงั้นนายก็อย่าไปพูดถึงมันสิ!”
ยังไม่ทันที่ทีออสจะได้พูดออกมาจนจบ เดริคที่ได้ยินคำพูดของเพื่อนของเขาก็รีบพุ่งมือเข้าไปอุดปากทีออสเอาไว้อีกครั้งพร้อมกับแอบเหลือบไปมองรอบๆ อย่างหวาดระแวงในทันที ก่อนที่เขาจะลดเสียงลงและกระซิบถามเพื่อนสนิทของตน
“…ว่าแต่นายไปทำอะไรมาถึงรู้เรื่องจำนวนเงินที่พวกนั้นเบิกมาได้เนี่ย?”
“พ– พอดีฉันไปได้ยินพวกนั้นกำลังคุยกันอยู่ตอนที่แวะเข้าไปทำเรื่องเบิกงบซื้ออะไหล่ในวังน่ะ”
“เฮ้อ…ดันไปได้ยินเรื่องไม่เข้าเรื่องอีกแล้วสินะนายเนี่ย”
“โทษทีละกัน แต่พอดีพวกนั้นมันยืนคุยกันเหมือนไม่คิดจะปิดบังอะไรกันเลยน่ะ…”
เดริคที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ทำสีหน้าเจือนๆ พร้อมกับเอ่ยปากเตือนเพื่อนของเขาไปอีกครั้งหนึ่ง
“ถึงมันจะเป็นแบบนั้นก็เถอะแต่นายก็อย่าเอามาพูดถึงแบบนี้สิเฮ้ย นายก็น่าจะรู้นี่ว่าพวกนั้นมันมีวิธีจัดการกับคนที่รู้มากเกินไปยังไงบ้างน่ะ”
“แต่นายเองก็อย่าไปยอมเขาง่ายๆ แบบนั้นสิ งบที่นายได้มานี่มันไม่ถึงหนึ่งในสิบของที่นายควรจะได้เลยนะ”
“เฮ้อ ถ้ามันขอเพิ่มได้ง่ายๆ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ นายเองก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพวกนั้นมันขี้เหนียวกันจะตาย… อีกอย่างนึงหนึ่งร้อยห้าสิบคริสต้านี่มันก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ คุณหนูพวกนั้นคงจะไม่ผลาญกันหมดได้ง่ายๆ หรอกมั้ง”
“นั่นสินะ… แต่บางทีฉันก็สงสัยอยู่นะว่าพวกเงินงบประมาณที่บังเอิญประหยัดได้นี่มันหายไปไหนกันหมดน่ะ…”
“นี่นายยังจะต้องถามอีกจริงๆ หรอน่ะ? แต่ว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันก่อนดีกว่ามั้ย… ฉันว่าแถวนี้คนมันเยอะเกินไปสำหรับการคุยเรื่องแบบนั้นนะ…”
“อืม…”
เดริคที่ยังคงมองไปมารอบๆ อย่างระแวดระวังนั้นได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาของพวกเขาจากเรื่องงบประมาณของวังหลวงไปเป็นเรื่องอื่นแทน ซึ่งทีออสนั้นก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยเพราะว่าการที่พวกเขาเอารถยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าหอนาฬิกานั้นก็ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจมากพออยู่แล้ว
แต่ว่าพวกเขาก็เงียบกันไปสักพักใหญ่ๆ เหมือนกับไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรขึ้นมาคุยกันแทนดี ก่อนที่อยู่ๆ เดริคจะพูดสอบถามถึงข้อมูลของเหล่าคุณหนูจากรีมินัสที่เขาจะต้องคอยดูแลขึ้นมา
“ว่าแต่นายรู้ไปถึงขั้นจำนวนเงินที่พวกนั้นเบิกมากันนี่แล้วนายพอจะมีข้อมูลของพวกนักเรียนจากโรงเรียนคุณหนูนั่นบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่มีหรอก แต่ว่าเมื่อเช้านี้ตอนที่ฉันอยู่บนหอนาฬิกาฉันเด็กอายุพอๆ กับพวกเรานั่งรถผ่านเข้าประตูเมืองมา… ก็น่าจะเป็นพวกนักเรียนที่ว่านั่นล่ะมั้ง รู้สึกว่าจะมีเด็กผู้ชายผมดำคนนึงแล้วก็เด็กผู้หญิงอีกสามคน มีคนนึงผมชมพู คนนึงผมม่วง แล้วก็ผมสีน้ำตาลเข้มอีกคนนึงมั้ง”
“เห…จากบนหอนาฬิกาเลยงั้นหรอ ตาดีเหมือนกันนี่นายน่ะ ว่าแต่ขึ้นไปบนหอนาฬิกาตั้งแต่เช้าขนาดนั้นอย่าบอกนะว่าแอบขึ้นไปส่องสาวๆ จากด้านบนน่ะ”
“ไร้สาระน่า…”
“อ้ะ รถอยู่ตรงนั้นไงพี่มายะ!”
