บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 59 Ephemeral Concord
“ป—ปีกแห่งแสง—!?”
โดตั้นพูดขึ้นมาอย่างตกตะลึงหลังจากที่เขาได้มองไปยังผู้ที่เข้ามาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้และพบกับปีกแสงสีฟ้าที่รูปร่างเหมือนกับปีกผีเสื้อที่แผ่สยายออกมาจากกลางหลังของอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะรีบเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนกับสาวใช้ตรงหน้าและพูดขึ้นมาอย่างนอบน้อม
“ท—ท่าน—”
“ไปซะ…”
แต่ว่าก่อนที่โดตั้นจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา นูลิสก็เหลือบตาไปมองเขาและพูดสั่งขึ้นมาสั้นๆ พร้อมๆ กับที่ใบดาบคาตานะของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเองก็ค่อยๆ ขยับฝ่ากล่องเหล็กสีดำของนูลิสเข้าไปใกล้โดตั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างช้าๆ
กรึก—กรึก—
“รีบไปสิ…!!”
“ค—ครับ!!”
นูลิสพูดขึ้นมาเสียงดังจนทำให้โดตั้นที่กำลังเหม่อมองปีกแสงทรงผีเสื้อของเธออยู่รีบคลานออกจากจุดนั้นและพุ่งตรงออกไปจากห้องด้วยความทุลักทุเล ในขณะที่ร่างในชุดผ้าคลุมนั้นกลับจ้องมองนูลิสอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้สนใจขุนนางหนุ่มที่เคยตกเป็นเป้าหมายของเธออีกต่อไป
และเมื่อโดตั้นได้วิ่งหนีออกไปจากห้องประชุมแล้ว เด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ได้ออกแรงตวัดดาบคาตานะที่คาอยู่ในกล่องสีดำของนูลิสจนมันขาดครึ่งในพริบตา
ฟวับ—โคร๊ม–!!
“ไหนอธิบายมาสิ…นูลิส…”
“ค่ะ…หัวหน้า…”
นูลิสมองดูกล่องเหล็กสีดำของเธอที่ถูกฟันจนขาดครึ่งอย่างเงียบๆ อยู่สักครู่หนึ่งเหมือนกับรับรู้ได้ว่าที่มันกันดาบของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ในทีแรกนั้นเป็นเพราะว่าร่างในชุดผ้าคลุมเป็นคนยั้งมือเอาไว้เอง ก่อนที่เธอจะหันไปมองร่างเล็กๆ เบื้องหน้าพร้อมกับถอนสายบัวให้อีกฝ่ายและพูดอธิบายให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมฟัง
“ฉันมีความเห็นว่าพวกเราไม่ควรจะเป็นคนฆ่าขุนนางของกราวิทัสที่ชื่อว่าโดตั้นและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองค่ะ”
“ไม่ควรงั้นหรอ…”
ร่างในชุดผ้าคลุมพูดทวนคำของนูลิสขึ้นมาสั้นๆ พร้อมกับละสายตาจากสาวใช้ตัวน้อยที่ยังคงค้อมหัวให้เธออยู่ก่อนที่เธอจะเดินตรงไปยังหน้าต่างบานที่เซซิเรียพาทีเอร่าพุ่งหนีออกไปเมื่อสักครู่เพื่อมองดูเหล่าขุนนางของกราวิทัสที่ยังคงทยอยวิ่งหนีกันออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่กองกำลังทหารรักษาการณ์ก็กำลังวิ่งสวนกลับเข้ามาด้านในเขตวังเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์ด้านใน
“เหตุผล…?”
“ระหว่างที่กำลังปฏิบัติภารกิจก่อนหน้านี้ฉันได้พบคนที่คิดจะจัดการเรื่องนี้อยู่แล้วค่ะ ฉันก็เลยคิดว่าพวกเราไม่ควรยื่นมือเข้าไปช่วงชิงเป้าหมายของคนอื่นเขา… แบบที่หัวหน้าเคยสอนพวกฉันเอาไว้เมื่อตอนนั้น…”
“หึ…เป้าหมายงั้นหรอ…”
ร่างในชุดผ้าคลุมที่ได้ยินคำพูดของนูลิสนั้นได้หัวเราะในลำคอขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปจ้องมองนูลิสอย่างพิจารณาพร้อมกับพูดถามกลับไป
“งั้นถ้าเกิดว่าคนที่เธอไปเจอมาทำมันไม่สำเร็จ… เธอจะเป็นคนจัดการมันเองได้หรือเปล่าล่ะ…?”
