บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1040 สุดยอดเคล็ดวิชาขัดเกลากายา
บทที่ 1040 สุดยอดเคล็ดวิชาขัดเกลากายา
บทที่ 1040 สุดยอดเคล็ดวิชาขัดเกลากายา
เฉินซีไม่ได้รีบร้อนที่จะทำความเข้าใจเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกอันลึกลับ แต่หันไปสนใจยันต์อักขระโบราณที่เสียหายในมือของเขาแทน
รูปร่างกลมเกลี้ยงไร้ที่ติ สีขาวหิมะราวกับหยกเนื้อดี และอักขระยันต์สีทองคืบคลานไปทั่วพื้นผิวของมัน กลิ่นอายโบราณอันกว้างใหญ่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเฉินซี
ยามนี้ยันต์อักขระโบราณที่เสียหาย ดูแตกต่างจากก่อนหน้าเดิมอย่างสิ้นเชิง
เฉินซีหยิบมันขึ้นมาและตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น กล่าวตามตรง นี่คือยันต์จ้าววิญญาณโบราณ!
รูปแบบยันต์อักขระนี้คล้ายกับผนึก แต่กลับลึกลับและซับซ้อนยิ่งกว่า ความจริงอักขระยันต์ที่เสียหายนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้เสียหาย แต่เป็นการลวงตา เพื่อซ่อนสิ่งที่อยู่ภายใน
ยอดปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระเสวียนอวิ๋นจากสำนักศึกษาจตุรเทพใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ก็ยังไม่สามารถมองทะลุผ่านการลวงตานี้ได้ …มันแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยันต์อักขระของผู้สร้างยันต์อักขระโบราณนี้
แม้แต่เฉินซีก็ยังต้องพึ่งพาเนตรเทวะแห่งความจริง เพื่อคลายม่านที่ปกคลุมยันต์อักขระนี้ ถึงจะสามารถมองทะลุผ่านไปยังร่างที่แท้จริงได้
อย่างไรก็ตาม ยันต์อักขระโบราณนี้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อผนึกเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เรียกว่า ‘เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก’ เฉินซีจึงยิ่งมั่นใจว่า ต้องเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“อาจกล่าวได้ว่ายันต์อักขระโบราณที่เสียหายนี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง ข้าเพียงแค่มอบมันให้กับเสวียนอวิ๋น และทวงคำมั่นที่ผู้อาวุโสให้ไว้ แต่ตอนนี้ ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่าความลึกล้ำเช่นใดที่อยู่ในเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้…” เฉินซีครุ่นคิด ก่อนจะเก็บแผ่นยันต์อักขระ จากนั้นเข้าสู่สภาวะการทำสมาธิ เพื่อทำความเข้าใจต่อเคล็ดวิชาบ่มเพาะลึกลับที่ตราตรึงอยู่ในใจของเขา
“หม้อกลั่น ศาสตราวุธของจักรพรรดิผู้ปกครองแผ่นดินและจักรวาล ผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง…”
“สืบย้อนจากมหาเต๋า หม้อกลั่นเป็นศาสตราวุธและเป็นเครื่องมือที่สามารถโอบรับความลึกล้ำของจักรวาลไว้ในตัวมัน…”
“เลขเก้าคือขีดจำกัดของจำนวน หวนกลับมาหนึ่งเมื่อสิ้นสุดเก้า วนเวียน และพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปสู่ความเป็นอนันต์…”
ความเข้าใจที่ถูกปิดผนึกมากมาย หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเฉินซีดุจสายน้ำ และเมื่อเวลาผ่านไป สีหน้านิ่งสงบพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาขัดเกลากายาที่หาได้ยาก ความลึกล้ำแตะถึงขีดจำกัดของมหาเต๋าและความลับของสวรรค์ มันเปลี่ยนความแข็งแกร่งเป็นหม้อกลั่นเก้าใบ ซึ่งสืบทอดมาจากเทพอสูรโบราณที่ถือกำเนิดมาจากความโกลาหล มรดกนี้เก่าแก่มากจนไม่อาจจินตนาการได้
หากเป็นเพียงแค่นี้ เฉินซีก็คงไม่ตกใจมากนัก เพราะสัจธรรมสวรรค์ กระบี่สรรค์สร้าง และเคล็ดวิชาบ่มเพาะอื่น ๆ ล้วนเก่าแก่ไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชานี้
แต่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เฉินซีตกตะลึง คือข้อกำหนดในการเริ่มต้นบ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกคือ จะต้องมีความเข้าใจในความลึกล้ำของมหาเต๋าทั้งเก้าที่ขอบเขตสมบูรณ์แบบ!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ใดที่ไม่เข้าใจความลึกล้ำของมหาเต๋าทั้งเก้าหรือมากกว่านั้นจนบรรลุขอบเขตสมบูรณ์แบบ คนผู้นั้นก็จะไม่มีคุณสมบัติในการบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้ด้วยซ้ำ!
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้พิเศษเพียงใด และเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่มีข้อกำหนดที่โหดร้ายที่สุดในบรรดาเคล็ดวิชาที่เฉินซีเคยพบ
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และข่มความตกตะลึง ก่อนที่เขาจะมองผ่านมันไป
ต่อจากนั้น มีจุดสำคัญที่คลุมเครือและลึกซึ้งมากมายที่ต้องบ่มเพาะ ตามสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้น เคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ เรียกว่าเก้าระดับเทพยมโลก
ทุกระดับจะทำให้ความแข็งแกร่งของผู้ขัดเกลากายาได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คล้ายการเกิดใหม่ เพียงบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด ก็เพียงพอสำหรับผู้บ่มเพาะคนหนึ่งที่จะได้รับการยกย่องอย่างภาคภูมิและเป็นใหญ่ในโลก!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อความเข้าใจของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เฉินซีจึงสังเกตเห็นว่า แทนที่จะเรียกเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ว่าเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นเพื่อให้ผู้ขัดเกลากายาได้บ่มเพาะ อาจกล่าวได้ว่าบัญญัติขึ้นสำหรับเซียนที่บ่มเพาะในทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรโดยเฉพาะ
เนื่องจากเงื่อนไขของเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้โหดร้ายมาก แค่ต้องความเข้าใจในมหาเต๋าทั้งเก้าที่ขอบเขตสมบูรณ์แบบ กลับเป็นเพียงเงื่อนไขพื้นฐานเท่านั้น เพราะในการบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้ ทุก ๆ ระดับจะต้องใช้ปราณจ้าววิญญาณอมตะจำนวนมหาศาลเป็นรากฐาน คงเหมือนกับคำกล่าวที่ว่า เราไม่อาจสรรค์สร้างบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้
ผ่านไปนาน เฉินซีก็ได้สติจากการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
‘ตอนนี้การขัดเกลากายาของข้า ยังขาดศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนจำนวนมากในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ บางทีการเลือกเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะหลักของข้า ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี… ‘
ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะก็ดังขึ้น
…
ภายในลานบ้าน อู๋หยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ในขณะที่มองไปยังเสวียนอวิ๋นซึ่งมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย เขาลังเลอยู่นาน ก่อนที่จะกัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า และกล่าวเสียงแผ่วเบา “ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น ไฉนท่านถึงไม่รั้งรออยู่ที่นี่อีกสักสองวันเล่า? บางทีคุณชายเฉินซีอาจจะมีเรื่องท่านประหลาดใจก็ได้”
เสวียนอวิ๋นไม่แม้แต่จะคิด เขาปฏิเสธด้วยท่าทางขุ่นเคือง “ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้อตกลงเดิมมีระยะเวลาสามวัน แต่ตอนนี้ล่วงเลยมาห้าวันแล้ว หากตัวข้าไม่ติดภารกิจ ข้าก็ยินดีที่จะอยู่รบกวนเจ้าอีกสองสามวัน”
“เจ้าก็น่าจะทราบดีว่า ระยะเวลาการรับสมัครของสำนักศึกษาจตุรเทพกำลังจะสิ้นสุดในอีกสองวัน หากข้ายังไม่กลับไปจัดการงานในสำนัก เหล่าศิษย์ที่ข้าคัดเลือกมาจากนานาทวีปในปีนี้ จะต้องสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าสำนัก เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก”
อู๋หยวนอ้าปากค้าง และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เขาตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เพราะ อู๋ซวิน บุตรชายของตนก็เป็นหนึ่งในศิษย์ที่เสวียนอวิ๋นคัดเลือกในครั้งนี้ หากอู๋ซวินสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าเรียนเนื่องจากความล่าช้าของเสวียนอวิ๋น ผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถยอมรับได้
“เฮ้อ เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามเกลี้ยกล่อมข้า ความสำเร็จและพรสวรรค์ของเฉินซีในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่สามวันเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป เขาจะทำความเข้าใจได้อย่างไร?”
