บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1030 กำแพงลอยแห่งแสง
บทที่ 1030 กำแพงลอยแห่งแสง
บทที่ 1030 กำแพงลอยแห่งแสง
ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนมีปราณจ้าววิญญาณอมตะอันบริสุทธิ์ และศิลาล้ำค่าเหล่านี้เป็นสิ่งหายากมาก เมื่อภัยพิบัติแห่งเทพอสูรปะทุขึ้นก่อนยุคบรรพกาล และกระทบไปทั่วสามภพ หลังจากเผ่าเทพอสูรที่แท้จริงได้ล้มหายตายจากไปหมดสิ้น ศิลานี้ก็ยิ่งหายากกว่าเก่า
เหตุผลง่าย ๆ คือศิลาโลหิตเหล่านี้กลั่นมาจากเลือดของเทพอสูรที่แท้จริง!
เมื่อไร้ซึ่งเลือดจากเทพอสูร ก็ไร้ซึ่งศิลา
และเพราะความขาดแคลนศิลาโลหิตนี้ ทำให้เซียนบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาในภพเซียนจึงมีจำนวนไม่มาก ในหมู่เซียนนับพัน อาจจะไม่เจอเซียนที่มุ่งบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรเลยก็เป็นได้
เท่าที่เฉินซีรู้ นอกจากขัดเกลาร่างจนถึงที่สุดแล้ว ยังต้องใช้ศิลาโลหิตจำนวนมากในการขัดเกลากายาขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์
อีกทั้งการขึ้นสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นยังมีความเสี่ยงสูง หากทำไม่สำเร็จก็อาจทำให้แก่นโลหิตกลับตาลปัตร เกิดธาตุไฟเข้าแทรก นำไปสู่ความตายได้
ในประวัติศาสตร์ของสามภพ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้บ่มเพาะพลังจะขึ้นสู่ทักษะขัดเกลากายาขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ไม่สำเร็จและเกิดธาตุไฟเข้าแทรก
‘หากข้าอยากให้ทักษะขัดเกลากายาขึ้นขอบเขตเซียนสวรรค์ คงต้องหาศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนมาสักหน่อย หากเช่นนั้นจำนวนศิลาอมตะที่ต้องใช้คงจะเพิ่มขึ้นด้วย…’ เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขายังต้องปรับปรุงคุณภาพของยันต์ศัสตราพร้อมเตรียมขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางอีก… ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินทองจำนวนมาก
‘ข้าจะขายศิลากำเนิดวิญญาณครามที่ปล้นมาได้ในเมืองรัศมีเมฆา แล้วดูว่าจะได้วัตถุดิบเซียนกับศิลาอมตะมาเท่าไหร่ หากไม่พอ คงต้องเอาขุมทรัพย์อมตะพวกนี้ไปขาย…’ เฉินซีคิดหาทางแก้เสร็จสรรพ เพื่อให้ติดอันดับหนึ่งในพันของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าและเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างราบรื่น มีแต่ต้องทำเช่นนี้เพื่อให้สามารถพัฒนาพลังบ่มเพาะในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ได้
เมื่อเหาะไปเรื่อย ๆ ภาพทิวทัศน์ของภพเซียนก็ผ่านสายตา เหินผ่านขุนเขา ธารน้ำ และผืนป่านับไม่ถ้วน
ภพเซียนย่อมเป็นสวรรค์ที่ผู้บ่มเพาะพลังใฝ่หา ในสายตาของเฉินซี ทิวเขา ธารน้ำ และผืนป่าทั้งหลายที่เดินทางผ่านล้วนเต็มไปด้วยปราณเซียนและชีพจรเซียนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
ที่ใดมีชีพจรเซียนหนาแน่น ก็จะมีหมู่บ้าน มีแคว้น และมีชุมชนเล็ก ๆ เหมือนอย่างในภพมนุษย์ด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่าพลังบ่มเพาะต่ำที่สุดของชุมชนเหล่านี้ก็อยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาหรือมากกว่านั้นแล้ว!
