บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1026 สี่ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 1026 สี่ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 1026 สี่ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่
เมื่อเข้าสู่ภพเซียน เฉินซีมีเพียงกองศิลาอมตะที่สามารถแลกเปลี่ยนสมบัติที่ต้องการได้ราวหนึ่งพันก้อน มันอาจจะเป็นจำนวนมหาศาลในภพมนุษย์ แต่ในภพเซียนแห่งนี้ เขาสามารถซื้อได้เพียงสมบัติอมตะธรรมดาเท่านั้น
ดังนั้นถ้าอยากยืนหยัด ก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ถ้าอยากแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องไม่ขาดแคลนความมั่งคั่ง!
หลังจากผ่านการทดสอบและความยากลำบากมานับไม่ถ้วน เฉินซีผู้เข้าสู่ภพเซียนได้สำเร็จ ย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี
สยงหมิงเป็นถึงเซียนลึกลับ ทั้งยังปกครองเหมืองแร่วิญญาณคราม จะไม่ให้เขามั่งคั่งได้อย่างไร?
ความจริงเป็นไปดังที่เฉินซีคาดการณ์ไว้ ทั้งยังเกินความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ ยามเปิดแหวนมิติที่ได้จากศพของสยงหมิง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
ศิลาอมตะแปดพันก้อนซ้อนกันแน่นขนัด ศิลากำเนิดวิญญาณครามที่มีขนาดเท่ากำปั้นห้าพันก้อน สมบัติอมตะธรรมดาระดับสูง ดาบเซียนพิรุณคราม สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ ระฆังไม้ทวิวิญญาณคราม
มีวัตถุดิบเซียนกระจัดกระจายไปทั่ว มูลค่าของพวกมันก็สูงเช่นกัน หากเอาไปเปลี่ยนเป็นศิลาอมตะ พวกมันจะมีมูลค่าอย่างต่ำสามพันก้อน
เฉินซีเคยค้นสมบัติวิเศษของหวงซิน แต่กลับพบเพียงศิลาอมตะเจ็ดร้อยกว่าก้อนกับศิลากำเนิดวิญญาณครามสามร้อยกว่าก้อนเท่านั้น เทียบกับสยงหมิงผู้นี้ คนทั้งสองช่างแตกต่างราวเศรษฐีกับคนยาจก!
“ไม่รู้ว่าศิลาอมตะเหล่านี้จะสามารถซื้อวัตถุดิบเซียนสำหรับหลอมกระบี่พอหรือไม่…” เฉินซีวางสมบัติทั้งหมดที่ได้มาจากสยงหมิงเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ แล้วอดรำพึงรำพันไม่ได้
การต่อสู้กับสยงหมิงเมื่อครู่ ทำให้เขาเข้าใจพลังในการต่อสู้ที่ตนครอบครองในตอนนี้มากขึ้น เข้าใจแจ่มชัดแล้วว่าทำไมถึงชนะ ปัจจัยสำคัญมีอยู่สองข้อ
ข้อแรกคือรากฐานการบ่มเพาะที่มั่นคง ซึ่งแข็งแกร่งเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์
ข้อสองคืออำนาจกฎที่เป็นข้อสำคัญที่สุด กล่าวได้ว่า หากไม่หลอมรวมเบญจธาตุเข้าไปในกฎ การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะเลวร้ายกว่านี้ไม่มากก็น้อย
แน่นอนว่าหากสยงหมิงควบคุมมากกว่าหนึ่งกฎ ที่ไม่ใช่กฎแห่งพฤกษา เฉินซีนย่อมไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
ทั้งสมบัติวิเศษและการบ่มเพาะขอบเขต เฉินซีล้วนเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่นระฆังไม้ทวิวิญญาณคราม มันคือสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ ซึ่งเหนือกว่ายันต์ศัสตราของเขาอยู่หลายส่วน
ส่วนขอบเขตนั้น เฉินซีอยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น แตกต่างจากสยงหมิงผู้อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่ข้อบกพร่องทั้งสองนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังแห่งกฎ และรากฐานการบ่มเพาะอันมั่นคง เขาจึงรอดจากหายนะมาได้อย่างปลอดภัย ก่อนสังหารสยงหมิงได้ในที่สุด
