บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 87 Loathed Refugee
หลังจากที่พวกนากาได้พิเน๊ะและคอนแนลเข้ามาช่วยไล่พวกนักเรียนลูกขุนนางจากห้องหนึ่งทั้งสามคนไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นากาและโมโกะจึงได้เดินตามหลังเซซิลเข้าไปสั่งอาหารเที่ยงของพวกที่ร้านขายอาหารจากเมืองซายูกิที่อยู่เบื้องหน้ากัน
ซึ่งในขณะที่พวกเขากำลังให้รอคุณป้าแม่ครัวทำอาหารที่สั่งไปตามคิวกันอยู่นั้นโมโกะที่ทนความสงสัยของตัวเองเอาไม่ไหวก็ได้ลองพูดถามเซซิลเกี่ยวกับเรื่องที่เหล่าลูกขุนนางพวกนั้นพูดขึ้นมาเมื่อสักครู่ดู
“เออนี่เซซิล ฉันขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?”
“หืม…? ว่ามาสิ…”
“เรื่องที่เจ้าพวกอากิหรืออะไรนั่นพูดเมื่อกี้นี้มั—”
หมับ!
ในขณะที่โมโกะกำลังจะพูดถามเซซิลออกไปนั้น นากาที่ยืนอยู่ข้างๆ โมโกะก็ได้ยื่นมือออกไปอุดปากเพื่อนของเขาเอาไว้เสียก่อนแล้วจึงก้มลงไปกระซิบต่อว่าเธอเบาๆ
“นี่เธอคิดจะไปถามเซซิลเขาตอนนี้เลยจริงๆ หรือไงน่ะโมโกะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกนากา… เอาไว้หลังกินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะเล่าให้พวกนายฟังเอง…”
เซซิลที่พอจะคาดเดาได้ว่าโมโกะต้องการที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไรนั้นได้พูดห้ามนากาขึ้นมาและพูดเสนอตัวที่จะเล่าเรื่องที่โมโกะอยากรู้ให้กับพวกเขาฟังด้วยตัวเองก่อนที่เธอจะยกถาดอาหารของตัวเองที่แม่ค้าจัดการเสร็จแล้วขึ้นมาถือเอาไว้และเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีพรีมูล่ากับซิลเวสนั่งกินขนมเล่นกันอยู่โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกจนทำให้นากาได้แต่พูดไล่หลังเธอไป
“ถ้าเกิดว่าเธอลำบากใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะเซซิล ยัยโมโกะก็แค่พูดถามไปเฉยๆ นั่นล่ะ”
“……..”
“เห็นมั้ยล่ะ เซซิลเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย!”
“ต้องบอกว่าโชคดีที่เขาไม่คิดอะไรมากต่างหากเล่า! นี่ถ้าเกิดว่าเขาคิดมากเรื่องนี้ขึ้นมาเธอจะทำยังไงล่ะหะ!? ลองนึกดูสิว่าถ้าเกิดเป็นตัวเธอเองที่โดนถามขึ้นมาอย่างนั้นบ้างจะรู้สึกยังไงน่ะ?”
“ก…ก็ฉันสงสัยนี่นาว่าทำไมเซซิลเขาถึงโดนหมายหัวน่ะ…”
โมโกะที่ถูกนากาพูดต่อว่ามานั้นได้แต่พูดเถียงกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาๆ เพราะว่าเมื่อเธอลองมานึกย้อนดูแล้วสิ่งที่เธอพูดไปนั้นก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกจริงๆ ก็ได้ แต่ว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านั้นคุณป้าเจ้าของร้านขายอาหารก็ได้เอ่ยปากเรียกทั้งสองคนขึ้นมาเสียก่อน
“ราเมงกระดูกหมูได้แล้วจ้ะ~”
“อ่ะ— ของหนูเองค่ะๆ”
ชื่อของเมนูอาหารที่ถูกเจ้าของร้านพูดขึ้นมานั้นได้ทำให้โมโกะรีบยื่นมือออกไปรับถาดใส่อาหารที่บรรจุอาหารเมนูเส้นในน้ำซุปเข้มข้นกับถ้วยสลัดแล้วก็เครื่องเคียงอีกสองสามอย่างมาถือเอาไว้ก่อนที่เธอจะพูดบอกนากาทิ้งท้ายเอาไว้และออกเดินไปยังโต๊ะที่มีพวกพรีมูล่านั่งรออยู่ก่อนแล้วในทันที
“ถ้ายังไงเดี๋ยวก็เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีละกันนะนากา เพราะไหนๆ ดูแล้วเซซิลเขาก็ท่าทางจะไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เฮ้อ… เซซิลเขาบอกมาแล้วว่าจะเล่าให้ฟังหลังจากกินข้าวเสร็จเพราะงั้นเธอก็อดใจรอหน่อยแล้วก็อย่าไปคาดคั้นอะไรเขามากละกัน…”
“จ้าๆ ฉันมีมารยาทพอที่จะรอให้เขาเล่าให้ฟังเองได้ไม่เหมือนยัยพรีมูล่าหรอกน่า~”
ท่าทางของโมโกะที่พูดตอบกลับมาอย่างสบายๆ นั้นไม่ได้ทำให้นากาสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าในสมัยที่พวกเขายังอยู่ที่หมู่บ้านกันนั้นความอยากรู้อยากเห็นราวกับแมวตัวเป็นๆ ของโมโกะนี่แหล่ะที่เคยก่อเรื่องให้กับพวกเขามาแล้วหลายครั้งด้วยกัน
“ข้าวหน้าเนื้อเพิ่มข้าวพิเศษได้แล้วจ้ะ~”
“อ่ะ— ของผมเองครับ”
เสียงของคุณป้าร้านขายอาหารดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะยกถาดที่มีข้าวชามใหญ่ที่ถูกโปะไว้ด้วยเนื้อสัตว์ผัดผสมกับซอสและผักบางชนิดแล้วก็ยังมีชามที่บรรจุข้าวเปล่าๆ อีกหนึ่งชามวางไว้ข้างๆ กันออกมาให้นาการับเอาไว้ก่อนที่เขาจะออกเดินไปทางโต๊ะของพวกเขาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโรงอาหารในทันที
“พี่นากา~ ทางนี้ๆ”
เสียงของพรีมูล่าที่รีบผละมือออกจากจานเครปและขนมอบจำนวนมากที่เบื้องหน้าของเธอเพื่อหันมาโบกไม้โบกมือร้องเรียกพี่ชายของตัวเองขึ้นมานั้นได้แต่ทำให้นากาส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายๆ เพราะดูท่าทางว่าพรีมูล่าจะไม่ได้ซื้อเมนูที่นับว่าเป็นอาหารจริงๆ มาทานตามแบบที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ
“พี่เห็นหัวชมพูๆ ของเธอตั้งแต่ยืนรอข้าวอยู่ที่หน้าร้านแล้วล่ะหน่า… ว่าแต่นี่เธอเล่นซื้อมาแต่ขนมกินเล่นทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือไงเนี่ย?”
“เอ๋? แต่ซิลจังเขาก็ซื้อมาแต่ขนมเหมือนกันนะพี่นากา—อ่ะ…”
พรีมูล่าที่พยายามจะใช้ซิลเวสที่ซื้อขนมจำนวนมากมาเช่นเดียวกันเป็นข้ออ้างนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอได้พบว่าซิลเวสที่เป็นตัวการของแผนการจัดซื้อขนมกำลังนั่งจิ้มผักในจานสลัดของตัวเองขึ้นมากินเล่นอยู่แถมเด็กสาวหูแมวเพื่อนของเธอนั้นยังหันกลับมากะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงสงสัยว่าพรีมูล่าเรียกชื่อของเธอขึ้นมาทำไมอีกต่างหาก
“ซิลเวสเขาซื้อมาแต่ขนมซะที่ไหนล่ะยัยตัวแสบนี่”
“นั่นสิ อย่างน้อยของซิลเวสเขาก็ยังมีสลัดด้วยนะครับ”
“เอ๋—-”
“ไม่ต้องมาเอ๋เลย! เอ้านี่ แบ่งข้าวของพี่ไปกินด้วยซะ หรือไม่งั้นวันหลังพี่จะไม่ยอมให้เธอเดินไปซื้อข้าวกลางวันเองแล้วนะ”
นากาพูดขู่พรีมูล่าออกมาก่อนที่เขาจะตักแบ่งเนื้อจำนวนมากบนชามข้าวชามใหญ่ของตัวเองไปโปะบนชามข้าวเปล่าๆ ที่เขาสั่งมาเผื่อเอาไว้ในกรณีแบบนี้และเลื่อนมันไปไว้เบื้องหน้าของพรีมูล่าก่อนที่ทุกคนจะเริ่มต้นทานอาหารกลางวันกัน
โดยซิลเวสนั้นก็ได้นั่งกินขนมของตัวเองสลับกับผักสลัดไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี ในขณะที่ทางด้านโมโกะที่เพิ่งจะเคยลองเมนูเส้นจากซายูกิเป็นครั้งแรกนั้นก็กำลังพยายามใช้แท่งไม้ที่ถูกเรียกว่าตะเกียบคีบเส้นราเมงในชามขึ้นมาอย่างทุลักทุเลจนทำให้คอนแนลที่กำลังกินปลาชุบแป้งทอดกับมันฝรั่งทอดจากเมืองกราวิทัสหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยและยื่นช้อนส้อมที่เขาขอมาเผื่อเอาไว้หลังจากได้ที่ยินว่านากาและโมโกะจะลองกินอาหารจากเมืองซายูกิกันไปให้เธอ
ส่วนทางด้านเซซิลที่ไม่มีปัญหาอะไรกับอาหารจากบ้านเกิดของตัวเองที่เป็นน้ำแกงสีน้ำตาลกลิ่นฉุนใส่ผักและเนื้อสัตว์ที่ถูกเรียกแกงกะหรี่นั้นก็กำลังมองดูนากาที่กำลังพยายามจัดสรรปริมาณเนื้อบนจานข้าวของเขาที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยหลังจากที่เขาตักให้พรีมูล่าไปซะเกือบหมดให้พอดีกับปริมาณข้าวจำนวนมากที่เหลืออยู่ก่อนที่เธอจะเหลือบมองข้าวปั้นสอดไส้ปลาสีส้มในมือของตัวเองอย่างเงียบๆ
“ฮ่า อิ่มดีจังแฮะ~”
“นั่นสินะ ถ้าเทียบราคากับปริมาณแล้วก็ไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้นด้วย ขนาดของฉันเป็นข้าวชามใหญ่ขนาดนั้นราคาก็ยังไม่ถึงห้าคริสต้าเลย”
“นั่นสิๆ ขนาดขนมของหนูตั้งเยอะขนาดนี้ราคาก็ยังแค่พอๆ กับข้าวหน้าเนื้อของพี่นากาเขาเลยอ่ะ!”
“ถ้าเรื่องราคานี่ก็คงจะต้องขอบคุณที่ทางโรงเรียนคอยช่วยสนับสนุนเรื่องต้นทุนให้พวกพ่อครัวแม่ครัวที่มาเปิดร้านกันในโรงเรียนนี่ล่ะครับพวกเขาก็เลยขายอาหารในราคาถูกๆ แบบนี้กันได้น่ะ”
คอนแนลที่ทานอาหารของเขาเสร็จแล้วได้พูดอธิบายขึ้นมาให้พวกนากาฟังพลางเหลือบไปมองจานขนมจำนวนมากของพรีมูล่าและซิลเวสที่ถูกนำมาเรียงซ้อนๆ กันเอาไว้ด้วยความสะพรึงกลัว ส่วนทางด้านนากาที่แบ่งข้าวกลางวันของเขากว่าครึ่งหนึ่งไปให้พรีมูล่านั้นก็กำลังซดน้ำซุปถ้วยเล็กๆ ที่ทางร้านแถมมาให้ด้วยก่อนที่เขาจะพูดถามคอนแนลขึ้นมา
“จริงด้วยสิคอนแนล แล้วนี่ตกลงว่านายรู้จักกับพวกลูกขุนนางหัวสามสีพวกนั้นด้วยหรอน่ะ?”
“อ๋อ หมายถึงพวกคุณอากิเขาน่ะหรอครับ… ถ้าเกิดว่าเป็นสามคนนั้นล่ะก็พวกเขาค่อนข้างจะเป็นคนดังพอตัวในหมู่เด็กห้องหนึ่งที่เป็นห้องรวมลูกขุนนางเลยล่ะครับ”
“…….”
คำตอบของคอนแนลนั้นไม่ได้ทำให้นากาที่พอจะรู้ว่าเมืองใหญ่ทั้งหลายไม่ได้เป็นเหมือนกับในหนังสือเรียนที่เขาเคยเรียนมาในตอนอยู่ที่หมู่บ้านรู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าทางด้านโมโกะที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเหมือนกับนากาด้วยนั้นกลับรู้สึกแปลกใจจนถึงกับต้องเอ่ยปากถามคอนแนลขึ้นมา
“ห้องรวมลูกขุนนาง? นี่นายหมายความว่าในโรงเรียนนี้เขาแบ่งห้องเรียนกันตามชนชั้นหรือไงน่ะ?”
“เอาจริงๆ แล้วเรื่องห้องรวมลูกขุนนางนั่นเป็นแค่ชื่อเรียกกันเล่นๆ ของคนในโรงเรียนเวลาที่มีห้องใดห้องหนึ่งมีลูกหลานขุนนางไปอยู่รวมกันเยอะเป็นพิเศษน่ะครับ อย่างในปีนี้ก็น่าจะเป็นเพราะว่าผู้ปกครองที่เป็นขุนนางหลายๆ ท่านคงจะอยากให้ลูกหลานของพวกเขาได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับคุณไดเอน่าที่เป็นประธานนักเรียนล่ะมั้งครับ”
“งั่มๆ เอื่องอี้เอี่ยวอะไรอับอี่ไอเออ่าอ้วยออ?”