“ถ้านั่นเป็นคำสั่งฉันก็พร้อมจะทำตามค่ะ… เพื่อโลกที่คุณแม่และหัวหน้าเคยใฝ่ฝันเอาไว้…”
“เพื่อโลกที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้งั้นหรอ…”
ร่างในชุดผ้าคลุมเอ่ยตอบนูลิสกลับไปเบาๆ พร้อมกับเหลือบสายตาไปมองรอยร้าวบนปีกแสงของอีกฝ่ายที่กำลังค่อยๆ ผสานตัวกันอย่างช้าๆ จนทำให้นูลิสที่เห็นแบบนั้นต้องค้อมหัวให้อีกฝ่ายไปอีกครั้งและพูดยืนยันกลับไป
“ค่ะ… ทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมายของหัวหน้าค่ะ…”
“ถ้างั้นก็รายงานความคืบหน้าของภารกิจครั้งนี้มา…”
“นิโคลได้นำระเบิดไปติดตั้งเอาไว้ที่ห้องเก็บผลงานตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือเพียงแค่รอคำสั่งจุดชนวนของหัวหน้าเท่านั้นค่ะ”
“…ถอนกำลังได้”
“ค่ะ”
นูลิสพยักหน้าให้กับร่างในชุดผ้าคลุมไปทีหนึ่ง แล้วจึงหันไปทางซากกล่องโลหะสีดำที่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนของเธอพร้อมกับยื่นมือเข้าไปหามันจนทำให้มันค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวฟุ้งกระจายหายไป ก่อนที่ร่างของเธอจะลอยตัวขึ้นเล็กน้อยและพุ่งตัวออกไปจากห้องผ่านทางหน้าต่างบานที่แตกอยู่อย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านร่างในชุดผ้าคลุมก็เดินไปที่หน้าต่างบานนั้นและทอดสายตามองเหล่าขุนนางที่กำลังวิ่งหนีตายกันอยู่ด้านนอกสักพัก แล้วจึงกลับมามองสภาพภายในห้องประชุมที่ถูกแรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากในห้องข้างๆ อัดใส่จนพังเละเทะกับร่างของขุนนางคนหนึ่งที่ถูกเธอสังหารไป
“หึ…เพื่อโลกที่เต็มไปด้วยความรัก ความฝัน หรือแม้แต่น้ำตางั้นหรอ…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะล้วงเข้าไปในผ้าคลุมของเธอและหยิบเอาแผ่นเหล็กอันเล็กๆ ที่มีปุ่มสีแดงอยู่ตรงกลางออกมา
กริ๊ก—ตู้ม!!
ในชั่วพริบตาที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมใช้นิ้วกดลงไปที่ปุ่มเล็กๆ อันนั้นก็ได้มีเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ตัวปราสาทได้สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง ในขณะที่ตัวของเธอเองก็หันไปกลับทางหน้าต่างและเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่แผ่กว้างเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
มันเป็นเรื่องโง่งมหรือเปล่าที่ฉันจะเชื่อในคำโกหกพวกนั้น…
“แฮ่ก—แฮ่ก—”
ในขณะเดียวกันทางด้านเดริคที่ทุ่มวิซของเขาในการเร่งเครื่องยนต์ของรถกระบะเพื่อหนีออกมาจากเมืองกราวิทัสนั้นก็เริ่มที่จะหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเป็นสัญญาณว่าวิซในร่างกายของเขากำลังจะหมดลงจนทำให้ทีออสที่นั่งอยู่ด้วยกันภายในห้องโดยสารต้องรีบพูดเตือนเพื่อนของตนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“น—นี่ นายหยุดรถพักแถวนี้ก่อนก็ได้มั้งเดริค พวกเราออกจากเมืองมาตั้งไกลแล้วผู้หญิงคนนั้นน่าจะตามมาไม่ทันแล้วล่ะ”
“อ…อ่า นั่นสินะ…”
เดริคที่ทุ่มสมาธิไปกับการขับรถหลบหนีนั้นเหมือนจะได้สติขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนของตน ทำให้เขาค่อยๆ ควบคุมรถให้ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ และค่อยๆ เลี้ยวไปจอดที่ริมต้นไม้ข้างทาง
“เอ๋? หยุดแล้วหรอ? ”
“เหวอ—”
ในทันทีที่รถของพวกเขาหยุดนิ่งลงนั้น อยู่ๆ ใบหน้าของพรีมูล่าก็ได้โผล่ยื่นลงมาจากด้านบนหลังคารถจนแทบจะทำให้ทั้งสองหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในห้องโดยสารสะดุ้งตกใจกัน ก่อนที่ทีออสจะรีบเปิดประตูลงไปจากรถและพูดเตือนเด็กสาวผมชมพูไปในทันที
“นั่งบนนั้นมันอันตรายนะครับ!!”
“เห~ แต่บนนี้มันลมเย็นดีอ่า~”
“เอาเถอะหน่าทีออส…ยังไงตอนนี้รถก็ไม่ได้แล่นอยู่น่ะนะ…”
ตุ๊บ—
เสียงของเดริคดังออกมาจากด้านในห้องโดยสารก่อนที่ตัวเขาจะเปิดประตูลงมาจากรถและหงายหลังแผ่ลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับกลิ้งตัวไปหลบอยู่ใต้เงาร่มไม้ที่อยู่ริมข้างทางโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าของตัวเองจะเปื้อนอะไรเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนากาที่เห็นว่าคนขับรถของพวกเขาลงไปนอนแผ่แบบหมดสภาพนั้นก็รีบปล่อยมือจากแขนของพรีมูล่าที่เขากำลังดึงตัวเธอให้ลงมาจากหลังคารถและทำท่าเหมือนจะปีนลงไปดูอาการของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงในทันที แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ปีนออกไปจากกระบะหลังรถนั้นทีออสก็ได้พูดขัดเขาขึ้นมาซะก่อน
“เขาไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ใช้วิซมากเกินไปจนหมดแรงน่ะ”
“อ่—”
“ม่ายเอาาาา!!”