เสวียนอวิ๋นถอนหายใจ จากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “แต่เนื่องจากข้าตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่อาจทำได้ครบตามเงื่อนไขที่ข้ากำหนด แต่ข้าก็จะให้โอกาสเขาเช่นกัน ตราบใดที่เขาเต็มใจ เขาสามารถติดตามเคียงข้างข้าและออกจากทวีปสันติบูรพาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู๋หยวนรีบกล่าวด้วยความยินดี “วิเศษมาก! ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
เสวียนอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ “อย่าเพิ่งดีใจไป หากตำหนักราชันเซียนยืนยันที่จะจับตัวเขา ลำพังตัวข้าก็มิอาจปกป้องเขาได้ตลอด และมันจะอันตรายมากเป็นแน่”
อู๋หยวนตกตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียด
ตำหนักราชันเซียนเหมือนจะเป็นเพียงคำง่าย ๆ แต่มันเป็นตัวแทนของกองกำลังอันแข็งแกร่งที่เป็นเหมือนกับผู้ปกครองของทวีปสันติบูรพา ดังนั้นบุคคลที่ถูกตำหนักราชันเซียนหมายหัว จะหลบหนีไปอย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร
เป็นเพราะเขาตระหนักรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตำหนักราชันเซียน ทำให้อู๋หยวนและเสวียนอวิ๋นรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องยากลำบากมาก อีกทั้งยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถส่งเฉินซีออกจากทวีปสันติบูรพาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
“เจ้าลองไปถามเขาดูว่าคิดเห็นอย่างไร หากเขาเต็มใจที่จะติดตามข้า ก็จงตามข้ามา แต่หากเขาไม่ ข้าก็คงต้องขอตัวก่อน” เสวียนอวิ๋นมองอู๋ซวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และสั่งเสียงเรียบ
อู๋ซวินเกิดความขัดแย้งในใจ และมองไปยังอู๋หยวนผู้เป็นบิดา
“ไปเถอะ เจ้าและผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋นจะชักช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ข้าจะช่วยเกลี้ยกล่อมคุณชายเฉินซีอย่างสุดความสามารถเอง” อู๋หยวนโบกมือไปมา
อู๋ซวินพยักหน้า เขาลังเลอยู่นาน ก่อนที่เคาะประตูห้องของเฉินซีในที่สุด
เอี๊ยด!
ประตูได้เปิดออกมา เผยให้เห็นร่างสูงของเฉินซี
“คุณชายเฉินซี อย่าได้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แม้ท่านจะไม่สามารถซ่อมแซมยันต์อักขระที่เสียหายตามเงื่อนไขของผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋นได้ แต่ท่านก็ยังสามารถไปกับเขาได้ หากท่านเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น” อู๋ซวินรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้เฉินซีผิดหวัง และไม่รอให้เฉินซีกล่าว รีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
เฉินซีรู้สึกงุนงงและตกตะลึง “ครบสามวันแล้วหรือ?”
“ล่วงเลยมาห้าวันแล้ว” อู๋ซวินกล่าว
“ที่แท้ก็ผ่านไปห้าวันแล้วนี่เอง… ” ดวงตาของเฉินซีฉายแววงุนงงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากทำสมาธิเวลาจะล่วงเลยมาขนาดนี้
อู๋ซวินรู้สึกละอายใจมากขึ้น เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเฉินซี เพราะคิดว่าชายหนุ่มไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะคำแนะนำของคุณชายเฉินซี ข้าอู๋ซวินคงไม่ผ่านการทดสอบของผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋นเป็นแน่ แต่ข้ากลับไม่สามารถช่วยเหลือคุณชายได้ ทั้ง ๆ ที่ท่านเมตตาข้าขนาดนี้ ข้ารู้สึกอึดอัดในใจอย่างยิ่ง คุณชาย ท่านอย่าได้ลังเลที่จะขอร้อง บิดาของข้าตกลงจะทำตามความปรารถนาของท่านทุกประการ”
“ใช่แล้ว ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือคุณชายเฉินซีได้ หากท่านต้องการสิ่งใด โปรดบอกข้ามาได้เลย” อู๋หยวนที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าว และเผยสีหน้าซับซ้อน
เห็นได้ชัดว่า บิดาและบุตรคู่นี้จริงใจต่อเฉินซีอย่างแท้จริง มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ถ่อมตัวเช่นนี้
เฉินซีถึงได้เข้าใจในที่สุด เขาถูจมูกและหัวเราะอย่างขมขื่น
“พวกท่านคิดว่าข้าไม่สามารถซ่อมแซมยันต์อักขระโบราณที่เสียหายได้อย่างนั้นหรือ?”
อู๋หยวนและอู๋ซวินรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย และคิดว่าเฉินซีคงรู้สึกละอายใจ จึงกล่าวล้อเล่นกับพวกเขา
“ฮ่า ฮ่า! ไม่แน่นอน เพียงแต่ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋นต้องเดินทางวันนี้แล้ว และเวลาที่ให้กับคุณชายเฉินซีก็สั้นเกินไป หากคุณชายมีเวลามากกว่านี้ ประกอบกับด้วยความเชี่ยวชาญของท่านในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ข้าเชื่อว่าคุณชายจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน” อู๋หยวนแค่นหัวเราะ ในขณะที่เผยสีหน้าห่วงใย ทุกสิ่งที่เขากล่าวก็เพื่อให้เฉินซีหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอับอาย
“คุณชายเฉินซี อย่าได้ให้เรื่องนี้มาสั่นคลอนเจ้า ข้าเข้าใจว่าการซ่อมยันต์อักขระโบราณนั้นยาก และไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน หากมีโอกาส เจ้าสามารถมาหาข้าที่สำนักศึกษาจตุรเทพ เราจะค้นหาวิธีซ่อมแซมมันด้วยกันได้” เสวียนอวิ๋นกล่าว น้ำเสียงไร้แววเย้ยหยัน แต่ความหมายโดยนัยนั้นชัดเจน เขาก็คิดว่าเฉินซีกำลังกล่าวล้อเล่น และหาทางออกจากสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง และไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาพลิกฝ่ามือ เผยให้เห็นยันต์อักขระโบราณใหม่เอี่ยม “ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น โปรดดูสิ่งนี้”
อู๋หยวนตกตะลึง
อู๋ซวินตกตะลึง
ร่างกายของเสวียนอวิ๋นแข็งทื่อ ทันใดนั้น ดวงตาพลันเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ จับจ้องยันต์อักขระโบราณในสภาพไร้ที่ติ และขาวเหมือนหิมะ แผ่กลิ่นอายโบราณอันยิ่งใหญ่
“มัน… เป็นเรื่องจริงเหรอ?” เสวียนอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้น และไม่อาจเชื่อสายตาของตน ชายชราเลิกรักษากิริยาสำรวมสง่างาม ก้าวเท้ายาว ๆ ไปคว้ายันต์อักขระโบราณจากมือของเฉินซี แล้วยกขึ้นพินิจในระดับดวงตา ตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง