บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 97 Aggravated
ในช่วงเวลายามบ่ายของวันถัดมา หลังจากที่นากาได้เรียนวิชาสุขศึกษาที่สอนโดยอารอนในช่วงเช้าและรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารเสร็จแล้วเขาก็ได้เดินกลับไปยังจุดฝึกซ้อมที่ประจำในโรงเรียนของเขา หรือก็คือบริเวณพื้นที่ว่างด้านข้างโรงเก็บของที่อยู่ถัดมาจากสนามหญ้านั่นเอง
“ฮึ้บ!!”
ฟวับ—
“อ—โอ๊ะ—”
นากาที่เพิ่งจะฟาดดาบในมือของเขาเข้าใส่หุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อมเบื้องหน้าและกระโดดถอยออกมาเพื่อหลบการโจมตีสวนกลับตามแบบที่เขาจินตนาการเอาไว้ว่าถ้าหุ่นไม้เบื้องหน้ามีชีวิตจิตใจและสามารถตอบสนองได้มันก็น่าจะทำแบบนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของเขาได้กระโดดถอยออกมาในจังหวะก่อนที่ดาบของเขาจะกระทบเข้ากับหุ่นไม้เบื้องหน้าเสียอีกจนทำให้ตัวของเขาแทบจะเสียหลักหงายหลังล้มลงไป
“นี่สินะอาการตอบสนองไม่ทันที่พาเทียซ์พูดถึงน่ะ…”
นากาพูดบ่นขึ้นมาพลางนึกถึงสิ่งที่พาเทียซ์เคยบอกเขาเอาไว้ว่าต่อให้เขาฝึกฝนในโลกแห่งจิตใต้สำนึกหนักขนาดไหนสิ่งที่เขาเอากลับมาได้ก็มีเพียงแค่เทคนิคการต่อสู้และประสาทสัมผัสต่างๆ เพียงเท่านั้น และนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาขยับตามได้ไม่ทันความคิดจนเกือบจะล้มหงายหลังลงไปเมื่อสักครู่นั่นเอง
“เฮ้อ… ถึงจะไม่คิดว่ามันจะส่งผลเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงจะได้แต่ต้องฝึกเพิ่มงั้นสินะ”
นากาพูดพึมพำขึ้นมาแบบไม่อยากจะนึกถึงสภาพที่จะเกิดขึ้นถ้าหากว่าหุ่นไม้เบื้องหน้าสามารถโจมตีกลับมาแบบที่เขาจินตนาการได้จริงๆ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นเขาก็คงจะโดนโจมตีเขาใส่จังๆ แบบไม่มีโอกาสจะได้สวนกลับหรือว่าปัดป้องเลยแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้หลับตาลงสักพักเพื่อรวบรวมสมาธิก่อนที่เขาจะลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยแววตามุ่งมั่นและเริ่มต้นฟาดฟันหุ่นไม้เบื้องหน้าด้วยเทคนิคและท่าโจมตีใหม่ๆ ที่เขาคิดได้ในตอนที่ฝึกกับพาเทียซ์ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
ซึ่งท่าทางเก้ๆ กังๆ ของนากาที่พยายามฝึกจะใช้วิชาใหม่ๆ ที่เขาไม่คุ้นชินนั้นก็ทำให้เด็กนักเรียนบางคนที่บังเอิญเดินผ่านมาต่างพากันมองดูเขาด้วยสายตาเอ็นดู เพราะว่าสภาพของนากาในตอนนี้ดูแล้วแทบจะไม่ต่างไปจากเด็กน้อยที่พยายามแอบหลบสายตาคนอื่นเพื่อมาฝึกหัดใช้ดาบในที่ลับตาเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพน่าอับอายเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้นากาเขาก็ยังขยันเหมือนเดิมเลยนะครับเนี่ย…”
“นั่นสิ หนูไม่ได้เห็นพี่นากาเขาตั้งใจฝึกขนาดนี้มาตั้งนานแล้วนะนั่น…”
“ว่าแต่… วันนี้พรีมูล่าจะไม่ไปอยู่กับนากาเขาหรอครับ? เห็นเมื่อวันก่อนยังตามติดนากาเขาไม่ปล่อยเลยนี่ครับ”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นากากำลังฝึกซ้อมอยู่นั้นเอง ทางด้านคอนแนลที่นั่งอยู่ด้านบนอาคารเรียนบริเวณระเบียงหน้าห้องที่อยู่บนชั้นสามเองก็ได้พูดสอบถามพรีมูล่าที่นั่งเปื่อยอยู่ข้างๆ เขาขึ้นมา ซึ่งคำถามของคอนแนลนั้นก็ได้ทำให้พรีมูล่าก้มตัวลงเพื่อเอาคางไปเกยเอาไว้กับราวระเบียงและพูดตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ก็พี่นากาเขาไล่หนูขึ้นมาอ้ะ…”
“ไล่ขึ้นมาหรอครับ? นี่ก่อนหน้านี้พรีมูล่าเผลอไปเกะกะนากาเขาตอนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่หรือว่าอะไรแบบนั้นเข้าหรือเปล่าน่ะครับ?”
