บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1039 เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก
บทที่ 1039 เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก
บทที่ 1039 เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าขอลองดูก่อน”
หากเขาได้รับความช่วยเหลือจากสำนักจตุรเทพ ผ่านการซ่อมแซมโครงสร้างอักขระยันต์และผังอักขระยันต์บนยันต์โบราณที่เสียหาย ย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
เสวียนอวิ๋นมอบยันต์โบราณในมือให้เฉินซีทันที “สมบัตินี้ได้รับมาจากศิษย์ของสำนักจตุรเทพ ในขณะที่เดินทางผ่านซากปรักหักพังของสมรภูมิของทวยเทพ อายุไม่ต่ำกว่าหมื่นปี น่าเสียดายที่ข้าและปรมาจารย์คนอื่น ๆ ศึกษามันมาหลายร้อยปี แต่ก็ไม่สามารถซ่อมแซมมันได้” เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเสียใจ
อู๋หยวนและปรมาจารย์อวี๋ตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาทราบว่า สำนักจตุรเทพแห่งทวีปทักษิณาเป็นสรวงสวรรค์ที่มีชื่อเสียงของเต๋าแห่งยันต์อักขระในภพเซียน
แม้ในแง่ของกองกำลังและมรดกตกทอดจะยังด้อยกว่าเจ็ดสถาบันที่ยิ่งใหญ่ในสี่ทวีปมหาเซียน ถึงอย่างนั้นในบรรดาสี่พันเก้าร้อยทวีปในภพเซียน มันยังคงเป็นสรวงสวรรค์ชั้นหนึ่งของการบ่มเพาะ
ความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระของปรมาจารย์ทุกคนในสำนัก ได้มาถึงระดับปรมาจารย์สูงสุดแล้ว!
สำหรับเสวียนอวิ๋นก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง แต่เพียงตัวตนในฐานะปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่เซียนทองคำยังไม่กล้าดูหมิ่น
อาจารย์คนอื่น ๆ ที่เขากล่าวถึงนั้นเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่เก่งกาจเช่นกัน แต่คนกลุ่มนั้นกลับติดอยู่กับความพยายามในการซ่อมแซมยันต์โบราณที่เสียหายเป็นเวลาหลายร้อยปี ดังนั้นมันจึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้นกำเนิดของยันต์แผ่นนี้น่าตกตะลึงเพียงใด
แน่นอน ไม่ว่าต้นกำเนิดของมันจะน่าเกรงขามเพียงใด หากไม่ซ่อมแซมมันก็เป็นเพียงขยะไร้ค่า ดังนั้นจึงไม่อาจประเมินมูลค่าของมันได้
เฉินซีไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้มากนัก และเขาเพิ่งได้รับแผ่นยันต์ในมือ ก่อนที่จะเริ่มศึกษามันอย่างละเอียด
ยันต์โบราณนี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและมีสีดำสนิท ขนาดประมาณฝ่ามือของทารก ไม่ค่อยโดนเด่นมากนัก แต่กลับรู้สึกหนักอึ้งเมื่ออยู่ในมือและเย็นเยียบราวกับโลหะ แถมยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณเก่าแก่
อักขระยันต์ที่ซับซ้อนและลึกล้ำปรากฏบนพื้นผิวของมัน ดูเหมือนจะถูกจารึกไว้ด้วยปลายใบมีด อักขระยันต์นั้นหยาบ ฝังแน่น เผยให้เห็นกลิ่นอายอันหนักแน่นและทรงพลัง
น่าเสียดายที่โครงสร้างอักขระยันต์และผังยันต์อักขระได้รับความเสียหายอย่างมาก เหมือนกับเศษกระเบื้องที่ถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากดูเพียงอักขระยันต์ที่ปรากฏ ก็ไม่อาจระบุได้ว่ามันเป็นอักขระยันต์ประเภทใด
เฉินซีพินิจพิเคราะห์อยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นเงื่อนงำใด ๆ ได้
แต่สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก เพราะตั้งแต่เดินทางผ่านพิภพยันต์อักขระและขึ้นไปบนเจดีย์ต้าเหยี่ยน เฉินซีก็ยังไม่เคยเจอยันต์อักขระที่ไม่อาจเข้าใจ แต่ก็บังเอิญมากที่โครงสร้างยันต์อักขระบนแผ่นยันต์โบราณที่เสียหายนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถ้าอู๋ซวินเป็นพวกคลั่งไคล้ยันต์อักขระ เฉินซีเองก็ไม่ต่างกัน ความพากเพียรและความหลงใหลในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาตราตรึงเข้าไปถึงกระดูกดำ
เมื่อเห็นแผ่นยันต์โบราณที่ชำรุดแผ่นดังกล่าว จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
