บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 102 การไล่ล่า
บทที่ 102 การไล่ล่า
บทที่ 102 การไล่ล่า
ใบหน้าของฉินฮั่นกลับกลายเป็นมืดมนอย่างฉับพลัน
คำพูดของเฉินซีนั้นเชือดเฉือน ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้เขาไม่อาจดิ้นหลุด
หากเลือกที่จะเฉยเมย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจวนแม่ทัพจะถูกครหาว่ารังแกแต่ผู้อ่อนแอ หวั่นเกรงผู้แข็งแกร่ง และมักกระทำการกลับไปกลับมา หากเป็นเช่นนั้นศักดิ์ศรีและเจตจำนงของจวนแม่ทัพคงถูกเหยียบย่ำและคงไม่แคล้วที่จะถูกตั้งคำถาม
หากต้องไกล่เกลี่ยด้วยกำลัง การเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกของตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร คือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นหากตระกูลซูขุ่นเคืองเพียงเพราะเหตุนี้ มันคงเป็นจุดจบของการเป็นแม่ทัพของฉิ่นฮั่น
“ช่างน่าขันเสียจริง ๆ เรามาที่นี่เพื่อช่วยแม่ทัพฉินจับกุมคนร้าย เราจะละเมิดกฎของจวนแม่ทัพได้อย่างไร? วาจาคมคายอีกทั้งยังหว่านความขัดแย้งลงไป ดูเหมือนว่าเสี่ยวเจียวจะกล่าวถูก เจ้าเด็กน้อยนี้ไม่มีคุณค่าอะไรเลย” ณ บนอากาศ ชายผู้สูงศักดิ์และสง่างามที่เป็นผู้นำกล่าวออกมาด้วยน้ำสียงทุ้มลึก
ท่าทางของฉินฮั่นผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็ประสานกำปั้น ก่อนกล่าวว่า “คำพูดของผู้อาวุโสซูติงอี้นั้นสมเหตุสมผล ข้ารบกวนฝากเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสจัดการ”
“ตกลง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด เมื่อจับคนร้ายคนนี้ได้แล้ว ข้าจะไปเข้าพบที่จวนแม่ทัพของเจ้า” ซูติงอี้พยักหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทางสงบ กระนั้นยังคงแผ่กลิ่นอายหยิ่งทะนง
“เอาล่ะ ข้าจะพาผู้ใต้บังคับบัญชากลับไปที่จวนแม่ทัพเพื่อจัดงานเลี้ยง และรอผู้อาวุโสกลับมาอย่างมีชัย” ฉินฮั่นรู้วิธีปฏิบัติตนในสถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้ จากนั้นเขาจึงประสานกำปั้นจากระยะไกล ก่อนที่จะพาหลัวชงกับองค์รักษ์ทั้งหมดล่าถอยกลับไป
เฉินซีหาได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เขามีท่าทางที่เย็นชายิ่งนักในขณะที่จ้องมองชายที่อยู่เคียงข้างซูติงอี้
“เจ้ามองสิ่งใด!? ในวันนี้ย่อมคือวันตายของเจ้า!” ชายผู้นั้นดูเหมือนไม่อาจทนต่อสายตาของเฉินซีได้อีกต่อไป เขาจึงเปิดปากก่นด่าด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ข้าไม่เคยคาดหวังว่าข้าจะช่วยคนไร้หัวใจและเนรคุณเยี่ยงเจ้า หากรู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว” เฉินซีกล่าวเสียงเย็น
ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตี้หงถู่แห่งนิกายสุริยันคราม เมื่อเข้าไปในเมืองทะเลหมอก คนผู้นี้ได้ทอดทิ้งเซวี่ยจิงแห่งนิกายนิรันดร์ และโม่หานแห่งนิกายพิภพกระจ่าง
แต่เฉินซีไม่เคยคิดเลยว่าตี้หงถู่จะนำกลุ่มผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำแห่งตระกูลซูมาจัดการเขาในเวลานี้ ชายหนุ่มจึงเกลียดชังคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ!
“เจ้าช่วยข้าไว้? ฮ่า ๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้ากลัวการล้างแค้นจากนิกายสุริยันครามที่อยู่เบื้องหลังข้า เหตุใดถึงต้องเมตตาขนาดนี้ เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสมเพชจริง ๆ” ตี้หงถู่ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น และไม่มีร่องรอยของความละอายบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็ฆ่าเจ้าได้เช่นกัน” เฉินซีกล่าวอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็ไม่สนใจคนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเยี่ยงนี้อีก เขาหันไปมองซูติงอี้กับเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำคนอื่น ๆ
เหนือขอบเขตตำหนักอินทนิลคือขอบเขตเคหาทองคำ
การพัฒนาตำหนักอินทนิลนั้นเทียบเท่ากับการสร้างรากฐานเต๋า ในขณะที่การพัฒนาของขอบเขตเคหาทองคำนั้นจะเตรียมการสำหรับการบรรลุเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำ
เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตเคหาทองคำ หนึ่งสามารถดูดซับปราณหยินหยางที่มีอยู่ภายในพิภพเพื่อขัดเกลาปราณแท้ที่มีอยู่ในร่างกาย อีกทั้งทำให้หยินหยางที่อยู่ภายในผสานเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมดวงวิญญาณและระดับของแก่นแท้ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรือปราณแท้ มันก็มีระดับที่สูงกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับขอบเขตตำหนักอินทนิล!
หากตัวเขาอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม เฉินซีก็หาได้เกรงกลัวที่จะต้องต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่ในตอนนี้ญาณจิตและปราณแท้ของเขาแทบหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าปราดเปรื่อง เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก และฉลาดที่จะใช้โอกาสต่าง ๆ ในการหลบหนี และถือได้ว่าเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว แต่คิดว่าจะสะบัดหน้าหนีไปง่าย ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราทั้งหกคนอย่างนั้นหรือ?” ซูติงอี้ยิ้มอย่างเสแสร้งในขณะที่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเฉินซีเรื่องที่พำนักของเซียนกระบี่จากซูเจียวมาแล้ว
“ซูเจียวยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?” ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงการตอบกลับและถามคำถามแทน
“แน่นอน มิฉะนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ายึดครองสมบัติทั้งหมดจากที่พำนักของเซียนกระบี่?” ซูติงอี้เลียริมฝีปากในขณะที่มองไปที่เฉินซีด้วยสายตาดั่งเพลิงลุกโชน ราวกับว่ากำลังมองดูแพะอ้วนท้วน เขาไม่ได้ปิดบังความโลภเลยแม้แต่น้อย!
“อย่าพูดจาไร้สาระ ฆ่ามันและยึดสมบัติมาซะ” ชายอ้วนหัวโล้นในชุดคลุมสีแดงที่อยู่ด้านข้างสั่นศีรษะ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ
“แน่นอน เสี่ยวเจียวบอกว่าเจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์มาก บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังวางแผนว่าจะหนีอย่างไรดี เราควรรีบจัดการเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น” สตรีหน้าตาสะสวยและมีรูปร่างเย้ายวนสวมชุดคลุมยาวกล่าวอย่างเย็นชา นางเป็นผู้บ่มเพาะหญิงคนเดียวในหกคน นางเปล่งรัศมีเป็นประกาย ทว่าเสียงกลับเย็นชาแข็งกระด้างและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
ซูติงอี้แสยะยิ้มและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ก็เห็นประกายแสงสีดำขดตัว และมันก็พุ่งไปที่กลุ่มของเขาอย่างด้วยความเร็ว
‘ไอ้บัดซบ เจ้าเด็กนี่มันเล่นตุกติกจริง ๆ!’
ซูติงอี้ลอบด่าอยู่ในใจ แต่การตอบสนองหาได้ช้าไม่ เขาเหวี่ยงแขนเสื้อออกไปตั้งใจที่จะทำลายแสงสีดำนั้น
“ระวัง!”
“ไข่มุกโลหิตอสูรประกายทมิฬ!”
“เจ้าเด็กนั่นมีสมบัติเช่นนี้อยู่ในครอบครองได้อย่างไร”
“ถอยเร็วเข้า!”
เสียงระเบิดดังลั่นที่เบื้องหลังทำให้หัวใจของซูติงอี้กระตุก ไข่มุกโลหิตอสูรประกายทมิฬได้รับการขัดเกลาจากการรวบรวมเลือดของอสูรธาตุหยินสามสิบหกชนิดจากสวรรค์และพิภพ อีกทั้งอานุภาพของมันเทียบได้กับการโจมตีแบบเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ไยเขาถึงไม่รู้เรื่องที่น่ากลัวเช่นนี้เล่า?
ซูติงอี้ไม่คิดถึงสิ่งใดอีกและรีบล่าถอยกลับอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนก็ถอยกลับเช่นกัน
“มันเกิดขึ้นได้… บัดซบ!” ปฏิกิริยาของตี้หงถู่ค่อนข้างช้า และในทันทีที่ตอบสนอง ไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬก็พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรง ทำให้เขาหวาดกลัวจนลืมที่จะหลบหลีก
ปัง!
ราวกับสายฟ้าของทวยเทพจากสวรรค์ทั้งเก้าฟาดลงมา ภายในระยะพื้นที่หกลี้เต็มไปด้วยแสงสีเลือดที่มืดมนและชั่วร้ายกำลังพลุ่งพล่าน ไม่ว่าจะเป็นห้องหอ พื้นดิน พืช ต้นไม้… ทั้งหมดล้วนถูกกัดกร่อน และถูกทำลายในพริบตา
“อ๊ากกก!!” ตี้หงถู่กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ สึกกร่อนจนถูกกลืนกินลงไป และมันเป็นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปในอากาศโดยไม่ทิ้งศพหรือกระดูกไว้เบื้องหลังแม้แต่น้อย!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แสงไฟสีเลือดก็ดับลง และภายในพื้นที่หกลี้ ทุกสิ่งถูกกัดกร่อนจนว่างเปล่า เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในใจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
พลังทำลายล้างขั้นสูงสุด!
ทุกชีวิตถูกกวาดล้างและล้มตายไป!
ขณะที่มองดูทุกสิ่งอย่างเงียบงัน กลุ่มทั้งหกคนของซูติงอี้ก็สับสนและไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันความเย็นเยียบก็สะท้านไปทั่วร่าง แม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการจู่โจมเต็มรูปแบบของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ พวกเขาก็ทำได้เพียงหลีกหนีเท่านั้น
“บัดซบ! ไอ้เด็กคนนั้นได้ไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬมาจากไหน?” ซูติงอี้เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นจากความตกตะลึง และสังเกตเห็นเงาร่างสีดำที่อยู่ห่างไกลหายลับไปด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
จากที่ห่างไกล เสียงอันแผ่วเบาของเฉินซีก็ดังขึ้น “ข้าจะชดใช้ให้พวกเจ้าทุกคนอย่างสาสมแน่นอน!”
“ไปลากหัวมันกลับมา! มันวิ่งไปไหนได้ไม่ไกลหรอก!” ซูติงอี้สั่งด้วยโทสะ ก่อนจะไล่ตามจากระยะไกล
หากมีการแพร่ข่าวออกไปว่า ชายหนุ่มที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตตำหนักอินทนิลสามารถหลุดพ้นการจับกุมของพวกเขาไปได้ มันคงเป็นเรื่องอัปยศเกินจะรับได้!
เมื่ออีกห้าคนเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็แสดงความอาฆาตแค้นและไล่ติดตามไปไม่ห่าง
…
ฟิ้ว!
เฉินซีทะยานอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวรอด เคล็ดวาตะเหินทะยานถูกใช้จนถึงขีดสุด ทั้งกายเป็นดั่งสายลมที่พัดออกไปทันทีราวยี่สิบห้าลี้
‘ข้าเหลือปราณแท้ไม่มากนัก และไม่อาจทานทนได้ถึงหนึ่งก้านธูป หากต้องการหลบหนีอย่างปลอดภัย เช่นนั้นต้องหาที่ปลอดภัยเร้นกาย…’ ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งในใจ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ทุ่งหญ้าพเนจร… เบื้องหลังมันคือห้วงทะเลทรายมรณะไม่ใช่หรือ?” แววตาของเฉินซีเป็นประกาย และไม่ลังเลที่จะเร่งความเร็วแล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที
ในทุ่งหญ้าไร้ขอบเขต แม่น้ำที่คดเคี้ยวไหลมาอย่างไม่ขาดสาย และเมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า ภาพที่เห็นก็ช่างสวยงามชวนฝันถึง
ชนเผ่าและเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนในทุ่งหญ้าแห่งนี้ยังคงอาศัยอยู่และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้นซากปรักหักพัง รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่หลงเหลือมาแต่โบราณ ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันเก่าแก่ น่าจะมีนักบวชลี้ลับที่ครอบครองพลังซึ่งแตกต่างจากผู้กลั่นลมปราณ และพลังนั้นก็น่าเหลือเชื่อ
นี่คือทุ่งหญ้าพเนจร เป็นอนารยสถานซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางตอนใต้ของราชวงศ์ซ่ง
หลังจากผ่านไปสักระยะ เฉินซีก็ร่อนลงมาที่พื้นอย่างเงียบงัน จากนั้นตัวเขาได้เลือนหายไปยามอยู่ใกล้พื้นดิน และร่างกายเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่าน ชายหนุ่มได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนฟ้ากับแผ่นดิน และไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็น
คนเลี้ยงแกะบางคนต้อนแกะและวัวควาย แกว่งแส้ไปมาขณะขวบขี่ม้า ทุกคนล้วนมีทีท่ายินดียิ่งนัก
พวกเขาสัมผัสได้เพียงลมเย็นพัดผ่านเข้ามา พัดจนหญ้าสีเขียวบนพื้นเป็นดั่งคลื่นพลิ้วไหว และไม่ได้ตระหนักเลยแม้แต่น้อยว่ามีเงาร่างหนึ่งทะยานผ่านหน้าไป
เฉินซีผู้บรรลุเต๋าแห่งสายลมอย่างสมบูรณ์ได้หลอมรวมเข้ากับสายลมเหนือทุ่งหญ้าอย่างไร้ที่ติ
“อืม? กลิ่นอายของเจ้าคนนี้รวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะอยากเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะ!” บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ท่าทางของซูติงอี้กลายเป็นน่าสะพรึงกลัว ในขณะที่เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
“เจ้าเด็กคนนี้นับว่าแปลกมาก เขาไม่ได้พึ่งพาสมบัติวิเศษที่บินได้ แต่ความเร็วกลับไร้สิ่งใดทัดเทียม อันที่จริงเขารวดเร็วกว่าเราด้วยซ้ำ ช่างแปลกจริง ๆ!” ชายอ้วนชุดแดงสะบัดศีรษะอย่างผิดหวัง “ถ้าเขาหนีเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะจริง ๆ การไปลากตัวกลับมาคงลำบากนัก”
“แน่นอน ห้วงทะเลทรายมรณะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีพายุโหมกระหน่ำและพายุทรายคำรามตลอดทั้งปี ทั้งยังมีรอยแยกที่อันตรายอย่างยิ่งซ่อนอยู่ภายใน มันเป็นดั่งดินแดนแห่งความตาย” หญิงงามแสดงสีหน้าจริงจังขณะกล่าว “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือขีดจำกัดมากมายที่อยู่ภายในนั้นและซากปรักหักพังที่น่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่ยิ่งใหญ่อย่างหลงหยาจื่อ นามนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนทางตอนใต้เมื่อสามพันปีก่อน เขาได้เข้าไปเพื่อค้นหาขุมทรัพย์ภายในที่แห่งนั้น แต่ในท้ายสุดก็ไม่เคยกลับออกมาอีกเลย”
“เจ้าเด็กคนนี้เพิ่งทำลายล้างตระกูลหลี่ และปราณแท้ของเขาน่าจะถูกใช้ไปเกือบหมด เราแค่ต้องไล่ตามอย่างใกล้ชิด จึงอาจจะจับกุมเขาได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ” ซูติงอี้กล่าวอย่างดุเดือด
ในขณะนี้เฉินซีได้ทะยานมาครึ่งวันแล้ว และปราณแท้ภายในร่างกายกำลังจะแห้งเหือดในอีกไม่ช้า อย่างไรก็ตาม เขาสัมผัสได้ถึงกระแสลมรุนแรงและร้อนระอุกระทบเข้ากับใบหน้า
เขารีบทะยานขึ้นและมองจากระยะไกล ในที่ที่ห่างไกลออกไป มีจุดสีเหลืองจำนวนมากปรากฏขึ้น และเมื่อทะยานเข้าไปใกล้ ๆ เขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีเหลืองเหล่านั้นคือทะเลทรายที่ทอดยาวไปไกล!
ฟิ้วว! ฟิ้วววว! ฟิ้ววววว!
เสียงสายลมหวีดหวิวโหมกระหน่ำจนทำให้ทรายสีเหลืองปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า เมื่อมันพัดผ่านออกไปก็ได้สร้างคลื่นทรายซ้อนทับกันไปจนสูงถึงหนึ่งร้อยจั้ง
พายุ!
พายุทราย!
ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ สวรรค์และพิภพดูเหมือนจะตกอยู่ในความโกลาหลและถูกย้อมเป็นสีเหลืองหมดจด แม้ว่าจะมีสายตาที่ดีก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจมองผ่านสถานการณ์จริงที่อยู่ภายในได้
“นี่คือทะเลทรายที่เรียกว่าดินแดนมรณะ? ปราณแท้ของข้าเหือดแห้งหมดสิ้นแล้ว และหากต้องการหลีกเลี่ยงพวกบัดซบทั้งหกนั่น ดูเหมือนว่าจะต้องฝ่าเข้าไปเท่านั้น หากจะเป็นหรือจะตายก็คงต้องลองเสี่ยงดูแล้ว!” เฉินซีบ่นพึมพำกับตัวเอง แววตาฉายความดุร้ายออกมา ก่อนที่เขาจะพุ่งไปข้างหน้า
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ กลุ่มคนทั้งหกของซูติงอี้ก็มาถึง
“เรามาช้าไปก้าวหนึ่ง!”
“เจ้าคนนี้มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเรา เขาจึงพุ่งเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะหาได้สนใจชีวิตไม่!”
“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร”
“รอคอย!” ซูติงอี้กัดฟันกรอดขณะกล่าว “เราจะรอเขาอยู่ที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้านั่นจะไม่ออกมา! ขอสาบานว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะชิงสมบัติของเซียนกระบี่มาได้!”
“แล้วหากเขาตายล่ะ?”
“หนึ่งปีเป็นอย่างน้อย ถ้าเจ้านั่นไม่ออกมา มันก็พิสูจน์ว่าเรากับสมบัติจากที่พำนักของเซียนกระบี่ไม่มีชะตากรรมต้องกัน จากนั้นค่อยจากไป” สีหน้าของซูติงอี้ดูมืดมนขณะที่กล่าวคำ
สายตาของเขาจ้องมองไปยังส่วนลึกของห้วงทะเลทรายมรณะอย่างเงียบ ๆ ภายในนั้นไม่อาจมองเห็นร่องรอยของเฉินซีได้อีกต่อไป อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพายุทรายที่พัดโหมกระหน่ำ