บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 60 Costly Innovation
“อ่ะ—แหะๆ”
พรีมูล่าที่ถูกเดริคคว้าแขนเอาไว้นั้นได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อความพยายามในการแอบหยิบแผ่นเอกสารอีกครั้งของเธอนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ในขณะที่นากาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจกับความซนของน้องสาวตัวแสบของเขา ก่อนที่เขาจะรีบเอ่ยปากไล่พรีมูล่าให้กลับลงไปนั่งรวมกับมายะและเซซิลดีๆ สักที
“ลงมาได้แล้วพรีมูล่า! ถ้าเกิดเธอยังไม่ยอมลงมาดีๆ เดี๋ยวพอกลับไปถึงบ้านแล้วพี่จะไม่ยอมให้คอนแนลพาเธอออกไปเดินเล่นแล้วนะ!”
“เอ๋~~~~!?”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำขู่จากพี่ชายของเธอนั้นได้ร้องออกมาอย่างตกใจและรีบหดแขนของเธอพร้อมกับกลิ้งตัวลงจากหลังคารถเพื่อกลับไปนั่งอยู่ในกระบะด้านหลังอย่างลนลานจนเผลอปัดกองเอกสารที่เธอหมายตาเอาไว้เข้าอย่างจังทำให้แผ่นเอกสารบางส่วนปลิวตกออกมานอกตัวรถ ซึ่งนากาที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาและก้มลงไปเก็บแผ่นเอกสารพวกนั้นในทันที
“เฮ้อ… ระวังหน่อยสิพรีมูล่า… หือ?”
แต่ว่านากาที่ก้มลงไปหยิบเอกสารพวกนั้นก็ได้ชะงักไปเมื่อเขาเห็นสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารพวกนั้น ก่อนที่เขาจะหันไปถามเดริคที่เหมือนจะเป็นเจ้าของเอกสารพวกนี้ดู
“เอ่อ… เดริค กระดาษพวกนี้มัน…?”
“อ่ะ— อ๋อ! ไอกระดาษพวกนั้นฉันได้มาจากพวกพ่อค้าเร่น่ะ นายไม่ต้องไปสนใจอะไรมันหรอก!”
เดริคพูดตอบนากากลับไปอย่างลนลานพร้อมกับรีบฉวยแผ่นกระดาษพวกนั้นไปในทันทีเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้เพื่อนสนิทของเขาเห็นมัน แต่ว่าทันใดนั้นเองก็ได้มีเอกสารอีกแผ่นหนึ่งปลิวออกมาจากห้องโดยสารและร่วงหล่นลงที่พื้นตรงหน้าของทีออสเข้าพอดี
“เห… ไม่เห็นเหมือนกับที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้เลยนี่เดริค?”
ทีออสที่ก้มลงไปหยิบเอกสารแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านได้หันไปหรี่ตามองเดริคจนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง เพราะว่าพวกแผ่นเอกสารที่เขาพยายามซ่อนให้พ้นจากสายตาของทีออสนั้นคือใบปลิวรับสมัครพนักงานของร้านค้าต่างๆ จำนวนมากจากเมืองรีมินัสนั่นเอง
“ก—ก็นายคิดจะให้ฉันถามเด็กนักเรียนอย่างพวกนากาเขาเกี่ยวกับเรื่องการหางานจริงๆ หรือไงน่ะหะทีออส!? ส่วนพวกนายเองก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นก็ตั้งใจเรียนกันหน่อยละกันจะได้ไม่ต้องมาลำบากนั่งหางานแบบฉันเนี่ย!”
“จะว่าไปพวกนายก็อายุพอๆ กันกับพวกฉันนี่ทำไมถึงเริ่มทำงานกันแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกนายน่าจะยังต้องเรียนอยู่ในโรงเรียนของกราวิทัสหรอกหรอ?”