ในขณะที่นากากำลังจะพูดตอบทีออสกลับไปนั้นอยู่ๆ พรีมูล่าก็ได้ส่งเสียงดังลั่นขึ้นมาขัดเขาเอาไว้ ซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนหันกลับไปดู พวกเขาก็ได้พบว่าเด็กสาวผมชมพูเหมือนจะกำลังงอแงอยู่หลังจากที่ถูกมายะพูดเกลี้ยกล่อมให้ลงมาจากบนหลังคารถด้วยอีกคน
“เฮ้อ… ขอโทษแทนน้องส—”
“อ๊าาาาาาา ปล่อยหนูนะพี่เซซิลลลล!!”
นากาที่กำลังจะพูดขอโทษแทนน้องสาวของเขาที่ทำตัววุ่นวายนั้นแทบอยากจะเอามือปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอายเมื่อพรีมูล่าได้ร้องโวยวายขึ้นมาขัดคำพูดของเขาไปอีกครั้งเนื่องจากว่าเธอกำลังถูกเซซิลลากตัวลงไปจากหลังคารถกระบะ และเมื่อนากาเห็นว่าน้องสาวของเขาถูกเซซิลคุมตัวไปเรียบร้อยแล้วเขาจึงหันไปทางเดริคที่เป็นคนขับรถและพูดขึ้นมา
“อ่า.. ต้องขอโทษแทนน้องสาวของผมด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก… แต่ว่าก็โชคดีนะที่น้องสาวนายไม่ได้ร่วงลงไประหว่างที่รถกำลังแล่นอยู่น่ะ… ว่าแต่นายไม่ต้องพูดสุภาพแบบนั้นหรอก ดูแล้วพวกเราน่าจะอายุพอๆ กันเลยไม่ใช่หรอ ฉันชื่อเดริค ส่วนหมอนั่นชื่อว่าทีออสน่ะ”
เดริคที่นอนแผ่อยู่ยกมือของเขาขึ้นมาโบกไปมาแบบไม่คิดอะไรมากพร้อมกับพูดแนะนำตัวเองกับเพื่อนออกมา ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบตกลงกลับไปและพูดแนะนำตัวกลุ่มของพวกเขาให้อีกฝ่ายฟังด้วยเช่นกัน
“อ่า ถ้านายจะว่าอย่างนั้นก็ได้… ฉันนากา ส่วนยัยตัวแสบผมสีชมพูนั่นชื่อพรีมูล่าเป็นน้องสาวฉันเอง แล้วก็อีกสองคนที่เหลือนั่นชื่อว่าเซซิลกับมายะ พวกเราเป็นนักเรียนจากรีมินัสที่ถูกเชิญมาน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อื้ม ยินดีที่ได้รู้จัก…ว่าแต่นากา นายพอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าว่าที่ปราสาทเมื่อกี้นี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”
“นั่นสิ ผู้หญิงผมสีเขียวที่สร้างหอกขึ้นมาบนอากาศได้นั่นคือใครน่ะครับ? แล้วไม่ใช่ว่าหลังจากที่พวกเราขับหนีออกมามันมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากทางปราสาทหรอน่ะ? ถึงผมจะเคยเห็นเรื่องวุ่นๆ ที่ปราสาทมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่ว่าคราวนี้เหมือนจะวุ่นที่สุดเลยนะครับ”
ทีออสที่ได้ยินเดริคพูดถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้านในเขตปราสาทจากนากานั้นได้พูดถามตามเพื่อนของเขาขึ้นมาด้วยเช่นกันจนทำให้นากาได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองอย่างจนปัญญาก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่เขารู้
“ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันนั่นแหล่ะ อยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หวดทหารยามกระเด็นมาทางพวกฉันเสร็จแล้วก็พุ่งเข้ามาฟาดหอกใส่กันเลย… แต่เห็นทหารยามคนที่ปลิวมาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนเดียวกับที่ก่อเรื่องในแพนเทร่าก็ได้ ฉันก็เลยกะจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้พวกทหารคนอื่นมาถึงน่ะ…แต่จะว่าไปพวกเราก็สู้กันนานขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมพวกทหารประจำเมืองถึงยังไม่มากันสักทีเนี่ย?”
“ช่ายๆ แล้วพี่นากาก็เลยให้พวกหนูวิ่งไปตามพวกพี่เดริคที่เป็นคนขับรถให้ไปรับพี่เขาข้างในนั้นเนี่ยแหล่ะ~! อ้ะพี่มายะอย่าดึงสิ!”
