บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 9
“ตกลงเป็นยังไงบ้างเอริกะ… มีของอะไรหายไปหรือเปล่า…”
ในขณะที่นากา เอริกะและพรีมูล่ากำลังช่วยกันเก็บกวาดห้องออฟฟิศที่ถูกรื้อค้นจนเละเทะกันอยู่นั้น อารอนที่นั่งว่างงานมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เปิดประตูห้องออฟฟิศของเอริกะเข้ามาพูดถามตัวเจ้าของห้องที่กำลังนั่งจัดการโต๊ะทำงานส่วนตัวของเธออยู่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ตามแบบปกติของเขาจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องละสายตาออกมาจากใต้โต๊ะของเธอและพูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวลใจนิดๆ
“อื้ม… จะว่ามีอะไรหายไปมั้ยมันก็มีอยู่นั่นแหล่ะ แต่ว่ามันไม่ใช่ของของฉันนี่สิ… นี่พวกเธอตรงนั้นน่ะเห็นกระปุกแก้วใสๆ ที่มีก้อนกลมๆ ลอยอยู่ข้างในตกอยู่แถวนั้นบ้างหรือเปล่า?”
“กระปุกแก้วหรอ? ทางฉันไม่เห็นอะไรแบบนั้นเลยนะ… พรีมูล่า เธอเห็นกระปุกแก้วหรือว่าอะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่าน่ะ? ”
“เอ๋~? กระปุกอะไรหรอพี่นากา?”
“เฮ้อ… นี่เธอไม่ได้ฟังที่คนอื่นเขาพูดกันเลยใช่มั้ยเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ… ถ้าเธอตอบกลับมาแบบนั้นก็คงจะแปลว่าไม่เห็นงั้นสินะ”
คำตอบของพรีมูล่าที่กำลังพยายามจัดเรียงกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กๆ จำนวนมากให้ตั้งซ้อนกันสูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้อยู่นั้นได้แต่ทำให้นากาต้องถอนหายใจออกมา ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่ได้ยินคำพูดบ่นของนากาก็ได้หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันไปหาอารอนและเอ่ยปากพูดบอกเขาไป
“ก็น่าจะตามนั้นนั่นแหล่ะอารอน ในเมื่อมันหายไปแล้วแบบนี้แล้วนายจะเอายังไงต่อล่ะ?”
“อืม…”
อารอนที่ยินแบบนั้นได้ขมวดคิ้วและก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีหัวสีขาวๆ ของอลิซโผล่มาที่หน้าต่างบานใหญ่ของห้องออฟฟิศที่ถูกเปิดค้างเอาไว้พร้อมๆ กับที่เธอได้เอ่ยปากพูดถามเอริกะขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างเอริกะ?”
“เอ๋ะ—เอ่อ… เธอคืออลิซงั้นสินะ…”
เอริกะที่ได้ยินเด็กสาวผมสีขาวที่เธอเพิ่งจะได้พบเป็นครั้งแรกในวันนี้เอ่ยปากพูดกับเธอด้วยท่าทีเป็นกันเองได้ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะว่าขนาดนากาที่ดูภายนอกแล้วน่าจะมีอายุมากกว่าอลิซเองก็ยังพูดจาสุภาพใส่เธอไม่หยุดจนกระทั่งโดนเธอพูดบอกแกมบังคับอยู่สักพักหนึ่งในระหว่างที่เขากำลังช่วยเธอทำความสะอาดอยู่นั่นล่ะนากาถึงได้หยุดพูดจาสุภาพกับเธอได้สักที
แต่ถึงแม้ว่าท่าทางของอลิซจะดูไร้ซึ่งความสุภาพโดยสิ้นเชิงแบบนั้น ทางด้านเอริกะเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักเรื่องนี้อยู่แล้วเธอจึงได้พูดถามเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทีเป็นกันเองไม่แพ้กัน
“นี่ๆ อลิซจัง~ ตอนที่เธอเดินอยู่ในสวนของฉันเธอพอจะเห็นกระปุกแก้วใสๆ ที่มีของกลมๆ ลอยอยู่ข้างในตกอยู่ข้างนอกนั่นบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
“ไอ้โหลแช่ลูกตาของเธอนั่นฉันไม่เห็นหรอก แต่ฉันเจอเจ้านี่ตกอยู่ใต้พุ่มไม้ตรงนี้น่ะ”
อลิซพูดตอบเอริกะกลับไปห้วนๆ พร้อมกับยื่นแผ่นโลหะแบนๆ รูปวงกลมขนาดใหญ่กว่าหนึ่งฝ่ามือเล็กน้อยที่ด้านหนึ่งของมันมีขาเหล็กยื่นออกมาจากตรงกลางในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของมันเองก็มีแผ่นยางขนาดใหญ่แปะติดอยู่เหมือนกับว่าน่าจะเอาไว้ใช้แปะติดกับอะไรบางอย่าง
ซึ่งเมื่อเอริกะได้เห็นของที่อยู่ในมือของอลิซเธอก็ได้มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบร้องเตือนอลิซออกมาเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าก้อนคริสตัลสีแดงขนาดเล็กตรงปลายของขาเหล็กนั้นยังคงเรืองแสงและแผ่ความร้อนออกมาอยู่เล็กน้อย
