บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1045 เมืองจตุรเทพ
บทที่ 1045 เมืองจตุรเทพ
บทที่ 1045 เมืองจตุรเทพ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ประกายไฟจำนวนมากพุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองรัศมีวิญญาณ และพุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง
เมื่อมองจากระยะไกล พบว่าลำแสงอย่างน้อยหนึ่งพันสายที่ก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นเหมือนฝูงตั๊กแตน มากกว่าครึ่งคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ กลิ่นอายอันทรงพลังได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน และบดบังฟ้าดินจนมืดมิด
บริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเป็นที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในเมืองนี้ ทำให้รอบ ๆ ของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติปราศจากผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ และถูกควบคุมโดยทหารองครักษ์ของตำหนักราชันเซียนโดยสมบูรณ์
หากมองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นขบวนลำแสงสองสายเหาะเหินด้วยความเร็วสูงสุดจากทิศตะวันออกของเมืองรัศมีวิญญาณไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
ลำแสงสายหนึ่งเปล่งแสงสีเงินเย็นเฉียบออกมา และมาจากกระสวยแสงสีเงิน สมบัติอมตะระดับจักรวาลของเหลียงปิง
ลำแสงอีกสายสีดำสนิท มันน่าเกรงขามราวกับแสงแห่งรัตติกาลที่หลั่งไหลออกมาจากราตรีนิรันดร์ และช่วยเปิดเส้นทางข้างหน้า ลำแสงนั้นคือเหลียงหลัวที่สวมชุดสีดำ มีเส้นผมสีดำขลับ สะพายดาบอมตะสีดำและอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำ!
“ฆ่ามัน!”
“จับพวกมัน!”
“ไอ้สารเลว! ตายซะ!”
ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน ทหารองครักษ์จากตำหนักราชันเซียนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งเข้าโจมตีจากทุกทิศด้วยพลังอันแข็งแกร่งและกลิ่นอายที่ดุร้าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบที่ดูธรรมดาสีดำสนิทของเหลียงหลัว ก็ไม่ต่างจากกระดาษถูกฉีกกระชากอย่างง่ายดาย เขากวาดผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมดที่อยู่ข้างหน้า และทิ้งพื้นที่รกร้างไว้เบื้องหลังหลังจากฝนสีแดงโลหิตโปรยปรายลงมา
นี่คือความแข็งแกร่งของเซียนทองคำ!
เมื่อเผชิญกับการโจมตีของเซียนลึกลับและเซียนสวรรค์เหล่านี้ ความต่างชั้นของพลัง ทำให้พวกนั้นถูกทำลายล้างในพริบตา
แม้เส้นทางนี้จะไม่สงบสุข
แต่เฉินซีเคลื่อนผ่านมันไปอย่างสงบ เขามีสมบัติอมตะระดับจักรวาลของเหลียงปิงคุ้มครองอยู่ ประกอบกับเหลียงหลัวผู้เป็นเซียนทองคำได้เข่นฆ่าเพื่อเปิดเส้นทางให้ ชายหนุ่มมองศีรษะที่ถูกตัด ซากศพแหลกละเอียด และเลือดที่สาดกระจายไปบนท้องฟ้า…
เสียงร้องโหยหวนอันน่าสมเพช เสียงกู่ร้องเกรี้ยวกราด และเสียงตะโกนอันน่าหวาดกลัวดังกึกก้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
เส้นทางนี้เป็นเหมือนเส้นทางสู่ขุมนรก แต่เฉินซีไม่แปดเปื้อนมลทินเสียด้วยซ้ำ
เฉินซียังพอมีเวลาศึกษารูปแบบการต่อสู้ของเหลียงหลัว ด้วยความเข้าใจและความรู้ในการต่อสู้ ชายหนุ่มไม่มีแต่ยอมรับว่าการเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งดาบของเหลียงหลัวได้บรรลุขีดขั้นของ ‘การทำลายเคล็ดวิชามากมายด้วยกระบวนท่าดาบเพียงครั้งเดียว’
ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำ และกฎแห่งเซียนทองคำที่เหลียงหลัวได้รับมา อานุภาพที่แสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำลายกฎแห่งมิติในภพเซียนได้อย่างง่ายดาย ฟันฝ่าห้วงมิติออกจากกัน และดึงพลังของฟ้าดิน!
ดาบคือเต๋า…
และเต๋าคือดาบ…
เมื่อเต๋าและดาบเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้นก็จะสามารถทำลายทุกสิ่งได้!
นี่คือเหลียงหลัว ผู้อยู่ในอันดับที่แปดสิบเจ็ดในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เมื่อสิบปีก่อนได้บรรุลุขอบเขตเซียนทองคำ เมื่อห้าปีก่อนได้ท้าทายหนึ่งในหกสุริยัน วิหคอมตะหยกนามว่า ว่านเจี้ยนเซิง หลายต่อหลายครั้ง
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสีดำ มีผมสีดำขลับและดาบสีดำสนิท
ชื่อเสียงของชายหนุ่มในภพเซียนนั้น เหมือนกับพระอาทิตย์ที่แผดเผาในท้องฟ้ายามเที่ยงวัน และได้รับการเทิดทูนจากผู้คนมากมาย และตอนนี้เขากลายเป็นแนวหน้าของเฉินซี…
เมื่อเฉินซีคิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในใจของเขา และเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผู้คนถึงต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อจ้างและรวบรวมขุมพลังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ให้มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
ช่างเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยิ่ง เมื่อสามารถสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำบางสิ่งโดยไม่ต้องลงมือเอง
ความรู้สึกเช่นนั้น น่าจะเรียกว่า ‘อานุภาพแห่งอำนาจ’
แต่แล้ว เฉินซีก็ละทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ในใจของเขา และฟื้นคืนความเงียบสงบกลับมา
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา กำลังพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเหลียงหลัวอันน่าสะพรึงกลัว และเขาเป็นเพียงคนที่ได้รับประโยชน์จากมัน
‘เมื่อข้าตั้งหลักในภพเซียนได้ ข้าจะสร้างกองกำลังของตัวเองเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อยึดครอง แต่เพื่อให้สามารถช่วยเหลือสหายและครอบครัวได้มากขึ้นเท่านั้น… ‘ เฉินซีตัดสินใจอย่างแน่วแน่
บางครั้ง การตัดสินใจในขณะที่หวั่นไหว อาจสร้างผลกระทบอันยากจินตนาการได้ เช่นเดียวกับเฉินซีที่ไม่รู้ว่าการตัดสินใจในวันนี้ จะมีผลอย่างไรในอนาคต
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญบนเส้นทางสู่เต๋ายากที่จะเข้าใจ เว้นแต่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
…
เมื่อเฉินซีสงบสติอารมณ์แล้ว เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดดังก้องท้องฟ้าเหนือเมืองรัศมีวิญญาณ ก่อนจะค่อย ๆ เงียบลง และบรรยากาศเย็นยะเยือกก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
อากาศในยามนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง
นี่คือบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองรัศมีวิญญาณ ภายใต้การนำของเหลียงหลัว พวกเขาทิ้งเส้นทางเปื้อนเลือดและเต็มไปด้วยซากศพไว้เบื้องหลัง และมาถึงที่หมายในที่สุด
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่สามารถข้ามระหว่างทวีปได้ อยู่ห่างออกไปราวสองลี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้ ก็มีมาก่อนที่ศาลเซียนจะก่อตั้งเสียอีก
ในขณะเดียวกัน กองกำลังขนาดใหญ่คุ้มกันรอบค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างแน่นหนา
ผู้บัญชาการขอบเขตเซียนลึกลับจากตำหนักราชันเซียนได้ล้อมรอบสถานที่นี้เอาไว้จนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่สามารถลอดผ่านไปได้ และมีอยู่อย่างน้อยสองสามร้อยคน กล่าวคือ มีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับเซียนลึกลับสองสามร้อยคนคุ้มกันที่นี่!
นี่เป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง และในทวีปสันติบูรพา มีเพียงตำหนักราชันเซียนเท่านั้น ที่มีกองกำลังและทรัพยากรดังกล่าว
ผู้ที่โดดเด่นที่สุดคือ ชายวัยกลางคนที่มีเคราสีดำและผมสีขาวตรงกลาง
เขาสวมชุดคลุมสีเขียวมรกต ผิวเนียนใส และยืนเอามือไพล่หลังไว้ พร้อมกับแผ่กลิ่นอายอันทรงพลังออกมา ประหนึ่งนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่
เพราะเขาคือเซียนทองคำ!
เมื่อเห็นการคุ้มกันอันแน่นหนาและกองกำลังที่ทรงพลัง คิ้วของเฉินซีพลันขมวดแน่น ความเยือกเย็นคืบคลานอยู่ในหัวใจ
ในที่สุดก็เข้าใจว่า ตำหนักราชันเซียนนั่นพยายามมากเพียงใดในการจับกุมตน และจะไม่ยอมให้หลบหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“พวกมันประเมินข้าไว้สูงจริง ๆ!”
ในขณะเดียวกัน ความเกลียดชังคุกรุ่นอยู่ในใจของเฉินซีอย่างไม่อาจอธิบายได้ เขารู้ตัวดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหลียงปิงและเหลียงหลัว เขาคงไม่สามารถหลีกหนีหายนะนี้ได้อย่างแน่นอน
“ข้าจะจำสิ่งนี้ไว้!”
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามอย่างมากที่จะยับยั้งความโกรธในใจ
“มีเซียนทองคำอยู่ในหมู่พวกเจ้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงฝ่ามาถึงที่นี่ได้ น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเขียวเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด กวาดผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนจะหยุดที่เหลียงหลัว ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะสงบลง
“ฝ่าพวกมันไป!” เหลียงปิงไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ริมฝีปากสีแดงของนางเปิดออกเบา ๆ พร้อมพ่นคำที่โหดร้ายออกมา
สิ้นคำพูดของเหลียงปิง เหลียงหลัวไม่พูดอะไร แต่พุ่งตัวเข้าสู่สนามรบทันที!
ดาบเล่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับเศษเสี้ยวของม่านสีดำแห่งรัตติกาล และฟันลงมายังโลกเบื้องล่าง!
การโจมตีด้วยดาบนี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ประกายดาบสีดำสนิทเต็มไปด้วยกฎแห่งเซียนทองคำอันดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้ มันบดขยี้และผ่าห้วงมิติเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เกิดวงคลื่นพลังระเบิดออกมาจากห้วงมิติที่พังทลาย
นี่คือภพเซียน และกฎของฟ้าดินนั้นแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม การโจมตีด้วยดาบนี้ได้ทำลายห้วงมิติ ทำให้หยินหยางแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
นี่คือพลังที่แท้จริงของเซียนทองคำ!
ตูม!
การต่อสู้ปะทุขึ้น
การโจมตีด้วยดาบอันน่าสะพรึงกลัวของเหลียงหลัว เหมือนการจู่โจมของม่านราตรีนิรันดร์ มันได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับไปหลายสิบคน ก่อนจะถูกขัดขวางโดยชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียว
หลังจากนั้น เซียนทองคำทั้งสองก็เข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือด ทำให้สมรภูมิตกอยู่ในความโกลาหล
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวใช้ดาบสั้นคู่หนึ่ง เล่มหนึ่งมีสีแดงดุจเปลวไฟและอีกเล่มเป็นผลึกเหมือนหิมะ ประกายแสงที่เปล่งประกายออกมา ดูเหมือนมังกรไฟและมังกรน้ำแข็งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งยิ่งใหญ่ รวดเร็ว ดุร้าย และทรงพลัง สามารถสกัดกั้นการโจมตีของเหลียงหลัวได้อย่างสมบูรณ์ เผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะและความสามารถอันลึกล้ำอย่างยิ่งของชายวัยกลางคน
แต่เหลียงหลัวยังคงเฉยเมย เมื่อเข้าสู่สนามรบ เขาก็ยิ่งเฉยเมยและเย็นชา มีเพียงศัตรูกับการต่อสู้ในสายตาเท่านั้น
ชั่วเวลาหนึ่ง ท้องฟ้าและโลกที่กว้างใหญ่ถูกกลบด้วยแสงอันเจิดจ้า เหมือนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่สองลูกกำลังปะทะกัน คลื่นพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออก และบดขยี้อาคารทั้งหมดในระยะสองพันห้าร้อยลี้ เปลี่ยนโลกให้กลายเป็นซากปรักหักพัง
หากเป็นยามปกติ การต่อสู้ในระดับนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดผู้คนมากมายให้เฝ้าดู น่าเสียดายที่การต่อสู้นี้ไม่ได้อยู่ในสังเวียน แต่เป็นการต่อสู้และการเข่นฆ่าที่แท้จริง ชีวิตและความตายจะถูกตัดสินในชั่วพริบตา
ไม่ต้องพูดถึงการเฝ้าดู แม้แต่การเข้าไปใกล้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ได้รับผลกระทบถึงชีวิตทันที
“ไปกันเถอะ!” เหลียงปิงไม่ได้สนใจการต่อสู้ของเหลียงหลัวด้วยซ้ำ นางพาเฉินซี อู๋ซวิน และเสวียนอวิ๋นพุ่งตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่อยู่ข้างหน้า
ถึงขนาดไม่เหลือบมองผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่โถมเข้าหาพวกเขาด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับความคิดที่จะลงมือ นางพุ่งไปข้างหน้าเหมือนวิ่งเข้าหาปลายดาบอย่างไม่กลัวตาย
ทุกคนหวาดกลัวจนถึงจุดที่แม้แต่ใบหน้าของเสวียนอวิ๋นยังซีดเผือด และเกือบหวีดร้องออกมา
แต่ความกังวลของเขาก็สูญเปล่า ทุกที่ที่เหลียงปิงผ่าน ศัตรูไม่ทันได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ เพราะพวกมันจะถูกสังหารด้วยกระแสปราณสีดำสนิทก่อนจะทันรู้ตัวเสียอีก
เฉินซีจึงอดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้ เขาเห็นเหลียงหลัวฟันดาบจากกลางอากาศเพื่อช่วยเปิดเส้นทางให้กับเหลียงปิง และต่อสู้กับชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวไปพร้อม ๆ กัน!
ทว่าการทำเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ของเหลียงหลัวลำบากอย่างยิ่ง ร่างกายกำยำได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้งจากปราณดาบของชายวัยกลางคน ทั่วทั้งร่างจึงเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล ทำให้เขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งเฉยชา เยือกเย็น และอำมหิต ทำให้ดูเหมือนมิมีความรู้สึกใด ๆ
“รีบมาเร็วเข้า!” เสียงตะโกนของเหลียงปิงดังขึ้นข้างหู และเฉินซีสังเกตเห็นว่า พวกตนได้มาถึงศูนย์กลางของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติแล้ว
“แล้วเขาล่ะ?” เฉินซีถาม
“เขาก็เป็นเยี่ยงนี้ เมื่อเข้าสู่สนามรบ จะต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หากไม่ใช่เพราะนิสัยเช่นนี้ เขาคงไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้” เหลียงปิงถอนหายใจและกล่าวอย่างรวดเร็ว “อย่าได้กังวล เขาจะไม่ตายง่าย ๆ มิฉะนั้นวิหคอมตะหยกว่านเจี้ยนเซิงคงฆ่าเขาไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
ทันทีที่นางกล่าวจบ นางก็เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทันที
โอม!
เสียงดังก้องกังวาน อึดใจต่อมา เฉินซีรู้สึกถึงแสงสว่างวาบผ่านหน้า จากนั้นก็รู้สึกราวกับถูกลากเข้าไปในกระแสวังวนอันสงบและแปลกประหลาดซึ่งเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็มืดลง
มิอาจทราบได้เลยว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อวิสัยทัศน์ของเฉินซีชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เขาได้มาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแล้ว
ผู้คนเดินขวักไขว่ตามท้องถนน เสียงอึกทึกครึกโครมของร้านรวง ศาลา และบ้านเรือนหลายหลังตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับกำลังอยู่ในท้องถนนที่รุ่งเรืองอย่างมาก
“นี่คือเมืองจตุรเทพแห่งทวีปทักษิณา!” เสียงผ่อนคลายของเหลียงปิงดังก้องอยู่ในหูของเขา ทำให้เฉินซีตกตะลึงทันที
—————————————