ทันใดนั้นเองพรีมูล่าที่กำลังพยายามปีนกลับขึ้นไปบนหลังคารถก็ได้ยื่นหน้าของเธอมาทางพวกเขาและพูดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะหันกลับไปวุ่นวายกับมายะที่กำลังพยายามรั้งตัวเธอเอาไว้ไม่ให้ขึ้นไปบนหลังคารถอยู่
ในขณะที่นากาก็ได้แต่เกาหัวของตัวเองอย่างลำบากใจ เพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วถ้าเกิดไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาเกรงใจมายะที่เป็นผู้ช่วยประธานนักเรียนเขาก็คงจะไม่ยอมขึ้นรถหนีออกมาก่อนที่ทหารของเมืองกราวิทัสจะเข้ามาเสริมแน่ๆ
“แบบนั้นเองหรอ…ถ้างั้นก็ถือว่าพวกนายโชคดีแล้วล่ะที่ฉันรับงานนี้มาแทนทหารพวกนั้นน่ะ เพราะไม่งั้นป่านนี้พวกนายก็น่าจะยังสู้กับผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่หน้าปราสาทนั่นล่ะ แล้วเผลอๆ จะอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงละมั้งกว่าจะมีกองทหารเข้ามาช่วยพวกนายน่ะ”
คำพูดของเดริคที่นอนแผ่อยู่กับพื้นนั้นทำให้นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ หันไปมองอีกฝ่ายเหมือนไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินคนนั้นกำลังพูดเล่นหรือว่าพูดจริงอยู่กันแน่
แต่ว่าเมื่อนากาสังเกตดูอีกฝ่ายให้ดีๆ แล้ว เขาก็พบว่าทั้งเดริคที่นอนแผ่อยู่กับพื้นและทีออสที่ยืนอยู่ข้างตัวรถนั้นต่างก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาไม่ใช่ชุดเครื่องทหารเหมือนกับคนขับรถที่พาพวกเขามาจากรีมินัสจนทำให้นากาต้องลองพูดถามพวกเขากลับไปดู
“จะว่าไปพวกนายทั้งสองคนนี่ไม่ใช่ทหารของกราวิทัสงั้นสินะ?”
“อื้ม ทีออสเขาเป็นช่างทำนาฬิกาที่เปิดร้านอยู่ในกราวิทัสน่ะ ส่วนฉันก็แค่เด็กรับจ้างทั่วไปที่บังเอิญได้งานนี้มาจากวังหลวงเพราะพวกนั้นเห็นว่าค่าจ้างฉันถูกดีนั่นล่ะ”
“มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ… ส่วนผมตอนแรกแค่กะจะมาลองขอติดรถไปทำธุระที่รีมินัสด้วยน่ะครับ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะต้องรีบออกเดินทางเลยแบบนี้เหมือนกัน”
ทีออสได้พูดอธิบายออกมาพร้อมกับแอบเหลือบๆ มองดูผู้โดยสารอีกสามคนที่เหลือว่าพวกเขาจะคิดอะไรมากหรือเปล่าที่มีคนนอกอย่างเขาแอบติดรถมาด้วยโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าแบบนี้
ในขณะที่พรีมูล่าที่ดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนของมายะได้สำเร็จแล้วนั้นก็ได้ปีนกลับขึ้นไปบนหลังคารถอีกครั้งและกำลังห้อยหัวลงมาเพื่อแอบส่องเข้าไปในห้องโดยสารด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเดริคก็มองดูความซนของเด็กสาวผมชมพูอยู่สักพักแล้วจึงหันกลับไปพูดกับนากาต่อ
“แต่ก็นั่นแหล่ะ… ถือว่าพวกนายโชคดีแล้วละกันที่ฉันรับงานนี้มาน่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นทหารของกราวิทัสโดยตรงเลยล่ะก็พวกนั้นไม่มีทางยอมขับรถเข้าไปรับถึงที่แบบนั้นหรอก แถมยิ่งถ้ากำลังเกิดเรื่องอยู่ด้านในปราสาทแบบนั้นต่อให้ตายพวกนั้นก็ไม่มีวันยอมเข้าไปแน่นอน”
“ฮะฮะ ใช่แล้วครับ เผลอๆ พวกเขาคงจะบอกว่าโดนสั่งให้มารออยู่ตรงนี้ เพราะงั้นคงจะขับไปรับที่อื่นไม่ได้หรืออะไรแบบนั้นนั่นแหล่ะ”
“งั้นหรอ ถ้างั้นก็ขอบใจพวกนายมากนะ… ว่าแต่พวกทหารของกราวิทัสนี่เป็นถึงขั้นที่พวกนายเล่ามาจริงๆ หรอน่ะ? เพราะตอนขามาคนขับรถที่เป็นทหารของกราวิทัสก็ดูไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นนะ”
นากาที่ได้ยินสองหนุ่มพูดนินทาทหารจากเมืองของพวกเขาอย่างไม่เกรงใจเลยนั้นได้พูดถามกลับไปอย่างสงสัย
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าโดตั้นกับพวกขุนนางที่คิดจะหลอกให้เขาเซ็นเอกสารเบิกงบประมาณนั่นสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าเหล่าข้ารับใช้ในวังอย่างหญิงสาวที่ชื่อว่าโครน่าที่พวกเขาเจอก่อนจะเข้าไปในปราสาทหรือว่าทหารคนที่ขับรถพาพวกเขามาจากรีมินัสนั้นก็ดูไม่ได้แย่อย่างที่อีกฝ่ายว่ามาเลยแม้แต่น้อย
“นายก็แค่โชคดีที่ไม่ได้เจอพวกนั้นก่อนก็เท่านั้นแหล่ะ”
“ผมก็อยากจะบอกว่าเดริคเขาแค่คิดมากไปอยู่หรอกนะ… แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วคนข้างในนั้นส่วนใหญ่มันก็เป็นไปตามที่เดริคเขาว่ามานั่นล่ะครับ… ถึงจะมีบางคนที่พอจะใช้ได้อยู่บ้างก็จริง แต่ว่าพวกนั้นก็แค่ส่วนน้อยนั่นล่ะครับ…”
“โหว~ นี่มันอะไรเนี่ย~”
“ฮ—เฮ้ย!?”
ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังคุยถึงเรื่องของทหารของกราวิทัสกันอยู่นั้นอยู่ๆ พรีมูล่าก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับพุ่งมือเข้าไปภายในห้องโดยสารและหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาอ่านดูโดยไม่ได้สนใจเดริคที่ร้องออกมาอย่างตกใจเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาต้องรีบพูดว่าน้องสาวของเขาออกมาในทันที
“อย่าซนสิพรีมูล่า!”
“นี่ๆ พี่นากา มาดูนี่สิ”
พรีมูล่าที่อ่านเอกสารในมือเสร็จแล้วได้ร้องเรียกพี่ชายของเธอให้เข้ามาอ่านเอกสารแผ่นนั้นด้วยกันโดยไม่ได้สนใจคำดุว่าของนากาเลยแม้แต่น้อยแถมเธอยังแอบชำเลืองมองไปยังเดริคที่เป็นเจ้าของเอกสารแผ่นนั้นด้วยแววตาสงสารซะอีกด้วยซ้ำจนทำให้เขาต้องร้องโวยวายขึ้นมา
“นี่เธอมองฉันแบบนี้หมายความว่าไงหะ!?”
“อย่าไปแอบอ่านเอกสารของคนอื่นแบบนั้นสิพรีมูล่า… ส่งมานี่มา”
“นายว่าน้องสาวนายไปแบบนั้นก็อย่าเอาไปอ่านเองสิเฮ้ย!!”
เดริคที่ยื่นมือออกมารอรับเอกสารของเขาจากนากานั้นได้แต่ตะโกนว่าเด็กหนุ่มผมดำตรงหน้าไป เพราะว่าหลังจากที่นากาเพิ่งจะเอ่ยปากดุน้องสาวของเขาเรื่องการแอบอ่านเอกสารของคนอื่นไปตัวนากาที่รับเอกสารแผ่นนั้นมาก็กลับเอามันไปอ่านซะเองอีกคนหนึ่ง
ซึ่งข้อมูลที่ถูกระบุไว้ในเอกสารนั้นก็ทำให้นากาได้ทราบว่ามันคือเอกสารการว่าจ้างของเดริคที่ถูกออกโดยวังหลวงกราวิทัสทำให้เขาตัดสินใจที่จะส่งมันคืนกลับไปให้เจ้าของในทันที แต่ว่าทันใดนั้นเองนากาก็ชะงักไปและพูดขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเขาสังเกตเห็นจำนวนเงินค่าจ้างที่อีกฝ่ายได้รับมา
“เดี๋ยวสิ— นี่นายได้ค่าจ้างมาแค่นี้เองหรอ!? ร้อยห้าสิบคริสต้านี่มันแทบจะพอๆ กับค่าขนมที่ฉันกะจะให้พรีมูล่าตอนอยู่ในเมืองรีมินัสเลยนะ!?”
“นี่ปกตินายเลี้ยงน้องสาวของนายยังไงกันเนี่ย…?”
ทีออสที่ได้ยินคำพูดของนากานั้นถึงกับต้องเลิกคิ้วมองเขาด้วยความสงสัย เพราะถึงแม้ว่าเงินหนึ่งร้อยห้าสิบคริสต้าจะเรียกได้ว่าน้อยมากสำหรับงานที่ถูกจ้างจากทางวัง แต่ว่ามันก็มากเกินไปที่จะนับเป็นค่าขนมของเด็กคนหนึ่งได้
แต่ถึงแม้ว่าทีออสจะรู้สึกสงสัยถึงวิธีการเลี้ยงดูน้องสาวของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่ว่าเขาเองก็รู้สึกโล่งใจที่เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเคยเจอหน้าก็คิดเหมือนกับเขาว่าค่าจ้างที่เดริคได้รับนั้นน้อยเกินไปจริงๆ จนทำให้เดริคได้แต่โวยวายออกมาอีกครั้ง
“เอ้า! แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ! ถ้าขืนมัวแต่เรื่องมากมีหวังได้โดนคนอื่นแย่งงานไปหมดสิ ถึงงานนี้จะได้ค่าจ้างน้อยไปหน่อยแต่มันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะ!”