“เฮ้อ… ก็คิดเอาไว้แล้วละนะว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของเจ้านี่น่ะ… เธอส่งมันมานี่ก่อนมาอลิซ อ้อ แล้วก็ระวังตรงปลายของมันด้วยล่ะ ท่าทางว่ามันจะยังร้อนอยู่เลยนั่น”
“อืม”
“เอ๋~ ไอ้แผ่นกลมๆ นี่มันคืออะไรอะพี่เอริกะ ขอหนูดูด้วยสิ”
เสียงพูดสั่งของเอริกะและคำพูดตอบกลับของอลิซได้ทำให้พรีมูล่าผละมือออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมที่เธอกำลังตั้งเรียงมันเล่นอยู่และชะโงกหน้าไปดูว่าที่ของเล่นใหม่ของเธอด้วยท่าทีสนอกสนใจจนทำให้นากาต้องรีบยื่นมือไปคว้าคอเสื้อน้องสาวของเขาเอาไว้ก่อน ในขณะที่ทางด้านเอริกะเองก็ได้หันมาพูดตอบพรีมูล่ากลับไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“มันคือเครื่องมือตัดกระจกน่ะ ถึงมันจะไม่ได้ตัดออกมาแล้วกลมดิ๊กตามแบบที่คิดเอาไว้ทีแรกสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าถ้าเกิดเอามันไปใช้เปิดหน้าต่างที่ล็อกเอาไว้จากทางด้านนอกละก็มันจะเงียบกว่าการทุบกระจกให้แตกเยอะเลยล่ะ~”
“เธอจะบอกว่าคนร้ายที่แอบเข้ามาคุ้ยห้องของเธอใช้เจ้านี่เจาะหน้าต่างเข้ามางั้นหรอ…?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนั่นแหล่ะ เพราะว่าที่กระจกหน้าต่างมันก็มีรอยที่คล้ายๆ กับฝีมือของเจ้าเครื่องนี่อยู่น่ะ ส่วนเรื่องที่เขารื้อห้องฉันจนเละเทะแล้วก็ทิ้งเจ้าเครื่องตัดกระจกนี่เอาไว้ก็น่าจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นนายพาพวกเด็กๆ มายืนรอฉันที่หน้าบ้านเลยต้องรีบเผ่นจนไม่มีเวลารอให้มันเย็นลงก่อนล่ะมั้ง”
“แต่ถ้าคนที่บุกเข้ามาเขาเข้ามาทางหน้าต่างห้องออฟฟิศของเธอแล้วเจ้าแจกันที่ตกแตกอยู่ที่หน้าบ้านนั่นล่ะ…?”
อารอนที่ได้รับคำตอบกลับมาจากเอริกะได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าที่ด้านหน้าประตูห้องออฟฟิศของเอริกะก็ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาจนคนร้ายที่น่าจะเร่งรีบคุ้ยหาของที่ต้องการไม่น่าจะมีเวลาสะเดาะกุญแจออกไปทำแจกันอันนั้นร่วงหล่นลงมาแตกได้เลยแม้แต่น้อย
“อันนั้นฉันน่าจะเผลอวางมันไม่ดีเองน่ะ แฮะๆ เพราะตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะออกจากบ้านไปก็เห็นมันทำท่าเหมือนจะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่อยู่แล้วแหล่ะ~ แต่ก็นะ พอเจ้าพวกนั้นเอาเครื่องต้นแบบมาใช้มันก็เป็นซะแบบนี้นี่ล่ะ วิธีระบายความร้อนก็ไม่มีจนจะพกมันไปไหนมาไหนก็อันตราย ลองถ้าเกิดเอามันเก็บใส่กระเป๋าทันทีหลังจากที่ใช้งานเสร็จก็มีหวังได้ไหม้ไปทั้งกระเป๋านั่นแหล่ะ~”
เอริกะที่สังเกตเห็นสายตาตำหนิของอารอนก็ได้รีบพูดเปลี่ยนเรื่องออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้นิ้วดีดส่วนที่เป็นขาเหล็กของเครื่องตัดกระจกที่เย็นตัวลงจนแสงสีแดงหายไปแล้วให้มันหมุนไปมารอบๆ จนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจในขณะที่ทางด้านอลิซก็ได้เดินหายไปจากกรอบหน้าต่างเมื่อเธอคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้ฟังแล้ว
“จะว่าไปเธอนี่ก็รู้เรื่องของเจ้าเครื่องนี่เยอะเหมือนกันนะ ตอนฉันเห็นมันทีแรกฉันยังมองไม่ออกเลยว่ามันคืออะไรกันแน่น่ะ”
“นั่นสิๆ พี่เอริกะรู้ได้ไงว่ามันคืออะไรอ่ะ”
“อ๋อ~ ก็พอดีว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนสร้างเจ้าเครื่องนี่ขึ้นมาเองแล้วก็ส่งมอบไปให้ทางวังหลวงเขาไปพัฒนาต่อมาตั้งนานแล้วน่ะสิ แต่ถ้าดูจากที่มันยังหน้าตาเหมือนเดิมอยู่อย่างงี้ก็แปลว่าเจ้าพวกนั้นคงจะเอามันไปหมกไว้ในห้องเก็บของเหมือนเดิมนั่นแหล่ะมั้ง~”
“เอ๋ะ—!?”
คำตอบของเอริกะได้ทำให้สองพี่น้องชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่ว่าก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมาเอริกะก็ได้หันไปพูดถามอารอนเบาๆ ด้วยท่าทีเหมือนกับรู้สึกผิดขึ้นมาซะก่อน
“ว่าแต่… แล้วนายจะเอายังไงล่ะอารอน? ในเมื่อมีเจ้าเครื่องนี่หล่นอยู่เป็นหลักฐานก็น่าจะตามตัวคนร้ายได้ไม่ยากแล้วล่ะนะ… จะให้ฉันไปทวงของนั่นคืนมาให้มั้ย?”
“…….”