“อ…อื้อ!!”
ในขณะที่สองหนุ่มกำลังหยอกเล่นกันอยู่นั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมาจนทำให้พวกเขาต้องหันไปมองดู และพวกเขาก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกลทางถนนทิศตะวันออกนั้นกำลังมีเด็กสาวสองคนที่คนหนึ่งมีเส้นผมยาวสลวยสีชมพูกับอีกคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีม่วงอ่อนมัดเป็นทรงทวินเทลกำลังวิ่งตรงมาทางหอนาฬิกาอยู่ ซึ่งเมื่อทีออสได้เห็นเด็กสาวทั้งสองคนเข้าเขาก็รีบพูดขึ้นมาในทันที
“อ่ะ—นั่นไง เด็กสองคนนั้นที่อยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ว่าน่ะ”
“อ่า เข้าใจล่ะ แต่ว่าทำไมต้องรีบวิ่งมากันขนาดนั้นล่ะเนี่ย…?”
“พี่ชาย! พี่ชายใช่คนขับรถที่จะพาพวกหนูกลับหรือเปล่าอ่ะ!?”
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
พรีมูล่าที่ลากแขนของมายะมาจนถึงรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าของหอนาฬิกานั้นรีบร้องถามเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่ยืนพิงตัวรถคุยกันอยู่ในทันทีที่เธอมาถึงโดยปล่อยให้มายะที่แทบจะหมดแรงก้มลงไปหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เดริคที่เป็นคนขับรถนั้นต้องรีบตอบเธอกลับไปเช่นกัน
“อ–อ่า ถ้าพวกเธอคือเด็กนักเรียนที่มาจากรีมินัสงั้นก็ใช่นั่นล่ะ ฉันคือคนขับรถของพวกเธอเอง …ว่าแต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอมีกันสี่คนหรอกหรอ อีกสองคนหายไปไหนล่ะ? แล้วทำไมต้องรีบวิ่งมากันขนาดนี้ด้วย?”
“ดีล่ะ!!”
“ว— ว๊าย—!?”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินแล้วเธอก็รีบหันกลับไปหามายะที่ยังคงก้มตัวลงไปหอบหายใจอยู่และจับเพื่อนของเธอโยนขึ้นไปบนหลังรถกระบะในทันที ก่อนที่ตัวเธอเองจะรีบปีนตามขึ้นไปพร้อมกับร้องบอกสองหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
“พวกพี่ขับรถไปที่ปราสาทให้หน่อยสิ!”
“หะ— ไม่ใช่ว่าพวกเธอเพิ่งจะออกมาจากปราสาทกันหรอ?”
“เอาเถอะน่า!! ตอนนี้ที่ปราสาทมันมีเรื่องอ่ะ พี่ชายของหนูก็เลยกำลังถ่วงเวลาให้พวกพี่ทหารอยู่ หนูก็เลยต้องรีบมาตามรถให้ไปรับพี่เขาที่นั่นอ่ะ!”