“เอ่อ… มันก็…”
คำถามของนากานั้นทำให้ทีออสได้แต่หันไปมองเพื่อนสนิทของเขาเหมือนกับจะขอความเห็นว่าควรบอกให้พวกนากาที่เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรกฟังดีหรือเปล่า แต่ว่าเดริคนั้นก็กลับยักไหล่กลับมาให้เขาเหมือนกับจะบอกว่าอยากจะทำอะไรก็ทำซะอย่างนั้น ซึ่งทีออสนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขาต้องมาทำงานกันตั้งแต่ยังอายุเท่านี้ให้นากาฟัง
“ก็ถ้าตามปกติแล้วพวกเราก็คงจะยังเรียนอยู่ในโรงเรียนนั่นล่ะ… แต่พอดีว่าเดริคเขาดันไปยุ่งไม่เข้าเรื่องกับพวกลูกหลานของอาจารย์ในโรงเรียนเข้าจนโดนไล่ออกมาซะก่อนน่ะ”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่! พวกนั้นดันเอาเงินส่วนกลางของห้องไปใช้กันเองตามอำเภอใจ แล้วพอโดนฉันรู้เข้าพวกนั้นก็ไปบอกพ่อแม่ให้กดเกรดของฉันลงแถมยังขู่อีกว่าถ้าเอาไปบอกใครพวกมันจะกดเกรดของน้องชายฉันไปด้วยเนี่ย!
“…..”
“ร…เรื่องจริงหรอคะ?”
คำพูดของเดริคนั้นทำให้เซซิลที่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่มายะนั้นถึงแม้จะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง แต่ว่าด้วยความที่ไดเอน่าที่เป็นประธานนักเรียนของรีมินัสกับท่านผู้อำนวยการคนปัจจุบันนั้นค่อนข้างจะเข้มงวดมากก็ทำให้เธอไม่เคยได้เจอเรื่องแบบนั้นกับตัวมาก่อน
“เฮ้อ… จะจริงหรือเปล่านั่นก็แล้วแต่ว่าพวกเธอจะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือทั้งฉันทั้งน้องชายก็ออกจากโรงเรียนมากันหมดแล้ว เพราะงั้นจะถามหาความจริงตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์แล้วล่ะ”
“แต่นายเล่นยกกิจการที่บ้านให้น้องนายไปด้วยแบบนี้แล้วตัวนายเองจะทำยังไงล่ะหื้อ…?”
“ย—ยุ่งหน่า!”
เดริคที่ได้ยินคำถามของทีออสนั้นได้รีบพูดปัดอีกฝ่ายไปในทันทีพร้อมกับฉวยเอาใบปลิวสมัครงานที่เพื่อนของตนถือเอาไว้กลับมา ในขณะที่นากานั้นก็ได้พูดถามขึ้นมาถึงสิ่งที่ทีออสพูดออกมาก่อนหน้านี้
“จะว่าไปที่ทีออสเขาพูดก่อนหน้านี้นี่หมายถึงอะไรหรอ? ที่ว่าไม่เหมือนกับที่คุยกันเอาไว้น่ะ… ถ้าฟังจากที่นายตอบทีออสไปนี่น่าจะหมายความว่านายมีเรื่องอยากจะถามเกี่ยวกับเมืองรีมินัสสินะ? ถ้ายังไงก็ลองถามมาดูก่อนสิ อันไหนตอบได้เดี๋ยวฉันจะตอบให้เอง”
“เอ๋… จะดีหรอ…?”
“ถ้านายไม่กล้าถามเดี๋ยวฉันจะเป็นคนถามแทนให้เองก็ได้นะ”
ทีออสที่เห็นว่าเพื่อนของตนมัวแต่เกรงใจไม่เข้าเรื่องได้นั้นพูดตัดบทขึ้นมาจนทำให้เดริคได้แต่พูดบ่นอีกฝ่ายกลับไปเบาๆ
“ฉันถามเองได้น่า!! นี่นายเป็นเพื่อนหรือว่าเป็นแม่ของฉันกันแน่เนี่ยหะ?”