อารอนที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้ก้มหน้าและนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดตอบเธอกลับไป
“ไม่ล่ะ… ถ้าเกิดว่าเจ้าพวกนั้นเอาของนั่นไปทำอะไรโง่ๆ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้เห็นผลของมันเอง…”
“ถ้านายว่างั้นก็เอาตามนั้นก่อนก็ได้… แต่ถ้าเกิดว่านายเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกฉันได้ทุกเมื่อก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง”
“อืม…”
อารอนพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ จนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นได้ละสายตาออกมาจากเขาและหันไปมองเด็กหนุ่มผมดำตาสองสีที่ช่วยเธอจัดเก็บห้องออฟฟิศอย่างขยันขันแข็งจนสะอาดหมดจดและพูดถามนายแพทย์หนุ่มผู้ที่เป็นเพื่อนกับเธอขึ้นมา
“ว่าแต่แล้วนี่นายพานากากับอลิซแล้วก็พรี… อื้ม… พรีมจังมาที่นี่ทำไมล่ะ? หรือว่าแค่จะพามาอวดเฉยๆ ว่ารอบนี้นายเจอคนหน้าตาคุ้นๆ ตั้งสองคนน่ะ~?”
“เฮ้อ… ไร้สาระน่า… แต่เอาจริงๆ ที่ฉันมาหาเธอนี่มันก็เพราะเรื่องนี้นี่แหล่ะ… แต่เดี๋ยวให้นากาเขาเล่าให้ฟังเองน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง…”
“อ—เอ๋ะ—? จ—จะให้ฉันเล่าอะไรล่ะ?”
นากาที่ได้ยินอารอนเอ่ยชื่อของตนขึ้นมาได้สะดุ้งเฮือกและพูดถามนายแพทย์หนุ่มกลับไปด้วยความวิตกกังวล แต่ถึงอย่างนั้นอารอนก็กลับยักไหล่กลับมาให้เด็กหนุ่มเหมือนกับกำลังจะบอกว่าเขาต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะบอกเรื่องที่ว่าเขาไม่สามารถใช้วิซได้ให้เอริกะฟังหรือไม่
ซึ่งท่าทางของอารอนนั้นก็ทำให้นากาถึงกับหน้าซีดเพราะไม่ว่าเขาจะตีลังกาคิดยังไงมันก็คงจะไม่มีคนสติดีๆ คนไหนคิดสนใจจะรับคนที่ใช้วิซไม่ได้อย่างเขาเข้าไปทำงานด้วยอยู่แล้ว
“หืมมม~~~ ไหนๆ เธอมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังงั้นหรอนากาคุง~~?”
ในขณะที่นากากำลังกลุ้มใจและคิดไม่ตกอยู่นั้นทางด้านเอริกะก็กลับดูเหมือนจะเห็นท่าทีของอารอนกับนากาเป็นเรื่องสนุกและพูดถามจี้ขึ้นมาจนทำให้นากาได้แต่ต้องยอมกลั้นใจเสี่ยงดวงดูสักครั้งหนึ่ง
“ค…คือว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนที่ไม่—”
วิ๊ง—
ในชั่วขณะที่นากากำลังจะเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้นเขาก็ได้สังเกตเห็นละอองแสงจำนวนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาที่ด้านนอกหน้าต่างและพุ่งไปรวมตัวกันเป็นรูปร่างของดาบเล่มหนึ่งในมือของเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังชายตามองตรงมาทางเขาจากด้านในสวนด้วยท่าทีที่เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ซึ่งภาพที่นากาเห็นนั้นก็ได้ทำให้เด็กหนุ่มชะงักไปในทันทีเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าเขายังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องที่ว่าเขาไม่สามารถวิซได้อยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้นาการีบหันซ้ายหันขวามองหาของอะไรก็ได้ที่ทำมาจากโลหะเพื่อที่จะได้แสดงมันให้กับหญิงสาวผมสีแดงดูในทันที
“เอ่อ… เธอพอจะมีของอะไรที่ทำจากเหล็กที่ไม่ได้ใช้แล้วบ้างหรือเปล่าน่ะเอริกะ พอดีว่ามันต้องมีส่วนผสมนิดหน่อยถึงจะทำให้ดูได้น่ะ”
“หืม? ของที่ทำจากเหล็กงั้นหรอ? ถ้างั้นก็ใช้เจ้านี่ไปเลยสิ~”
เอริกะที่เห็นว่าเด็กหนุ่มผมสีดำได้เปลี่ยนคำพูดไปกลางคันได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะโยนเครื่องตัดกระจกที่เธอวางทิ้งไว้บนโต๊ะไปให้กับนากาจนทำให้นากาที่ได้รับเครื่องตัดกระจกไปได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาเพื่อความแน่ใจ
“เอ่อ… เธอจะไม่เก็บมันไว้เป็นหลักฐานหน่อยหรอ ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่าเหมือนกันนะ”
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก~ ให้เจ้าพวกนั้นคุ้ยหาของต้นแบบที่หายไปจากห้องเก็บของกันจนหัวหมุนแบบนั้นก็น่าจะสนุกดีอยู่เหมือนกัน~”
“เอาล่ะ…ถ้างั้นก็…!!”
นากาพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหลับตาลงและนึกถึงภาพของดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ในหัวของเขาเหมือนกับที่เขาทำในคลินิก ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำหนักและรูปลักษณ์ของเครื่องตัดกระจกใจมือของเขาที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับครั้งที่แล้ว
และเมื่อนากาลืมตากลับขึ้นมาเขาก็ได้พบว่าเครื่องตัดกระจกในมือของเขาได้กลายเป็นดาบเปื้อนเลือดเหมือนกับเมื่อตอนที่เขาได้เปลี่ยนเสาน้ำเกลือให้กลายเป็นดาบในคลินิกของอารอนแล้ว
“ห—โห~ นี่น่ะหรอที่นายพูดถึงน่ะอารอน”
“อันนี้ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันนั่นล่ะว่านากาเขาทำได้น่ะ…”
“ล…แล้วเธอคิดว่ายังไงบ้างล่ะ?”
เสียงพูดถามเบาๆ ที่แฝงไว้ด้วยความตกตะลึงของเอริกะพอจะทำให้นากาใจชื้นขึ้นมาได้และพูดถามอีกฝ่ายกลับไป ซึ่งถึงแม้ว่าเอริกะจะยังไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาและพยายามเก็บท่าทางตกตะลึงของเธอเอาไว้ แต่ว่าเมื่อดูจากการที่เอริกะได้เดินเข้ามามองสำรวจดูดาบเปื้อนเลือดใกล้ๆ แล้วก็คงจะหมายความว่าเธอสนใจในสิ่งที่เขาสามารถทำได้อยู่บ้างเช่นเดียวกัน
และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณอลิซที่ใช้ความสามารถในการเสกดาบสีขาวของเธอให้เขาดูผ่านทางหน้าต่างจนเขานึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีความสามารถในการเปลี่ยนโลหะให้เป็นดาบอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วย
แต่ว่าเมื่อนากาได้หันไปมองทางหน้าต่างเขาก็กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กสาวผมสีขาวแล้วจนทำให้เขาได้แต่ต้องถอนสายตากลับมาและพบเข้ากับอารอนที่มีท่าทีแปลกใจกับความสามารถของเขาอยู่ด้วยเช่นกันจนทำให้เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับอารอนเลย
“เออใช่… ฉันก็ลืมบอกนา— หือ?”
ในขณะที่นากากำลังจะหันไปพูดบอกอารอนอยู่นั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ถูกกำเอาไว้ในมือของเขารวมกับด้ามดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์จนทำให้เขาต้องชะงักไปก่อนจะลองคลายมือออกมาดู
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบว่านอกจากตัวด้ามดาบที่เขากำเอาไว้แล้วมันก็ยังมีก้อนคริสตัลสีเขียวและสีแดงขนาดเล็กๆ ที่น่าจะหลุดออกมาจากตัวเครื่องตัดกระจกในตอนที่เขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบไปอยู่ในมือของเขาอยู่อีกด้วย
“หืม…? อ๋อ… ก้อนคริสตัลที่อยู่ในวงจรของเครื่องตัดกระจกสินะ เธอไม่เปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบไปพร้อมๆ กันเลยล่ะ มันไม่ได้แพงอะไรหรอกนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก~”
ทันใดนั้นเองเอริกะที่สังเกตเห็นว่านากาเหลือก้อนคริสตัลสองสีเอาไว้ในมือก็ได้พูดบอกเขาไปด้วยความเอ็นดู เพราะถึงแม้ว่าก้อนคริสตัลพวกนี้จะพอมีราคาอยู่บ้างแต่ว่าสำหรับเธอแล้วมันก็ไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว
ซึ่งนากาที่เห็นว่าเอริกะเหมือนจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเพียงแค่เกรงใจก็พอที่จะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างก่อนที่ทันใดนั้นเองเขาจะต้องกลับไปหน้าซีดอีกครั้งหนึ่งเมื่อพรีมูล่าที่นั่งดูพวกเขาอยู่กับพื้นได้พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“พี่นากาเขาใช้คริสตัลพวกนั้นไม่ได้ต่างหากล่ะพี่เอริกะ~”
“ด—เดี๋ยวก่อนสิพรีมูล่า—!”
“หืม? เธอหมายถึงนากาคุงเขาใช้คริสตัลธาตุไฟกับลมไม่ได้สินะพรีมจัง แล้วอย่างนี้เธอมีวิซธาตุอะไรล่ะนากาคุง?”
“อ…เอ่อ… มันก็…”
นากาที่ถูกเอริกะพูดถามขึ้นมาด้วยคำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้นได้แต่ลังเลและหันไปมองทางอารอนเหมือนกับว่าจะขอความช่วยเหลือ แต่ว่าก่อนที่จะมีใครได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น พรีมูล่าผู้ที่เป็นคนจุดประเด็นขึ้นมาก็ได้พูดขึ้นมาเสียงดังอีกครั้งหนึ่งเข้าเสียก่อน
“จะธาตุไหนก็ไม่ใช่ทั้งนั้นอ่ะ ก็พี่นากาเขาใช้วิซได้ซะที่ไหนอ้ะ!”
“หืม…?”
คำพูดของพรีมูล่าได้ทำให้เอริกะเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านอารอนด้วยความแปลกใจ และเมื่อเอริกะได้พบว่าอารอนพยักหน้ายืนยันกลับมาให้เธอ เธอก็ได้หันกลับไปมองทางด้านสองพี่น้องและได้พบว่านากากำลังดึงแก้มของพรีมูล่าจนยืดอยู่
“โอ๊ยยยยยยยย เจ็บๆๆๆ มันเจ็บนะพี่นากาาาาาาา!!”
“ก็เพราะว่าพี่ตั้งใจทำให้มันเจ็บไง! ปกติก็เห็นเธอกับโมโกะคอยช่วยพี่ปิดเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง! ทำไมคราวนี้เธอถึงเป็นคนพูดออกมาเองเล่า!?”
“ก็-ก็-ก็-ก็หนูเห็นว่าพี่เอริกะเขาถามนี่นา!! แล้วพี่เอริกะเขาก็ดูไม่เหมือนกับพวกลุงๆ ป้าๆ ที่หมู่บ้านที่บอกปัดพี่นากาเพราะว่าพี่นากาใช้วิซไม่ได้ด้วยอ้ะ!!”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่รอให้พี่เป็นคนบอกเองล่ะหะ!?”
“ก็เวลาพอเป็นเรื่องนี้ทีไรกว่าพี่นากาจะตอบได้ก็อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ตั้งนานเลยอ้ะ!!”
คำตอบของพรีมูล่าได้ทำนากาชะงักไปเล็กน้อยเพราะว่าทุกอย่างที่เธอพูดมามันก็เป็นความจริงรวมถึงเรื่องที่ว่าเอริกะเองก็ไม่มีท่าทีรังเกียจหรือว่าสมเพชเขาหลังจากที่ได้ยินว่าเขาไม่สามารถใช้วิซได้ไปแล้วอีกด้วย
ซึ่งเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้ลดแรงดึงของเขาลงเปลี่ยนไปบีบแก้มของพรีมูล่าเล่นอยู่อีกสักพักก่อนที่เขาจะปล่อยแก้มนิ่มๆ ของเธอออกและหันกลับไปหาเอริกะอีกครั้งหนึ่ง
“นากาคุงใช้วิซไม่ได้งั้นหรอ… แบบนี้เวลาใช้ชีวิตประจำวันไม่ลำบากแย่หรอน่ะ?”
“จ–จะว่าลำบากมันก็ใช่แหล่ะมั้ง… เพราะขนาดเตาไฟที่มีตัวแปรธาตุติดมาด้วยฉันยังจุดมันไม่ติดเลยน่ะ…”
“ช่ายๆ เตานั่นน่ะขนาดหนูที่ใช้ได้แต่วิซธาตุน้ำแข็งยังจุดมันติดได้ง่ายๆ เลยนะ! นี่ถ้าเกิดว่าพี่นากาเขาอยากได้น้ำร้อนขึ้นมาแล้วหนูไม่ยอมมาเปิดเตาให้ล่ะก็พี่นากาเขาก็ต้องไปนั่งผ่าฟืนมาต้มน้ำเองเลยอ่ะ!”
คำพูดของพรีมูล่าได้ทำให้นากาตวัดสายตาไปมองทางน้องสาวของเขาในทันทีจนทำให้พรีมูล่าถึงกับสะดุ้งเฮือกและรีบพุ่งตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของอารอนอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้นากาก็ไม่มีอารมณ์จะไปสั่งสอนน้องสาวตัวแสบของเขาสักเท่าไหร่นักแล้วและพูดบอกอารอนกับเอริกะไปด้วยน้ำเสียงจ๋อยๆ
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปนั่งรออยู่ข้างนอกก็แล้วกันนะ…”
“อ้าว—จะรีบไปไหนล่ะนั่น ถึงเธอจะใช้วิซไม่ได้แต่ว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนี่~ นี่ๆ อารอน ถ้ายังไงฉันขอจองตัวนากาเขาเอาไว้ก่อนจะได้หรือเปล่าล่ะ~”
“หะ–?”
“เอาจริงๆ ตอนแรกฉันก็กะจะฝากเธอหาที่พักให้กับทั้งสี่คนระหว่างที่พวกเขาอยู่ในเมืองอยู่แล้วล่ะ… แต่ถ้าเกิดว่าเธอสนใจพวกเขาล่ะก็งั้นฉันฝากเธอทำเรื่องเรียนต่อให้กับพวกเขาด้วยก็แล้วกัน…”
ในขณะที่นากากำลังสับสนกับสิ่งที่เขาได้ยินอยู่นั้น ทางด้านผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็กลับหันไปพูดคุยกันเองโดยไม่มีท่าทีว่าจะพูดอธิบายให้เด็กหนุ่มที่กำลังสับสนอยู่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ จะว่าไปก็เห็นว่าพวกเด็กๆ เพิ่งจะปิดภาคเรียนกันไปเมื่อสักเดือนที่แล้วเองนี่นะ แบบนี้พวกนากาคุงก็คงจะเพิ่งเรียนจบชั้นต้นกันมางั้นสินะ… เอ… ว่าแต่ที่บอกว่าสี่คนนี่อย่าบอกนะว่านายเองก็อยากจะไปสมัครเข้าเรียนด้วยเหมือนกันน่ะ? ไม่เอาน่า~ อายุตั้งขนาดนี้แล้วแท้ๆ ไปเข้าห้องเรียนกับพวกเด็กๆ แบบนั้นเดี๋ยวคุณครูเขาก็ลำบากใจแย่หรอก~”
“เฮ้อ… มีเด็กอีกคนนึงชื่อว่าโมโกะมาด้วยน่ะ… แต่ว่าตอนที่กำลังเดินทางอยู่มันมีปัญหานิดหน่อยโมโกะเขาก็เลยต้องไปนอนพักอยู่ที่คลินิกของฉันก่อนน่ะ…”
“อื้มๆ แต่ว่าถ้ามีกันตั้งสี่คนแบบนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลาเตรียมนู่นเตรียมนี่กันนิดหน่อยล่ะนะ… แต่ว่ายังไงก็น่าจะทันก่อนเปิดภาคเรียนอยู่แหล่ะนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก~”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะได้ยินว่ายังมีเด็กอีกคนหนึ่งที่เธอยังไม่ได้เห็นหน้าแต่ว่าเธอก็ยังคงพยักหน้าตกลงกับข้อเสนอของอารอนโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขัดบทสนทนาของอารอนและเอริกะขึ้นมาเสียงดังเสียก่อน
“ด—เดี๋ยวก่อนสิ! ทำไมเธอถึงยอมตกลงง่ายๆ แบบนั้นล่ะเอริกะ!? เธอก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันใช้วิซไม่ได้น่ะ!?”
“เอ๋~? อะไรของพี่นากาเนี่ย? พี่เอริกะเขาตกลงแบบนั้นก็ดีแล้วแท้ๆ ไม่ใช่หรอ?”
เสียงร้องของนากาได้ทำให้พรีมูล่าที่หลบอยู่ด้านหลังของอารอนอดไม่ได้ที่จะพูดถามเขาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าปกติแล้วการพูดแทรกการพูดคุยของคนอื่นแบบนั้นมันเป็นหน้าที่ของเธอต่างหาก
“หืม? มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่ ก็ถ้าเกิดว่าฉันอยากได้คนที่ใช้วิซได้ฉันก็แค่เดินไปจับชาวบ้านแถวๆ นี้มาสักคนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง… ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วฉันว่าความสามารถในการเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นอาวุธของเธอมันน่าสนใจยิ่งกว่าวิซธาตุน้ำแข็งหรือว่าธาตุไฟฟ้าที่หายากๆ นั่นอีกนะ เพราะงั้นไหนๆ ก็มีโอกาสแล้วทั้งทีฉันก็เลยกะจะจองตัวเธอเอาไว้ก่อนใครเลยยังไงล่ะ~”
“ต–แต่ว่า–”
“อ่ะๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกนะนากาคุง~ เพราะฉันเองก็ไม่ได้คิดจะให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของฉันเฉยๆ อยู่แล้วล่ะ ถ้าจะให้พูดสรุปง่ายๆ ก็คือฉันคิดจะจ้างเธอกับเพื่อนๆ อีกสามคนมาทำงานให้กับฉันแลกกับที่พัก เงินเดือน แล้วก็สวัสดิการอย่างค่าเล่าเรียนหรือไม่ก็อุปกรณ์การเรียนต่างๆ น่ะ”
“เอ๋ะ… เรื่องนั้นมันก็….”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยเพราะว่างานในเมืองที่คนที่ไม่สามารถใช้วิซได้อย่างเขาน่าจะสามารถทำได้มันก็คงจะมีเพียงแค่การทำความสะอาดอย่างง่ายๆ หรือว่าเป็นคนส่งของหรืออะไรจำพวกนั้น จนทำให้นากาที่เป็นเด็กผู้ชายอีกทั้งยังฝึกฝนวิชาดาบมาด้วยตัวเองอย่างหนักตั้งแต่จำความได้จนมีความภาคภูมิใจในฝีมือการต่อสู้ของตนอยู่ไม่ใช่น้อยได้แต่รู้สึกลังเลกับสิ่งที่เอริกะพูดขึ้นมา
ซึ่งท่าทางลังเลของนากานั้นก็เหมือนว่าจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าของเธอกำลังคิดอะไรอยู่เธอจึงได้พูดอธิบายเกี่ยวกับตัวงานของเธอออกมาให้เขาฟัง
“จุ๊ๆ งานที่ฉันพูดถึงนี่มันไม่ใช่งานพ่อบ้านคอยทำความสะอาดบ้านแต่ว่าเป็นงานสำรวจนู่นนี่ที่ต้องออกไปทำที่นอกเมืองต่างหากล่ะ~ ถึงเธอจะดูมั่นใจในฝีมือของตัวเองแบบนี้ก็เถอะแต่ว่าถ้าเจองานของฉันเข้าไปละก็ระวังจะร่วงเอานะ~”
“อื้ม! ถ้าได้แบบนั้นงั้นก็ดีสิ!”
คำพูดอธิบายเกี่ยวกับตัวงานคร่าวๆ ของเอริกะได้ทำให้นากาตัดสินใจได้และพยักหน้าตอบเธอกลับไปด้วยความมั่นใจ ส่วนทางด้านพรีมูล่าที่เห็นว่าพี่ชายของเธอตอบตกลงไปแล้วก็ได้ชูมือขึ้นมาพูดอาสาด้วยท่าทีร่าเริงด้วยอีกคนในทันที
“ถ้าพี่นากาเอางั้นหนูก็เอาด้วย~!”
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันก็ ซิกมอร์ เอริกะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ~ อ่ะ— ซิกมอร์นั่นเป็นนามสกุลนะจ๊ะ เพราะงั้นเรียกฉันว่าเอริกะเหมือนเดิมได้เลย~”
“อื้ม! ฉัน นากามูระ อาร์ทิอัส หลังจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยเหมือนกัน!”
นากาพูดแนะนำตัวตอบเอริกะกลับไปพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของเอริกะตามธรรมเนียมปฏิบัติเวลาแนะนำตัว และเมื่อทั้งสองคนตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเอริกะก็ได้หันไปมองทางด้านพรีมูล่าที่กำลังยืนโคลงหัวไปมาอยู่ด้วยความอารมณ์ดีที่จะได้อาศัยอยู่ในเมืองด้วยกันกับพี่ชายของเธอและพูดถามขึ้นมาบ้าง
“แล้วทางด้านเธอแน่ใจแล้วใช่มั้ยเอ่ยแม่สาวน้อย~ บางทีงานของฉันมันก็อาจจะอันตรายอยู่บ้างเหมือนกันนะ ถ้าเกิดว่าเธอกลัวล่ะก็เดี๋ยวฉันจะลองหาวิธีอื่นให้เธอได้อยู่ในเมืองกับพี่ชายให้แทนดีมั้ยเอ่ย~?”
“ไม่เอาอ่ะ!! ถ้าพี่นากาตกลงงั้นหนูเองก็เอาด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าเกิดว่าต้องแยกกันอยู่ล่ะก็เดี๋ยวพี่นากาเขาก็หงอยจนไม่เป็นอันทำงานพอดีสิ~”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็ไม่ใช่ว่าคนที่จะหงอยนั่นมันจะเป็นเธอเองหรอกหรอ…?”
ในขณะที่พรีมูล่ากำลังยืดอกพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจอยู่นั้นอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของอลิซดังขึ้นมาจากทางประตูห้องก่อนที่เด็กสาวผมสีขาวจะเดินเข้ามาด้านในห้องออฟฟิศด้วยอีกคนหนึ่งจนทำให้พรีมูล่าที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพูดเถียงกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย! พี่อลิซพูดอะไรออกมากันเนี่ย”
“อ่ะ เป็นไงบ้างน่ะอลิซ ตอนเธอออกไปเดินในสวนนั่นเห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?”
