บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 103 ศิลาวิญญาณดารา
บทที่ 103 ศิลาวิญญาณดารา
บทที่ 103 ศิลาวิญญาณดารา
ลมกระโชกอย่างรุนแรงและพายุทรายโหมกระหน่ำ
ห้วงทะเลทรายมรณะทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา และมันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอันไร้ขอบเขต
สถานที่นี้มีซากปรักหักพังลี้ลับถูกทอดทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยพันธนาการอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเข้ามาแต่ไม่อาจกลับไปได้ และมีรอยแยกที่คอยกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย!
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมกระโชก
ช่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่ลมพายุรุนแรงพอที่จะฉีกทุกสิ่ง ทว่ากลับไม่อาจสัมผัสร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ไม่ว่าลมจะรุนแรงเพียงใด ราวกับว่าสายลมรับรู้ว่าร่างของชายหนุ่มเป็นเหมือนสหาย มันจึงหลีกเลี่ยงและเปิดทางให้เขาผ่านไป
เหตุการณ์ที่เห็นนั้นช่างแปลกตามาก
เมื่อต้องเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังต้องระมัดระวัง แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับดูผ่อนคลายเหมือนกำลังเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ ถ้าผู้อื่นพบเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาจะต้องอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในดินแดนแห่งความตาย!
ชายหนุ่มผู้นี้คือเฉินซี ผู้ที่บรรลุเต๋าแห่งสายลมขั้นสมบูรณ์ เมื่อต้องเผชิญกับพายุที่ซัดโถมเข้ามา กลับเห็นเพียงสายลมอ่อนโชย และเขาก็ไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง
นี่คือพลังของเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
อย่างไรก็ตามในสายลมยังคงมีเม็ดทราย ฝุ่นผงเหล่านั้นถูกพายุพัดพาขึ้นไปเป็นดั่งฝน พวกมันมีแรงทะลุทะลวงที่แหลมคมและน่าสะพรึงกลัว หากเป็นเวลาปกติเฉินซีก็คงไม่กล้าปะทะกับพวกมันโดยตรง ซ้ำยังไม่กล้าแม้แต่จะทะยานขึ้นไปในอากาศ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพึ่งพาความแรงของลมเพื่อพุ่งออกไป
“ตอนนี้ปราณแท้ของข้าแห้งเหือดไปหมดสิ้น แต่โชคดีที่กายาแข็งแกร่ง จนถึงตอนนี้ก็ได้วิ่งมาเกือบพันลี้แล้ว ถ้าเจ้าพวกนั้นยังไล่ตามมาก็คงจะตามทันตั้งนานแล้ว”
เฉินซีไตร่ตรองอย่างรวดเร็วขณะที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่กลัวกระแสลมพายุโดยรอบ แต่ห้วงทะเลทรายมรณะก็มีอันตรายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซากปรักหักพังหรือรอยแยก เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นรอยแยกที่ยาวกว่าห้าร้อยจั้ง มีรูปร่างเหมือนใบมีดโค้งยาวและแคบ ด้านในของรอยแยกมีแต่ความมืดมิด จนทำให้ใจต้องสั่นสะท้าน ตราบใดที่มีสิ่งใดก็ตามหลงเข้าไป ภายในระยะทางพันห้าร้อยจั้งจะถูกกลืนกินหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไร้โอกาสได้ต่อสู้ มันเงียบสงัดและน่าสะพรึงกลัว
“ไม่ได้การแล้ว หากยังดันทุรังแบบนี้อีก จะต้องหมดเรี่ยวแรงแน่นอน ข้าควรหาที่ปลอดภัยเติมเต็มปราณแท้และฟื้นฟูความแข็งแกร่งเสียก่อน… หืม? เจ้านั่นคือ?”
สายตาของเฉินซีกวาดไปเห็นเงาสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นท่ามกลางเม็ดทรายที่ลอยลิ่วโดยบังเอิญ เงานั้นสูงราวร้อยจั้ง และตั้งตระหง่านไร้การเคลื่อนราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ แท้จริงแล้วมันเป็นศิลาจารึกสีดำสนิท แม้จะถูกทรายกัดกร่อน พื้นผิวของศิลาจารึกก็ยังเรียบสมบูรณ์ อีกทั้งยังแผ่ประกายแสงอันเย็นยะเยียบออกมา
“สุสานกระบี่!” เฉินซีสังเกตเห็นอักขระสีแดงเลือดสองตัวบนศิลาจารึก การเขียนนั้นดูสะเปะสะปะไร้ระเบียบแต่นุ่มนวล และปราณที่แหลมคมก็จู่โจมมายังใบหน้าของเขา
เฉินซีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับว่ากระดูกถูกแทงด้วยเข็ม กระบี่แหลมคมที่ตวัดไปมาอย่างบ้าคลั่งปรากฏขึ้นภายในจิตสำนึก ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อเห็นดวงดาราเริงระบำอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดจึงรีบหลบตาไม่กล้ามองอีก
“ลายมือนี้มีปราณแท้อันน่าสะพรึงกลัวของเต๋าแห่งกระบี่ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยว แต่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ครอบครองพลังทำลายล้างทั้งพิภพ ข้าสงสัยว่าปรมาจารย์คนใดที่ทิ้งศิลาจารึกนี้ไว้ อีกทั้งมันยังน่าสะพรึงกลัวกว่าพลังกระบี่ที่อยู่ในตำราของที่พำนักแห่งเซียนกระบี่ถึงร้อยเท่า!” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ และไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผู้ที่มีทักษะกระบี่ระดับนี้จะมีระดับการบ่มเพาะไปถึงระดับใด
ตุบ!