ทีออสที่เห็นท่าทางรีบร้อนของพรีมูล่าก็พอจะเดาได้ว่าคำว่าที่ปราสาทมันมีเรื่องของอีกฝ่ายนั้นคงจะไม่ได้หมายถึงมีเรื่องดีเกิดขึ้นอยู่อย่างแน่นอนทำให้เขาต้องรีบเรียกให้เพื่อนของตนขึ้นไปขับรถในทันที
“เดริค!!”
“นายนั่นล่ะรีบๆ ขึ้นมาได้แล้ว!”
เดริคที่ถูกอีกฝ่ายเรียกนั้นได้ตะโกนกลับออกมาจากภายในตัวรถพร้อมกับเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่งให้เพื่อนของเขาปีนขึ้นมาโดยที่ทีออสไม่ทันได้สังเกตเลยว่าอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งประจำการอยู่หน้าพวงมาลัยตั้งแต่ตอนไหน
และเมื่อเดริคเห็นว่าเพื่อนของเขาได้ปีนขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปตะโกนบอกพวกพรีมูล่าที่นั่งอยู่ด้านหลังพร้อมกับส่งวิซของเขาเข้าไปสตาร์ทเครื่องยนต์ในทันที
“ฉันเองก็อยากลองเหยียบคันเร่งสุดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว… พวกเธอด้านหลังหาอะไรเกาะกันให้แน่นๆ ล่ะ!”
เอี๊ยดดดด!!
ทันทีที่สิ้นเสียงของเดริค รถกระบะของพวกเขาก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้ชาวเมืองที่เดินกันอยู่ตามถนนนั้นต้องหันมามองและรีบกระโดดหลบกันไปคนละทาง ในขณะที่พรีมูล่านั้นก็หันไปหามายะที่กำลังก้มเอามือกุมหัวตัวเองอยู่กับพื้นรถกระบะพร้อมกับพูดถามขึ้นมา
“พี่มายะใช้วิซธาตุน้ำได้ใช่หรือเปล่า? แล้วได้เอาอุปกรณ์สำหรับใช้มันมาด้วยมั้ยอ้ะ!?”
“อ…เอ๋ะ? ก็ถ้าเกิดแค่เป็นการสร้างน้ำขึ้นมาจากอากาศแล้วควบคุมมันก็พอจะทำได้อยู่แหล่ะค่ะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่มายะเตรียมพร้อมเอาไว้เลยนะ!”
“ค–ค่ะ!!”
มายะรีบตอบพรีมูล่ากลับไป ก่อนที่เธอจะหยิบเอาแท่งเหล็กอันเล็กๆ ที่เธอห้อยเอาไว้ที่เอวออกมาพร้อมกับกดไปที่ปุ่มด้านข้างของมันจนทำให้ปลายด้านหนึ่งของมันกางออกและเปลี่ยนสภาพจากแท่งธรรมดาๆ ขนาดยาวกว่าหนึ่งฝ่ามือเล็กน้อยให้กลายเป็นไม้คทาอันเล็กๆ ที่มีคริสตัลสีน้ำเงินประดับอยู่ตรงปลายแทน
ซึ่งมายะก็ส่งวิซของเธอเข้าไปในคทาในมือจนทำให้คริสตัลสีน้ำเงินตรงปลายของมันเรืองแสงออกมา ก่อนที่ไอน้ำในอากาศรอบๆ ตัวคทานั้นจะควบแน่นกันและก่อตัวเป็นลูกบอลน้ำขนาดเล็กๆ หลายสิบลูกลอยหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ตัวของเธอ
“เอาล่ะ!!”
เมื่อพรีมูล่าเห็นมายะเรียกลูกบอลน้ำจำนวนมากออกมาเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เธอก็หยิบเอาด้ามมีดสีเงินที่ได้มาจากคุณแม่ของเธอขึ้นมาถือเอาไว้พร้อมกับปีนขึ้นไปเกาะอยู่ด้านบนของห้องโดยสารจนทำให้มายะที่หันมาเห็นถึงกับสะดุ้งตกใจไปเล็กน้อย
แต่ว่าก่อนที่มายะจะได้พูดอะไรออกมา เธอก็ได้เหลือบไปเห็นคริสตัลสีเขียวที่กำลังก่อตัวขึ้นมาเป็นหอกคริสตัลปลายแหลมจำนวนมากอยู่กลางอากาศโดยมีหอกคริสตัลบางส่วนกำลังพุ่งลงไปที่พื้นเบื้องหลังกำแพงปราสาทอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทีออสและเดริคที่อยู่ด้านในห้องโดยสารนั้นก็เหมือนจะสังเกตเห็นพวกมันด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงได้พูดถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“น…นั่นมัน…อะไรน่ะ”
“หนูก็ไม่รู้อ่ะ แต่ท่าทางว่าจะไม่เชื่อเรื่องดีแน่ๆ ล่ะ พี่มายะ! เดี๋ยวขอน้ำด้านบนใหญ่ๆ เลยนะ!!”
เดริคที่ตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถนั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเสียงของพรีมูล่าที่ดังมาให้เขาได้ยินนั้นดังมาจากทางด้านบนหัวของเขาไม่ใช่จากทางด้านหลังอย่างที่ควรจะเป็นก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของพรีมูล่าที่ขยับไปมาอยู่ด้านบนหลังคารถ จนทำให้ต้องรีบชะโงกหัวออกมาตะโกนว่าเธอในทันที
“เฮ้ย! ข้างบนนั้นมันอันตรายนะ!! รีบกลับไปด้านหลังเดี๋ยวนี้เลย!”
“พี่ชายขับรถต่อไปเถอะน่าเดี๋ยวหนูเกาะเอาไว้เอ—- อ้ะ! พี่ชายข้างหน้าๆ!”
“หะ?”
พรีมูล่าที่กำลังเถียงอีกฝ่ายกลับไปนั้นได้หยุดชะงักไปกลางคันและรีบทุบไปบนหลังคารถรัวๆ เพื่อเตือนถึงสิ่งที่รอพวกเธออยู่เบื้องหลังกำแพงปราสาทกราวิทัส ซึ่งเดริคที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบหันไปดูเบื้องหน้าในทันที ก่อนที่เขาจะพบกับหญิงสาวผมเขียวที่ยืนอยู่กลางถนนและเด็กนักเรียนจากรีมินัสอีกสองคนที่เหลือที่กำลังพยายามวิ่งหลบหอกคริสตัลที่พุ่งลงมาจากบนฟ้าอยู่อย่างต่อเนื่อง
“เดริคเบรกโว้ย! เบรก!!”
“รู้แล้วล่ะน่า!! พวกเธอเกาะเอาไว้ให้แน่นๆ ล่ะ!!”
“เซซิเรีย ซืสึมุ เริ่มการ—”
เอี๊ยดดดดดดด!!
“—!?”
“ว๊าย!?”
เซซิเรียที่กำลังจะสั่งให้หอกคริสตัลจำนวนมากที่ลอยอยู่ด้านบนพุ่งเข้าใส่นากากับเซซิลนั้นชะงักไปในทันทีที่ได้ยินเสียงห้ามล้อดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่เธอจะรีบพุ่งตัวหลบรถกระบะขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งไถลเข้ามาทางเธออย่างรวดเร็ว
ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ซึ่งรถกระบะของทางเมืองที่มีพรีมูล่าเกาะอยู่บนหลังคานั้นก็ได้พุ่งตีโค้งปาดเข้าไปในสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้าของตัวปราสาทจนพังพินาศเป็นทางยาวก่อนที่มันจะมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของนากาและเซซิลพอดี
“พรีมูล่า!? / เหวอ–!?”
“พี่มายะแผ่น้ำพวกนั้นขึ้นไปกว้างๆ เหนือหัวพวกเราแล้วปลดวิซออกเลยเดี๋ยวหนูจะใช้งานต่อเอง!!”
“ค—ค่ะ!!”
พรีมูล่าไม่สนใจพี่ชายของเธอที่พูดขึ้นมาอย่างตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเธอพร้อมกับหันไปสั่งมายะให้ทำตามที่เธอคิดเอาไว้ ซึ่งมายะนั้นก็รีบสั่งให้ลูกบอลน้ำทั้งหลายลอยมารวมกันเป็นก้อนเดียวที่ปลายคทาของเธอและฉีดมันพุ่งขึ้นไปเหนือหัวเหมือนกับน้ำพุจนกลายเป็นม่านน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมรถยนต์ที่พวกเธอนั่งกันอยู่และพวกนากาที่อยู่ใกล้ๆ กันเอาไว้
“เอาล่ะ!! แข็งไปซะ!!”
เมื่อพรีมูล่าเห็นว่ามายะได้สร้างม่านน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาตามที่เธอต้องการแล้ว เธอก็ส่งวิซของเธอเข้าไปในด้ามมีดสีเงินประจำตัวให้มันสร้างดาบน้ำแข็งขึ้นมา ก่อนที่เธอจะเสียบมันเข้าไปยังบอลน้ำที่ลอยอยู่เหนือไม้คทาของมายะจนทำให้น้ำแข็งจากดาบของเธอลามไปตามสายน้ำที่มายะสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนม่านน้ำขนาดใหญ่เหนือหัวของพวกเธอให้กลายเป็นโดมน้ำแข็งขนาดใหญ่แทน
“ชิ— คนยิ่งรีบๆ อยู่!!”
ทางด้านเซซิเรียที่กระโจนหลบรถกระบะที่พุ่งเข้ามานั้นก็ร้องออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่เธอจะสั่งให้หอกคริสตัลจำนวนมากที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศให้พุ่งเข้าใส่นากากับเซซิลและกำลังเสริมของพวกเขาที่เพิ่งจะพุ่งเข้ามาช่วยเหลือในทันทีโดยไม่ได้สนใจโดมน้ำแข็งที่เด็กสาวผมชมพูสร้างขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง—
“–!?”
แต่ว่าหอกคริสตัลของเธอก็กลับไม่สามารถพุ่งทะลุโดมน้ำแข็งที่ดูบอบบางของพรีมูล่าเข้าไปได้และปักคาอยู่บนนั้นจนทำให้เซซิเรียเผลอชะงักไปชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นไปมองมันอย่างประหลาดใจที่ความทนทานของโดมน้ำแข็งเบื้องหน้านั้นแตกต่างจากกระสุนน้ำแข็งที่อีกฝ่ายใช้ยิงใส่เธอก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเซซิเรียนั้นก็เหม่อมองโดมน้ำแข็งของเด็กสาวผมชมพูอยู่สักพักก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“วิซแบบนี้มัน…”
“เสร็จฉันล่ะ!!”
ทางด้านนากาที่เห็นเซซิเรียชะงักนิ่งไปโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นได้ใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไปฟาดดาบของเขาเข้าใส่เซซิเรียในทันที
“ช้าน่า!!”
เคล๊ง!!
เซซิเรียที่เห็นเด็กหนุ่มผมดำพุ่งเข้ามาโจมตีเธออีกครั้งนั้นได้รีบตั้งสติและใช้หอกในมือของเธอเข้ารับดาบของนากาเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่ว่าทางด้านนากานั้นก็ไม่คิดว่าการฟาดดาบธรรมดาๆ ของเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว เขาจึงได้ตะโกนบอกเซซิลให้เริ่มทำตามแผนการที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ในทันที
“เซซิล! ตอนนี้แหล่ะ!!”
“ได้…!!”