“ตอนที่ฉันเดินวนไปที่ประตูหน้าฉันเห็นว่าประตูมันถูกเปิดทิ้งเอาไว้อยู่น่ะ… แต่ก็น่าจะแค่โดนลมพัดมากกว่าล่ะมั้ง เพราะยังไงกลอนประตูมันก็พังอยู่แล้วนี่”
อลิซพูดตอบคำถามเอริกะที่พูดสอบถามเธอกลับไปแล้วจึงก้มตัวลงไปหยิบเอากล่องสี่เหลี่ยมที่พรีมูล่านำมาตั้งเรียงเล่นทิ้งไว้ขึ้นมาเก็บเข้าที่บนชั้นวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เอ่ยปากพูดสันนิษฐานออกมา
“แต่ก็อาจจะหมายความว่ามีใครแอบลอบหนีออกไปตอนที่เธอไม่ทันสังเกตเห็นก็ได้งั้นสินะ?”
“ก็เป็นไปได้… แต่ที่แน่ๆ ก็คือมีคนบุกเข้ามาคุ้ยของในห้องของเธอจนกระจุยแล้วก็หยิบเอากระปุกอะไรของเธอนั่นไปนั่นล่ะ”
“นั่นสินะ แถมยังซุ่มซ่ามทำแจกันของฉันตกแตกอีก แย่จริงๆ เลย~”
คำพูดของเอริกะที่ป้ายความผิดเรื่องแจกันของเธอให้กับคนที่บุกเข้ามาไปแบบเนียนๆ ก็ได้ทำให้อารอนหันไปจ้องมองเธอเล็กน้อยเพราะว่าในทีแรกเอริกะได้เผลอหลุดปากออกมาว่าเธอวางมันไม่ดีเอง แต่ว่าก่อนที่อารอนจะได้พูดตำหนิอะไรเธอออกมาพรีมูล่าที่เห็นว่าเอริกะไม่มีท่าทีว่าจะร้อนใจอะไรกับของที่หายไปเลยแม้แต่น้อยก็ได้ร้องถามขึ้นมาเสียงใส
“ว่าแต่มีของหายไปแบบนั้นแต่ทำไมพี่เอริกะถึงดูไม่โกรธเลยอ่ะ?”
“แหม่~ ก็นั่นสินะ~”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของพรีมูล่าได้ยักไหล่พูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ และเหลือบตาไปมองทางด้านอารอนเล็กน้อยจนทำให้นายแพทย์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาและเอ่ยปากขอตัวออกมาในทันที
“เฮ้อ… ถ้าเป็นพวกนากาล่ะก็เธอก็เล่าเท่าที่เธอคิดว่าควรจะเล่าเลยก็แล้วกัน… ฉันขอตัวกลับไปดูอาการของโมโกะที่คลินิกก่อนล่ะ… แล้วเดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะให้เดรคพามาส่งให้ที่นี่เอง…”
“อ—อ่า… โชคดีนะอารอน”
“บ๊ายบายนะพี่อารอน~”
คำพูดบอกลาอย่างกะทันหันของอารอนได้ทำให้สองพี่น้องจากหมู่บ้านโมริกะได้แต่ต้องรีบเอ่ยปากบอกลาเขาไป ซึ่งหลังจากที่อารอนเดินออกจากห้องออฟฟิศไปแล้วเอริกะก็ได้หันไปหาอลิซและเอ่ยปากพูดข้อเสนอแบบเดียวกับของนากาขึ้นมา
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็สรุปเรื่องง่ายๆ ให้ได้ใจความในประโยคเดียว! เธอสนใจจะมาทำงานให้ฉันแลกกับที่อยู่อาศัยแล้วก็เงินเดือนหรือเปล่าล่ะอลิซ! อ๋อ แล้วถ้าตอบตกลงตอนนี้ฉันแถมคุ๊กกี้ให้ด้วยนะ!”
“อ่ะ! คุ๊กกี้! หนูเอาด้วย~”
ยังไม่ทันที่อลิซจะได้พูดตอบอะไรกลับไป พรีมูล่าที่เห็นว่าเอริกะได้หยิบเอาไหคุ๊กกี้ขึ้นมาจากใต้โต๊ะทำงานของเธอก็ได้ทำตาเป็นประกายและเดินเข้าไปขอขนมจากเอริกะในทันทีจนทำให้อลิซได้แต่ต้องส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายๆ
“เฮ้อ… ทำตัวบ๊องๆ ได้เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนจริงๆ เลยนะเธอน่ะ…”
“ต—แต่นี่มันคุ๊กกี้เลยนะพี่อลิซ”
“จะให้ฉันอยู่ที่นี่สักพักนึงมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก… แต่ขอฉันถามสักหน่อยจะได้หรือเปล่าล่ะว่าทำไมเธอถึงชวนฉันน่ะ?”
คำพูดของพรีมูล่าที่กำลังยืนแทะคุ๊กกี้อยู่จนแก้มตุ่ยได้ถูกอลิซทำเป็นเมินไปอย่างสิ้นเชิงก่อนที่เธอจะพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเอริกะจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีของอลิซแต่ว่าเธอก็ได้พูดตอบกลับไปตามตรงอยู่ดี
“ก็พอดีว่าฉันสนในความสามารถของนากาเขาแล้วฉันก็เห็นว่าเธอมาด้วยกันกับเขาก็เลยน่าจะยังไม่มีที่พักก็เลยลองชวนดูน่ะ”
คำตอบของเอริกะได้ทำให้อลิซหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบหญิงสาวผมสีแดงกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เห… ถึงฉันจะยังไม่มีที่ให้ไปจริงๆ ก็เถอะ แต่ว่าฉันเองก็ไม่ค่อยชอบที่ต้องเป็นของแถมให้คนอื่นแบบนั้นซะด้วยสิ เธอเองก็คิดอย่างงั้นใช่มั้ยล่ะพรีมูล่า?”
