บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1011 เซียนลึกลับเมิ่งซิง
บทที่ 1011 เซียนลึกลับเมิ่งซิง
บทที่ 1011 เซียนลึกลับเมิ่งซิง
ก่อนที่เสียงนี้จะเลือนหายไปจากอากาศ จู่ ๆ ร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้มีสีหน้าหนักแน่นและผมดกหนา กล้ามเนื้อของเขาดูเหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากหินและเหล็ก ทั่วทั้งร่างชายคนนั้นแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่ง ขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ๆ ราวภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจเคลื่อนได้
โดยเฉพาะ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งกฎกับปราณเซียนอันหนาแน่น มันดังก้องไปทั่วทั้งร่างกายราวกับคลื่นยักษ์ และเผยถึงกลิ่นอายคุกคามอย่างชัดเจน
“เซียนลึกลับ?”
ม่านตาของเฉินซีหรี่ลง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าเกรงขาม ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเหลียงปิงจากคนผู้นี้ นอกจากนี้ มันยังหนาแน่น เดือดดาล และลึกล้ำอย่างมาก ดังนั้นคนผู้นี้จะต้องเป็นเซียนลึกลับอย่างไม่ต้องสงสัย
คนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน และแสดงสีหน้าหวาดกลัวยิ่งขึ้น
มีเพียงเซียวอวิ๋นที่มาจากภพอนันตราเท่านั้นที่แค่นยิ้มอย่างดูถูก จากนั้นเขาก็เดินออกไปไกลพร้อมกับบริวารของตน
“ท่านเมิ่งซิง!” ชายวัยกลางคนและชายชราตกใจมากเมื่อเห็นบุคคลนี้ปรากฏตัว และพวกเขาดูจะนึกไม่ถึงว่าด้วยตัวตนอย่างเมิ่งซิง เขาจะมาที่โถงสวรรค์จริง ๆ ดังนั้นทั้งสองจึงลุกขึ้นยืนคารวะ
“ฮึ่ม! ข้าสั่งให้พวกเจ้าทุกคนอยู่ที่นี่! ใครกล้าบังอาจออกไป”
เมิ่งซิงไม่ได้สนใจชายวัยกลางคนหรือชายชราแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงเย็นด้วยเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ขณะที่กล่าว จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไปคว้าจับ ทำให้สนามพลังที่ไร้รูปร่างพุ่งออกมาและคว้ากลุ่มของเซียวอวิ๋นกลับมาที่นี่อย่างรุนแรง ราวกับว่าเขากำลังจับลูกไก่สามตัว
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
กลุ่มสามคนของเซียวอวิ๋นกลิ้งบนพื้นเหมือนน้ำเต้าและร้องโหยหวนออกมา พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะขัดขืน
เพียงแค่พลังที่เขาเผยออกมา ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกใจ
เซียวอวิ๋นอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก และใบหน้าของเขาก็มืดมนลงทันทีจากการถูกทำให้อับอายต่อหน้าผู้คน ชายหนุ่มยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและชี้หน้าเมิ่งซิง จากนั้นตะคอกด้วยเสียงที่น่ากลัว “กล้าดียังไง! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!”
คนผู้นี้หยิ่งยโสและมีขวัญเทียมฟ้าอย่างแท้จริง ถึงกล้าชี้หน้าเซียนลึกลับและสาปแช่งเขา สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เซียวอวิ๋นหยิ่งยโสโอหังเพียงใด ก่อนที่เขาจะขึ้นสู่ภพเซียน
“ท่านเมิ่งซิง เขาคือ…” ท่าทางของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นรีบก้าวไปข้างหน้าและกล่าวผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงนอบน้อม เพื่อแจ้งให้เมิ่งซิงทราบถึงตัวตนของเซียวอวิ๋น ป้องกันไม่ให้เมิ่งซิงล่วงเกินนิกายต้นกำเนิดเต๋า
เซียวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ในขณะที่เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ถูกต้อง ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดังนั้นหากเจ้าขอโทษข้า ข้าก็จะไม่ถือสากับเรื่องนี้”
ก่อนที่เสียงของเขาจะเลือนหายไปในอากาศ จู่ ๆ เมิ่งซิงก็แสยะยิ้มอำมหิต อวดฟันขาวราวกับหิมะเต็มปาก ซึ่งเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็เหวี่ยงฝ่ามือตบเซียวอวิ๋นจนกระเด็น ทำให้เลือดทะลักออกมาจากปากของอีกฝ่าย และร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชออกมา
“ถุ้ย! ไอ้สุนัขโสโครก! เจ้าต้องการให้ข้าขอโทษหรือ? เจ้ามีค่าพอหรือ? หากเจ้ายังกล้ากล่าวอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!” เมิ่งซิงถ่มน้ำลายด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนต่างรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ และพวกเขารู้สึกลึก ๆ ว่าผู้คนในภพเซียนนั้นเอาแต่ใจยิ่งนัก…
เมิ่งซิงผู้นี้ลงมือแทบจะในทันที และไม่ให้เซียวอวิ๋นมีโอกาสได้กล่าวอันใดแม้เพียงครึ่งคำ!
ในขณะนี้ เซียวอวิ๋นไม่กล้ากล่าวอะไรอีกต่อไป และทำเพียงจ้องไปที่เมิ่งซิงอย่างไม่พอใจ ราวกับว่าเขาจะต้องให้เมิ่งซิงชดใช้เป็นสิบเท่าในภายภาคหน้า
ชายวัยกลางคนและชายชราหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเผชิญกับฉากนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้ากล่าวอะไร
เมิ่งซิงไม่คิดที่จะให้ความสนใจกับเซียวอวิ๋น เขากวาดสายตาไปทางเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนคิ้วหนาจะขมวดเข้าหากัน แล้วกล่าวว่า “คราวนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ขึ้นมาจากภพด้านล่างหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ” ชายวัยกลางคนรีบตอบเมิ่งซิง
“แล้วไปเถิด” เมิ่งซิงส่ายศีรษะและดูจะไม่พอใจเล็กน้อย ในที่สุด เขาก็โบกมือและกล่าวว่า “ผู้ข้ามผ่านเหล่านี้ได้รับเลือกแล้ว นี่เป็นคำสั่งจากท่านราชันเซียนลิ่นฮ่าว ข้าว่าเจ้าทั้งคู่คงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจชายวัยกลางคนและชายชราอีกต่อไป
เขาหันกลับมามองเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวว่า “สหายน้อยที่มาจากภพด้านล่างเอ๋ย พวกเจ้าทุกคนได้ยินข้าอย่างชัดเจน ดังนั้นข้าจะรวบรัดตัดตอน จงตามข้ามาอย่างเชื่อฟัง และเจ้าจะได้รับอิสระหลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น และหากใครกล้าฝ่าฝืน อย่าได้โทษข้าที่สังหารพวกเจ้า!
“จำไว้! นี่คือภพเซียน ไม่ใช่ภพมนุษย์ของเจ้าอีกต่อไป ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์กล่าวที่นี่!”
“แล้วเราต้องทำภารกิจอะไรให้สำเร็จหรือขอรับ?” หนึ่งในผู้ข้ามผ่านถามด้วยเสียงแผ่วเบา ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอเรื่องเยี่ยงนี้ หลังจากเพิ่งมาถึงภพเซียน
“พวกเจ้าทุกคนจะได้รู้เมื่อเราไปถึงที่นั่น” เมิ่งซิงกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อ ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ ถูกกวาดเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นเขาก็ควบคุมเรือเหาะเซียนและฉีกผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
“อันใดกัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?” หลังจากผ่านไปนาน ชายวัยกลางคนเพิ่งได้สติจากอาการตกตะลึง และสีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้เล็กน้อย
“เฮ้อ ผู้ใดจะคาดเดาความคิดของราชันเซียนลิ่นฮ่าวได้บ้าง? แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาว่า ไม่ใช่แค่เมืองรัศมีเมฆาของเราเท่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของราชันเซียนลิ่นฮ่าวก็กำลังเคลื่อนไหวในเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ เช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาสังเกตเห็นผู้ข้ามผ่าน ผู้ข้ามผ่านจะถูกนำตัวออกไป และไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงทำเช่นนี้” ชายชราถอนหายใจ
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความงุนงง “ตัวตนของผู้ข้ามผ่านเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกองกำลังต่าง ๆ ของภพเซียน และพวกเขาอาจเป็นลูกหลานของผู้ยิ่งใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ราชันเซียนลิ่นฮ่าวไม่กลัวที่จะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นขุ่นเคืองด้วยการกระทำเช่นนี้?”