จากมุมมองนี้ทำให้ทราบว่า พลังแห่งกฎและความลึกล้ำของการบ่มเพาะส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากเพียงใด
เมื่ออ้างอิงตามความเข้าใจนี้ ทำให้เฉินซีต้องการรวบรวมวัตถุดิบเซียนมาพัฒนายันต์ศัสตราอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน เขาอยากจะใช้เวลากับเคล็ดวิชาลึกล้ำอื่น ๆ ของมหาเต๋าที่ตนเชี่ยวชาญ เพื่อหลอมรวมทั้งหมดให้กลายเป็นกฎ
ถึงตอนนั้น หากพบเจอกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างสยงหมิงอีก การต่อสู้ก็จะง่ายขึ้นมาก
ส่วนการบ่มเพาะย่อมไม่อาจทำสำเร็จได้ชั่วข้ามคืน ชายหนุ่มจึงไม่คิดเร่งรีบ ขอเพียงหนักแน่นในทางของตน ก็เพียงพอจะทำให้ทุกย่างก้าวมั่นคงแล้ว
…
ในเหมืองแร่วิญญาณครามแห่งนี้ นอกจากเซียนลึกลับสยงหมิง เหวยเจิ้งและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์อีกสี่คน ยังมีองครักษ์เซียนปฐพีหลายพันคนประจำการอยู่ที่นี่
หลังจากผู้ข้ามผ่านเหล่านั้นปิดล้อมและสังหารเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และเซวียคุนสำเร็จ ความเกลียดชังในใจยังไม่อาจระบายออกไปได้หมด ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เหล่าองครักษ์แทน
องครักษ์เหล่านั้นเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงเริ่มแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง
ยามนั้น ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล มีทั้งเสียงตะโกนจากการสังหาร เสียงวิ่งหนี เสียงกรีดร้องและเสียงคำรามทั่วทุกหนแห่ง ช่างวุ่นวายยิ่งนัก
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเฉินซีกับมู่หลิงหลงหายไปจากที่แห่งนี้แล้ว
…
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ท่ามกลางท้องนภาสีคราม สองร่างกำลังทะยานไปในอากาศ
ภายใต้ข้อจำกัดกฎแห่งฟ้าดินในภพเซียน สมบัติเหินบินซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่าสมบัติอมตะจะถูกจำกัด และไม่สามารถใช้งานได้
ดังนั้นเฉินซีจึงต้องเก็บเรือเหาะสมบัติไว้ ก่อนพามู่หลิงหลงพุ่งทะยานผ่านผืนฟ้า
“พวกเรากำลังไปที่ใดกันหรือ?”
หลังหลบหนีออกจากเหมืองแร่วิญญาณคราม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของมู่หลิงหลงดีขึ้น ดวงตาแจ่มชัดราวกับผิวน้ำ เจิดจ้าราวกับดวงดาว ใบหน้าบอบบางงดงามเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“ย่อมต้องกลับโถงสวรรค์ ไปเอาตราเซียนจากสองคนนั้นก่อน”
เฉินซียิ้มขณะตอบกลับ ถึงแม้ตราเซียนจะไร้ประโยชน์เกินไปหน่อย แต่หากมีมัน ย่อมสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ในภพเซียนได้สะดวกมากขึ้น อีกทั้งเขาอยากเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จึงต้องการใบรับรองตัวตนอย่างถูกต้อง
“ตราเซียนหรือ? เจ้าช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง” มู่หลิงหลงยิ้มขณะกล่าวชื่นชม
เฉินซียิ้ม “แล้วเจ้าล่ะ หลังจากได้ตราเซียนมาแล้ว เจ้าวางแผนจะไปที่ใดหรือ?”
คำถามนี้ทำให้มู่หลิงหลงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จึงเอียงศีรษะเพื่อครุ่นคิดพักใหญ่ ในที่สุดริมฝีปากยกยิ้มอย่างจนใจ “ข้ารู้เกี่ยวกับภพเซียนน้อยนัก รู้จักก็แต่ทวีปรัตติกาล แต่ข้าไม่อยากไปทวีปรัตติกาลตอนนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะพลาดโอกาสเที่ยวเล่นเป็นแน่”
ทวีปรัตติกาลหรือ?