“แต่เงินแค่นี้มันก็น้อยเกินไปหน่อยไม่ใช่หรอ!? ร้อยห้าสิบคริสต้านี่แค่ปล่อยพรีมูล่าไว้ในร้านขนมชั่วโมงเดียวก็หมดแล้วนะ!”
“ร้อยห้าสิบในชั่วโมงเดียว…”
คำพูดของนากานั้นถึงกับทำให้เดริคต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองอย่างทำใจไม่ได้ เพราะว่าสำหรับชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างเขาแล้วเงินจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคริสต้านั้นถ้าใช้แบบประหยัดๆ จริงๆ ล่ะก็สามารถซื้อของกินประทังชีวิตได้เป็นเดือนเลยซะด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้ว่าเดริคจะแสดงอาการปลงตกในชีวิตออกมา ทางด้านทีออสที่เหมือนจะคุ้นเคยกับความฟุ้งเฟ้อมาจากภายในวังหลวงอยู่บ้างก็ได้หันไปมองผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลืออย่างเซซิลกับมายะเล็กน้อยแล้วจึงพูดถามนากาขึ้นมา
“จะว่าไปเมื่อเช้านี้ผมเห็นพวกนายนั่งรถของทางเมืองตรงไปทางวังหลวงสินะครับ ผมขอถามหน่อยได้หรือเปล่าว่าเข้าไปทำอะไรข้างในนั้นน่ะ?”
“อ่า…ก็…”
นากาที่ถูกทีออสถามขึ้นมานั้นได้แต่เหลือบตาไปมองสามสาวที่มาด้วยกันเหมือนกับพยายามจะถามพวกเธอว่าเขาควรจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องประชุมให้พวกทีออสฟังหรือเปล่า
แต่ก็แน่นอนว่าพรีมูล่าที่นอนห้อยหัวอยู่บนหลังคารถนั้นได้ทำตาแป๋วมองเขากลับมาเหมือนกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาอยากจะถามเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางเซซิลที่ปกติก็ไม่ค่อยจะพูดจาอะไรอยู่แล้วก็กำลังนั่งกอดอกเลิกคิ้วมองเขากลับมาเหมือนกับกำลังสงสัยว่าเขาจะหันมาถามเธอทำไมกัน
จะมีก็แต่มายะที่เผลอสะดุ้งไปกับสายตาของนากาจนได้แต่มองสลับไปมาระหว่างสาวๆ อีกสองคนเหมือนกับว่าทำอะไรไม่ถูกอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพยักหน้าหงึกๆ ให้นากาแล้วจึงรีบหลบไปนั่งอยู่ข้างๆ เซซิลอย่างรวดเร็ว
ซึ่งนากานั้นก็พยักหน้ากลับไปให้เธอแล้วจึงค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างในห้องประชุมให้เพื่อนใหม่ทั้งสองคนของเขาฟัง
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พวกฉันถูกเชิญมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแถวรีมินัสน่ะ”
“เรื่องที่รีมินัส…? พอจะบอกได้หรือเปล่าว่านายให้ข้อมูลกับใครไปน่ะ?”
เดริคที่ได้ยินทีออสถามถึงเรื่องน่าสนใจนั้นได้รีบลุกขึ้นมาสอบถามนากาเพิ่มเติมดูในทันที ซึ่งนากานั้นก็พยายามจะตอบไปเท่าที่เขาจำได้เช่นกัน
“ก็… เห็นมีคนที่แต่งตัวเหมือนขุนนางอยู่ห้าคน รู้สึกว่าหนึ่งในนั้นจะชื่อว่าโดตั้นหรือว่าอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ”
“หมอนั่นจริงๆ ด้วยแฮะ… ถ้างั้นอีกสี่คนที่เหลือก็คงจะเป็นหน่วยรักษาความมั่นคงล่ะมั้ง…”
“ถ้าไม่ใช่คนในหน่วยของมันก็คงจะไม่พ้นพวกขุนนางที่สมรู้ร่วมคิดกับมันนั่นล่ะ…”
“เอ่อ…ถึงกับเรียกขุนนางว่า ‘มัน’ กันเลยหรอ…?”
