บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1035 หลีกเลี่ยงได้อย่างฉิวเฉียด
บทที่ 1035 หลีกเลี่ยงได้อย่างฉิวเฉียด
บทที่ 1035 หลีกเลี่ยงได้อย่างฉิวเฉียด
ชายชราผู้นี้มีนามว่าอวี๋เยียน และทุกคนเรียกเขาว่าปรมาจารย์อวี๋ เขาเป็นผู้ประเมินที่มีฝีมือที่สุดของ ศาลาเซียนคลื่นทองคำ ผู้ประเมินมากกว่าครึ่งของโถงแลกเปลี่ยนสมบัติ ล้วนเป็นศิษย์หรือเป็นศิษย์ของลูกศิษย์ของอวี๋เยียนอีกที ดังนั้นศักดิ์ฐานะของจึงสูงส่งมากกว่าผู้ใด
แต่หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว บุคคลดังกล่าวควรนั่งอยู่หลังฉากและเพลิดเพลินกับชีวิตอย่างสงบสุข แต่ปรมาจารย์อวี๋ยังคงมาที่โถงแลกเปลี่ยนสมบัติแต่เช้าตรู่ทุกวัน และปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติเป็นเวลากว่าห้าร้อยปีโดยที่ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
บางทีการยืนหยัดอยู่ไม่กี่ปีอาจเป็นเรื่องง่าย แต่การยืนหยัดอยู่ทุกวันตลอดห้าร้อยปีย่อมเพียงพอที่จะกระตุ้นความชื่นชมในใจของทุกคน
แม้แต่สิ่งธรรมดาก็กลายเป็นสิ่งที่พิเศษได้
หากใครสามารถฝังตัวเองลงไปในงานใด ๆ และยืนหยัดจนถึงจุดที่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นับว่าควรค่าแก่ความภาคภูมิใจและความเคารพ
เฉินซีไม่รู้ที่มาเกี่ยวกับปรมาจารย์อวี๋เยียน แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันเงียบสงบจากปรมาจารย์อวี๋ผู้นี้ มันเป็นสิ่งที่ผ่านการขัดเกลามาหลายปี จนทำให้คนคนหนึ่งสงบกลิ่นอายได้ เฉินซีจึงอุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ
ศาลาเซียนคลื่นทองคำไม่ธรรมดาจริง ๆ!
เพียงแค่ชายชราคนนี้ก็เพียงพอที่จะกลายเป็น ‘คนพิเศษ’ ของศาลาแล้ว
“ผู้อาวุโส นี่คือวัตถุดิบเซียนที่ข้าต้องการแลกเปลี่ยน โปรดตรวจสอบดู” เฉินซีดึงหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมา มันอาบไล้ด้วยแสงสีฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์ เขาส่งมันด้วยมือทั้งสองข้าง โดยที่ไม่กล้าไม่แสดงความเคารพเลยแม้แต่น้อย
“โอ้?” ปรมาจารย์อวี๋ ไม่คาดคิดมาก่อน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมาแลกเปลี่ยนวัตถุดิบเซียนระดับสูง จึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แต่เมื่อจ้องมองไปที่หยกชิ้นนี้ ดวงตาสงบนิ่งของเขาพลันเปล่งประกายแวววาวอันงดงามและไม่ธรรมดา
ชายชรายื่นมือออกไปรับมันและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้าก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสงบนิ่งดุจผิวน้ำเป็นตื่นเต้นจนดวงตาเต็มไปด้วยประกายอันลึกล้ำ ราวกับคนรักศิลปะที่กำลังชมภาพวาดที่ไม่มีใครเทียบได้ และเขาก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานานมาก
ผู้ประเมินใกล้เคียงต่างมีสีหน้าสงสัย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนคนที่มายังศาลาเซียนคลื่นทองคำเพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุดิบเซียนระดับสูงสุดนั่นหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะได้เห็นปรมาจารย์อวี๋กำลังประเมินสมบัติเช่นนี้
วัตถุดิบเซียนถูกแบ่งเป็นห้าระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับสูงสุด และระดับราชา สอดคล้องกับระดับของสมบัติอมตะที่เป็นระดับสามัญ ระดับวิญญาณทมิฬ ระดับจักรวาล ระดับวีรบุรุษ และระดับว่างเปล่า
วัตถุดิบเซียนระดับสูงสุดเป็นของหายากและเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการขัดเกลาสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ ภายในภพเซียนก็ยังหาได้ยาก วัตถุดิบเซียนเหล่านี้เป็นดั่งวาสนาจากฟากฟ้า ดังนั้นไม่ว่าใครได้มันมา พวกเขาจะไม่ยอมขายมันทิ้งไปอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าไม่มีทางเลือกอื่น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นปรมาจารย์อวี๋เผยท่าทางเช่นนี้ ผู้ประเมินทุกคนต่างก็สงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำ ประกอบกับรูปร่างหน้าตาธรรมดาและสงบเสงี่ยม จะสร้างความประหลาดใจให้กับปรมาจารย์อวี๋ได้ขนาดนี้
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาของทุกคนในห้องโถงก็จับจ้องไปที่ปรมาจารย์อวี๋และเฉินซี โดยที่ความรู้สึกของพวกเขาก็แตกต่างกันไป บ้างก็อยากรู้อยากเห็น บ้างก็ประหลาดใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย
“ท่านซุนหง ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว” บนที่นั่งสำหรับแขก ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ลองสังเกตอีกสักพัก” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาขมวดคิ้ว เขาก็ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีวัตถุดิบเซียนระดับสูงสุดอยู่ในครอบครอง และไม่ใช่วัตถุดิบเซียนระดับกลางอย่างศิลากำเนิดวิญญาณครามที่คาดไว้
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของเขาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ยอมแพ้และตัดสินใจที่จะสังเกตการณ์อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการต่อไป
“ช่างหายากยิ่งนัก! เป็นเรื่องยากอย่างแท้จริงที่หยกเทวะวิญญาณครามจะมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าไม่ได้เจอมันมานานมากแล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน ปรมาจารย์อวี๋ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“อะไรกัน!? หยกเทวะวิญญาณคราม นั่นมันหนึ่งในห้าขุมทรัพย์อมตะมิใช่หรือ?”
ผู้ประเมินคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเผยให้เห็นถึงความตกใจจากแววตาของทุกคน ในฐานะผู้ประเมิน พวกเขาทราบชัดเจนถึงความแตกต่างในแง่คุณภาพของวัตถุดิบเซียนระดับสูง ในขณะที่หยกเทวะวิญญาณคราม น้ำพุเซียนหนวดมังกร วิญญาณมงคลสีเงิน น้ำค้างแสงจันทร์ และไม้อำไพวิญญาณเที่ยงแท้ เป็นสมบัติล้ำค่าห้าชนิดที่หายากที่สุด และมักกล่าวกันว่า สมบัติทั้งหมดในโลกนี้สามารถหาได้ง่าย ยกเว้นสมบัติล้ำค่าทั้งห้า
หยกเทวะวิญญาณครามนั้นหายากอย่างยิ่ง แต่ก็ยังได้รับการประเมินว่ามีคุณภาพอันยอดเยี่ยมโดยปรมาจารย์อวี๋ ดังนั้นมูลค่าของมันจึงสูงล้ำเหนือกว่าวัตถุดิบเซียนระดับสูงอื่น ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อนี้ แม้แต่ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาและคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึง
“หยกเทวะวิญญาณคราม! นั่นเป็นหนึ่งในวัตถุดิบเซียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการขัดเกลาสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษไม่ใช่หรือ? ส่วนที่มีค่าที่สุดคือแกนกลางของมัน สามารถควบแน่นวิญญาณได้ และเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถรักษาดวงวิญญาณที่บาดเจ็บสาหัสได้อย่างสมบูรณ์!
ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ใช่เพื่อขจัดความสงสัยของกลุ่มชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา เขาจะไม่นำเอาหยกเทวะวิญญาณครามชิ้นนี้ออกมาอย่างแน่นอน ครั้งนี้ชายหนุ่มมาที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำ เพียงเพื่อขายศิลากำเนิดวิญญาณครามบางส่วนเท่านั้น และไม่คิดที่จะขายหยกเทวะวิญญาณครามเลยสักนิด
แม้ว่าหยกเทวะวิญญาณครามตรงหน้า จะเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ตัดออกจากหยกชิ้นใหญ่ที่ตนครอบครอง แต่ก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยากแก่การครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบเซียนที่สามารถสกัดเป็นยันต์เทวะได้ ดังนั้นเขาจะมีใจขายมันออกไปได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
“สมบัตินี้มีค่ามาก คุณชายโปรดตามข้าไปที่ห้องส่วนตัว เพื่อสนทนาเรื่องนี้กันต่อ” ปรมาจารย์อวี๋ยืนขึ้นและเชื้อเชิญเฉินซี
“ตกลง” คำเชิญนี้สอดคล้องกับความตั้งใจของเฉินซีอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงเดินตามหลังปรมาจารย์อวี๋เข้าไปทันที
“ท่านซุนหง เราจะทำอย่างไรดี” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองตกตะลึง พวกเขาลังเลเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ซุนหง ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่ลำบากจริง ๆ ตอนนี้เราจะรออยู่ข้างนอกก่อน และค่อยเคลื่อนไหวหลังจากเด็กคนนั้นออกจากศาลาเซียนคลื่นทองคำ”
สองหนุ่มมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า
“เอ๊ะ นั่นมันซุนหง ผู้บัญชาการของตำหนักราชันเซียนไม่ใช่หรือ?” ในขณะเดียกัน ปรากฏร่างสองร่างเดินเข้ามาในห้องโถงจากด้านนอก ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างาม สวมชุดคลุมสีม่วงทอง ผมม้วนเป็นมวยและมีหนวดเคราสามเส้นห้อยอยู่ใต้คาง เขาผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นชายในชุดคลุมสีเทา จากนั้นก้าวเข้าไปหาขณะหัวเราะเสียงดัง
“สหายเต๋าจื่อฉุน?” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเจอคนผู้นี้ที่นี่ ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าจื่อฉุน ผู้อาวุโสอันดับสามของนิกายรัศมีเมฆา มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับระดับสูง ซ้ำยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงของเมืองรัศมีเมฆาด้วย
แต่ความสัมพันธ์ของซุนหงกับจื่อฉุนไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจึงสนทนากันสั้น ๆ “สหายเต๋าจื่อฉุน เจ้ามาที่โถงแลกเปลี่ยนสมบัติเพื่อขายสมบัติหรือ?”
จางจื่อฉุนส่ายศีรษะและมองไปที่ซุนหง ในขณะที่สายตาก็ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “เป้าหมายของข้าก็เป็นเช่นเดียวกันกับผู้บัญชาการซุนหง”
“โอ้” ซุนหงจ้องมองอย่างลึกซึ้ง “เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจับตัวเจ้าเด็กนั่นด้วยหรือ?”
จางจื่อฉุนพยักหน้า และชี้ไปที่ชายหนุ่มข้าง ๆ “ถูกต้อง ศิษย์ไร้ประโยชน์ของข้าผู้นี้พ่ายแพ้ในภัตตาคารเมื่อวานนี้ พลังฝีมือของคู่ต่อสู้นั้นไม่ธรรมดา ทั้งที่อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น ข้าได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว และคิดว่าบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ หากไม่ใช่คนของเมืองรัศมีเมฆา ก็ต้องเป็นเด็กคนนั่น เฉินซี อาชญากรที่ตำหนักราชันเซียนกำลังต้องการตัว”
ชายหนุ่มที่จางจื่อฉุนชี้มีผมสีน้ำตาล รูปร่างสูงและผอม เขาคือจ้าวเฉิง ศิษย์จากนิกายรัศมีเมฆา ผู้มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในเจ็ดผู้เยี่ยมยุทธ์ของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปสันติบูรพา
ซุนหงชำเลืองมองจ้าวเฉิงด้วยความประหลาดใจ และกล่าวโดยสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ด้วยเหตุนี้ สหายเต๋าจื่อฉุนก็คงหมายหัวเป้าหมายของเจ้าแล้วกระมัง?”
“ฮ่า ฮ่า ผู้บัญชาการซุนหง เจ้าคงไม่ได้สังเกตมานานแล้วกระมัง” จางจื่อฉุนยิ้ม ในขณะที่ก่นด่าสาปแช่งในใจแทน “เจ้าจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ ตอนนี้เจ้ายังเสแสร้งอยู่อีกหรือ?”
“ดูเหมือนว่าเด็กคนเมื่อครู่จะเป็นเฉินซี!”
ซุนหงคิดอยู่ในใจ ก่อนกล่าว “ข้าไม่อาจสามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเด็กคนนั้นได้รับเชิญให้เข้าไปในห้องส่วนตัวของศาลาเซียนคลื่นทองคำแล้ว และข้าก็ไม่อาจเข้าไปตรวจสอบที่นั่นได้”
“เขาถูกเชิญเข้าไปในห้องส่วนตัว?” จางจื่อฉุนเลิกคิ้ว “หรือว่าจะมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น?”
ซุนหงยักไหล่และกล่าวว่า “เหตุผลนั้นธรรมดามาก เด็กคนนั้นขายเศษเสี้ยวของหยกเทวะวิญญาณคราม”
“หยกเทวะวิญญาณคราม!”
แม้แต่จางจื่อฉุนก็ไม่สามารถปกปิดความตื่นตระหนกของตนได้ เขาจ้องมองความว่างเปล่าเป็นเวลานาน “นั่นเป็นสมบัติล้ำค่ามิใช่หรือ!? ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยจริง ๆ!”
ซุนหงยิ้มขณะมองจางจื่อฉุนอย่างลึกซึ้ง “หากสหายเต๋าจื่อฉุนมีความปรารถนา เจ้าอาจได้หยกเทวะวิญญาณครามจากเด็กคนนั้น หลังจากที่เขาออกจากศาลาเซียนคลื่นทองคำ จากการสังเกตของข้า หยกเทวะวิญญาณครามมีมุมที่ผิดปกติอย่างชัดเจน มุมของมันเรียบเนียนเหมือนผิวกระจก เห็นได้ชัดว่าเป็นชิ้นส่วนที่ถูกตัดแบ่งออกมา”
จางจื่อฉุนตกตะลึง ในขณะที่ความโลภลุกโชนอยู่ในส่วนลึกของดวงตา เขาหัวเราะออกมา โดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ฮ่า ฮ่า! ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว”
ซุนหงยิ้มก่อนจะป้องมือให้แล้วกล่าวอำลา ก่อนหันหลังกลับไปพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสอง
“ท่านอาจารย์ เหตุใดคนของตำหนักราชันเซียนจึงจากไป” จ้าวเฉิงที่อยู่ใกล้ ๆ ถามเสียงแผ่วเบา
สีหน้าของจางจื่อฉุนฟื้นคืนความสงบแล้ว และแค่นเสียงคำรามเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “จากไปหรือ? ซุนหงเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดภายใต้คำสั่งของราชันเซียนลิ่นฮ่าว มันมีจมูกที่เฉียบแหลม ตราบใดที่มันหมายหัวเป้าหมายที่หมายตาไว้แล้ว จะไม่วางมือเป็นอันขาด”
จ้าวเฉิงรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอาจารย์ของตนจะเรียกซุนหงว่าสุนัข
“ไปเถอะ เราควรไปเช่นกัน ซุนหงต้องการให้ข้าสู้กับเจ้าเด็กนั่น เพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลในภายหลัง ฮึ่ม! จะมีสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ ในโลกนี้ได้เยี่ยงไร!” จางจื่อฉุนส่ายศีรษะก่อนเดินจากไป
“ท่านอาจารย์ หรือเราจะปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนี้” จ้าวเฉิงรีบเดินตามหลังและถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจเล็กน้อย
“ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน เมืองรัศมีเมฆาเป็นอาณาเขตของนิกายรัศมีเมฆา เราหมายหัวเป้าหมายไว้แล้ว จะปล่อยให้คนอื่นแย่งเป้าหมายไปได้อย่างไร? เมื่อเจ้าเด็กนั่นปรากฏตัวขึ้น ข้ามีวิธีจัดการกับเขาอยู่แล้ว” จางจื่อฉุนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ขณะก้าวยาว ๆ ออกไป
จ้าวเฉิงลอบถอนหายใจ “ไม่ใช่เพราะกลัวศาลาเซียนคลื่นทองคำหรอกหรือ? หากเป็นหอการค้าอื่นจะต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้หรือไม่?”
แน่นอนว่าจ้าวเฉิงทราบดีว่า พลังและอิทธิพลของศาลาเซียนคลื่นทองคำนั้นแผ่กระจายไปทั่วภพเซียน ทำให้ทั้งคนของตำหนักราชันเซียนหรือสมาชิกระดับสูงของนิกายรัศมีเมฆาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยไปชั่วคราว และไม่กล้าสร้างปัญหา แม้จะรู้แน่ชัดว่าเป้าหมายของพวกตนอยู่ที่นี่
ในขณะเดียวกัน เฉินซีกำลังนั่งอยู่ในห้องอันเงียบสงบและหรูหรา เขากำลังหารือเกี่ยวกับราคาของหยกเทวะวิญญาณครามกับปรมาจารย์อวี๋ ซึ่งชายหนุ่มได้บังเอิญหลีกหนีการไล่ล่าของสองกองกำลังได้อย่างปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว
—————————————