พลังระดับนี้นับว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในภพมนุษย์ แต่ในภพเซียนกลับเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น เพราะที่นี่คือภพเซียนที่เต็มไปด้วยปราณเซียนไหลเวียนอยู่
หากให้หมูมาบ่มเพาะพลังที่นี่แล้วสูดปราณเซียนเข้าไปทั้งวันทั้งคืน มันก็คงมีสติปัญญาและกลายร่างเป็นปีศาจได้
เขาจึงเหินร่างต่อ สองวันต่อมาสายตาก็เปิดกว้าง เห็นเมืองโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นอยู่ที่ขอบฟ้า
เงาร่างนับไม่ถ้วน กระแสปราณมงคล และเส้นแสงสาดส่องขึ้นจากพื้น กลิ่นอายของผู้บ่มเพาะจำนวนมากพุ่งสูงเสียดฟ้า ทำให้ทั้งเมืองคล้ายกับเป็นสวรรค์แห่งเซียนในตำนานก็มิปาน
เมืองรัศมีเมฆา!
หนึ่งในแปดหมื่นหกพันเมืองแห่งทวีปสันติบูรพา แทนที่จะเรียกว่าเมือง ให้เรียกว่าแคว้นยังดีเสียกว่า เพราะแทบไม่ต่างจากแคว้นสือหรือแคว้นหวงเหลียงที่เฉินซีเคยไปเมื่อครั้งอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬเลย
เมื่อมองจากไกล ๆ ท้องฟ้าเหนือเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันหลากหลายของผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมาก ภายในมีเซียนมากมายอาศัยอยู่
ตอนนี้มีเซียนสวรรค์และเซียนลึกลับขี่อสูรเซียน ใช้ขุมทรัพย์อมตะ หรือขี่รถม้าเซียนกันขวักไขว่ในเมืองรัศมีเมฆาอันคึกคัก
นี่นะหรือเมืองในภพเซียน? เฉินซีอดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ ว่ากันตามตรงคือนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพของภพเซียนอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้ตกตะลึงได้แล้ว
ฟึบ!
เฉินซีเหินลงพื้น เหลือบมองรอบกายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าเมืองรัศมีเมฆา
…
เมืองรัศมีเมฆาเป็นเมืองโบราณอันกว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในนิกายใหญ่ที่สุดแห่งทวีปสันติบูรพา นิกายรัศมีเมฆา
ทันทีที่เข้าเมือง เสียงอึกทึกครึกโครมก็ตีเข้าหู ถนนสายเรียบแห่งหนึ่งกว้างราวเก้าสิบจั้ง เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีทั้งภัตตาคาร ร้านขายยา ศาลาขุมทรัพย์… คนจำนวนมากเดินขวักไขว่ ปราณเซียนไหลเวียนคล่อง เป็นภาพที่คึกคักยิ่ง
เมื่อเทียบกับภพมนุษย์แล้ว มันก็มีกลิ่นอายในแบบของมัน
ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะเดินไปตามถนนสายคึกคักที่เต็มไปด้วยผู้คนและรถม้าแห่งนี้ดีหรือไม่ เฉินซีสับสนมึนงง ภพเซียนสมกับเป็นภพเซียนเสียจริง เห็นเซียนเดินกันให้ควั่ก มีแต่ความรุ่งเรืองที่ไม่เหมือนอย่างในภพมนุษย์ให้เห็นเต็มไปหมด
แต่ไม่นานเฉินซีก็ตั้งสติได้ เทียบกับความคึกคักของเมืองรัศมีเมฆา เขาเองก็เคยเห็นความเป็นจริงและความโหดร้ายของภพเซียน เมื่อครั้งอยู่ในเหมืองวิญญาณครามมาแล้วเช่นกัน
นั่นทำให้เขามองภาพภพเซียนได้ด้วยใจสงบ และไม่คิดว่าภพเซียนเป็นเหมือนแดนสวรรค์ที่ไร้การต่อสู้ฆ่าฟันอีกต่อไป
จะให้พูดคือ ในเรื่องความเข้มงวดหรือลำดับชั้นทางสังคมรวมถึงความโหดร้ายและความเป็นจริงนั้น ในสามภพไม่มีที่ใดจะเทียบกับภพเซียนได้แล้ว
อย่างที่เขาว่า ที่ใดมีแสง ที่นั่นย่อมมีเงามืด
เบื้องหลังความงดงามคือโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย
“ทุกท่านโปรดรอก่อน ร้านของเราเพิ่งจะจับมังกรเพลิงเขาไฟจากพิภพเปลวเพลิงได้ เนื้อรสชาติดีมาก ส่วนเกล็ดก็สามารถนำไปกลั่นเป็นขุมทรัพย์อมตะ ราคาดีที่สุดที่ให้ได้คือศิลาอมตะแปดร้อยชิ้นต่อเนื้อสองจิน ต่อเกล็ดสองชิ้น! ให้ราคานี้แค่วันนี้เท่านั้น เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด!”