คำพูดและน้ำเสียงของสองสหายที่หันไปคุยกันเองนั้นก็แทบจะทำให้นากาสะดุ้งไปเล็กน้อยและถามพวกเขาไปอย่างหวาดๆ ซึ่งเดริคนั้นก็ได้หันกลับมาพูดอธิบายให้นากาที่ไม่รู้เรื่องภายในของเมืองกราวิทัสฟังในทันทีราวกับว่าเขาอัดอั้นมานานแล้ว
“หึหึ นายมาจากรีมินัสก็เลยน่าจะไม่รู้สินะว่าพวกมันเคยทำอะไรเอาไว้บ้างน่ะ… พวกมันน่ะวันๆ เอาแต่ออกประกาศว่าทุกอย่างในเมืองเรียบร้อยดีขอให้ประชาชนไว้วางใจ แต่ว่าพอถึงเวลาพวกมันก็เบิกงบประมาณส่วนที่ควรจะเอาไปพัฒนาบ้านเมืองไปซื้อ’ ของเล่น’ จากเมืองอื่นมาเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เรื่องสิ่งประดิษฐ์ของกราวิทัสเราเองก็ไม่เป็นรองเมืองไหนแท้ๆ ! แถมพวกมันยังทำเรื่องเบิกงบไปซื้อของเล่นใหม่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ของเก่าๆ ก็มีกันอยู่เต็มคลังจนแทบจะไม่มีที่เก็บกันอยู่แล้วอย่างไอเจ้ารถคันนี้เนี่ย!!”
ปึ้ง!!
“หว๋าาาา~!”
เดริคที่พูดอธิบายให้นากาฟังนั้นเหมือนจะหัวเสียขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่พวกขุนนางทำกับเมืองของพวกเขาเอาไว้และเผลอทุบไปที่ประตูของรถเข้าเต็มแรงจนทำให้พรีมูล่าที่นอนห้อยหัวอยู่บนหลังคานั้นร้องออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งเดริคที่ได้ยินเสียงร้องของพรีมูล่านั้นก็รีบสงบสติและพูดขอโทษเด็กสาวผมชมพูไปในทันที
“อ่ะ…โทษที ลืมไปว่าเธออยู่ข้างบนนั้นน่ะ”
“มันก็อย่างที่เดริคเขาบอกนั่นล่ะครับ…แต่ว่าพวกนายไม่ต้องใส่ใจมากหรอก เรื่องปัญหาภายในเมืองกราวิทัสนี่ผมมั่นใจว่าสักวันนึงจะมีคนลุกขึ้นมาจัดการพวกมันเองล่ะครับ”
“ก็ถ้านายพูดอย่างนั้นล่ะก็นะ….”
นากาที่ได้ยินเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองของกราวิทัสนั้นได้แต่พูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนกับว่าไม่อยากให้คนจากต่างเมืองอย่างเขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้นากาจึงได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของทั้งสองคนแต่โดยดี ก่อนที่เขาจะหันไปถามเรื่องที่เขาสะกิดใจขึ้นมาแทน
“จะว่าไปเดริค นายบอกว่ามีของเก่าๆ หมกเต็มคลังไปหมดนี่หมายความว่านายรู้เกี่ยวกับเรื่องกำลังทหารของกราวิทัสด้วยหรอ? คือ… ฉันหมายความว่ามันน่าจะเป็นเรื่องภายในวังที่พวกขุนนางน่าจะพยายามปิดจากคนภายนอกไม่ใช่หรอน่ะ?”
“อ่า จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่แหล่ะ แต่จะว่ายังไงดีล่ะ…”
คำถามของนากานั้นทำให้เดริคได้แต่ยกนิ้วขึ้นมาเกาแก้มตัวเองเหมือนกับไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี และเมื่อทีออสเห็นแบบนั้นเขาจึงได้อาสาที่จะพูดอธิบายให้นากาฟังแทนเอง
“ถ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น… ตระกูลของเดริคเขาเป็นช่างทำอาวุธประจำเมืองกราวิทัสน่ะครับ เพราะงั้นเมื่อก่อนเดริคเขาก็เลยต้องเข้าไปติดต่อกับคลังอาวุธของเมืองอยู่เป็นประจำ เขาก็เลยพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ของเมืองอยู่บ้าง”
“เอ๋ะ? ‘เมื่อก่อน’ หรอ? หมายความว่าตอนนี้พี่เดริคไม่ได้เข้าไปติดต่อแล้วหรอ?”
พรีมูล่าที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนหลังคารถจนเสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นไปหมดนั้นก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเมื่อเธอได้ยินคำพูดที่ฟังดูแปลกๆ ของทีออสเข้า
“ครับ พอดีว่าเดริคเขา… เอ่อ… ไม่ถูกกับงานด้านนั้นน่ะครับ… เขาก็เลยยกกิจการของครอบครัวให้น้องชายเขาไปน่ะครับ”
“สรุปง่ายๆ มันก็ตามที่ทีออสว่ามานั่นแหล่ะ… แต่ว่าจะไป… ตอนที่พวกนายเข้าไปคุยกับไอ้เจ้าโดตั้นนั่นพวกมันได้พูดถึงเรื่องขอเบิกงบเพิ่มหรืออะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
เดริคที่ได้ยินเพื่อนของตนพูดอธิบายขึ้นมาแทนแล้วนั้นได้รีบพูดเปลี่ยนเรื่องออกมาในทันทีเหมือนกับว่าเขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องกิจการของตระกูลตัวเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งนากานั้นก็ได้พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปตามตรง
“อ่า… ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเหตุผลหลักที่เขาเรียกพวกฉันมาเลยล่ะ เห็นบอกว่าจะขอเบิกงบไปเสริมการป้องกันวังหลวงหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ”
“อีกแล้วเรอะ!!”
คำตอบของนากานั้นถึงกับทำให้เดริคหลุดตะโกนออกมาเสียงดังอีกครั้ง ในขณะที่ทีออสนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เหมือนกับว่าเขาคาดเอาไว้แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ส่วนทางด้านนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเลิกคิ้วและถามเขากลับไป
“นายบอกว่าอีกแล้วนี่หมายความว่าก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วหรอ? แบบว่าเรียกคนจากเมืองอื่นเข้ามาถามเพื่อทำเรื่องเบิกงบเนี่ย?”
“ก็นั่นแหล่ะ! คราวก่อนที่พวกมันเบิกงบไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแท้ๆ แล้วคราวนี้พวกมันยังจะมีหน้าเรียกพวกนายมาเพื่อขอเบิกงบเพิ่มอีกเนี่ยนะ!!”
เดริคพูดอธิบายให้นากาฟังด้วยความหงุดหงิดเมื่อเขาคิดถึงงบประมาณของเมืองที่ถูกพวกโดตั้นล้างผลาญไปโดยไม่เห็นผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่สักอย่างเดียว ก่อนที่เขาจะหันกลับไปจ้องนากาด้วยสายตาน่ากลัวพร้อมกับพูดสอบถามขึ้นมาเพิ่มเติม
“แล้วรอบนี้พวกนั้นเบิกไปเท่าไหร่ล่ะหะ!? ห้าหมื่นคริสต้า? หนึ่งแสนคริสต้า!?”
“อ…เอ่อ… ก็…”
“ห้าแสน…”
ในขณะที่นากากำลังลังเลว่าจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรงดีมั้ยนั้น เซซิลที่นั่งกอดอกฟังพวกเขาคุยกันอยู่ก็ได้พูดขึ้นมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ของเธอ ซึ่งจำนวนเงินที่เซซิลพูดขึ้นมานั้นถึงกับทำให้เดริคนิ่งค้างไปสักพักก่อนที่เขาจะแหกปากออกมาเสียงดังกว่าทุกที
“ห—ห้าแสนเลยหรอ!!?”
“อ—อ่า มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ…”
“เยอะกว่ารอบก่อนอีกนะครับเนี่ย… คราวก่อนที่พวกเขาเบิกไปเห็นประกาศออกมาว่าเบิกไปแค่แสนเดียวเอง”
“ไอ้เจ้าพวกนั้นมันบ้าไปแล้วหรือไงเนี่ยหะ!! ห้าแสนเนี่ยนะ!? ห้าแสน!!”
“น่าๆ ห้าแสนนี่อาจจะเป็นยอดรวมจากรอบก่อนด้วยก็ได้นะ ยังไงก็ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”
นากาที่เห็นเดริคแหกปากโวยวายออกมาเหมือนกับว่าสติหลุดไปแล้วนั้นได้พยายามที่จะพูดให้เดริคสงบสติลงก่อน ซึ่งมันก็เหมือนว่าจะได้ผลอยู่บ้างเมื่อเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินได้ยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองพร้อมกับพูดพึมพำขึ้นมา
“นั่นสินะ… อาจจะเป็นยอดรวมกับที่เบิกรอบก่อนด้วยก็ได้… ซะที่ไหนกันเล่า!! ต่อให้หักจากครั้งก่อนไปแสนนึงแล้วมันก็ยังหมายความว่าพวกมันเบิกเพิ่มไปอีกตั้งสี่แสนไม่ใช่หรือไง!! แล้วดูค่าจ้างที่พวกมันจ้างให้ฉันมาขับรถส่งพวกนายนี่สิ!!”
“แต่นั่นมันราคาที่คนจากในวังเขาจ้างนายมาอีกทีไม่ใช่หรอเดริค… ไม่แน่ว่าคนที่จ้างนายมาอาจจะได้งบมาแค่นั้นจริงๆ ก็ได้นะ”
“ก็จริงแฮะ…”
สิ่งที่ทีออสพูดออกมานั้นทำให้เดริคสงบลงมาได้ในทันที ซึ่งนากาที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกความเห็นออกมาบ้างเช่นกัน
“ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบที่ทีออสว่ามานะ พวกที่แย่จริงๆ อาจจะมีแค่พวกขุนนางหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ได้”
“เฮ้ออออ… ก็หวังว่าจะเป็นแบบที่พวกนายว่ามาล่ะนะ…”
เดริคถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์จนเส้นผมสีน้ำเงินที่ถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อยของเขานั้นยุ่งกระเซิงไปหมด ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของมายะดังขึ้นมาแว่วๆ ให้เด็กหนุ่มทั้งสามคนได้ยิน
“น…นี่ พรีมูล่าจัง…ด…เดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก…”
“จุ๊ๆ พี่มายะก็เงียบเอาไว้สิ…”
หมับ
“ซนจังนะเธอน่ะ…”