เซซิลที่ได้รับสัญญาณจากนากานั้นได้รีบส่งวิซของเธอเข้าไปในถุงมือของนากาในทันทีจนทำให้คริสตัลที่ติดอยู่ด้านหลังถุงมือนั้นเรืองแสงสีเขียวออกมาพร้อมกับสร้างสายลมขึ้นมาหมุนวนอยู่ที่หมัดข้างนั้นก่อนที่นากาจะเหวี่ยงมันเข้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง
“—!?”
“ย๊ากกกก!!”
ผลั่ก—-ฟ๊าววววว!!
“อั๊ก—!?”
หมัดของนากาที่มีสายลมของเซซิลหมุนวนอยู่นั้นได้กระแทกเข้าใส่ฝ่ามือของอีกฝ่ายที่พุ่งมาป้องกันได้ในวินาทีสุดท้ายเข้าอย่างจังก่อนที่สายลมที่หมุนวนอยู่นั้นจะระเบิดมวลอากาศออกไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของเซซิเรียถูกพัดกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร ซึ่งพรีมูล่าที่เห็นว่าหญิงสาวผมสีเขียวถูกต่อยจนกระเด็นไปไกลนั้นก็รีบร้องเรียกพี่ชายของเธอให้ขึ้นมาบนรถในทันที
“พี่นากาขึ้นมาเร็วเข้า!!”
“นากา…! มาขึ้นรถ…!!”
“โอ้!!”
นากาตอบพรีมูล่ากับเซซิลกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งตรงไปยังท้ายรถกระบะและจับมือของเซซิลที่ยื่นออกมาเพื่อช่วยดึงเขาขึ้นไป และเมื่อพรีมูล่าเห็นว่าทุกคนขึ้นมาบนรถกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ทุบไปที่ห้องโดยสารและตะโกนสั่งคนข้างในทันที
ปึ๊ง! ปึ๊ง!
“พี่ชายออกรถเร็วเข้า!!”
“โอ้!! เกาะไว้ให้แน่นๆ นะ!!”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำตอบจากคนด้านในห้องโดยสารแล้ว เธอก็รีบปลดวิซของเธอออกจากโดมน้ำแข็งที่ขังพวกเธอเอาไว้ภายในจนทำให้โดมน้ำแข็งละลายตัวลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหยดน้ำที่พากันร่วงตกลงพื้นไป
ชิ้ง…
ซึ่งหอกคริสตัลจำนวนมากที่ปักคาอยู่บนโดมน้ำแข็งอยู่นั้นก็หมุนไปมาเล็กน้อยเมื่อพวกมันเป็นอิสระ ก่อนที่พวกมันจะหันปลายแหลมไปทางนากากับเซซิลที่เป็นเป้าหมายของพวกมันในทีแรกและพุ่งเข้าใส่พวกเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ฟุ๊บบบบ
เอี๊ยดดดดดดด!!
ปึกปึกปึกปึกปึก!!
แต่ว่าก่อนที่มันจะได้พุ่งถึงเป้าหมาย เดริคที่เป็นคนขับรถก็ได้เหยียบคันเร่งและส่งวิซจำนวนมากเข้าไปทำให้รถของพวกเขาพุ่งออกตัวไปทางประตูของเขตวังหลวงอย่างรวดเร็ว จนหอกคริสตัลเหล่านั้นพลาดเป้าพุ่งปักลงพื้นไล่หลังรถของพวกเขาไปเป็นทางยาวแทน
ตู้ม!!
“—!?”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังมองตามเด็กสาวผมชมพูเจ้าของโดมน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนหลังคารถที่พุ่งหนีออกจากเขตวังไปนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังลั่นขึ้นมาจนทำให้เธอต้องรีบหันไปดู ซึ่งเธอก็พบว่าหนึ่งในหอคอยของวังหลวงกราวิทัสนั้นได้ถูกระเบิดออกอย่างรุนแรง และนั่นก็ทำให้เธอต้องรีบวิ่งตรงเข้าไปด้านในปราสาทพร้อมกับร้องออกมาอย่างหัวเสีย
“บ้าจริง ไม่ทันแล้วงั้นหรอ!!”