“เอ่อ… นากาช่วยแปลที่พรีมูล่าพูดให้ผมเข้าใจได้ให้หน่อยสิครับ…”
คำพูดของพรีมูล่าที่มีขนมอัดแน่นอยู่เต็มปากนั้นถึงกับทำให้คอนแนลมึนงงไปชั่วขณะและหันไปขอความช่วยเหลือจากนากาแทนจนทำให้นากาได้แต่กุมหน้าผากของตัวเองก่อนจะพูดดุพรีมูล่าออกไปพร้อมกับยื่นมือไปเช็ดแก้มที่เปื้อนครีมให้กับเธอไปด้วย
“อย่าพูดไปกินไปแบบนั้นสิพรีมูล่า แล้วครีมก็เปื้อนแก้มเธอหมดแล้วด้วย”
“คิกคิก พรีมจังกินไม่ระวังเลยอ้ะ~”
ซิลเวสที่นั่งกินขนมอยู่ข้างๆ พรีมูล่านั้นได้พูดหยอกล้อพรีมูล่าขึ้นมาหลังจากที่เธอได้แอบจัดการครีมที่ติดแก้มของตัวเองไปในจังหวะเดียวกับที่พรีมูล่าถูกนากาเช็ดแก้มให้อยู่จนทำให้พรีมูล่าได้แต่หันไปพองแก้มให้กับเพื่อนหูแมวตัวน้อยของเธอกลับไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันไปกลับพูดถามคอนแนลให้ชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง
“แล้วสรุปว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับพี่ไดเอน่าเขาด้วยอ่ะพี่คอนแนล? ไม่ใช่ว่าพี่เขาก็เป็นแค่ประธานนักเรียนเองหรอกหรอ?”
“อ๋อ เรื่องนั้นเห็นเขาว่ากันว่าเป็นเพราะว่าตระกูลของคุณไดเอน่าเป็นหนึ่งในตระกูลของวีรบุรุษที่คอยช่วยเหลือท่านเทวทูตในสงครามในตำนานนั่นน่ะครับทางวังเขาก็เลยให้ความสำคัญกับตระกูลของคุณไดเอน่าเป็นพิเศษ เพราะงั้นพวกขุนนางที่มีลูกหลานอายุพอๆ กับพวกเราก็เลยพยายามที่จะให้ลูกหลานของตัวเองได้อยู่ห้องเรียนเดียวกันกับคุณไดเอน่าให้ได้จนพวกลูกขุนนางไปกระจุกกันอยู่ที่ห้องหนึ่งกันหมดน่ะครับ”
“นายหมายถึงสงครามในตำนานนั่นน่ะหรอ–!? / โหวววว~~”
“เพราะเรื่องนั้นเองหรอกหรอ…”
ในขณะที่โมโกะและพรีมูล่าได้ร้องขึ้นมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้นที่มีคนของตระกูลในตำนานเล่าขานอยู่ใกล้ตัวถึงขนาดนี้กันอยู่นั้น ทางด้านนากาที่ได้รู้เรื่องราวของตระกูลของไดเอน่ามาจากปู่แม็กซ์ซึ่งเป็นปู่ทวดของไดเอน่ามากับหูตัวเองแล้วกลับไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นอะไรออกมามากนักในขณะที่ทางด้านของคอนแนลก็ได้พูดอธิบายออกมาต่อให้ทุกคนได้ฟังกัน
“ครับ แล้วทีนี้พอทางโรงเรียนเห็นว่าพวกขุนนางจากตระกูลต่างๆ อยากให้ลูกหลานของตัวเองได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับคุณไดเอน่าเยอะมากจนถึงขั้นคิดจะติดสินบนกัน ทางโรงเรียนก็เลยจับลูกขุนนางพวกนั้นไปอยู่ห้องเดียวกันให้หมดเพื่อตัดปัญหาเรื่องสินบนไปเลยน่ะครับ”
“ประมาณว่าอยากอยู่กันนักก็ไปอยู่กันให้หมดเลยงั้นสินะ ถ้าจะทำแบบนั้นเพื่อตัดปัญหาเรื่องสินบนก็พอจะเข้าใจได้อยู่ล่ะมั้ง… อื้ม… อันนี้ก็อร่อยดีนะพรีมูล่า ซื้อมาจากร้านของแพนเทร่าเหมือนกันงั้นหรอ”
“อ้ะ! นั่นมันขนมของหนูนะพี่นากา!! ว่าแต่ทำไมพวกขุนนางที่ว่านั่นถึงต้องอยากให้ลูกของตัวเองไปอยู่ห้องเรียนเดียวกับพี่ไดเอน่าถึงขนาดอยากทำผิดกฎหมายอย่างติดสินบนกันเลยอ่ะพี่คอนแนล?”
พรีมูล่าที่ถูกนากาฉวยขนมไปกินเล่นระหว่างที่นั่งฟังคอนแนลพูดอธิบายอยู่นั้นได้ร้องว่าพี่ชายของเธอไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดถามคอนแนลขึ้นมาต่อพลางปัดมือของนากาที่กำลังเอื้อมมาหยิบขนมอีกชิ้นหนึ่งไปด้วย ซึ่งคอนแนลที่ได้ยินคำถามของพรีมูล่าไปนั้นก็รู้สึกไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นักที่จะตอบคำถามของเธอกลับไปตามตรงก่อนที่ทันใดนั้นเองเซซิลจะพูดตอบขึ้นมาให้แทนคอนแนลที่กำลังอึกอักอยู่แทน
“เป้าหมายไม่ใช่ไดเอน่าแต่ว่าเป็นทางตระกูลของเธอต่างหากล่ะ…”
“ครับ… ถึงผมจะไม่อยากพูดแบบนั้นสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่ว่ามันก็เป็นอย่างที่เซซิลเขาพูดมานั่นแหล่ะครับ”
“เอ๋? แล้วตระกูลของพี่ไดเอน่าเขามันทำไมอ่ะ? พี่คอนแนลกับพี่เซซิลอธิบายให้มันชัดๆ หน่อยสิ!”
พรีมูล่าที่ยังไม่เข้าใจในคำตอบของทั้งสองคนนั้นยังคงพยายามที่จะพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้นากาที่พอจะคาดเดาถึงสิ่งที่คอนแนลและเซซิลต้องการจะสื่อแล้วได้ตัดสินใจที่จะบอกปัดเรื่องนี้ออกไปก่อนเนื่องจากเขาคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่น้องสาวผู้อ่อนต่อโลกของเขาจะต้องมารับรู้เรื่องแย่ๆ ของผู้ใหญ่ในตอนนี้
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่น่ะ เธอยังไม่ต้องไปสนใจมันหรอกพรีมูล่า”
“เอ๋~? แต่หนูก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ดูสิอีกนิดเดียวหนูก็จะสูงกว่าพี่นากาแล้วนะ!”
“งั้นเอาเป็นว่าพี่จะตอบคำถามของเธอให้แต่แลกกับขนมหนึ่งชิ้นเป็นไงล่ะ?”
“ไม่เอาอ้ะ!!”
“ฮะฮะ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันก็ประมาณว่าขุนนางพวกนั้นเขาอยากให้ลูกหลานของตัวเองได้ทำความรู้จักกับคุณไดเอน่าที่เป็นคนของตระกูลดังนั่นแหล่ะครับ”
คอนแนลที่เห็นวิธีการบอกปัดของนากานั้นได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหาคำพูดอธิบายให้พรีมูล่าฟังแบบที่มันจะไม่ฟังดูน่าเกลียดเกินไปนักในขณะที่ทางด้านโมโกะนั้นก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าสองหนุ่มและเซซิลกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่เธอจึงได้แต่พูดบ่นขึ้นมาด้วยสีหน้าขยะแขยง
“อยากให้ลูกหลานของตัวเองได้ ‘ทำความรู้จัก’ กับไดเอน่างั้นสินะ… เหอะ…”
“แหม~ นี่ถ้าเกิดว่าพวกพี่ๆ ขุนนางจากห้องหนึ่งได้มาเห็นสีหน้าพี่โมโกะตอนนี้ล่ะก็มีหวังได้มีเรื่องกันอีกรอบแน่ๆ เลยอ่ะ~”
ซิลเวสที่นั่งแทะขนมของเธออยู่ข้างๆ พรีมูล่านั้นได้พูดขึ้นมาด้วยอย่างอารมณ์ดีเมื่อเธอได้เห็นสีหน้าของโมโกะที่พูดขึ้นมาด้วยความขยะแขยงแบบนั้นก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะสังเกตเห็นเซซิลที่กำลังแอบวางข้าวปั้นก้อนหนึ่งลงไปบนถาดอาหารของนากาที่แบ่งอาหารกว่าครึ่งของเขาไปให้พรีมูล่าจนตัวเองกินไม่อิ่มและกำลังพยายามหยิบขนมมาจากถาดอาหารพรีมูล่าอยู่โดยไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของเซซิลเลยแม้แต่น้อย
“นั่นสิ เธอเองก็ระวังๆ หน่อยสิโมโกะ โรงเรียนนี้มีพวกขุนนางอยู่เยอะเลยนะ ถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรขึ้นมาคงจะไม่มีใครอยากเข้ามาช่วยเด็กบ้านนอกแบบพวกเราสักเท่าไหร่หรอก”
“นี่นายบอกว่าใครบ้านนอกกันหะ!?”
“พี่นากาก็หมายถึงพวกเราทุกคนเลยไม่ใช่หรือไงอ้ะโมโกะจัง~”
“เธอก็อย่าไปยอมรับง่ายๆ แบบนั้นสิพรีมูล่า! พวกเรามาอยู่ในเมืองนี้กันได้ตั้งเกือบเดือนนึงแล้วยังจะต้องถูกเรียกว่าบ้านนอกไปจนถึงเมื่อไหร่กันอีกล่ะหะ!”