“หนูไม่ได้ไปเกะกะพี่นากาเขาซะหน่อย!”
“ฮะฮะ ถ้าพรีมูล่าพูดแบบนั้นก็เอาตามนั้นละกันครับ”
คอนแนลพูดตอบพรีมูล่ากลับไปพลางเหลือบไปมองดูมือซ้ายของพรีมูล่าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลเพื่อปิดบังแผลผุพองที่เกิดจากการที่เธอฝืนตัวเองไปฝึกซ้อมวิชาดาบกับนากามาเมื่อวันก่อนจนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นากาเอ่ยปากไล่พรีมูล่าให้มาอยู่กับเขาในวันนี้นี่เอง
ซึ่งคอนแนลที่เห็นแบบนั้นก็ได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวพรีมูล่าที่กำลังทำหน้าเบื่อๆ อยู่จนทำให้เด็กสาวผมชมพูเป่าปากออกมาเพราะคิดว่าพี่คอนแนลของเธอกำลังหยอกล้อเธอเล่นอยู่นั่นเอง
“บู่วววววว~”
“พ…พรีมูล่า…จัง…”
ในขณะที่พรีมูล่ากำลังเป่าปากเสียงลากยาวอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเรียกชื่อของเธอดังขึ้นมาเบาๆ ซึ่งน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ของอีกฝ่ายนั้นก็เหมือนจะไปกระตุ้นต่อมอะไรสักอย่างของพรีมูล่าเข้าจนทำให้เธอหันขวับไปมองทางต้นเสียงและพูดถามขึ้นมาด้วยท่าทีชวนหาเรื่องในทันที
“หา~~~? ใครอ่ะ? อ้ะ— มายะจังนี่นา~ ว่างาย~”
“อ…อื้อ…สวัสดีจ้ะ…พรีมูล่า…”
“อ้าว คุณมายะเองหรอครับ นี่มาหาพรีมูล่าเขามีธุระอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย?”
“—!?”
ถึงแม้ว่าในตอนที่มายะถูกพรีมูล่าหันมาพูดถามด้วยน้ำเสียงชวนหาเรื่องใส่นั้นเธอจะชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบกลับไปด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกับที่เธอทำเป็นประจำก็ตามที แต่ว่าเมื่อมายะถูกคอนแนลที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยหันมาพูดถามใส่นั้นเธอก็กลับสะดุ้งเฮือกและผงะถอยไปสองสามก้าวในทันทีถึงแม้ว่าน้ำเสียงที่คอนแนลพูดถามขึ้นมานั้นจะฟังดูสุภาพเป็นทางการก็ตาม
ซึ่งท่าทางหวาดกลัวของมายะก็ได้ทำให้พรีมูล่าหันกลับไปหาพี่คอนแนลของเธอและพูดต่อว่าเขาออกมาพร้อมกับเอามือตีๆ เข้าใส่อัศวินหนุ่มเข้าไปสองสามที
“พี่คอนแนลอย่าไปแกล้งมายะจังแบบนั้นสิ! มายะจังเขาแค่เข้ามาทักทายหนูเฉยๆ เองนะ!”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
“โอ๊ยๆ ผมก็แค่ลองพูดถามดูตามปกติเองนะครับ—”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
“อ—เอ่อ…”
มายะที่เห็นพรีมูล่ากำลังเอามือหวดเข้าใส่คอนแนลอยู่อย่างเมามันนั้นได้พยายามที่จะพูดห้ามเด็กสาวผมชมพูขึ้นมา ก่อนที่ทันใดนั้นเองพรีมูล่าจะหันกลับมาหาเธอและพูดถามขึ้นมาด้วยคำถามเดียวกับที่คอนแนลพูดถามขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้ซะเอง
“ว่าแต่มายะจังมาหาหนูนี่มีธุระอะไรหรือเปล่าอ้ะ”
“เห็นมั้ยล่ะครับ ขนาดพรีมูล่าเองก็ยังถามแบบเดียวกันเลย—โอ๊ยๆ หยุดตีได้แล้วครับ”
“อ…เอ่อ… ค…คือ… มันก็…”
มายะพูดพึมพัมตอบพรีมูล่ากลับไปเบาๆ พร้อมกับเหลือบตามองไปรอบๆ เหมือนกับกำลังกลัวว่าจะมีคนอื่นได้ยินสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมาก่อนที่สายตาของเธอจะไปหยุดอยู่ที่คอนแนลด้วยท่าทีประหม่าๆ เล็กน้อย
ซึ่งด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของมายะนั้นก็ทำให้ทั้งคอนแนลและพรีมูล่าต่างพากันดูไม่ออกว่าคุณรองประธานนักเรียนคนนี้ไม่กล้าพูดถามขึ้นมาเพราะมีคอนแนลยืนอยู่ด้วยหรือเพราะว่ามีสาเหตุอื่นใดอีกกันแน่
แต่ว่าหลังจากที่มายะได้รวบรวมความกล้าอยู่อย่างเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่ง เธอก็ได้ละสายตาออกมาจากคอนแนลเอ่ยปากพูดถามพรีมูล่าที่เธอคุ้นเคยมากกว่าขึ้นมาเสียงเบาๆ จนทั้งสองคนแทบจะไม่ได้ยิน
“น…นากาคุง…อยู่ไหนหรอ…”
“พี่นากาหรอ? ถ้าเป็นพี่นากาล่ะก็พักนี้พี่เขาแอบหลบไปฝึกอยู่แถวโกดังเก็บของที่อยู่ตรงนู้นอ่ะ”
“คุณมายะมีธุระกับนากาเขางั้นหรอครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวจะให้พวกผมไปตามตัวมาให้มั้ยครับ”
คอนแนลที่เคยได้ยินนากาเล่าให้ฟังว่าในตอนที่นากานั่งรถไปยังเมืองกราวิทัสตามคำเชิญนั้นได้มีเพื่อนร่วมทางติดไปด้วยอีกสองคนคือเซซิลกับมายะนั้นได้อาสาที่จะเดินไปตามตัวนากามาให้อีกฝ่ายเพื่อหวังที่จะใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับมายะที่เหมือนว่าจะถูกนากานับเป็นเพื่อนใหม่ไปแล้วด้วยอีกคนหนึ่ง
แต่ว่ามายะที่ถูกคอนแนลชะโงกหน้ามาพูดถามใส่ก็กลับตกใจจนสะดุ้งและรีบเดินถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับฉวยโอกาสนี้เอ่ยปากบอกลาและรีบเดินหนีไปในทันที
“ม…ไม่เป็นไรค่ะ! ถ…ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ!!”
“อ้ะ— เดินหนีไปซะแล้วอ่ะ… นี่มายะจังเขาขี้อายแบบนี้มานานแล้วหรอพี่คอนแนล?”
“ผมก็เห็นคุณมายะเขามีท่าทางแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนที่ผมเคยเจอเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วแล้วนะครับ แต่ว่าก่อนหน้านั้นจะเป็นยังไงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ครื่นนนนน
ในขณะที่คอนแนลกำลังพูดตอบพรีมูล่ากลับไปอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เหล่าก้อนเมฆสีเทาเหนือหัวพวกเขาจะค่อยๆ มีสีดำมืดขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฝนที่ทำท่าจะตกตั้งแต่เมื่อช่วงสายใกล้จะเทลงมาเต็มที่แล้วนั่นเอง
“ท่าทางว่าฝนจะใกล้ตกเต็มทีแล้วนะครับเนี่ย”
“นั่นสิๆ หวังว่าพี่นากาจะรู้ตัวก่อนนะว่าฝนใกล้จะตกแล้วนะ ไม่งั้นมีหวังพี่นากาเขาได้ติดอยู่ทางฝั่งนู้นจนกว่าฝนจะหยุดแน่ๆ เลยอ่ะ”
“ฮะฮะ เสียงฟ้าร้องดังซะขนาดนั้นนากาเขาก็น่าจะรู้ตัวแล้วล่ะมั้งครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวพวกเรากลับเข้าไปนั่งในห้องกันน่าจะดีกว่านะครับ เผื่อว่าฝนเกิดตกหนักขึ้นมาจะได้ไม่โดนละอองฝนเข้าจนไม่สบายเอาน่ะครับ”
“นั่นสิเนอะ…”
แปะ แปะ แปะ
“อ่ะ—ซวยล่ะ—”
ทางด้านนากาที่มัวแต่ใจจดใจจ่อกับการฝึกฝนจนไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อยได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบเก็บดาบของตัวเองและยกหุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อมเบื้องหน้าไปหลบสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างกะทันหันอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตูโกดังเก็บของที่มีกันสาดยื่นออกมาเป็นที่บังฝนให้กับเขาเล็กน้อย
ซ่าาาาาาาา
“เฮ้อ… จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย…”
นากาที่ยืนหลบฝนมาได้สักพักหนึ่งแล้วได้พูดบ่นออกมาอีกครั้ง เพราะว่าพื้นที่หลบฝนเล็กๆ ด้านหน้าโกดังเก็บของมันแทบจะไม่พอให้เขาขยับตัวไปมาเลยซะด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของการคิดจะฝึกฝนต่อไปเลยแม้แต่น้อย