เฉินซีขมวดคิ้ว แต่เขารู้ดีว่าภพเซียนกว้างใหญ่ไพศาล แทบไร้พรมแดน มีทวีปที่ปกคลุมไปด้วยดวงดาวจำนวนมากถึงสี่พันเก้าร้อยทวีป
และมีเมืองเซียนไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นแห่งกับหลายร้อยล้านชีวิต!
ลองจินตนาการดูว่า หากรวมสี่พันเก้าร้อยทวีปเข้าด้วยกัน จะมีเมืองเซียนอยู่มากแค่ไหน พื้นที่จะกว้างใหญ่เพียงใด จะมีคนธรรมดาอีกเท่าไหร่ เกรงว่าต่อให้ใช้ทั้งชีวิต ก็ยากจะเดินทางทั่วทั้งภพเซียนได้
ทว่าในบรรดาสี่พันเก้าร้อยทวีป สี่ทวีปมหาเซียนตั้งอยู่ทั้งสี่มุมของศาลเซียน ประกอบไปด้วยทวีปดาราวีรบุรุษ ทวีปนภาเหมันต์ ทวีปวิถีล้ำลึกและทวีปรัตติกาล
เหตุผลที่สี่ทวีปมหาเซียนเหล่านี้โด่งดัง เพราะแต่ละทวีปจะมียอดราชันเซียนประจำอยู่ในเมือง!
ชื่อของสี่ทวีปมหาเซียนก็ตั้งมาจากนามของสี่ราชันเซียน ประกอบด้วยราชันเซียนวีรบุรุษดารา ราชันเซียนนภาเหมันต์ ราชันเซียนวิถีลึกล้ำและราชันเซียนรัตติกาล
ราชันเซียน!
ราชันในหมู่เซียน!
ภายในสามภพ ภพเซียน ภพมนุษย์และยมโลก มีเพียงสี่ราชันเซียนเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าการบ่มเพาะของพวกเขาสูงส่งเพียงใด พลังมากมายมหาศาลแค่ไหน
แต่เฉินซีรู้เพียงแค่นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตั้งอยู่ในทวีปดาราวีรบุรุษ ประกอบกับได้ยินศิษย์พี่หญิงหลียางกล่าวถึงผ่านกระแสปราณ เขาคงไม่มีทางรู้ว่ามีราชันเซียนอยู่ในภพเซียนเป็นแน่
เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่ามู่หลิงหลงวางแผนจะเดินทางไปยังทวีปรัตติกาลซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ทวีปมหาเซียน หากเขาคาดเดาไม่ผิด พลังที่แต่ละทวีปมหาเซียนครอบครองอยู่เป็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวที่สุดในภพเซียน
หรือมู่หลิงหลงที่มาจากภพฟ้าดินจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังยักษ์ใหญ่ในทวีปรัตติกาล?
“คุณชายเฉินซี ให้ข้าติดตามท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
มู่หลิงหลงพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาสดใสจับจ้องไปยังเฉินซี และถามอย่างคาดหวัง “ท่านเองก็เพิ่งมาภพเซียนไม่ใช่หรือ ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
เฉินซีตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่… ”
“แต่อะไรหรือ?” นางตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ได้ปฏิเสธในทันที
“เพียงแต่เจ้าจะต้องพบเจอกับอันตรายอีกมากหากตามข้ามา อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้วิธีต่อสู้ ข้าจึงกังวลว่าจะลากเจ้าซวยไปด้วย” เฉินซีครุ่นคิดสักพัก ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง
มู่หลิงหลงมีสีหน้าผิดหวัง กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ข้าไร้ประโยชน์เกินไปนี่เอง”
เฉินซีไม่อาจแบกรับความรู้สึกผิดนี้ไว้ในใจได้ เขารู้ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้หญิงสาวคนนี้จะเป็นผู้ข้ามผ่าน แต่นางก็เป็นสาวน้อยอ่อนหัดไร้เดียงสาเช่นกัน การข้ามผ่านมายังภพเซียนในครั้งนี้ ก็เป็นการแอบออกมาจากบ้าน แสดงว่าต้นกำเนิดของอีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดา
แต่หากตัดเรื่องพวกนี้ออกไป การพาสาวน้อยท่องไปในภพเซียนอย่างไร้จุดหมายก็ยังเป็นเรื่องน่ากังวลอยู่ดี
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เฉินซีจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้ามากับข้าได้ แต่ข้าจะไปยังทวีปดาราวีรบุรุษ ไม่ใช่ทวีปรัตติกาล”
เมื่อเห็นเฉินซีเปลี่ยนใจ กำลังใจของมู่หลิงหลงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง รีบกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ได้เลย ท่านจะไปไหนก็ได้ ขอเพียงได้อยู่ข้างคุณชายเฉินซี ข้าก็วางใจแล้ว”
เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย “วางใจหรือ?”