ชายหนุ่มนั่งลงที่เบื้องหน้าศิลาจารึก ในขณะที่สังเกตเห็นว่าตราบใดที่พายุและทรายเข้าใกล้ศิลาจารึกภายในระยะราวสิบจั้ง พวกมันจะถูกซัดออกไปด้วยพลังไร้ลักษณ์ ดังนั้นคงจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพายุทรายซัดกระหน่ำ
“ข้าสงสัยนักว่าเหตุใดสุสานกระบี่ถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่…? ลืมมันเสียเถอะ ข้าจะฟื้นฟูปราณแท้ก่อน หากเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกจะได้มีพลังพอต้านทาน” เฉินซีสูดลมหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งสมาธิ จากนั้นก็ดึงขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมออกมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และทำให้วารีวิญญาณพวยพุ่งออกมาจากขวด
ฟิ้ว!
เฉินซีหมุนเวียนเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักอินทนิลที่แห้งเหือดไปเนิ่นนาน เริ่มดูดซับวารีวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างอย่างบ้าคลั่ง
ขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมได้บรรจุวารีวิญญาณถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นจิน วารีวิญญาณเหล่านี้เป็นของที่ได้รับจากการขายวัตถุดิบวิญญาณที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอก ภายในทะเลทรายมรณะที่ปราณวิญญาณได้เหือดแห้งจนหมดสิ้นแห่งนี้ เขาไม่ต้องกังวลกับการขาดแคลนปราณวิญญาณอีกต่อไป
หนึ่งวันผ่านไป…
ชายหนุ่มตื่นจากการทำสมาธิ จากนั้นอ้าปากพ่นลมหายใจออกมา กระแสลมที่ทรงพลังควบแน่นพุ่งออกไป และใช้เวลาอยู่สักพักก่อนที่จะสลายไป เห็นได้ชัดว่าภายในค่ำคืนแห่งการบ่มเพาะอันขมขื่นนี้ ความแข็งแกร่งของเขารุดหน้าขึ้น
“เพื่อแย่งชิงขุมทรัพย์แห่งที่พำนักของเซียนกระบี่จากข้า พวกซูติงอี้คงไม่ปล่อยให้ข้าออกไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากพวกมันไม่ได้เข้ามาในห้วงทะเลทรายมรณะ เช่นนั้นก็คงกำลังรออยู่ด้านนอก” เฉินซีลุกยืนขึ้นเหยียดแขนขาคลายความเมื่อย และกล่าวด้วยความเคร่งขรึม “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพียงเท่านั้น เว้นแต่จะมีพลังพอที่จะจัดการพวกมันทั้งหกคน”
“อืม? นี่คืออะไร?” ในที่สุด เฉินซีก็สังเกตเห็นหินสีดำสนิทจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น พวกมันมีขนาดเท่ากับเล็บมือและเกลี้ยงเกลา มีประกายแวววาวเหมือนกับหยกสีดำ
เขาก้มลงตั้งใจจะหยิบขึ้นมา แต่กลับต้องชะงักงัน เพราะเมื่อนิ้วแตะหินสีดำนั้น รัศมีเฉียบคมพลันพุ่งเข้าปะทะใบหน้า มันทำให้ร่างของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“สิ่งนี่คือ…” ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้าง ความประหลาดใจอันน่ายินดีค่อย ๆ ปรากฏ น้ำเสียงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ “แท้จริงแล้วมันคือศิลาวิญญาณดารา!”