“ฮึ่ม! แม้แต่ศาลเซียนก็ไม่สนใจ แล้วผู้ใดจะสนใจเรื่องเหล่านี้เล่า?” ชายชราแค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทั้งสามภพกำลังจะเกิดกลียุค แล้วผู้ใดจะมีเวลามาสนใจผู้ข้ามผ่านเหล่านี้บ้าง? ต่อให้เราไม่แพร่งพรายออกไป แม้ว่าเซียวอวิ๋นคนนั้นจะถูกใต้เท้าเมิ่งซิงสังหาร นักพรตเซียวหลงก็คงไม่ทราบถึงเรื่องนี้”
ชายวัยกลางคนตกตะลึง และหัวเราะอย่างขมขื่น ในขณะที่เขาส่ายศีรษะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
…
ท้องฟ้าของภพเซียนนั้นสูงอย่างไร้ขอบเขต ตามตำนานเล่าว่า มีเพียงตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งบรรลุขอบเขตราชันเซียนเท่านั้นที่สามารถกำหนดความสูงของท้องฟ้าในภพเซียนได้
ยิ่งกว่านั้น กฎแห่งมิติที่นั่นแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกฎที่อัดแน่นอย่างไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ผู้เป็นเซียนสวรรค์ก็ไม่สามารถฉีกมิติออกจากกันและไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงบินเท่านั้น
มันถึงขนาดที่แม้แต่เซียนลึกลับก็สามารถเคลื่อนผ่านห้วงมิติได้เพียงรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้เท่านั้น ทั้งยังต้องใช้ปราณเซียนเยอะมาก
มีเพียงแต่ต้องบรรลุขอบเขตเซียนทองคำและควบแน่นกฎแห่งเซียนทอง จึงจะสามารถทะลวงผ่านข้อจำกัดของกฎแห่งมิติและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในท้องฟ้า
ฟิ้ว!
เรือเหาะเซียนพุ่งผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
บนเรือเหาะเซียน เมิ่งซิงนั่งขัดสมาธิ แผ่นหลังกว้างของเขาตั้งตรง แสดงสีหน้าดุร้ายและเปล่งกลิ่นอายคุกคามออกมา
ผู้ข้ามผ่านทั้งหมดยังคงนิ่งเงียบอย่างเชื่อฟังอยู่ในห้องโดยสารด้วยสีหน้าไม่น่าดู และที่หว่างคิ้วของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างสุดซึ้ง
เซียวอวิ๋นผู้มาจากภพอนันตราถึงกับกัดฟันกรอด เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือด และทำให้บริวารของเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีท่าทางสงบ และกำลังพยายามฟื้นฟูปราณ รวมถึงพลังชีวิตในร่างกายอย่างเต็มที่
ประโยชน์ที่เขาได้รับจากการบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น ยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ และมันสามารถอธิบายได้ว่า เป็นความประหลาดใจที่น่ายินดี หากคาดการณ์ไม่ผิด ตราบใดที่ปราณเซียนและญาณมหาเทวะอมตะในร่างกายฟื้นตัว กอปรกับสามารถควบแน่นพลังของกฎได้ เมื่อนั้นเขาก็จะไม่ต้องเกรงกลัวตัวตนขอบเขตเซียนลึกลับอีกต่อไป!
ใช่แล้ว เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ไม่ใช่เซียนสวรรค์!
เนื่องจากพลังของเฉินซีนั้นมากมายมหาศาลอย่างแท้จริง ในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี และเขาก็บรรลุถึงสถานะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รากฐานของชายหนุ่มจึงลึกล้ำและอัดแน่นถึงขีดสุด อีกทั้งยังมากกว่าผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันถึงร้อยเท่า
ตอนนี้ชายหนุ่มได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์และก้าวขึ้นสู่ความเป็นเซียนอย่างแท้จริงแล้ว ผลประโยชน์ที่เกิดจากรากฐานอันลึกล้ำของเขาจึงไม่อาจหยั่งได้โดยปริยาย
ยกตัวอย่างเช่น หากปราณเซียนของเซียนสวรรค์ทั่วไปเป็นดั่งทะเลสาบกว้างใหญ่ ปราณเซียนของเฉินซีก็เป็นมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต! และหากเซียนสวรรค์คนอื่นได้เห็นมัน ดวงตาของพวกเขาจะต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างแน่นอน
“เซียนสวรรค์ เซียนลึกลับ เซียนทองคำ เซียนปราชญ์… ปัจจุบันการบ่มเพาะของข้านั้นลึกล้ำมากแล้ว ตราบใดที่ข้าบ่มเพาะอย่างตั้งใจ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถก้าวไปสู่ขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้นไปได้…”
เฉินซีสัมผัสได้ถึงปราณเซียนที่เติมเต็มในร่างกายอย่างรวดเร็วแล้วลอบกำหมัด