‘ให้ข้าดูหน่อย ว่ามีความลึกล้ำเยี่ยงไรซ่อนอยู่ในสิ่งนี้ เหตุใดมันถึงคลุมเครือและยากที่จะเข้าใจเยี่ยงนี้… ’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ
ขณะกำลังจะถ่ายเทปราณเซียนพิสุทธิ์ลงไปในแผ่นยันต์โบราณเพื่อตรวจสอบมัน เขากลับได้ยินเสวียนอวิ๋นกล่าวว่า
“สมบัติชิ้นนี้กันไฟและน้ำ อาวุธต่าง ๆ ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้แม้แต่น้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้ใช้วิธีการต่าง ๆ นานา แต่มันก็ไร้ผล”
เมื่อเขากล่าวถึงแผ่นยันต์โบราณที่เสียหายนี้ ใบหน้าไร้อารมณ์และผอมแห้งของเสวียนอวิ๋นเผยให้เห็นถึงสีของอารมณ์ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้” เฉินซีกล่าวขณะขจัดความคิดในใจออกไป และได้ข้อสรุป “ดูเหมือนว่าวิธีการทั่วไปจะไม่มีผลกับสมบัติชิ้นนี้ มิฉะนั้น คนอื่นก็คงเข้าใจไปนานแล้วไม่ต้องถึงมือข้าด้วยซ้ำ”
“เป็นอย่างไรบ้าง? คุณชายพอจะได้อะไรบ้างไหม?” ปรมาจารย์อวี๋ไม่สามารถหยุดถามได้
เฉินซีส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้ายังไม่เจอเงื่อนงำใด ๆ เลย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อู๋หยวนกับปรมาจารย์อวี๋ต่างชำเลืองมองหน้ากันและกัน ในขณะที่เสวียนอวิ๋นเผยให้เห็นความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบา ๆ
“ใช่แล้ว แม้ว่าความสำเร็จและพรสวรรค์ในเต๋าแห่งยันต์อักขระจะน่าทึ่ง แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป แม้แต่สหายเก่าของข้าและตัวข้าเองก็ไม่สามารถมองทะลุสมบัติชิ้นนี้ได้ ดังนั้นเขาจะมองทะลุผ่านมันภายในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาได้อย่างไร”
“แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะศึกษามันอย่างละเอียดดูสักครั้ง บางทีข้าอาจจะสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างได้” เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนจะกล่าว
เสวียนอวิ๋นรู้สึกท้อแท้เล็กน้อยและโบกมือขณะที่เขากล่าวว่า “เชิญเลย ไม่เป็นไรแม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ก็ตาม”
“ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น นี่หมายความว่าท่านไม่สามารถช่วยคุณชายเฉินซีได้หรอกหรือ?” อู๋ซวินรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เสวียนอวิ๋นตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่น “หากอยู่คนเดียว ข้าไม่มีทางกลัวการคุกคามจากตำหนักราชันเซียน แต่ถ้าต้องพาคุณชายเฉินซีไปด้วย มันก็ยากที่จะกล่าว”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ คิ้วของคนอื่น ๆ ก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเก่า เพราะนี่เป็นเรื่องลำบากจริง ๆ
“คุณชายเฉินซี เจ้ามั่นใจว่าจะซ่อมมันได้หรือไม่?” อู๋ซวินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยและถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อย่าสร้างปัญหา! คุณชายเฉินซีจะรู้ได้อย่างไร หากเขายังไม่ได้ลองพยายามดูสักครั้ง?” อู๋หยวน จ้องมองที่บุตรชายของตน และรู้สึกว่าบุตรชายกำลังแส่หาเรื่อง
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง และตอนนี้อยู่ที่ประมาณห้าส่วนแล้ว”
ทุกผู้ผงะทันที เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะมั่นใจในการซ่อมแซมแผ่นยันต์โบราณที่เสียหายนี้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสวียนอวิ๋นก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้าจะจากไปในอีกสามวันนับจากนี้ ข้าจะรอข่าวดีจากท่าน”
น้ำเสียงแสดงถึงกำลังใจที่ถดถอย และทัศนคติของเขาก็เต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย ชายชราคิดว่าเฉินซีกล่าวเช่นนี้ เพราะต้องการเป็นเลิศเหนือผู้อื่น และเข้าใจเป็นอย่างดี คนหนุ่มสาวผู้ใดบ้างที่ไม่คิดเช่นนั้น?
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนและออกจากห้องโถงไป
อู๋หยวนก้าวไปข้างหน้าและให้กำลังใจเฉินซี “คุณชายเฉินซี ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ แม้ท่านจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น แต่ท่านก็ยังมีข้า”
เฉินซียิ้มและพยักหน้า เป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว
หลังจากนั้น อู๋หยวนก็สั่งให้อู๋ซวินพาเฉินซีไปพักในห้องที่สะอาดและหรูหราห้องหนึ่ง ก่อนจะปลีกตัวออกไป
…
เมื่ออยู่ตามลำพัง เฉินซีไม่รอช้า เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้ววางยันต์โบราณไว้ตรงหน้า
โอม!
อึดใจต่อมา ดวงตาในแนวตั้งที่กลางหว่างคิ้วก็เปิดออก ดวงตาสีดำสนิท เย็นยะเยือก และลึกล้ำราวกับกำลังเกิดวัฏจักรแห่งจักรวาลอันน่าพิศวงอยู่ภายใน
เนตรเทวะแห่งความจริง!
พลังอิทธิฤทธิ์นี้ได้รับการกล่าวขานว่าสามารถมองทะลุผ่านความเป็นจริงและแก่นแท้ของทุกสิ่งในโลกได้ มันเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน และได้รับการจัดให้อยู่ในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำของทั้งสามภพ
ความมั่นใจห้าส่วนที่เฉินซีกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ก็มาจากความมั่นใจที่มีต่อเนตรเทวะแห่งความจริง น่าเสียดาย ไม่ใช่แค่เสวียนอวิ๋น แม้แต่อู๋หยวนและคนอื่น ๆ ก็ไม่เชื่อมั่นในความมั่นใจของเขาสักเท่าใด และเฉินซีก็ไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกสิ่งอย่างขึ้นก็อยู่กับการซ่อมแซมยันต์โบราณที่เสียหายนี้ อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงนั้นน่าเชื่อถือมากกว่าคำพูดเลื่อนลอยเสมอ
เนตรเทวะแห่งความจริงฉายแสงสีดำสนิทปกคลุมแผ่นยันต์โบราณไว้ทั้งหมด เพียงชั่วอึดใจ ฉากที่น่าสนใจพลันปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของเฉินซี
สิ่งนี้ทำให้วิญญาณของเขาเบิกบานขึ้นทันที “มันได้ผล!”
ทว่าเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ตอนนี้ความคิดถูกปกคลุมด้วยฉากอันกว้างใหญ่และน่าอัศจรรย์ ราวกับกำลังเดินทางมายังโลกยุคบรรพกาล
อักขระยันต์คลุมเครือจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นดั่งดวงดาวพร่างพรายบนผืนฟ้า ส่องกะพริบอยู่ทุกหนแห่ง บางครั้งพวกมันก็กลายเป็นสายฝนโปรยปราย บางครั้งก็ลอยขึ้นเหมือนม่านหมอก บางครั้งเปล่งประกายแวววาวสะดุดตา บางครั้งก็ดังก้องด้วยเสียงแผ่วเบามิรู้ที่มา…
อักขระยันต์กำลังพัฒนาต่อหน้าเขา เป็นอักขระยันต์โบราณที่คงอยู่มาเนิ่นนานตั้งแต่อดีตกาล แต่เฉินซีกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย
“ดูเหมือน… ข้าเคยเห็นพวกมันที่ไหนสักแห่ง?”
เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างขมขื่น อักขระก่อตัวขึ้นจากฟ้าดิน ต้นไม้ทุกต้น ก้อนหินทุกก้อน และสิ่งอื่น ๆ ต่างมีอักขระและกระแสพลัง
ต่อมา สิ่งมีชีวิตบนโลกได้เข้าใจร่องรอยของ ‘เต๋า’ จากอักขระเหล่านี้ จึงเกิดเป็นคำและสัญลักษณ์ที่นำสติปัญญาและเคล็ดวิชาอันลึกล้ำมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลก
คำและสัญลักษณ์เหล่านี้รวมถึงคำจารึกและสัญลักษณ์ประเภทต่าง ๆ ที่แสดงถึงทุกสิ่งในโลก ทั้งหมดล้วนก่อให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมที่หลากหลายเช่น อารยธรรมของเทพอสูร อารยธรรมของสัตว์ประหลาด อารยธรรมของดวงวิญญาณ อารยธรรมของสัตว์ร้าย และอารยธรรมของวิญญาณใต้พิภพ…
สรุปได้ว่าการก่อตัวของคำและสัญลักษณ์ ได้แสดงถึงการกำเนิดและความต่อเนื่องของอารยธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามร่องรอยของ ‘เต๋า’
ร่องรอยเหล่านี้ล้วนมาจากยันต์อักขระ
ในบรรดามหาเต๋าทั้งสามพัน เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นธรรมดาที่สุด แต่ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนในทั้งสามภพว่าเป็นมหาเต๋าที่ยากและคลุมเครือที่สุด ข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้เป็นการคำพูดส่งเดช แต่เป็นข้อสรุปที่เกิดจากการทดสอบและผ่านการตรวจสอบโดยบรรพบุรุษตลอดระยะเวลานานจนไม่อาจนับได้
ทันใดนั้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็ผุดขึ้นในใจของเฉินซี “งานเขียนเทพอสูร!”
สายตาที่มองไปยังอักขระยันต์ที่ปกคลุมท้องนภาพลันเปลี่ยนไป ราวกับกำลังมองดูร่องรอยของเต๋าที่ตราด้วยอารยธรรมของเทพอสูร ล่องลอยและวิวัฒนาการอยู่ในฟ้าดิน
‘ปรากฏว่าอักขระยันต์เหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของงานเขียนเทพอสูร พวกมันก่อตัวเป็นรากฐานของตัวมันเอง ในทำนองเดียวกัน มันเป็นร่องรอยดั้งเดิมที่สุดของเต๋าที่เทพอสูรเข้าใจ หลังจากถือกำเนิดขึ้นบน… ’
ดวงตาของเฉินซีสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนพวกมันจะส่องประกายแวววาวด้วยแสงของภูมิปัญญาอันลึกล้ำ
โอม!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด อักขระยันต์โบราณที่ปกคลุมท้องฟ้าก็หยุดขยับโดยฉับพลัน ก่อนจะกลายเป็นกระแสน้ำจากภูเขา พลุ่งพล่านซัดสาดไปทางเฉินซี
เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งทื่อและมึนงงเล็กน้อย ฉากที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ คล้ายได้ย้อนเวลากลับไปในยุคบรรพกาล เมื่อเทพอสูรขึ้นปกครองสูงสุด ประสบการณ์แปลกใหม่นี้ ทำให้เขาไม่อาจสงบจิตใจได้ไปสักระยะหนึ่ง
“เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก… นึกไม่ถึงว่าแผ่นยันต์โบราณที่เสียหายนี้ จะมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่สืบทอดมาจากเทพอสูรปิดผนึกอยู่ภายใน หากข้าไม่มีเนตรเทวะแห่งความจริง คงไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้ได้…” หลังจากนั้นไม่นาน จิตใจของเฉินซีก็ฟื้นคืนความกระจ่าง เคล็ดวิชาบ่มเพาะโบราณอันเลือนรางได้ประทับอยู่ภายในจิตใจ และไม่สามารถลบมันออกไปได้
ในทางกลับกัน แผ่นยันต์โบราณที่เสียหายในมือของเขา ได้เปลี่ยนจากรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ยิ่งกว่านั้น มันยังสลัดรูปลักษณ์ภายนอกสีดำสนิทและไหม้เกรียมออก เผยให้เห็นเนื้อสีขาวหยกและโปร่งแสงอันงดงามไร้ที่ติ