ด้านหน้าร้านอาหารที่ประดับประดาอย่างใหญ่โตคือ ผู้ดูแลขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่ง ในมือถือกระจกทองแดงแปดเหลี่ยมพร้อมตะโกนสุดเสียง แสงที่ส่องออกจากกระจกทองแดงเผยให้เห็นภาพของมังกรขนาดใหญ่ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง เขาแหลมเหมือนกระบี่ พลางส่งเสียงคำรามขึ้นฟ้า
“ท่านทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเนื้อมังกรจะเป็นของหายาก แต่เคยลิ้มลอง ‘หัวใจสีอำพัน’ ของคนต่างพิภพตระกูลครามหรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่ร้านของข้าใช้เงินทองซื้อมาจากเซียนทองคำที่เพิ่งกลับจากสมรภูมินอกพิภพ หลังจากผ่านฝีมือพ่อครัวของเรา คลุกเคล้าด้วยสามพันวัตถุดิบวิญญาณ ได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ นับเป็นรสชาติแห่งสวรรค์” ที่หน้าร้านอาหารอีกแห่งคือผู้ดูแลสตรีหน้าตางดงาม นางอยู่ในชุดผ้าโปร่งอย่างดีและถือกระดิ่งทองแดง สั่นเพียงนิดก็พาเสียงของนางกระจายสู่รอบข้างได้ ให้ความรู้สึกดึงดูดน่าสนใจ
“มาดูก่อน เข้ามาดูก่อน นายท่านเปาเป็นผู้ต้มเหล้าใบครามนี้เอง มีเพียงหนึ่งจินเท่านั้น จำนวนจำกัด! รอมาเนิ่นนานนับพันปีก็เพื่อวันนี้เท่านั้น หากพลาดไปย่อมไม่มีโอกาสให้เสียใจ!”
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! เร็วเข้า! เรือนชั้นยอดบนภูเขาเซียนหยกประกาย มาพร้อมกับดินเพาะปลูกเซียนสิบที่ สภาพแวดล้อมงดงามเงียบสงบ ชีพจรเซียนไม่เลว อีกทั้งยังอยู่ติดกับนิกายรัศมีเมฆา เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องเป็นกังวล นับเป็นสถานที่เพื่อบ่มเพาะพลัง ทำสมาธิ และฝึกฝนชั้นยอด”
เมื่อเดินไปตามถนนเมืองรัศมีเมฆาเรื่อย ๆ เขาก็เห็นสิ่งของหายากในภพมนุษย์ผ่านตาอยู่หลายครั้ง ได้ยินเรื่องราวที่มีเฉพาะบนภพเซียนเข้าหู
ทั้งแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ทั้งยังมีมากมายเต็มไปหมด ช่วยทำให้หูตาของเฉินซีกว้างไกลขึ้นมาก
“รีบเข้าๆ! ได้ยินว่าเซียนหรานจิงแห่งเมืองรัศมีเมฆาเราขึ้นสู่อันดับหนึ่งร้อยสามสิบแปดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแล้ว!”
“ว่าอย่างไรนะ? เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“เราไปดูกันเถอะ เซียนหรานจิงเป็นศิษย์ฝีมือดีของนิกายรัศมีเมฆา เขาไต่ถึงอันดับหนึ่งร้อยสามสิบแปดของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปสันติบูรพาหลังจากขึ้นขอบเขตเซียนลึกลับได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง!”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นตกใจดังมาไกล ๆ ทำให้ฝูงชนเริ่มส่งเสียงครึกโครม พากันเดินเข้าไปรวมในจุดเดียวกัน
เฉินซีนิ่งไป แล้วมองไปตรงนั้น เห็นผนังสูงเสียดฟ้าอยู่ไกล ๆ มันเป็นผนังที่สูงมากพร้อมกับปล่อยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมาจาง ๆ ทำให้ดูไม่ธรรมดา
หรือว่าจะเป็น ‘กำแพงลอยแห่งแสง?’
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินเข้าไปดู
ขณะเดียวกันนั้น พื้นที่หน้ากำแพงก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่เงยหน้ามองกำแพงด้านบนกันอย่างคับคั่ง
เฉินซีเคลื่อนไปข้างหน้าและเห็นคำว่า ‘เทียบอันดับเซียนทวีปสันติบูรพา’ เขียนด้วยอักษรโบราณสลักอยู่ด้านบนกำแพง เป็นลายเส้นหนักแน่นมั่นคงยิ่ง
ด้านข้างคือตราศาลเซียนทรงสี่เหลี่ยม เต็มไปด้วยแสงสีทองเข้ม เผยกลิ่นอายทรงอำนาจออกมาเต็มที่
เมื่อเห็นตราของศาลเซียนเช่นนี้ เฉินซีจึงรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นกำแพงลอยแห่งแสงแน่นอน
ภายในเมืองมากมายกว่าสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน ทุกเมืองจะมี ‘กำแพงลอยแห่งแสง’ อยู่ คอยบันทึกเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของแต่ละทวีปไว้
จากคำร่ำลือ กำแพงเหล่านี้สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์เมื่อครั้งบรรพกาล งดงามจนเหมือนสวรรค์สร้าง อีกทั้งยังสะท้อนกฎแห่งเต๋าสวรรค์แห่งภพเซียนออกมา ภายหลังศาลเซียนรับหน้าที่ควบคุมมันไป
ส่วนสร้างขึ้นมาได้อย่างไรนั้นไม่มีใครรู้
“อันดับที่ 1 หลินซิงหุน”
“อันดับที่ 2 อวี่เหวินฉง”
“…”
เฉินซีเงยหน้ามอง แต่มันกลับเต็มไปด้วยชื่อที่ไม่คุ้นเคย ตั้งแต่ต้นจนจบมีอยู่พันรายชื่อ
ถึงแม้เขาจะไม่รู้เจ้าของชื่อเหล่านี้ เฉินซีก็รู้ดีว่าผู้ที่สามารถอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้ย่อมเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นที่สุดพันคนแรกในเมืองแปดหมื่นหกพันแห่งของทวีปสันติบูรพาเป็นแน่
“ใช่แล้ว เซียนหรานจิงติดอันดับหนึ่งร้อยสามสิบแปดจริง” มีคนหนึ่งร้องเสียงตื่นเต้น
“ใช่ หากพัฒนาเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าเซียนหรานจิงอาจได้ขึ้นสู่เทียบอันดับเซียนหลักเป็นแน่!”
“นั่นก็พูดยาก การขึ้นเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้มันยากเกินไป ผู้ที่ติดอันดับทุกคนล้วนเป็นยอดอัจฉริยะจากทวีปใหญ่ ๆ ทั้งนั้น”
ฝูงชนพากันพูดคุยอย่างออกรส
เฉินซีรู้ว่าเพื่อทำให้เทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปกับเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าแตกต่างกัน ทุกคนจึงมักจะเรียกเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าว่าเทียบอันดับเซียนหลัก ส่วนอันดับที่เกี่ยวข้องกับภาคพื้นทวีปจะเรียกกันว่าเทียบอันดับเซียนรอง
เฉินซีไม่ได้สนใจหลินซิงหุน อวี่เหวินฉง และหรานจิงเลยสักนิด เพราะไม่รู้จักคนเหล่านี้ ไม่รู้ที่มาของพวกเขา จึงไม่อาจเกิดความรู้สึกชื่นชมหรือบูชาบุคคลเหล่านี้ได้เลย
ที่เขามาดูกำแพงลอยแห่งแสงก็เพราะอยากรู้จุดยืนของตนในปัจจุบัน จะได้เตรียมพร้อมขึ้นสู่เทียบอันดับเซียนหลักได้
ไม่นานเฉินซีก็ปลีกตัวออกมาด้านข้าง สูดลมหายใจเพื่อคุมความสงบ ก่อนจะค่อย ๆ แผ่ญาณมหาเทวะอมตะออกไปหากำแพงลอยแห่งแสง
วิ้ง!
กระแสพลังผันผวนปรากฏขึ้นทั่วร่าง จากนั้นภาพที่ดวงตาเห็นก็แปรเปลี่ยน ตัวอักษรโบราณสีทองแถวหนึ่งลอยอยู่ภายในจิตใจ เป็นอันดับทวีปสันติบูรพาของเขานั่นเอง!
—————————————