“ใช่แล้ว เพราะคุณชายเป็นคนดี” มู่หลิงหลงตอบตามตรง
เฉินซีลูบจมูกแกมประหลาดใจเล็กน้อย คนดีหรือ? เหตุผลนี้ช่างฟังแล้วรื่นหูเหลือเกิน…
“จริงสิ คุณชายจะไปทำอะไรที่ทวีปดาราวีรบุรุษหรือ?” มู่หลิงหลงถามด้วยความสงสัย
“ไปสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าน่ะ” เฉินซีไม่คิดปกปิดนาง
“ข้าเข้าใจแล้ว นึกไว้แล้วเชียว สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นพิเศษมาก มันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะหัวใจวิถีของเซียนนับไม่ถ้วน ข้าเคยได้ยินญาติเล่าให้ฟังว่า ในภพเซียน ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปได้” มู่หลิงหลงครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา
เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่ามู่หลิงหลงจะรู้เกี่ยวกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่เมื่อถามอีกครั้ง กลับพบว่าอีกฝ่ายรู้เพียงเท่านั้น จึงไม่ถามอีก
หลังจากสนทนาเช่นนี้ เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม โถงสวรรค์ก็ปรากฏสู่สายตา
สิ่งปลูกสร้างโอ่อ่า สระจำแลงเซียนเต็มไปด้วยปราณเซียน ชายชรากับชายวัยกลางคนร่างผอมยังคงนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ
เมื่อเห็นภาพอันคุ้นเคยนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจระบายความขุ่นเคืองออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเซียนลึกลับเมิ่งซิงปรากฏตัว เขาอาจจะได้รับตราเซียน ก่อนเริ่มเดินทางสู่ทวีปดาราวีรบุรุษไปแล้วใช่หรือไม่?
“นี่…พวกเจ้าสองคน”
ชายวัยกลางคนที่อยู่หลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นและตกตะลึง เมื่อเห็นเฉินซีกับมู่หลิงหลงกำลังทะยานมาทางตน ก่อนจะจำชายหญิงคู่นี้ได้ทันที
“อย่าบอกนะว่าพวกเจ้า…” ชายชราตกตะลึงเช่นกัน ก่อนหยุดพูดไปกลางคัน
เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสอง เฉินซีคาดเดาได้ทันทีว่า อีกฝ่ายต้องรู้ว่าเหล่าผู้ข้ามผ่านถูกพาตัวไปที่ใด แต่คงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถกลับมาได้
ทว่าเฉินซีคร้านจะโต้เถียงกับพวกเขา จากนั้นโยนถุงเก็บของไปให้แล้วกล่าวว่า “ช่วยเอาตราเซียนมาให้พวกข้าสองชิ้น ส่วนนี่คือศิลาอมตะสองพันก้อน”
ชายวัยกลางคนกับชายชรามองหน้ากัน ถึงจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่พวกเขายังคงรับถุงเก็บของมา ก่อนนำตราเซียนว่างเปล่าสองชิ้นมาให้ “ข้าขอถามชื่อพวกเจ้า กับดินแดนเบื้องล่างที่พวกเจ้าจากมาได้หรือไม่?”
เฉินซีพยักหน้าส่งสัญญาณให้มู่หลิงหลง นางตอบทันทีว่า “ข้าคือมู่หลิงหลง มาจากภพฟ้าดิน”
หลังจากตวัดพู่กันสองสามครั้ง ชายวัยกลางคนร่างผอมส่งตราเซียนที่สลักนามแล้วให้แก่มู่หลิงหลง จากนั้นเงยหน้ามองเฉินซี
เฉินซีครุ่นคิดสักพัก จากนั้นตอบว่า “เฉินซี แดนภวังค์ทมิฬ”
“ว่ายังไงนะ! เจ้าคือเฉินซีรึ?” ชายวัยกลางคนร่างผอมกับชายชราตกตะลึง ทั่วทั้งร่างแข็งทื่อทันที