สภาพจิตใจของเฉินซีนั้นปลอดโปร่งมาก เพราะเขาตระหนักดีว่า หลังจากที่มาถึงภพเซียนแล้ว ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมือใหม่ และหากต้องการตั้งหลักในภพเซียน ก็มีแต่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ด้วยความช่วยเหลือของต้นอ่อนเงาทมิฬ ชายหนุ่มจึงสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งเดียวที่เขายังขาดอยู่คือการควบแน่นพลังของกฎ
กฎเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเต๋ารู้แจ้ง แต่มันก็มาจากเต๋ารู้แจ้ง
ความลึกล้ำของมหาเต๋าทุกประเภทสามารถควบรวมเป็นประเภทหนึ่งได้ ยิ่งกฎมีความเข้มข้นมากเท่าใด พลังของกฎก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และภายใต้สถานการณ์ที่กฎของผู้บ่มเพาะสองคนมีความแข็งแกร่งเท่ากัน ผู้ที่ควบแน่นกฎได้มากกว่า ก็จะสามารถใช้พลังที่น่าเกรงขามได้มากขึ้น
ประการแรกคือการเปรียบเทียบเชิงคุณภาพ
ส่วนอีกประการคือการเปรียบเชิงปริมาณ
มันชัดเจนเป็นที่สุด
แต่ก็มีกฎหายากบางประเภทที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ยกตัวอย่างเช่น การกลืนกิน การลืมเลือน การรังสรรค์ หรือกฎสูงสุดอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน และหากสามารถเข้าใจหนึ่งในนั้นได้ละก็ มันเพียงพอที่จะทำให้คนผู้นั้นไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด และกู่ร้องอย่างภาคภูมิไปทั่วโลกหล้า
น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้ใช้ไม่ได้กับเฉินซี
เขาไม่เพียงแค่เข้าใจมหาเต๋าทั่วไป เช่น ธาตุทั้งห้า หยินหยาง สายลม สายฟ้า แต่ยังครอบครองมหาเต๋าที่หายาก เช่น การรังสรรค์ การลืมเลือน ปารมิตา การกลืนกิน และอื่น ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อเขาหลอมรวมมหาเต๋าที่ลึกล้ำเหล่านี้ไว้ในพลังของกฎ พลังที่สามารถใช้ได้ก็เพียงพอจะเรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์
แน่นอนว่า ยิ่งใครเข้าใจมหาเต๋ามากเท่าใด คนผู้นั้นก็จะต้องใช้เวลาเพื่อหลอมรวมมันไว้ในพลังกฎ และระดับความยากก็เกินกว่าที่คนอื่นเผชิญอยู่มากเท่านั้น
บางทีนี่อาจเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียว…
“ยังไม่เหมาะที่ข้าจะควบแน่นพลังของกฎในตอนนี้ คงยังไม่สายเกินไปที่จะบ่มเพาะหลังจากที่ข้าพบโอกาสหลบหนีแล้ว…” เฉินซีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังงานที่สำคัญทั่วร่างกาย และหยุดคิดทันใด
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้เขาไม่สามารถคิดเรื่องนี้ต่อไปได้
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียนลึกลับเมิ่งซิง และการกระทำที่พาพวกเขาทั้งหมดไปอยู่ภายใต้อำนาจของราชันเซียนลิ่นฮ่าว ทำให้แผนการของเฉินซีหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง
เดิมทีหลังจากที่ได้รับป้ายเซียน เฉินซีเตรียมหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในภพเซียน จากนั้นจะมุ่งหน้าไปยังสำนักจักพรรดิเต๋าตามคำแนะนำของหลียาง เมื่อสามารถตั้งหลักในภพเซียนได้แล้ว เขาจะมุ่งหน้าไปที่ภูเขาเซียนสายหมอกเพื่อติดต่อกับชิวอวิ๋นเซิง และค้นหาทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลจั่วชิว
แต่เห็นทีตอนนี้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนแผน
อย่างไรก็ตาม แผนการใหม่นี้ก็ไม่อาจถือเป็นแผนได้เช่นกัน เพราะเฉินซีไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่า เมิ่งซิงกำลังพาพวกเขาไปที่ใด และไม่รู้ว่าต้องทำภารกิจอะไรให้สำเร็จ…
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแต่ดำเนินไปตามสถานการณ์เท่านั้น
ความรู้สึกเฉื่อยชาเช่นนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้และอันตราย หากไม่ใช่เพราะดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีได้รับการขัดเกลาจนบรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจ ประกอบกับตัวเขาเองที่เคยประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดนับครั้งไม่ถ้วน เขาคงจะกังวลและสูญเสียความคิด เหมือนกับผู้ข้ามผ่านคนอื่น ๆ เป็นแน่
“เรามาถึงแล้ว!” ทันใดนั้น เรือเหาะเซียนได้หยุดกะทันหัน ก่อนที่เสียงทุ้มของเมิ่งซิงจะดังออกมาจากทางด้านนอก