บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1023 ชี้กระบี่ไปที่เซียนลึกลับ
บทที่ 1023 ชี้กระบี่ไปที่เซียนลึกลับ
บทที่ 1023 ชี้กระบี่ไปที่เซียนลึกลับ
ไอ้สารเลว!
เมื่อเสียงของเฉินซีดังก้องไปในอากาศ สีหน้าของทุกคนที่ได้ยินต่างแข็งทื่ออย่างมาก
หากกล่าวตามตรง การฆ่าเซียนลึกลับก็เหมือนกับการฆ่าไอ้สารเลวนั่น ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลมากหากผู้ที่กล่าวคือเซียนทองคำ
แต่เมื่อมันถูกกล่าวโดยผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด จึงกลายเป็นการดูหมิ่นรูปแบบหนึ่ง และเป็นความเย่อหยิ่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ พวกเขาถึงกับตกใจและรู้สึกเหลือเชื่อ
“ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน!”
“หยิ่งยโสอะไรเช่นนี้! เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
“ไอ้สารเลวน้อย! เพียงเพราะคำพูดเหล่านี้ ข้าจะควักเส้นเอ็น ถลกหนัง และเผากระดูก ก่อนที่ขี้เถ้าของเจ้าจะถูกโปรย เจ้าไม่มีวันได้ตายอย่างสงบ!”
ก่อนสยงหมิงจะทันได้กล่าว เหวยเจิ้ง โหลวเฟิงและเซวียคุนก็ระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ และก่นด่าสาปแช่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
โดยเฉพาะเซวียคุน ปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างกายปะทุขึ้น หมายมั่นที่จะสังหารเฉินซี
แต่สยงหมิงกลับโบกมือ ทำให้ทั้งสามคนต้องล่าถอยไป ก่อนจะกวาดสายตาไปทางเฉินซี และเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธสุดขีด “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง! ผ่านมากี่ปีแล้ว? เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ากล่าวเช่นนี้กับข้า!”
เสียงของเขาทุ้มหนักและดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่าลั่นไปทั่วทั้งฟ้าดิน มันสั่นคลอนผู้ข้ามผ่านทั้งหมดจนแก้วหูของพวกเขาดังหึ่ง ๆ หัวใจสั่นสะท้าน และสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อย่าประเมินตัวเองสูงนัก” สีหน้าของชายหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“หรือเจ้าคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือข้าได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเศษสวะเหล่านี้” สยงหมิงหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ พยายามรักษาท่าทางของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างเต็มที่
“เศษสวะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของพวกผู้ข้ามผ่านก็ดูย่ำแย่ลงไปอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ พวกเขาทำได้แค่อดทน เพราะไม่กล้าบุ่มบ่าม
“เจ้าคิดผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดหลบหนีในวันนี้ ข้าตั้งใจจะทำให้แผ่นดินสูงขึ้น” เฉินซีแก้ต่างสยงหมิงด้วยสีหน้าสงบนิ่งและไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ซึ่งท่าทางสบาย ๆ ของเขาก็เป็นความหยิ่งยโสโอหังในสายตาของคนอื่น
“ทำให้แผ่นดินสูงขึ้น…” สยงหมิงกล่าวซ้ำคำพูดของอีกฝ่าย ราวกับได้ยินเรื่องตลกไร้สาระอย่างยิ่ง สีหน้าของเขาดูแปลกไปและสงสัยว่ามดตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเสียสติไปแล้วหรือไม่
“ใต้เท้า เจ้าเด็กนี่ประเมินความสามารถของมันสูงเกินไป เหตุใดถึงไม่ให้บ่าวจับตัวมันมามอบให้แก่ท่าน เพื่อที่ท่านจะได้จัดการกับมันด้วยตัวเอง?” เซวียคุนไม่สามารถยับยั้งจิตสังหารในใจได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวต่อสยงหมิงผ่านกระแสปราณเพื่อขออนุญาตลงมือ
“ไม่จำเป็น เจ้าเด็กนี่ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้า ส่วนพวกเจ้ารออยู่ด้านข้างเสีย”
เมื่อสยงหมิงตัดสินใจจะลงมือ ท่าทางของเขากลับสงบ และน้ำเสียงเยือกเย็น จากนั้นกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ใช่แล้ว อย่าเพิ่งฆ่าเหล่าผู้ข้ามผ่านตอนนี้ ข้าอยากให้พวกมันเห็นกับตาว่าคนที่กล้าล่วงเกินข้าจะต้องพบกับจุดจบอย่างไร!”
“แน่นอน พวกเจ้าทุกคนควรอยู่เฉย ๆ อย่างเชื่อฟัง มิฉะนั้นอย่าได้ตำหนิข้าที่ไม่เตือนพวกเจ้า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น” ขณะที่กล่าว สยงหมิงก็มองไปยังผู้ข้ามผ่านทั้งหมดอย่างเย็นชา
แม้จะเป็นเพียงการจ้องมอง แต่กลับเย็นยะเยือกดุจดาบที่ฟาดฟันลงมา จนผู้คนรู้สึกสยดสยองผองขน และทำให้ขวัญกำลังใจแทบพังทลาย
พวกเขาจึงหันกลับไปมองเฉินซี จากนั้นหันไปมองสยงหมิงอีกครั้ง จากนั้นแสดงสีหน้าดิ้นรนและลังเลออกมา
เห็นได้ชัดว่า แม้จะตัดสินใจต่อสู้เคียงข้างเฉินซี และไม่มีทางถอยให้เลือกในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกของเฉินซีอย่างแท้จริง
เฉินซีเพียงส่ายศีรษะ และไม่ได้กล่าวอะไร เพราะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
เหตุผลก็คือ เฉินซีไม่เคยหวังว่าผู้ข้ามผ่านเหล่านี้จะสามารถช่วยเขาได้ แค่ไม่ช่วยเหลือศัตรูก็ถือว่าโชคดีพอแล้ว
“เข้ามาไอ้สารเลวน้อย ให้ข้าดูว่าใครทำให้เจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้กับข้า!”
สยงหมิงระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ในขณะที่ร่างกำยำสั่นสะท้าน จากนั้นพลังชีวิตในร่างกายก็เชื่อมโยงกับฟ้าดิน แล้วถูกปกคลุมไปด้วยกระแสพลังสีเขียวแพรวพราวของกฎ
ภายในพริบตาเดียว แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็ได้ปกคลุมพื้นที่ทุกส่วนในรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้ ทำให้ร่างกายของผู้ข้ามผ่านทั้งหมดสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกแทรกเข้ามาในกระดูกสันหลัง
เหวยเจิ้งกับคนอื่น ๆ ต่างแสดงความชื่นชมและพึงพอใจ เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับจะเป็นสิ่งที่มดที่เพิ่งข้ามผ่านเหล่านี้จะเข้าใจได้อย่างไร?
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง แต่ทันใดนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะ
เพียงพริบตา ทุกคนรู้สึกถึงบางสิ่งแวบวับไปต่อหน้า และเฉินซีก็หายตัวไปแล้ว!
“เกิดอันใดขึ้น?!”
ตู้ม!
ทุกคนไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น กลิ่นอายอันกว้างใหญ่ แพรวพราว และทรงพลังก็แผ่ซ่านออกมา มันเหมือนกับการตื่นขึ้นของสัตว์ร้ายบรรพกาลที่หลับใหลมานาน ยิ่งไปกว่านั้น พลังชีวิตซึ่งมากมายมหาศาลและน่าสะพรึงกลัวก็เหมือนกับเสาควันพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า!
ในขณะนั้นเอง แสงสว่างแห่งรุ่งอรุณก็สาดส่องผ่านม่านรัตติกาล ปัดเป่าความมืดในโลกจนหมดสิ้น
ทุกคนจึงได้เห็นร่างสูงของเฉินซียังคงยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อแสงแดดส่องลงมาจากด้านหลัง ทำให้รูปลักษณ์ดูพร่ามัว มีเพียงฟันขาวราวหิมะที่ส่องประกายเย็นยะเยือก
รูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวสลวย หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสงบนิ่งและไม่ธรรมดา เขายังคงเป็นคนเดิม แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินซีนั้นเปลี่ยนไป ราวกับกลายเป็นคนละคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มอาบไล้ด้วยรัศมีสวรรค์อันเจิดจ้าและเปล่งประกายด้วยปราณเซียนพิสุทธิ์ ยิ่งกว่านั้น ร่างของเขายังเต็มไปด้วยแสงพร่างพราว บางครั้งเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ บางครั้งแดงดั่งไฟ บางครั้งแหลมคมดั่งทองคำเหลว บางครั้งก็เหลืองและขุ่นมัวเหมือนดิน…
มันคือพลังแห่งกฎ!