โมโกะที่ถูกพรีมูล่าพูดใส่แบบนั้นได้ขึ้นเสียงใส่เพื่อนของตนกลับไปเพราะว่าการแบ่งชนชั้นแบบนี้นั้นเรียกได้ว่ามันขัดกับสิ่งที่เธอถูกสั่งสอนมาจากในหมู่บ้านที่ว่าเรื่องการแบ่งชนชั้นและการแบ่งแยกต่างๆ ได้หายไปจากโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิงแล้วเป็นหน้ามือกับหลังมือ
“เอาจริงๆ ต่อให้พวกเราอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหนก็เถอะแต่ความจริงที่ว่าพวกเราเป็นคนของหมู่บ้านโมริโกะก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรือไงน่ะโมโกะ แถมถ้าดูจากระยะห่างระหว่างหมู่บ้านของพวกเรากับที่นี่แล้วพวกเราจะถูกเรียกว่าบ้านนอกก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่หรอก—อ้าว… เขาแถมข้าวปั้นมาให้ด้วยนี่นา ไม่ทันสังเกตเห็นเลยแฮะ…”
นากาที่เห็นท่าทีกระฟัดกระเฟียดของโมโกะนั้นได้พูดบอกโมโกะไปอย่างใจเย็นก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นก้อนข้าวปั้นที่ถูกเซซิลแอบเอามาวางไว้บนถาดอาหารของเขาและหยิบมันขึ้นมากินแบบไม่คิดอะไรมากพลางนึกใจในว่าคนขายอาหารคงจะแถมมาให้ด้วยเพราะเห็นว่าเขาสั่งข้าวเพิ่มเป็นพิเศษโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าข้าวปั้นก้อนนั้นเป็นฝีมือของเซซิลที่เห็นว่าเขาคงจะยังกินอาหารไม่อิ่มนั่นเอง
“……”
ซึ่งทางด้านเซซิลที่เห็นว่านากายอมกินข้าวปั้นที่เธอแบ่งให้แต่โดยดีนั้นก็ได้แอบเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะต้องสะดุ้งไปกับคำถามที่โมโกะพูดขึ้นมาเพื่อใช้ในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของพวกเธอ
“เอาเป็นว่าเรื่องบ้านนอกหรือไม่บ้านนอกนี่ช่างมันไปก่อนเถอะ! แล้วเรื่องของเธอว่ายังไงล่ะเซซิล?”
“หือ…? อะไรนะยัยแมวระเบิด…?”
เซซิลที่แอบเผยรอยยิ้มอยู่เมื่อสักครู่นั้นได้รีบหุบยิ้มและแกล้งทำหน้านิ่งเฉยพูดถามโมโกะกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนกับที่เธอทำเป็นประจำ ซึ่งคำพูดของเธอนั้นก็ถึงกับทำให้โมโกะที่พยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อสงบสติอมรมณ์ถึงกับสติหลุดในทันที
“หาาา—– นี่เธอเรียกใครว่าแมวระเบิดกันหะ!!? รีบๆ เล่าเรื่องของเธอมาให้พวกฉันฟังได้แล้ว หรือว่าคิดจะผิดคำพูดกันน่ะหะ!?”
“จ—ใจเย็นก่อนสิโมโกะ! เอาขนมนี่ไปกินแล้วก็ไปสงบสติก่อนไป! ส่วนเซซิล ถ้าเกิดว่าเธอลำบากใจล่ะก็ไม่ต้องเล่าให้พวกฉันฟังก็ได้นะ…”
นากาที่เห็นว่าโมโกะได้ขึ้นเสียงใส่เซซิลนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือกและรีบคว้าเอาขนมจากมือของพรีมูล่ามายัดปากโมโกะเอาไว้ก่อนในทันทีก่อนที่เขาจะรีบหันไปพูดกับเซซิลอย่างน้อบน้อมด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะฉุนขึ้นมาจนชักดาบออกมาเชือดโมโกะทิ้งเข้าให้ แต่ว่าท่าทางของเซซิลนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่คิดอะไรมากและเริ่มต้นเล่าเรื่องของเธอออกมาให้กับพวกเขาฟังแต่โดยดี
“ฉัน… ก็หนีมาจากเมืองซายูกิที่อยู่ทางตะวันออกอย่างที่พวกนั้นว่าจริงๆ …”
“ถ้าเรื่องนั้นฉันก็พอจะเดาออกตั้งแต่มีคนที่ชื่ออิซานางิออกมาตามล่าเธอนั่นแล้วล่ะ”
“เอ๋? มีเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรอพี่นากา”
“ก็ตอนช่วงปิดเทอมวันที่พี่กับอลิซออกไปข้างนอกกันแล้วก็ซื้อเค้กก้อนใหญ่กลับมาให้เธอนั่นไง”
นากาพูดเตือนความจำพรีมูล่ากลับไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปเห็นซิลเวสที่นั่งตาแป๋วนั่งรอฟังเรื่องของเซซิลอยู่ในกลุ่มของพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบหันไปบอกเซซิลอีกครั้งหนึ่งด้วยความเกรงใจในทันที
“แต่ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะเซซิลที่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องเล่าให้พวกฉันฟังก็ได้น่ะ เพราะว่าเหตุผลที่ทำให้เธอถึงกับต้องหนีมาอยู่เมืองรีมินัสที่อยู่ห่างกันตั้งไกลแบบนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่น่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ”
“อืม…”
เซซิลที่ได้ยินคำพูดยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากปากนากานั้นได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางซิลเวสที่นั่งเนียนทำตาแป๋วรอฟังอยู่ด้วยอีกคนหนึ่งจนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบพูดขึ้นมาในทันที
“อ่ะ— ถ้าพี่เซซิลไม่อยากจะเล่าเพราะหนูอยู่ตรงนี้ด้วยล่ะก็เดี๋ยวหนูไปนั่งที่อื่นก่อนก็ได้นะคะ”
“เปล่า… เธอนั่งฟังต่อไปเถอะ… เพราะยังไงฉันกับเธอก็รู้จักกันมาได้สักพักแล้วใช่มั้ยล่ะ…”
เซซิลส่ายหน้าตอบซิลเวสที่ทำท่าเหมือนกับว่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินหลบไปที่อื่นก่อนกลับไปก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบไปเล็กน้อยแล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของเธอให้ทุกคนฟัง
“ฉัน… มาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เคยอยู่ตรงใจกลางเขตการปกครองของเมืองซายูกิมาก่อน… เมื่อราวๆ สิบปีก่อนหลังจากที่เมืองซายูกิถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งก็มีการปะทะกันเพื่อแย่งชิงอาณาเขตกันอย่างต่อเนื่อง… จนทำให้หมู่บ้านที่อยู่ระหว่างทั้งสองเมืองค่อยๆ ล่มสลายไปกันทีละหมู่บ้าน… สุดท้ายแล้วก็เหลือแค่หมู่บ้านของฉันเพียงแค่แห่งเดียวที่ยังคงเหลือรอดมาได้…”
“เดี๋ยวสิ สรุปว่านี่เมืองซากิกับเมืองยูกิที่ทุกคนเรียกกันนี่ไม่ใช่ว่าเป็นชื่อย่อของเมืองซายูกิหรอกหรอ? ฉันก็นึกว่าเขาเรียกกันตามแบบที่ชอบแต่ก็หมายถึงเมืองเดียวกันซะอีก…”
โมโกะที่ได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องของเมืองซายูกิที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกจากปากของเซซิลนั้นได้ร้องถามขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะว่าเธอไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวของความขัดแย้งจนถึงขั้นแบ่งหนึ่งในสี่เมืองหลวงออกเป็นสองส่วนแบบที่เซซิลพูดขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งคอนแนลที่ได้ยินคำถามของโมโกะเข้าไปก็ได้เป็นคนพูดอธิบายขึ้นมาให้เธอฟังแทนเซซิลเอง
“ถ้าเกิดว่าเป็นสมัยก่อนก็มีแค่เมืองซายูกิเมืองเดียวแบบที่โมโกะว่ามานั่นแหล่ะครับ แต่ว่าเมื่อราวๆ สักสิบกว่าปีก่อนได้ อยู่ๆ เมืองซายูกิก็ประกาศปิดตัวเองไม่ให้คนเข้าออกแบบกะทันหัน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ถึงจะกลับมาเปิดทำการค้าขายกับเมืองอื่นอีกครั้งแต่ทุกคนเพิ่งจะได้รู้ว่าตัวเมืองซายูกิถูกแบ่งแยกออกเป็นสองเมืองที่ชื่อว่าเมืองซากิแล้วก็เมืองยูกิไปแล้วน่ะครับ”
“เพราะว่าปิดเมืองไม่ให้คนเข้าออกข่าวสารก็เลยโดนตัดขาดไปด้วยงั้นสินะ แล้วคนในอย่างเธอพอจะรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะเซซิล?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน… อาจจะเป็นกบฏหรือไม่ก็สงคราม… แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัว หมู่บ้านของฉันก็ตกอยู่ใจกลางสนามรบไปแล้วน่ะ…”
“ที่บอกว่าใจกลางสนามรบนั่น… อย่าบอกนะว่ามีทหารจากทั้งสองเมืองมาต่อสู้กันในหมู่บ้านของเธอน่ะ?”
นากาที่นั่งฟังเรื่องเล่าของเซซิลอยู่ได้ร้องถามเจ้าของเรื่องเล่าไปด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าด้วยนิสัยตรงๆ ไม่พูดมากของเซซิลนั้นก็ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าคำว่าใจกลางสนามรบของอีกฝ่ายอาจจะมีความหมายตรงตัวจริงๆ ก็เป็นได้
“ถึงจะไม่บ่อยนักแต่ก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่บ้างน่ะ…”
“ถ้างั้นที่คุณเซซิลหลบมาอยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะว่าอยากจะหนีจากสภาวะบ้านเมืองหรืออะไรทำนองนั้นงั้นสินะครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินคำตอบของเซซิลนั้นได้พูดถามเธอไปตรงๆ แต่ว่าเซซิลก็กลับส่ายหน้ากลับไปให้เขาก่อนจะพูดตอบเขากลับไป
“ไม่ใช่… อาจารย์ของฉันเป็นคนส่งฉันออกมาจากหมู่บ้าน…”
“อาจารย์ของเธอหรอ?”
“อื้ม… อาจารย์ที่สอนวิชาดาบแล้วก็การใช้วิซน่ะ…”
“เดี๋ยวสิ สรุปว่าดาบติดไฟได้ของเธอนั่นเป็นวิชาเฉพาะตัวหรอกหรอ ฉันก็นึกว่าคริสตัลที่ทำให้อาวุธติดไฟได้มันแพงจนคนหาซื้อมาใช้กันไม่ไหวก็เลยไปหาคริสตัลแบบที่มันแผ่ความร้อนแบบเดียวกับของรีซาน่ามาใช้กันแทนซะอีก… แล้วแบบนี้มันหมายความว่าอิซานางิที่ใช้ดาบติดไฟได้เหมือนกันก็มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของเธอด้วยหรือเปล่าน่ะ?”
คำพูดของเซซิลที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของเธอนั้นได้ทำให้นากาหลุดปากพูดถามขึ้นมาในทันที เพราะว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นใครคนไหนใช้วิซธาตุไฟสร้างเปลวไฟขึ้นมาปกคลุมอาวุธได้เหมือนกับเซซิลและอิซานางิมาก่อนเลย จะมีคล้ายคลึงกันก็เพียงแค่รีซาน่าที่แผ่ความร้อนออกมาจากอาวุธของเธอได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มีความร้อนมากพอที่จะกลายเป็นเปลวไฟได้อยู่ดี
“ก็อาจจะ… แต่ฉันมั่นใจว่ายัยนั่นไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันกับหมู่บ้านของฉันแน่นอน… เพราะฉันว่าเคยเห็นยัยนั่นยืนอยู่ในหมู่ทหารที่มาที่หมู่บ้านด้วย…”
“แต่ถ้าจากที่นากาบอกว่าคนที่ชื่ออิซานางินั่นใช้วิชาเดียวกับเธอได้งั้นก็แปลว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์ของเธอใช่มั้ยล่ะ เธอแน่ใจหรือเปล่าว่าเขาไม่ได้ถูกอาจารย์ของเธอส่งไปเป็นสายลับในหมู่ศัตรูเพื่อแอบปกป้องหมู่บ้านจากเบื้องหลังหรืออะไรแบบนั้นน่ะ”
“ไม่มีทาง!!”
ตึ้ง!!
คำถามที่โมโกะพูดถามขึ้นมาตามข้อมูลที่เธอได้ยินนั้นถึงกับทำให้เซซิลหลุดตวาดออกมาเสียงดังและทุบกำปั้นลงไปกับโต๊ะอย่างรุนแรงจนโต๊ะอาหารที่ทำจากเหล็กบุบลงไปเป็นรอยเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะได้สติและรีบพูดขอโทษออกมาในทันทีที่เห็นซิลเวสและพรีมูล่าตกใจจนพุ่งเข้าไปเกาะกันแน่นและโมโกะที่หน้าซีดตัวแข็งจนหางตั้งอยู่
“ขอโทษที… แต่ฉันมั่นใจว่ามันไม่มีวันเป็นอย่างที่เธอพูดมาแน่นอน…”
นากาที่เห็นท่าทางของเซซิลนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะดูท่าทางว่าอีกฝ่ายจะนับถืออาจารย์ของตนมากไม่ต่างจากการที่เขานับเอริกะเป็นผู้มีพระคุณหรือว่านับอารอนเป็นคนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย และถ้าเกิดว่ามีคนมากล่าวหาว่าอารอนหรือว่าเอริกะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ทำเรื่องแย่ๆ อย่างการเบี้ยวค่าจ้างอีกทั้งยังพยายามฆ่าปิดปากคู่กรณีอย่างอิซานางิล่ะก็ตัวเขาเองก็คงจะออกอาการเหมือนกับเซซิลเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนว่าเธอจะนับถืออาจารย์ของเธอมากเลยนะเซซิล พอจะเล่าให้พวกฉันฟังหน่อยได้รึเปล่าว่าเขาเป็นคนยังไงน่ะ”
“อื้ม… ได้สิ… อาจารย์ของฉันน่ะนะ…”