และหลังจากที่นากายืนหลบฝนไปได้อีกสักพักหนึ่งแต่ก็ไม่เห็นท่าทีว่าฝนจะหยุดตกลงมาหรือว่าตกเบาลงเลยแม้แต่น้อยเขาก็เริ่มเกิดความคิดที่จะวิ่งฝ่าสายฝนกลับไปยังตึกเรียนเพื่อที่จะได้กลับไปรวมกลุ่มหาอะไรทำกับคอนแนลและพรีมูล่าจนกว่าฝนจะหยุดตกลงเผื่อว่าจะได้มีอะไรอย่างอื่นให้ทำบ้างนอกจากการมายืนรอให้ฝนหยุดตกลงไปเองอยู่เฉยๆ แบบนี้
“น…นากา…คุง…”
แต่แล้วในขณะที่นากากำลังจะหันกลับไปยกหุ่นซ้อมกลับเข้าไปเก็บในโกดังเก็บของนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวที่เขาคุ้นหูดังขึ้นมาให้เขาได้ยินแว่วๆ ท่ามกลางเสียงของสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา ซึ่งนากาที่คิดว่าตัวเองหูฝาดไปนั้นก็ได้หันกลับไปมองดูทางต้นเสียงและได้พบกับมายะที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางโกดังเก็บของแห่งนี้โดยไม่ได้ใช้อะไรคุ้มหัวเอาไว้เพื่อกันสายฝนเลยแม้แต่น้อย
“อ—เอ๋ะ— มายะ—? ทำไมไปยืนตากฝนอยู่อย่างนั้นล่ะ!? เดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก!”
“อ—อ่ะ—!?”
มายะที่กำลังเดินตรงผ่านสายฝนเข้ามาหานากาได้หลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดีๆ นากาก็ได้ยื่นมือออกมาดึงตัวเธอให้เข้าไปหลบฝนอยู่ใต้กันสาดของโกดังข้างๆ เขา
“อ้าว…ไม่เห็นเปียกเลยนี่นา”
นากาที่เพิ่งจะคว้าข้อมือของมายะเอาไว้ได้แต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อตัวมายะที่เขาคิดว่าน่าจะเปียกปอนจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมากลับไม่ได้ถูกสายฝนแตะต้องเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าในขณะนี้ได้มีม่านน้ำแผ่นบางๆ ทรงโค้งเหมือนกับลูกบอลครึ่งลูกกำลังลอยตัวอยู่เหนือหัวของเธอนั่นเอง
และเมื่อดูจากไม้คทาอันเล็กๆ ประดับคริสตัลวิซที่กำลังส่องแสงสว่างออกมาเล็กน้อยในมือของมายะแล้ว ม่านน้ำเหนือหัวของเธอก็คงจะเป็นการใช้วิซในรูปแบบหนึ่งอย่างแน่นอน
“เห…วิซมันใช้ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรอเนี่ย…”
“น—น–น—นากาคุง!!”
“หื้ม…?”
นากาที่กำลังมองดูวิธีการใช้วิซธาตุน้ำแบบที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ได้ละสายตาออกมาจากม่านน้ำบางๆ ที่ลอยอยู่เหนือหัวเมื่อได้เสียงของมายะที่ร้องเรียกชื่อของเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้พบว่าบัดนี้มายะกำลังมีสีหน้าแดงก่ำและกำลังพยายามดึงมือของเธอออกจากมือของเขาที่จับข้อมือของเธอเอาไว้อยู่
ซึ่งนากาที่เห็นแบบนั้นก็ได้รีบปล่อยมือของเขาออกจากข้อมือของมายะพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเองและรีบพูดขอโทษออกมาในทันที
“อ่ะ— โทษทีๆ พอดีว่าเมื่อกี้นี้ฉันนึกว่าเธอเดินตากฝนมาน่ะ”
“อ…อื้อ!! ม…ไม่เป็นไร…ค…ค่ะ…”
มายะที่ได้ยินคำขอโทษจากนากาได้รีบพยักหน้าตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนที่เธอจะก้มลงไปมองข้อมือของตัวเองที่ถูกนากาคว้าไปจับเมื่อสักครู่นี้อยู่สักพักและยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบมันด้วยท่าทีเหม่อลอยก่อนที่ทันใดนั้นเองนากาจะพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนเธอลดมือลงแทบจะไม่ทัน
“ว่าแต่เธอมีอะไรหรือเปล่าน่ะถึงได้เดินฝ่าฝนมาหาฉันถึงฝั่งนี้ของโรงเรียนแบบนี้น่ะ?”
“อ—อื้อ!! พ…พอดี…ม…มีคนมาหา…น่ะ…”
“หะ? มีคนมาหาฉันหรอ?”
นากาพูดถามมายะกลับไปด้วยน้ำเสียงสงสัยปนประหลาดใจ เพราะว่าในตอนนี้คนรู้จักของเขาที่อาจจะต้องการพบกับเขาก็มากองกันอยู่ในโรงเรียนนี้กันหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นอารอน เอริซาเบธ หรือแม้แต่กระทั่งอลิซ จะขาดก็เพียงแค่เอริกะที่ไม่น่าจะใช้ให้มายะมาตามตัวเขาแต่น่าจะมาหาเขาเองโดยตรงซะมากกว่า คุณพยาบาลผมบลอนด์ของอารอนที่ไม่น่าจะมีสาเหตุอะไรให้มาขอพบตัวเขาในโรงเรียน ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นหญิงสาวผมสีขาวที่ชื่อมีอากับกับชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ชื่อว่าเดรคที่นากาเคยได้พบตัวเพียงแค่ไม่กี่ครั้งซึ่งก็ไม่น่าจะมีธุระกับเขาอีกเช่นกัน
“ข…เขารออยู่ที่…ที่ห้องประธานนักเรียนน่ะ…”
มายะที่เห็นสีหน้าประหลาดใจของนากาได้พูดอธิบายออกมาเพิ่มเติมให้เขาฟังและแกว่งไม้คทาในมือไปมาเล็กน้อยจนทำให้สายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาจำนวนหนึ่งหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศกลายเป็นม่านน้ำบางๆ ทรงวงกลมขนาดใหญ่กว่าม่านน้ำอันที่ลอยอยู่เหนือหัวของเธอเล็กน้อยเพื่อให้นากาที่ตัวใหญ่กว่าเธอได้ใช้มันหลบฝนในระหว่างการเดินทางกลับไปยังตึกเรียน
“ม… ไม่ต้องรีบ…ก็ได้… นะ…”
“อ่า ถ้าเธอว่าอย่างเดี๋ยวฉันขอยกหุ่นไม้นี่กลับไปเก็บข้างในก่อนละกัน…ว่าแต่เจ้าม่านกันฝนของเธอนั่นมันทำงานยังไงล่ะนั่น”
“ก…ก็แค่ใช้วิซควบคุมน้ำ… ย…อย่าให้มันตกลงมาเอง…”
มายะพูดตอบนากาที่กำลังยกหุ่นไม้เข้าไปเก็บในโกดังเก็บของกลับไปพลางแอบลอบจัดแจงความเรียบร้อยของตัวเองอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งนากากลับออกมาจากภายในโกดังเก็บของแล้วทั้งสองคนจึงได้พากันเดินกลับไปยังตึกเรียนกัน
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
นากาพูดบอกกับมายะก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปอยู่ภายใต้ม่านน้ำอันที่ว่างอยู่และออกก้าวเดินไปทางตึกเรียนในทันที ซึ่งมายะก็ได้รีบควบคุมให้ม่านน้ำของเธอลอยตามตัวนากาไปและรีบออกก้าวเดินตามเขาไปด้วยเช่นเดียวกัน
ซ่าาาาาาาา!
“โอ้ ไม่เปียกเลยจริงๆ ด้วยแฮะ”
นากาที่ได้ม่านน้ำของมายะช่วยปกป้องเขาจากสายฝนได้พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับลองยกมือขึ้นไปสัมผัสกับม่านน้ำของมายะที่ลอยอยู่เหนือหัวของเขาดู ซึ่งมือของนากาก็ได้ทะลุผ่านม่านน้ำอันนั้นไปได้อย่างสบายๆ และสัมผัสได้ถึงสายฝนเย็นฉ่ำที่ตกลงมากระทบกับมัน และหลังจากที่นากาแกว่งมือเล่นอยู่สักพักหนึ่งแล้วเขาก็ลดมือลงมาและได้พบว่ามือของเขากลับไม่เปียกเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะยื่นมือทะลุผ่านม่านน้ำไปสัมผัสกับสายฝนเบื้องบนมา
ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะวิธีการใช้วิซของมายะที่ควบคุมให้น้ำลอยอยู่กลางอากาศเบื้องบนและบังคับให้มันไหลหยดออกไปทางด้านข้างแทนเหมือนกับร่มนั่นเอง
“ใช้น้ำมากันน้ำด้วยกันแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันนะเนี่ย… ว่าแต่ในเมื่อมันเป็นวิซแบบนี้ก็หมายความว่าถ้าฉันไม่อยากจะให้ม่านน้ำนี่มันร่วงลงมาใส่หัวฉันก็คงจะต้องอยู่ใกล้ๆ เธอเอาไว้งั้นสินะ”
“อ…อื้อ…ใช่แล้วล่ะ…”
“จะว่าไปก็ขอบใจที่เธออุตส่าห์ลุยฝนมาบอกกันแล้วก็พาฉันกลับมาที่ตึกเรียนด้วยนะมายะ ตอนที่ฝนเทลงมาฉันก็นึกว่าจะต้องนั่งเบื่ออยู่เฉยๆ จนกว่าฝนจะหยุดตกแล้วซะอีก”
“อ…อื้อ…ม…ไม่เป็นไร…”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเอ่ยปากพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เหลือบไปเห็นร่างของชายหนุ่มร่างเล็กผมยาวสีขาวคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่บริเวณริมสนามหญ้าท่ามกลางสายฝนภายใต้ร่มสีดำที่ดูคุ้นตาที่กำลังเงยหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนสีดำเบื้องบนอยู่
“อ…อาจาร์ยอารอน…?”
“อื้ม น่าจะไม่ผิดหรอก ฉันจำร่มคันนั้นของเขาได้”
ถึงแม้ว่านากาจะไม่สามารถมองเห็นร่างที่ยืนอยู่ริมสนามหญ้าได้อย่างชัดเจนเพราะว่าสายฝนที่กำลังกระหน่ำเทลงมาก็ตามที แต่ว่าเขาก็สามารถระบุได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครเมื่อเขาได้เห็นร่มสีดำที่ตรงปลายของมันกำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยอันนั้น
ซึ่งร่างเงารางๆ ท่ามกลายสายฝนที่นากามองเห็นก็เหมือนว่าจะเพิ่งหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเปิดอ่านด้วยท่าทีคุ้นตาจนทำให้นากามั่นใจได้ว่าคนที่ยืนอยู่ริมสนามหญ้านั้นคงจะเป็นอารอนที่ออกมาอ่านหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเล่มเก่าๆ ที่เขาพกเอาไว้ติดตัวเสมอพลางชมบรรยากาศฝนตกแบบที่เขาชอบไม่ผิดแน่
“ไม่กลัวหนังสือเปียกบ้างหรือไงล่ะนั่น…เอาเถอะ เธอไม่ต้องไปสนใจหรอก อาจารย์อารอนเขาชอบออกมายืนกลางฝนแบบนั้นอยู่เป็นประจำนั่นแหล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบไปกันเถอะ ฉันไม่อยากให้แขกที่มาหาฉันรอนานน่ะ”
“อ…อื้อ…”
“เฮ้อ…”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านอารอนที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเขานึกถึงจดหมายที่เขาเพิ่งจะได้รับมาเมื่อเช้านี้ ซึ่งข้อความในจดหมายนั้นก็ทำให้อารอนอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ
“ปล่อยให้มันโดนฝังต่อไปโดยไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรแบบนั้นก็น่าจะดีที่สุดอยู่แล้วแท้ๆ นะ…”
ครืดดดดด—
“อาจารย์อารอนออกมาทำอะไรอยู่ข้างนอกคนเดียวหรอคะ รีบๆ กลับเข้ามาก่อนจะเป็นหวัดเถอะค่ะ”
“อ่ะ— หนูเพิ่งจะบอกไปว่าอย่าเพิ่งไปรบกวนอาจารย์อารอนเขาไม่ใช่หรอซึบากิจัง!?”
ในขณะที่อารอนกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์อยู่นั้นก็ได้มีเสียงของเด็กสาวสองคนดังขึ้นมาจากทางประตูห้องพยาบาลที่อยู่ติดกับสนามหญ้าจนทำให้เขาต้องหันกลับไปมองดู ซึ่งเด็กสาวทั้งสองคนนั้นก็คือเด็กสาวหูแมวซึบากิที่แบกดาบใหญ่ของเธอเอาไว้บนแผ่นหลัง กับเด็กน้อยคนที่ร่างกายโตกว่าจิตใจที่มีชื่อว่าคาร์เทียร์นั่นเอง
“จะรบกวนหรือเปล่าก็ช่างสิ หรือว่าเธอคิดจะให้อาจารย์อารอนเขายืนตากฝนแบบนั้นจนไม่สบายเอาล่ะ?”
“แต่อาจารย์อารอนเขาก็ชอบออกไปยืนตากฝนมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนะซึบากิจังไม่รู้หรอกหรอ? อ๊ะ– จะว่าไปซึบากิจังก็ไม่ได้รู้จักอะไรอาจารย์อารอนเขาขนาดนั้นอยู่แล้วนี่เนอะ จะไม่รู้เรื่องนี้ก็คงจะไม่แปลกหรอกมั้ง~”
“ว่าไงนะ—!!”
ซึบากิที่ถูกคาร์เทียร์ยกมือขึ้นมาป้องปากพูดใส่ด้วยแววตาแพรวพราวบวกกับน้ำเสียงหยอกล้อนั้นถึงกับกัดฟันแน่นจนหูและหางแมวของเธอพองฟูขึ้นมา ซึ่งอารอนที่เห็นแบบนั้นก็ได้รีบเดินกลับเข้าไปภายในห้องพยาบาลพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กนักเรียนหญิงทั้งสองคนไปพร้อมๆ กัน
“คาร์เทียร์เขาก็แค่พูดหยอกเธอเล่นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาต้องอยู่แต่ในห้องพยาบาลจนไม่มีเพื่อนให้คุยเล่นด้วยเลยก็แค่นั้นแหล่ะซึบากิ… เธออย่าไปถือสาอะไรเขามากเลย… ส่วนคาร์เทียร์เธอก็อย่าไปแกล้งซึบากิเขามากนักสิ… เพราะถึงเธอจะอยู่แต่ในห้องพยาบาลจนไม่ได้ขึ้นห้องเรียนแบบนี้ก็เถอะแต่ว่าจริงๆ แล้วเธอเองก็มีชื่ออยู่ในห้องเรียนเดียวกับซึบากิเขาเหมือนกันนะ…”
“ค…ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ… / ถ้าอาจารย์อารอนว่าอย่างนั้นก็ได้แหล่ะค่ะ…”
เด็กสาวทั้งสองคนที่ถูกอารอนพูดตักเตือนออกมาได้แต่พูดรับคำของเขากลับไปเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองซึบากิที่หูและหางตกอยู่จะเหลือบไปมองอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายของเธอด้วยสายตาดุร้ายอยู่ชั่วขณะ
ซึ่งถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ ที่ซึบากิเริ่มมาสิงอยู่ในห้องพยาบาลนั้นการกระทำแปลกๆ ของเธอไม่ว่าจะเป็นการพูดพึมพำคนเดียว การมองซ้ายมองขวาเหมือนกับว่ากำลังมองตามอะไรสักอย่างอยู่ หรือแม้แต่กระทั่งการกระทำประทุษร้ายดาบขนาดใหญ่ประจำตัวของเธอจะทำให้คาร์เทียร์รู้สึกหวั่นๆ อยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วซึบากิก็ยังไม่เคยทำอันตรายอะไรให้คนอื่นเลยแม้แต่น้อยจนทำให้คาร์เทียร์เริ่มที่จะเกิดความสนิทสนมกับซึบากิขึ้นมาจนถึงขั้นกล้าเอ่ยปากหยอกล้ออีกฝ่ายแล้ว
แต่ว่าในครั้งนี้ก่อนที่คาร์เทียร์จะได้เอ่ยปากหยอกล้ออะไรซึบากิขึ้นมา อารอนที่กำลังลูบหัวของพวกเธอทั้งสองคนอยู่ก็ได้ผละมือออกไปและเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขาด้วยสีหน้ากลุ้มใจจนทำให้เด็กสาวทั้งสองคนรีบเดินตามเข้าไปสอบถามเขาในทันที
“อาจารย์อารอนเป็นอะไรหรือเปล่—”
“อาจารย์อารอนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ถ้าเกิดว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็เล่าให้หนูฟังได้เลยนะคะ!”
“อะไรกันล่ะซึบากิจัง! อย่ามาแย่งหนูพูดแบบนี้สิ!”
คาร์เทียร์ที่โดนซึบากิแย่งพูดในสิ่งที่เธอกำลังจะพูดขึ้นมาได้หันไปร้องโวยวายใส่เด็กสาวหูแมวผมสีดำในทันทีจนทำให้อารอนที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะแอบเผยรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความเอ็นดู
“ฮะฮะ… ยังไงก็ขอบใจพวกเธอที่เป็นห่วงกันนะ… เมื่อกี้นี้ฉันแค่นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระที่จะต้องไปทำหลังจากโรงเรียนเลิกแล้วน่ะ… ถ้ายังไงวันนี้ฉันอาจจะต้องปล่อยให้เธอเดินกลับไปที่คลินิกคนเดียวนะคาร์เทียร์…เธอยังจำทางกลับได้หรือเปล่าล่ะหรือว่าจะให้ฉันเรียกพี่พยาบาลเขามารับให้ล่ะ?”
“เอ๋? จะว่าจำได้มั้ยมันก็จำได้แหล่ะค่ะ… แต่ธุระที่ว่านั่นมันสำคัญถึงขนาดนั้นเลยหรอคะ…”
“อื้ม… ถึงมันอาจจะไม่ได้สำคัญกับตัวของพวกเราโดยตรงสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่จะบอกว่าสำคัญมันก็ไม่ผิดล่ะมั้ง…”
อารอนพูดตอบคำถามของคาร์เทียร์กลับไปพร้อมกับก้มหน้าลงไปคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าลำบากใจอีกครั้งหนึ่งจนทำให้ซึบากิที่เห็นว่าอารอนมีท่าทีหนักใจกับธุระที่ว่าได้ตัดสินใจที่จะเสนอตัวขึ้นมาช่วยงานเขาในทันที
“ถ—ถ้าแบบนั้นเดี๋ยวอาจารย์อารอนจะออกไปทำธุระที่ว่านั่นเลยมั้ยล่ะคะ? ส่วนเรื่องที่ห้องพยาบาลนี่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ เดี๋ยวหนูจะอยู่เฝ้าให้แทนเองค่ะ”
“เธอแน่ใจแล้วหรอซึบากิ…? ถ้าเป็นแบบนั้นเธออาจจะต้องอยู่เฝ้านี่ที่จนถึงช่วงเย็นเลยก็ได้นะเพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จธุระเมื่อไหร่เหมือนกันน่ะ… แล้วอีกอย่างนึงถ้าเกิดว่ามีคนเจ็บเข้ามาเธอจะทำยังไงล่ะ…”
“ก็ถ้าเกิดว่าเป็นการทำแผลเล็กๆ น้อยๆ หนูเองก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกันนะคะ แล้วถ้าเกิดว่ามีคนเจ็บหนักเข้ามาล่ะก็เดี๋ยวหนูจะ… จะ…จะจัดการให้พวกเขาไปสบายเองค่ะ”
“อะไรกันล่ะนั่นซึบากิจัง!! อาจารย์อารอนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถ้าเกิดว่ามีคนเจ็บหนักขึ้นมาเดี๋ยวหนูจะช่วยดูแลให้เองค่ะ อย่างน้อยหนูก็น่าจะช่วยยื้อพวกเขาเอาไว้ไม่ให้ได้ไปสบายจนกว่าอาจารย์อารอนกลับมาได้อยู่นะคะ!”
คาร์เทียร์ที่ได้ยินคำพูดของซึบากิที่ฟังดูแล้วเหมือนว่าจะรู้จักแต่การรักษาขั้นพื้นฐานได้รีบพูดเสนอตัวขึ้นมาเพื่อช่วยอีกฝ่ายเฝ้าห้องพยาบาลด้วยอีกคนจนทำให้ซึบากิที่ได้ยินคำพูดพาดพิงได้แต่ลอบส่งสายตาดุร้ายไปใส่คาร์เทียร์ในทันที
ส่วนทางด้านอารอนที่เห็นว่านักเรียนสาวทั้งสองคนที่ชอบมาประจำการอยู่ที่ห้องพยาบาลพร้อมใจกันพูดอาสาที่จะช่วยเฝ้าห้องพยาบาลให้ก็ได้พยักหน้ากลับไปให้พวกเธอทั้งสองคนเล็กน้อยแล้วจึงหยิบร่มสีดำของเขาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรีบเดินออกไปจากห้องพยาบาลอย่างเร่งรีบ
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะรีบกลับมาก็แล้วกัน… ยังไงก็ฝากห้องพยาบาลเอาไว้กับพวกเธอสองคนด้วยนะ”
“ได้เลยค่ะอาจารย์อารอน! / ไว้ใจหนูได้เลย!!”