“อ้ะๆ ! ประโยคนั้นหนูก็พูดใส่พี่นากาอยู่บ่อยๆ เหมือนกันเลยอ่ะ!”
“เดี๋ยวเถอะพรีมูล่า!”
นากาที่ได้ยินคำพูดของพรีมูล่านั้นก็ได้หันไปพูดว่าเธอที่เสียมารยาทพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่เขาจะพบว่าน้องสาวของเขาได้ปีนกลับขึ้นไปนั่งบนหลังคารถอีกครั้งหนึ่งแล้วเหมือนกับว่าคำขู่ก่อนหน้านี้ของเขาจะไม่ได้ผลมากพอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาจำเป็นต้องเอ่ยปากหาคนช่วยจัดการจับน้องสาวของตนให้อยู่นิ่งๆ สักที
“…นี่เธอจะเลิกปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคารถสักทีได้หรือยังเนี่ยหะ!? เซซิลช่วยฉันจับยัยตัวแสบนั่นเอาไว้ให้หน่อยสิ!!”
“เฮ้อ… ลงมา…”
“ม่ายยยยย หนูอยากนั่งบนนี้อ่ะ! ปล่อยหนูนะ!!”
เซซิลที่ถูกนากาเรียกใช้งานนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไปดึงคอเสื้อของพรีมูล่าและลากให้อีกฝ่ายกลับมานั่งประจำที่โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเธอเลยแม้แต่น้อย
“บู่ววววววว! พี่เซซิลขี้เหนียวอ่ะ! เข้มงวดมากเดี๋ยวก็หน้าแก่ไวหรอก!!”
“ให้ตายสิ…”
พรีมูล่าที่ถูกเซซิลจับมานั่งคุมตัวอยู่ข้างๆ นั้นได้แต่ทำแก้มป่องใส่เซซิลจนทำให้เธอต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยใจ ส่วนทางด้านเดริคที่เห็นความร่าเริงของพรีมูล่าเข้าไปนั้นก็อดที่จะแอบยิ้มออกมานิดหน่อยเป็นไม่ได้
“น้องนายนี่ร่าเริงดีนะ”
“ร่าเริงเกินไปเลยล่ะ…”
“ฮะฮะ แต่ผมว่าเด็กๆ ร่าเริงแบบนี้ก็ดีแล้วนะครับ”
“ถ้านายอยู่กับยัยนี่มานานพอแบบฉันแล้วนายจะรู้เลยล่ะว่าคิดผิดน่ะ…”
นากาค่อยๆ ตอบพูดตอบคำถามของเพื่อนใหม่ของเขาไปทีละคนโดยไม่ได้สนใจพรีมูล่าที่กำลังทำแก้มป่องอยู่เลยแม้แต่น้อยและถามเดริคกลับไปถึงเรื่องที่เขาคิดจะถามขึ้นมาในทีแรก
“เอาล่ะ แล้วเรื่องที่นายจะถามเมื่อกี้มันคือเรื่องอะไรล่ะ? รีบๆ ถามก่อนที่ยัยพรีมูล่าจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีกรอบจะดีกว่านะ”
“หนูไม่ปีนแล้วก็ได้! บู่วววววว!!”
“เอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ตอนแรกฉันกะจะถามพวกนายพอว่าจะรู้ว่ามีที่ไหนในเมืองรีมินัสกำลังเปิดรับสมัครงานอยู่หรือเปล่าน่ะ… แต่คิดไปคิดมาพวกนายก็ยังเป็นนักเรียนอยู่เพราะงั้นคงจะไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนั้นหรอกใช่มั้ยล่ะ”
“เอ่อ… มันก็จริงแฮะ… อื้มมม….”
นากาที่ได้ยินคำถามของเดริคนั้นได้พยายามนึกดูอยู่สักพักใหญ่ว่าเขาเคยเห็นร้านค้าหรืออะไรพวกนั้นในเมืองรีมินัสกำลังเปิดรับสมัครงานอยู่บ้างหรือเปล่า ถึงแม้ในใจเขาจะมั่นใจว่าถ้าพาอีกฝ่ายไปหาเอริกะเธอก็น่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักก็ตามที
แต่ในขณะที่นากากำลังจะพูดบอกเดริคไปนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้เอริกะเองก็ดูเหมือนจะยุ่งจนหัวปั่นอยู่มากพอแล้วจนทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจและยั้งคำพูดตัวเองเอาไว้เพราะว่าไม่อยากจะรบกวนเอริกะไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่
“ฮะฮะ นายไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ตอนแรกฉันก็กะว่าจะลองไปหางานดูเอาเองในเมืองอยู่แล้วล่ะ ที่ลองถามดูนี่ก็เพราะว่าทีออสเขาตื๊ออยู่นั่นต่างหาก”
“อ่าว นี่กลายเป็นความผิดฉันอีกใช่มั้ยเนี่ย”
เดริคที่เห็นนากาพยายามคิดหาคำตอบให้เขาได้หัวเราะออกมาก่อนจะพูดบอกนากาไปแบบไม่คิดอะไรมากแต่ว่าคำพูดของเขานั้นก็ทำให้ทีออสหันไปเลิกคิ้วมองเพื่อนของตนในทันที ในขณะที่ทางด้านนากาเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับงานในเมืองรีมินัสเลยนั้นก็แต่พูดบอกข่าวที่เขารู้มาให้อีกฝ่ายฟังไป
“อ่ะ จริงด้วยสิ…ถึงเรื่องงานในเมืองรีมินัสนี่ฉันจะไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ แต่ฉันได้ยินมาจากพวกทหารรับจ้างว่าที่แพนเทร่าน่าจะมีงานให้ทำอยู่นะ เห็นบอกเป็นเพราะว่าเมืองแพนเทร่าเพิ่งจะถูกโจมตีไปจนขาดแคลนกำลังคนน่ะ ถ้านายคิดจะหางานทำล่ะก็ที่นั่นน่าจะมีโอกาศเยอะที่สุดแล้วล่ะ”
“แพนเทร่าที่อยู่ทางเหนือนั่นน่ะหรอ? แต่เมืองนั้นก็ไกลเกินไปหน่อยล่ะมั้งเนี่ย…”
“เดี๋ยวนะ… แบบนี้มันก็หมายความว่าข่าวลือที่ว่าแพนเทร่าถูกโจมตีนั่นก็เป็นเรื่องจริงงั้นสินะ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นข้ออ้างที่พวกมันสร้างขึ้นมาเพื่อขอเบิกงบเพิ่มเฉยๆ ซะอีกนะครับเนี่ย…”
ทีออสที่ได้ยินนากาพูดถึงเรื่องข่าวลือที่ว่าปราสาทแพนเทร่าถูกโจมตีได้พูดถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็หันตอบคำถามของเขาตามตรง
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ… เพราะว่าที่จริงแล้วฉันก็ได้ยินต่อมาอีกทอดนึงจากพวกทหารรับจ้างเขาเหมือนกันน่ะ แต่ที่ยืนยันได้แน่ๆ ก็เรื่องที่ว่ามีคนบุกมาแถวรีมินัสเหมือนกันน่ะ”
“งั้นเองสินะครับ… ถ้างั้นเรื่องที่เจ้าพวกนั้นอ้างมาก็คงจะพอมีเรื่องจริงผสมอยู่บ้างเหมือนกันสินะเนี่ย”
“ฮึ๊บ! เรื่องของกราวิทัสนั่นช่างมันก่อนเถอะ พูดไปก็มีแต่จะอารมณ์เสียกว่าเดิมเปล่าๆ นั่นล่ะ ตอนนี้พวกเราออกเดินทางกันต่อเลยดีกว่า ฉันว่าฉันพร้อมจะขับต่อแล้วล่ะ”
ในขณะที่ทีออสกำลังทำท่าเหมือนกับว่าจะกลับไปบ่นถึงเรื่องภายในวังหลวงของกราวิทัสนั้น เดริคก็ได้โยนแผ่นใบปลิวสมัครงานในมือของเขากลับเข้าไปในห้องโดยสารแบบส่งๆ พร้อมกับบิดยืดเส้นยืดสายไปมาอยู่สักพักจนทำให้นากาต้องหันไปมองเขาด้วยความเป็นห่วง
แต่นากาก็พบว่าเดริคนั้นดูเหมือนจะกลับมามีเรี่ยวแรงดีแล้วแตกต่างจากตอนที่เขาเพิ่งจะจอดรถและกลิ้งลงไปนอนกับพื้นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองเดริคเองน่าจะเคยผ่านการใช้งานวิซหนักๆ มาบ้างพอสมควรแล้วเขาถึงได้รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี แตกต่างจากโมโกะที่ล้มพับลงไปหลังจากลองขับรถเป็นครั้งแรกอยู่มาก
“อ่า นั่นสินะ ถ้างั้นก็ฝากด้วยละกันนะเดริค”
“อื้ม ถ้าเกิดไม่ต้องเร่งเครื่องมากแบบตอนที่หนีออกมาล่ะก็ไม่มีปัญหาหรอก! วางใจได้เลย!”
เดริคตอบนากากลับไปก่อนที่เขากับทีออสจะปีนเข้าไปในห้องโดยสาร ส่วนนากานั้นก็ปีนกลับขึ้นไปด้านหลังรถกระบะและดึงตัวพรีมูล่ามานั่งใกล้ๆ กันเพื่อคุมไม่ให้เธอแอบซนปีนขึ้นไปบนหลังคารถอีก
และหลังจากนั้นอีกไม่นานเครื่องยนต์ของรถที่พวกเขานั่งกันอยู่ก็เริ่มทำงานอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่เดริคได้โผล่หัวออกมาจากห้องโดยสารและตะโกนบอกพวกนากาที่นั่งกันอยู่ทางด้านหลังก่อนที่เสียงของทีออสจะดังแว่วมาให้พวกเขาได้ยินด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ได้เวลาพาพวกนายกลับรีมินัสกันแล้ว~”
“ถ้าเกิดเหนื่อยหรือรู้สึกไม่ดีขึ้นมานายก็อย่าฝืนละกัน เดี๋ยวฉันขับแทนให้ได้”
“รู้แล้วหน่า! แล้วก็ไม่ต้องเตือนออกมาแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นก็ได้ มันน่าอายนะรู้มั้ย!”
ปัง–ปัง–ปัง–ปัง–
ในเวลาเดียวกันที่เขตเมืองจำลองของโรงเรียนรีมินัสที่เอริกะเคยบอกเอาไว้ว่าเป็นสนามฝึกซ้อมของพวกนั้นเรียนก็ได้มีเสียงปืนดังลั่นขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงของอลิซที่ตะโกนออกมาเพื่อสร้างกำแพงอากาศสีเขียวอ่อนขึ้นมาขวางกระสุนวิซเหล่านั้นเอาไว้
“พี.คิว ออน!!”
เปรี๊ยะ!
“เอาล่ะ…!”
อลิซที่เห็นว่าคู่ต่อสู้ได้หยุดยิงลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาน่าจะกำลังเปลี่ยนตลับกระสุนอยู่ได้สลายกำแพงอากาศของเธอไปจนทำให้ดาบของเธอที่กำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนๆ ออกมานั้นกลับไปเป็นดาบธรรมดาตามเดิม
ซู่มมม! เอี๊ยดดดดด!!
และจากนั้นอลิซก็สั่งให้พาร์ทไอพ่นที่เอวของเธอพ่นเปลวไฟออกมาเพื่อผลักร่างของเธอให้พุ่งหลบเข้าไปในซอกตึกและลัดเลาะไปตามซอกซอยต่างๆ ของเมืองจำลองด้วยความรวดเร็ว
“ร—เร็ว—!?”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในชุดนักเรียนของรีมินัสที่เป็นเจ้าของกระสุนนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นความเร็วในการเคลื่อนที่ของเด็กสาวผมสีขาวพร้อมกับรีบเร่งเปลี่ยนตลับกระสุนปืนที่ถูกซ่อนเอาไว้ในใบดาบของเขาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ปัง! ปัง!
ซึ่งเขาก็ได้รีบลั่นกระสุนออกมาจากปืนที่ถูกซ่อนไว้ในใบดาบเข้าใส่อลิซที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาในทันทีที่บรรจุกระสุนเสร็จ
ฟุ๊บ
แต่ว่าอลิซก็ได้ใช้ไอพ่นที่เอวของเธอในการเบี่ยงตัวหลบออกไปข้างๆ โดยที่ความเร็วแทบจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะพุ่งผ่านเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มไปทางคู่ต่อสู้อีกคนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลจนทำให้เขาต้องรีบตะโกนเตือนเพื่อนร่วมทีมของตนออกมา
“ชิ! ซิลเวส!! เป้าหมายไปทางเธอแล้ว!!”
“อ—เอ๋ะ? ทางหนูหรอพี่เนล?”
เด็กสาวหูแมวผมสีฟ้าที่มัดผมส่วนหนึ่งเป็นทวินเทลเล็กๆ นั้นได้หันไปมองเพื่อนร่วมทีมของเธอด้วยความสงสัย เพราะว่าเมื่อเธอหันไปมองทางอีกฝ่ายนั้นเธอก็กลับไม่เห็นวี่แววของคู่ต่อสู้ที่เพิ่งจะหลบเข้าไปในซอยด้านข้างแล้วแม้แต่น้อย
แต่ว่าก่อนที่เด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มจะได้พูดอะไรตอบกลับมานั้น ร่างของอลิซก็ได้พุ่งออกมาจากซอกตึกใกล้ๆ กับตัวซิลเวลพร้อมกับตวัดดาบเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว
“ว๊าย!?”
เคล๊ง!!
ถึงแม้ว่าซิลเวลจะหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ว่าเธอก็สามารถที่จะสะบัดค้อนขนาดใหญ่ที่แทบจะใหญ่พอๆ กับร่างของเธอเข้ารับดาบของอลิซเอาไว้ได้ทันจนทำให้อลิซต้องพูดชมเด็กสาวผมสีฟ้าร่างเล็กออกมา
“ก็พอใช้ได้อยู่…”
เคล๊ง!
“หว๋ายๆ ”
ทันทีอลิซพูดจบนั้นเธอก็ออกแรงกระแทกดาบเข้าใส่ค้อนยักษ์ของเด็กสาวผมสีฟ้าอย่างแรงจนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบถอยเว้นระยะออกไปตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ดาบของอลิซนั้นก็ได้เรียงแสงสีเขียวอ่อนออกมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่เธอได้ใช้ไอพ่นพุ่งตัวตามเข้าไปโจมตีใส่ซิลเวลในทันที
“เป็นไงบ้างคะ~ เห็นแบบนี้แล้วคิดว่ายังไงกันบ้างล่ะ~?”
ในขณะเดียวกันที่ด้านในตัวอาคารเรียนนั้น เอริกะที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าคณะอาจารย์ทั้งสามท่านและกำลังผายมือไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่หันไปทางด้านเมืองจำลองก็ได้พูดขึ้นมาด้วยประโยคที่ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเธอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าบางอย่าง
ซึ่งนั่นก็ทำให้อารอนที่นั่งมองดูการต่อสู้ของอลิซอยู่ในห้องนั้นถึงกับต้องหันไปหรี่ตามองเธออย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
“ความเห็นของฉันก็คือ เธอไม่ควรจะให้คนที่บาดเจ็บอยู่ออกไปสู้แบบนั้น…”
“ฮะฮะ อาจารย์อารอนนี่ดูเป็นห่วงพวกเด็กๆ มากเหมือนกันนะครับเนี่ย”
ทันใดนั้นเองอาจารย์โนลที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินผลสอบของพวกนากาก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาบ้างจนทำให้อารอนต้องพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม
“ผมแค่คิดว่าคนที่บาดเจ็บก็ควรจะได้พักผ่อนจนกว่าจะหายดีเท่านั้นล่ะครับอาจารย์โนล… แต่ดูเหมือนว่าจะมียัยตัวแสบแถวนี้ที่ชอบสั่งให้คนบาดเจ็บออกไปลุยนู้นลุยนี่ซะเหลือเกินนี่สิ…”
“เดี๋ยวสิ! ที่ฉันถามนี่หมายถึงพาร์ทที่อลิซจังใช้งานอยู่ต่างหาก! แล้วฉันก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าพาร์ทของฉันมันช่วยลดภาระให้ขาที่บาดเจ็บของเธอไปได้เยอะอยู่นะ!”
“แต่ก็ไม่ได้ช่วยทั้งหมด…”
“ก็มันยังเป็นรุ่นทดลองอยู่นี่นา~!”
เอริกะร้องโอดครวญออกมาใส่อารอนจนทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา และยอมพูดออกความเห็นเกี่ยวกับพาร์ทที่เอริกะนำมานำเสนอแต่โดยดี
“เฮ้อ… ผมคิดว่าพาร์ทพวกนี้น่าจะช่วยให้พวกเด็กนักเรียนป้องกันตัวเองได้ดีกว่าเดิมนะครับ… แล้วอาจารย์โนลคิดว่ายังไงบ้างล่ะครับ…?”
“สำหรับผมคิดว่ามันค่อนข้างจะธรรมดาไปสักนิดเมื่อคิดว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคุณเอริกะนะครับ แต่ผมก็เชื่อว่าคุณเอริกะคงไม่คิดจะหยุดอยู่แค่โครงเหล็กหน้าตาธรรมดาๆ แบบนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ? เพราะเหตุนี้ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าในอนาคต… แต่ว่าสุดท้ายแล้วผลจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านผู้อำนวยการล่ะครับ”
อาจารย์โนลพูดออกความเห็นที่เขาคิดเอาไว้ออกมาจนทำให้ทุกคนในห้องได้แต่หันไปมองร่างในชุดเกราะอัศวินสีขาวสะอาดปิดหน้าปิดตาที่ประดับไว้ด้วยลวดลายสีทองเป็นสายตาเดียวกัน ซึ่งร่างในชุดเกราะนั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนและเดินไปทางหน้าต่างเพื่อจ้องมองการต่อสู้ในเมืองจำลองอย่างพิจารณา
“….”
“ว่าไงคะท่าน? ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าท่านไม่รีบคว้าเอาไว้ตอนนี้ มีหวังว่าพวกวังหลวงได้ฉกเอาของพวกนี้ไปแน่นอนเลยล่ะ แล้วพอถึงตอนนั้นต่อให้เป็นฉันก็คงจะเอากลับมาโดยไม่มีผลเสียตามมาไม่ได้แน่ๆ เลยล่ะค่ะ~”
“นั่นสินะ…”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังก้องกังวานออกมาจากภายในชุดเกราะอัศวินสีขาวนั้น ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นและชี้ไปทางอลิซที่กำลังสวมใส่พาร์ทส่วนล่างอันนั้นอยู่และพูดขึ้นมาต่อ
“แต่ว่าฉันต้องการผู้หญิงคนที่ใช้งานอุปกรณ์ของเธออยู่นั่นด้วย…”
“เอ๋ะ—?”