เมื่อพบเห็นฉากนี้ ผู้ข้ามผ่านทุกคนต่างตกตะลึงจนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้า เฉินซีซึ่งเป็นผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะลมปราณขอบเขตเซียนสวรรค์ผู้หลอมรวมพลังกฎได้อย่างไร!?
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และเซวียคุนกลับกลายเป็นเคร่งขรึมโดยพร้อมเพรียงกัน ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ พวกเขาจึงแยกแยะได้ว่าพลังกฎที่ขดตัวอยู่รอบ ๆ ร่างของเฉินซีนั้นบริสุทธิ์ ทรงพลัง อัดแน่น และเหมือนจะถูกหล่อหลอมเป็นพันครั้ง ๆ ในเตาหลอม ทำให้พวกมันเผยกลิ่นอายอันบริสุทธิ์ ไร้ที่ติ และสดใสออกมา!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎที่มีถึงห้าประเภท!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ชายคนนี้เพิ่งข้ามผ่านมาเมื่อสองวันก่อนไม่ใช่หรือ เขาจะควบแน่นพลังแห่งกฎในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นกฎถึงห้าประเภท?!”
“คนผู้นี้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกแล้ว เขาเป็นคนที่ฆ่าหวงซินในอุโมงค์วันนั้น… โอ๊ะ! ช้าก่อน เขายังเป็นคุณชายเฉินซี ส่วนคุณชายเฉินซีที่บ่มเพาะการขัดเกลากายาน่าจะเป็นร่างอวตารของเขาเป็นแน่” ดวงตาสุกใสของมู่หลิงหลงที่อยู่ใกล้เคียงส่องประกายแวววาวราวกับอัญมณี จากนั้นนางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ขณะจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ทรงพลังของเฉินซี
“นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้าซึ่งใช้ในการฆ่าหวงซินกระมัง? ช่างเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างอวตารที่น่าอัศจรรย์เสียจริง แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็อยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น เจ้ายังคิดว่าจะมีโอกาสชนะหรือไม่?”
สายตาของสยงหมิงนั้นเฉียบแหลมมาก ในขณะที่ประเมินเฉินซี เขาก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะถูกแทนที่ด้วยท่าทางเย็นชาและภาคภูมิ ด้วยตัวเขาในฐานะเซียนลึกลับไม่จำเป็นต้องจริงจังกับเซียนสวรรค์แม้แต่น้อย
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา สีหน้าของเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ก็ผ่อนคลายลงมาก แต่สายตาที่จดจ้องไปยังเฉินซีกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ ราวกับพวกเขาโชคดีที่ไม่ใจร้อนและลงมือต่อเฉินซี
เคร้ง!
เสียงคำรามของกระบี่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ขณะที่เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือ กลิ่นอายน่าเกรงขามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันทั้งดุร้ายและรุนแรง ในขณะที่เจตจำนงกระบี่อันยอดเยี่ยมอย่างไม่มีใครเทียบได้แผ่ออก ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าที่มองลงมายังโลกจากหมู่มวลเมฆ ชวนให้หัวใจของทุกคนต้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่รอบข้างซีดลง
ปราณเซียนพิสุทธิ์อันลึกล้ำและเข้มข้น กอปรกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ดุร้ายและรุนแรง มันดูไม่เหมือนสิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นจะสามารถครอบครองได้ แม้จะเป็นเซียนสวรรค์ที่บรรลุความสมบูรณ์แบบในสี่สระต้นกำเนิดสวรรค์ ก็ยังหาได้ยากยิ่ง บางทีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเท่านั้นที่สามารถครอบครองปราณเซียนพิสุทธิ์อันลึกล้ำเช่นนี้ได้ มิฉะนั้น ท้องทะเลแห่งลมปราณอาจพังทลายจนแยกออกจากกัน
“ยากจะฆ่าเซียนลึกลับหรือ?” ท่ามกลางกระแสเสียงไม่แยแสของเขา เฉินซีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับเสียงกลองสวรรค์สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน ในเวลาเดียวกัน ปราณเซียนพิสุทธิ์ภายในร่างกายชายหนุ่มพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง แดนฮุ่นตุ้นเต้นระรัวเหมือนหัวใจ และเต่าดำที่อยู่ภายในมหาสมุทรแห่งปราณเซียนพิสุทธิ์ ก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ก่อนจะคำรามขึ้นท้องฟ้า
ครืน!
ปราณเซียนพิสุทธิ์พลุ่งพล่างอย่างถึงขีดสุดได้หลั่งไหลเข้าสู่ยันต์ศัสตรา ก่อเกิดปราณกระบี่ที่ขดล้อมด้วยเปลวเพลิงลุกโชน และฟันลงมายังสยงหมิงราวกับคลื่นเปลวเพลิงที่สามารถแตะสวรรค์ได้
เมื่อปราณกระบี่ที่มีกฎแห่งอัคคีรวมเข้ากับการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ระดับปรมาจารย์ของเฉินซี มันสามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พลังที่ปลดปล่อยออกมาจึงสามารถเผาผลาญโลกาได้!
การโจมตีในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความลึกล้ำของธาตุอัคคี และอานุภาพของกฎอย่างสมบูรณ์!
นี่เป็นการโจมตีครั้งแรกที่เฉินซีทำได้ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ และรวบรวมพลังกฎของเขาเอง!
“กฎแห่งอัคคี? แสดงให้ข้าดูว่ากฎแห่งอัคคีของเจ้าหรือกฎแห่งพฤกษาของข้าแข็งแกร่งกว่ากัน!” ใบหน้าของสยงหมิงมืดมน ร่างสว่างวาบ ก่อนที่กระบี่จะฟันลงมาถึง มือโบกสะบัดอยู่กลางอากาศ ก่อนชี้นิ้วออกมาเบา ๆ
โอม!
ทันใดนั้น พื้นดินในรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้ก็แตกออก เถาวัลย์เขียวขจีจะพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันมีจำนวนนับพันนับหมื่น ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน พวกมันเฆี่ยนตีเฉินซีอย่างรุนแรงประหนึ่งแส้เถาวัลย์จำนวนมาก
เพียะ!
เถาวัลย์สีเขียวฉีกขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อให้เกิดระลอกคลื่นจากแรงกระแทก ท้องฟ้าผันผวนอย่างรุนแรง เถาวัลย์สีเขียวนับไม่ถ้วนฟาดลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ฟ้าดินบิดเบี้ยว ผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยเศษหินที่ปลิวว่อน ในขณะที่พืชพรรณก็ถูกบดขยี้จนเป็นผุยผง
เหล่าผู้ข้ามผ่านและกลุ่มของเหวยเจิ้งเฝ้ามองสถานการณ์เลวร้ายมาตลอด พวกเขาจึงรีบหลบไปด้านข้าง
ปัง! ปัง! ปัง!
ปราณกระบี่เพลิงปะทะกับเถาวัลย์สีเขียวนับพัน พวกมันปลดปล่อยคลื่นทำลายล้างอันรุนแรงออกมา เหมือนน้ำมันร้อนระอุพุ่งเข้าไปในกระทะที่ใส่น้ำเอาไว้ แสงของเปลวเพลิงลุกโชนเป็นบริเวณกว้าง หลังจากเถาวัลย์สีเขียวถูกเผาผลาญ
แต่เถาวัลย์มีมากเกินไป พวกมันปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน และสลายพลังของปราณกระบี่สายนี้ออกไปจนสิ้น แต่ในเวลาเดียวกัน เถาวัลย์ก็กลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอยไปทั่วฟ้าดินเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้เปรียบในการปะทะกันครั้งนี้!
ดวงตาของเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ เบิกกว้างอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเฉินซีซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นจะสามารถเผชิญหน้ากับสยงหมิงซึ่งมีพลังขอบเขตเซียนลึกลับ โดยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
ผู้ข้ามผ่านทั้งหมดถึงกับตัวแข็งทื่อ และเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา เดิมทีพวกเขาคิดว่าแม้เฉินซีจะรอดชีวิต แต่อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ใครจะคาดคิดว่าชายหนุ่มจะทัดเทียมกับสยงหมิง!?
แต่หลังจากนั้นหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ พวกเขาคงโห่ร้องให้กำลังใจเฉินซีอย่างอดใจไม่ไหว
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะต้านทานพลังของข้าได้ถึงหกส่วน ถือได้ว่าเป็นมังกรในหมู่มวลเซียนสวรรค์ น่าเสียดาย เซียนสวรรค์ก็เป็นแค่เซียนสวรรค์อยู่วันยันค่ำ เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนลึกลับ เจ้าก็เป็นเพียงตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามหยุดล้อเกวียน!”
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของสยงหมิงยิ่งดุร้ายขึ้น ขณะจ้องมองเฉินซีอย่างเย็นชา ประกายความประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของเขา ก่อนถูกแทนที่ด้วยจิตสังหารอันหนาแน่นซึ่งดูจะจับต้องได้