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินจี้อวี๋กล่าวว่า ในสมัยโบราณมีสมบัติชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ศิลาวิญญาณดารา’ มันคือแก่นแท้ดวงดาวที่เกิดจากการแตกสลายของดาราบนท้องฟ้า และบรรจุพลังดาราจักรของดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลไว้ อีกทั้งการใช้ศิลาวิญญาณดาราเพื่อขัดเกลาร่างกายย่อมมีผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง
วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพของเฉินซีได้ซึมซับพลังดาราจักรเพื่อขัดเกลาร่างกาย มันได้มาถึงขอบเขตก่อกำเนิดสมบูรณ์แบบแล้ว และขาดอีกก้าวเดียวเท่านั้นในการเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้เหมือนกับช่องว่างระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ตามที่จี้อวี๋กล่าวไว้ …หากปราศจากการบ่มเพาะและการเก็บเกี่ยวอย่างยากลำบากจากช่วงแรกเริ่ม และหากปราศจากโอกาสในการพัฒนาที่เป็นดั่งภาพลวงตา เขาก็คงไม่อาจก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลได้อย่างเต็มที่
ในขณะนี้ เท่าที่เฉินซีกังวล การปรากฏตัวของศิลาวิญญาณดารานับว่าเป็นโอกาสล้ำค่าสำหรับการขัดเกลาร่างกายเพื่อก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฉึบ! ฉึบ!
มือของเฉินซีเริ่มขุดทรายอย่างขะมักเขม้น ไม่นานศิลาวิญญาณดาราที่กลมเกลี้ยงและอาบไปด้วยแสงแวววาวก็ถูกรวบรวมทีละก้อนเข้าด้วยกัน
เฉินซีหยุดขุดหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ศิลาวิญญาณดาราที่อยู่ข้างกายมีขนาดเท่าเล็บมือถูกกองเป็นพะเนินเล็ก ๆ จากประมาณการคร่าว ๆ มันน่าจะมีอย่างน้อยห้าพันก้อน!
“แก่นดารา! ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญของดวงดาว แม้ศิลาวิญญาณดาราเพียงก้อนเดียว ก็พอที่จะเทียบพลังดาราจักรที่ข้าดูดซับจากการเฝ้าบ่มเพาะด้วยความอุตสาหะถึงหนึ่งเดือน!”
“เมื่อการขัดเกลาร่างกายไปถึงขอบเขตตำหนักอินทนิล ข้าจะสามารถควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าและถ่ายเทพลังจ้าววิญญาณได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จะสามารถทำลายพันธนาการและเข้าไปในได้ เพื่อพบกับผู้อาวุโสจี้อวี๋อีกครั้ง!” จี้หยกที่อยู่บนฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยพันธนการเป็นชั้น ๆ หากต้องการเข้าไปในด้านใน เขาต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งในด้านการขัดเกลาร่างกายและปราณแท้
ในทำนองเดียวกัน มันคือข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับระดับแรกของบททดสอบสรวงสวรรค์
“ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดมารบกวนข้า และพายุทรายเป็นดั่งกำแพงที่ไม่อาจกล้ำกรายได้ ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบ่มเพาะ ข้าจะบ่มเพาะการขัดเกลาร่างกายไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล จากนั้นจะเข้าไปในที่พำนักเพื่อพบกับผู้อาวุโสจี้อวี๋”
“…หากสามารถผ่านระดับแรกของบททดสอบสรวงสวรรค์ได้ ข้าคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลที่ไม่อาจจินตนการได้ และความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน!”
เฉินซีรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ด้วยการโบกแขนเสื้อ ทำให้ศิลาวิญญาณดาราบนพื้นถูกเก็บไว้ในแหวนมิติของเขา จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิพร้อมกับกำศิลาวิญญาณดาราเอาไว้ เขาหลับตาหมุนเวียนเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพทันที
ปัง!
พลังดาราจักรที่เยือกเย็นและเฉียบแหลม ขณะที่ไหลทะลักเข้าสู่เลือดเนื้อ พลังอันรุนแรงปะทะร่างกายของเขาจนสั่นสะเทือนและทำให้กล้ามเนื้อพลันหดเกร็ง อีกทั้งมันยังกำลังย่อยสลายพลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้อย่างบ้าคลั่ง
ในเวลาเดียวกัน พลังดวงดาวอันน้อยนิดได้หลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อและผิวหนังทั่วร่าง ทำให้พวกมันเปล่งประกายระยิบระยับและส่งไออันเย็นเยียบ ราวกับกระเบื้องเคลือบที่ผ่านความร้อนในเตาหลอมเป็นเวลานาน ต่อมาจึงค่อย ๆ เนียนเรียบและแข็งขึ้น
ในขณะนั้น บนแผ่นหลังของเฉินซีมีลวดลายอักขระจาง ๆ ปรากฏขึ้น พวกมันคลุมเครือและพร่ามัว ทว่าไม่นานก็เลือนหายไป ช่างดูลึกลับอย่างยิ่ง!