“เอ๋ะ? หนูหรอ? หนูขอแค่ได้อยู่กับพี่นากากับโมโกะจังก็พอใจแล้วอ่ะ แล้วถ้าพี่อลิซยังไม่มีที่ไปทำไมไม่อยู่กับพวกหนูก่อนอ่ะ คนเยอะๆ ก็สนุกดีออกนะ~”
“ชิ… ลืมไปเลยว่ายัยนี่มันบ๊องตื้นนี่นะ…”
อลิซที่พยายามหาพรรคพวกเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองได้แต่ต้องเดาะลิ้นเล็กน้อยเมื่อคำตอบของพรีมูล่าไม่เป็นไปตามที่เธอคาดเอาไว้
แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับดูเหมือนว่าจะคาดเดาได้ถึงความต้องการของอลิซเธอจึงได้เผยรอยยิ้มกวนๆ ขึ้นมาที่มุมปากเหมือนกับกำลังนึกสนุกและเอ่ยปากพูดท้าทายขึ้นมา
“หืม~~ ถ้างั้นเธอมีอะไรดีๆ จะมาแสดงให้ฉันดูหรือเปล่าล่ะอลิซจัง~ ถึงทางด้านฉันจะมีปัญหาเรื่องขาดแคลนกำลังคนอยู่บ้างก็เถอะแต่ว่าฉันเองก็ไม่ได้รับคนเข้ามาร่วมทีมง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ~”
“หึ… อย่างฉันน่ะมีดีให้ดูอยู่แล้วล่ะ… แต่ว่าตอนนี้เธอเล่าเรื่องของที่หายไปนั่นให้นากาฟังก่อนดีกว่าล่ะมั้ง ดูท่าทางว่าตานั่นจะคาใจกับคำพูดของอารอนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้วนั่น”
“หะ? ฉันเรอะ?”
นากาที่อยู่ดีๆ ก็โดนอลิซพาดพิงใส่ถึงกับผงะไปเล็กน้อยเพราะถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกคาใจกับคำพูดของอารอนอยู่จริงๆ ก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่เมื่อสักครู่นี้ก็คือว่าเขาควรจะห้ามไม่ให้พรีมูล่ากินคุ๊กกี้เกินกี่ชิ้นดีต่างหาก
ซึ่งในขณะที่นากากำลังรู้สึกสับสนอยู่นั้น ทางด้านเอริกะที่สังเกตเห็นว่าอลิซจงใจพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาก็ได้ตัดสินใจที่จะตามน้ำกับเด็กสาวผมสีขาวไปก่อนและหันไปพูดสอบถามคนอื่นๆ ขึ้นมา
“แหม่~ จะเอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าก่อนที่ฉันจะเล่าฉันขอถามก่อนสักหน่อยนึงก็แล้วกันว่าพวกเธอเคยได้ยินอารอนเขาเล่าถึงเรื่องตำนานของโลกนี้ให้ฟังบ้างหรือเปล่า แบบเรื่องจำพวกต้นกำเนิดโลก ตำนานคริสตัลวิซ หรือเรื่องที่ว่ามนุษย์ในปัจจุบันนี้มีที่มายังไงหรืออะไรจำพวกนั้นน่ะ?”
“พี่อารอนเขาไม่เคยเล่าอะไรแบบนั้นให้พวกหนูฟังเลยอ่ะ แต่ถ้าเป็นจากพวกอาจารย์ที่โรงเรียนนี่หนูเคยได้ยินอาจารย์เขาสอนอะไรเกี่ยวกับเทพพระเจ้าแล้วก็อะไรทูตๆ สักกะอย่างเนี่ยแหล่ะ”
“เอ๋ะ? พวกเราเคยเรียนอะไรพวกนั้นด้วยหรอน่ะพรีมูล่า?”
“หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันอ่ะ ถ้าพี่นากาอยากรู้ก็ลองไปถามโมโกะจังดูสิ รายนั้นขอแค่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์หรือไม่ก็อะไรโบราณๆ เขาก็สนใจทั้งนั้นนั่นแหล่ะ”
“เอาเป็นว่าเธอเล่าตั้งแต่แรกเลยก็ได้ล่ะมั้งเอริกะ”
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังหันไปพูดคุยกันเองอยู่นั้นทางด้านอลิซก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาแบบส่งๆ เพราะดูเหมือนว่าทั้งสองพี่น้องจะไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ก็เคยเรียนไปแล้วแต่ไม่มีอะไรเข้าหัวซะมากกว่า ซึ่งท่าทางของเด็กๆ ทั้งสามคนในห้องนั้นก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มขบขันออกมาก่อนที่เธอจะเดินไปที่ชั้นหนังสือและยื่นมือออกไปทำท่าเหมือนกับว่าจะดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา
“เอาล่ะ ถ้าจะให้เล่ากันตั้งแต่แรกถ้างั้นก็…”
แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังจะดึงหนังสือเล่มที่เธอหมายตาออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยและเหลือบตากลับมามองดูทุกคนอยู่ชั่วขณะแล้วจึงผละมือของเธอออกมาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เอาเป็นว่าพวกเราไปนั่งคุยกันสบายๆ ที่ห้องนั่งเล่นกันดีกว่าเนอะ~”
“อื้อ ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ”
ถึงแม้ว่านากาจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อยกว่าท่าทางแปลกๆ ของเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจอะไรบางอย่างกะทันหันแต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักและเดินตามเธอออกไปจากห้องออฟฟิศแต่โดยดี
ซึ่งเอริกะก็ได้จัดแจงที่นั่งให้กับทุกคนเป็นที่เรียบร้อยก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในห้องครัวที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่นสักพักหนึ่งแล้วจึงกลับออกมาพร้อมกับแก้วใส่น้ำส้มสำหรับทุกคนแล้วจึงเริ่มต้นเล่านิทานของเธอให้เหล่าเด็กๆ ฟัง
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันจะเริ่มเล่าละนะ อ๋อ… ถ้ามีตรงไหนสงสัยก็ยกมือถามได้เลยนะ ถ้าฉันรู้เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเอง~”