ความก้าวหน้าในการขัดเกลาร่างกายไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลต้องผ่านความยากลำบากและอุปสรรคนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คนผู้นั้นก้าวผ่านประตูนี้ อักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าจำนวนมากจะควบแน่นบนร่างกาย อักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าเหล่านี้ควบแน่นเป็นรูปลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ
ยกตัวอย่าง ผู้บ่มเพาะกายาบางคนที่ใช้เปลวไฟของแกนโลกเพื่อขัดเกลา จะมีอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้ารูปแบบเปลวไฟ และสามารถดูดซับปราณเพลิงเพื่อเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณภายในร่างกาย
เฉินซีขัดเกลาร่างกายด้วยพลังดาราจักร ตราบใดที่ก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนภาพดาราของอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าจะเผยขึ้นบนร่าง เปลี่ยนพลังดาราจักรให้กลายเป็นปราณจ้าววิญญาณ นับว่าลึกซึ้งมาก
การขัดเกลาร่างกายในขอบเขตตำหนักอินทนิลถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ในทำนองเดียวกัน การควบแน่นของดาวดวงที่หนึ่งในแผนภาพดาราของอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า จะเป็นตัวแทนของดาวดวงที่หนึ่งของขอบเขตตำหนักอินทนิล
และการควบแน่นของดาวดวงที่เก้าในแผนภาพดารา จะเป็นตัวแทนของดาวดวงที่เก้าของขอบเขตตำหนักอินทนิล เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้แล้ว เขาจะสามารถเปิดเส้นทางของอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าและก้าวไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับฉินซีในตอนนี้ สิ่งที่ต้องการคือการก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลจากขอบเขตก่อกำเนิดเสียก่อน สำหรับผู้บ่มเพาะปราณภายใน การก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลคือการวางรากฐานของมหาเต๋า
ในขณะที่การขัดเกลาร่างกาย การก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลหมายถึงการวางรากฐานสำหรับการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ทั้งสองต่างก็มีข้อดีของตัวเอง แต่ปลายทางของทั้งคู่จะนำไปสู่มหาเต๋าด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
เฉินซีนั่งสงบนิ่งเช่นนี้ เกิดการเปลี่ยนทั้งภายนอกและภายใน ยามเมื่อทั้งสองประสานรวมกัน เขาก็ไม่อาจรับรู้ถึงกาลเวลาที่ได้ล่วงเลยไป
หนึ่งเดือนได้ผ่านไปเยี่ยงนี้
การบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนทำให้ร่ายกายของเฉินซีแข็งแกร่งและว่องไวยิ่งขึ้น เส้นเอ็นของเขาเป็นดั่งหยก เลือดเนื้อถูกกลั่นกลายเป็นหมอกใสที่มีไอเย็นไหลเวียนอยู่ภายใน แต่ยังไม่สามารถทำให้อักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าชัดเจนและรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างลวดลายของกลุ่มดาว
ราวกับว่าเขาไม่สามารถเปิดหน้าต่างที่ไม่มีอยู่จริง
กระนั้นก็ไม่ได้วิตกกังวลใด ๆ เมื่อใดก็ตามที่บ่มเพาะจนถึงขั้นที่ทำให้อารมณ์เริ่มกระสับกระส่าย เขาจะหยุดหมุนเวียนการบ่มเพาะแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปรอบ ๆ ศิลาจารึกของสุสานกระบี่ และสำรวจศิลาจารึกที่สูงตระหง่าน
วัสดุของศิลาจารึกนี้ไม่ใช่ทองหรือเหล็ก ไม่ใช่หยกหรือไม้ พื้นผิวของมันเรียบดำสนิท และยังปล่อยพลังประหลาดที่สกัดกั้นการโหมกระหน่ำของพายุทรายโดยรอบ ทำให้มันดูลี้ลับยิ่งนัก
เฉินซีใช้ประโยชน์จากเวลาว่างเพื่อสังเกตอักขระขนาดใหญ่สองตัวที่วาดเขียนด้วยลายเส้นอันทรงพลัง แต่กลับอ่อนโยน ทุก ๆ ครั้งชายหนุ่มจะเหลือมองมันครู่หนึ่ง และค่อย ๆ เข้าใจบางสิ่ง
อักขระขนาดใหญ่สองตัวนี้มีแก่นแท้อันสูงสุดและน่าสะพรึงกลัวของเต๋าแห่งกระบี่ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวกลิ่นอายของเต๋าแห่งกระบี่ แต่ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และซุกซ่อนความลึกซึ้งเอาไว้ ทำให้วิสัยทัศน์ของเขากว้างขึ้น และความรู้สึกเคารพก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
วันนั้นเฉินซีพยายามที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของเต๋าแห่งกระบี่ เมื่อคลื่นสั่นสะเทือนกระทบความรู้สึก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะค่อย ๆ คว้าโอกาสที่จะก้าวข้ามไปสู่อีกขอบเขต และความรู้สึกนี้ก็ทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ
ฟู่!
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และไม่ลังเลที่จะนั่งสมาธิต่อไป เขาถือศิลาวิญญาณดาราไว้ในมือแต่ละข้าง จากนั้นก็หมุนเวียนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ!