บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 105 วิชาสลายวิญญาณ
บทที่ 105 วิชาสลายวิญญาณ
บทที่ 105 วิชาสลายวิญญาณ
ความรู้สึกนึกคิดของหนุ่มน้อยผู้มีใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ต่างจากเด็กอายุหกเจ็ดขวบ เขาเลียนแบบท่าทางของผู้เยี่ยมยุทธ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่เมื่อมาคู่กับใบหน้าอ่อนเยาว์และเสียงของเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย กลับทำให้เป็นที่น่าขบขันและน่าเอ็นดูแก่ผู้อื่น
เป็นเหตุให้เฉินซีนึกถึงน้องชายของตัวเอง… เฉินฮ่าว น่าเสียดาย ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ เฉินฮ่าวในวัยเด็กก็เหมือนกันกับเขา ฝึกบ่มเพาะพลังอย่างยากเข็ญตลอดเวลา เฉินฮ่าวเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและอยู่ในโอวาท ไม่ต้องพูดถึงความสำมะเลเทเมา แม้แต่การพูดตลกขบขัน เขายังไม่เคยทำด้วยซ้ำ
“ปรมาจารย์หลิงไป๋อย่างนั้นหรือ” เฉินซีเอ่ยถาม
เจ้าตัวเล็กหน้าหล่อเบะปากอย่างขัดเคืองก่อนพึมพำตอบอุบอิบ “ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าปรมาจารย์หลิงไป๋ ฟังแล้วเหมือนเจ้ากำลังประชดประชันมากกว่า”
“ข้าก็เรียกเจ้าชื่อนี้ไม่ถนัดปากเหมือนกัน” เฉินซีเห็นด้วยอย่างมาก “ไยไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่าหลิงไป๋เฉย ๆ เล่า”
หนุ่มน้อยโบกมืออย่างขอไปที “ก็แล้วแต่เจ้า”
“สุสานกระบี่แดนนิพพานเป็นสถานที่ใดกันแน่ ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่” ขณะที่ถามเฉินซีก็มองไปรอบตัว
“ไม่ได้!” หลิงไป๋สั่นศีรษะอย่างแรงพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำสนิทฉายประกายตาแห่งความปรารถนาแรงกล้า “คิดว่าข้าไม่อยากออกไปหรือไร มองไปทางไหนก็มีแต่สุสานกระบี่… และสุสานกระบี่! ที่นี่เป็นที่ฝังกระบี่ทุกเล่ม! ท่านอาจารย์ต้องการที่จะปกป้องข้าจึงเปิดทางแดนนิพพานด้วยความสามารถสูงสุด เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าถูกศัตรูจับได้อย่างไรล่ะ”
“เปิดทางอย่างนั้นหรือ ความสามารถนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก” เฉินซีพึมพำกับตนเอง จากนั้นจึงหันไปถามคนตรงข้ามทันที “ข้าจะเข้าไปได้อย่างไร”
หลิงไป๋ชี้ให้ดูกระดูกกองพะเนินที่อยู่บนพื้นและพูดว่า “อ๋อ ดูพวกนั้นสิ เมื่อเจ้าสัมผัสข้อห้ามของสุสานกระบี่ก็จะถูกพาเข้ามาอยู่ในนี้ แล้วเมื่อใดที่เข้ามาแล้วจะไม่มีวันได้ออกไปอีกและเหี่ยวแห้งตายอยู่ในนี้เท่านั้น”
“แต่ว่า… เคยมีผู้บ่มเพาะพลังเข้ามาในนี้ไม่น้อยและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเจ้าด้วย …อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ความหมายที่ข้าพูดก็คือเจ้ามีชีวิตอยู่ในนี้มาได้อย่างไร”
ในใจของเฉินซีมีคำถามมากมาย เขารู้ถึงข้อห้ามนานัปการ ความพินาศและทะลวงช่องอากาศกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไปในห้วงทะเลทรายมรณะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันตนเองจะเป็นคนที่ต้องถูกจองจำในนี้ เมื่อคิดแล้วก็รู้สึกสลดหดหู่และอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ เขาเกิดความกระหายอย่างแรงกล้าเพื่อจะได้ออกจากสถานที่บัดซบเช่นนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ข้าเป็นจิตวิญญาณของกระบี่แดนนิพพาน นานมาแล้วเคยหลอมรวมกับพลังขอบเขตนิพพาน ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็จะไม่มีใครได้เห็นข้า!” ขณะคนพูดถึงตอนนี้ ความขุ่นข้องหมองใจของหลิงไป๋ได้หายไปหมดสิ้น และทันทีที่สภาพทางกายฟื้นคืน ท่าทีหยิ่งผยองก็เผยโฉมหน้าให้เห็นอีกครั้ง
จากนั้นเจ้าตัวก็เอ่ยเสียงดังฟังชัด “หากมิใช่เพราะข้าเล็งเห็นแล้วว่าเจ้ามีความสามารถหยั่งรู้ไม่เลว ไม่อย่างนั้นข้าไม่เสียเวลามาให้เจ้าได้เห็นแน่”
เฉินซีไม่กล้าทำอะไรให้เจ้าหนุ่มน้อยขัดเคืองอีก จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ามีตาหามีแววไม่ เหตุใดจึงไม่รู้จักคนที่โดดเด่นเช่นเจ้าได้น้า… เลวทราม เลวทรามแท้ทีเดียว!”
“เสแสร้ง! พูดจาเสแสร้งเกินไปแล้ว!” ทั้งที่ปากพูดออกมาเช่นนั้น ใบหน้ากลมมนของหลิงไป๋กลับแฝงด้วยรอยยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะเสียภาพลักษณ์ หลิงไป๋คงแสดงความชื่นชมยินดีมากกว่านี้เป็นแน่
‘อันที่จริงเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ชอบให้คนอื่นสรรเสริญเยินยอจะแย่!’ เฉินซียิ้มอย่างเข้าใจขณะแอบคิดในใจ ในเมื่อยังไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ฉะนั้นก่อนอื่นข้าจะเข้าไปที่พำนักของผู้อาวุโสจี้อวี๋ บางทีอาจได้คำชี้แนะถึงวิธีที่จะกลับออกไปบ้างล่ะนะ
ขณะที่คิดหาวิธี เฉินซีได้ผลักจิตของตนลงสู่จี้หยกที่กำลังถืออยู่บนฝ่ามือ ในเวลาเดียวกันสายใยแห่งแก่นแท้ รวมทั้งสายใยแห่งปราณจ้าววิญญาณก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาโดยพร้อมกัน
เสียงใสดังกังวานหมดจดงดงามราวกับเสียงระฆัง ฉับพลันปรากฏจี้หยกชิ้นหนึ่งทะยานวาบออกมาจากกลางฝ่ามือ ก่อนจะทะยานหมุนเป็นวงอยู่กลางอากาศ จากนั้นมีไฟดวงเล็ก ๆ เป็นประกายเจิดจรัสจำนวนมาก ส่องให้เห็นว่าในช่องอากาศขนาดใหญ่มีความลึกและมืดมิด
‘สิ่งที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยพูดไว้ไม่มีผิด เมื่อข้าบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลที่ขัดเกลาทั้งพลังกายและปราณภายในแล้ว ข้าจะเปิดประตูเข้าสู่เรือนพำนักที่อยู่ในจี้หยกได้’ ชายหนุ่มนึกด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้คืออะไร ช่างมหัศจรรย์นัก!” หลิงไป๋ทะยานวูบเข้าใกล้ปากทางที่กำลังเปิดกว้างทันที จากนั้นก็มองจากบนลงล่างด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ข้ากำลังจะไปที่ที่หนึ่ง เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่” เสียงเฉินซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบสายตาไปทางหลิงไป๋เป็นเชิงถาม หนุ่มน้อยคนนี้บอกว่าตัวเองเป็นจิตวิญญาณของกระบี่แดนนิพพานโบราณ ถ้ายอมให้จี้อวี๋เห็นตัวตนคนผู้นี้ บางทีชายชราอาจจะชี้แนะถึงต้นกำเนิดของเขาก็ได้
“อ้อ เจ้าเชิญข้าอย่างนั้นหรือ” หลิงไป๋พูดอย่างกับว่ากำลังขอความเห็นชอบ ทว่าแววตาของเจ้าตัวที่กำลังเขม้นมองไปที่ช่องทางเปิดกว้างเผยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง
“แน่นอน” เฉินซีฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม หลิงไป๋มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและมีความคิดใสซื่อเหมือนผลึกแก้วบริสุทธิ์ เป็นผู้น่าคบหามากคนหนึ่งทีเดียว
“เอาล่ะ ข้าจะตอบรับคำเชิญของเจ้า แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เอาเป็นอย่างก่อนหน้านะ… อ้าว ไยนำไปก่อนเล่า ไม่สุภาพเอาเสียเลย… อ๊ะ รอข้าด้วยสิเจ้าบ้า!!!” ด้วยเหตุนี้เฉินซีและหลิงไป๋ได้ก้าวเข้าไปยังปากทางที่เปิดกว้างตามลำดับ
ไม่นานหลังจากที่คนทั้งสองลับกายหายไป ช่องทางเปิดกว้างก็หายไปเช่นกัน
…
ทุ่งหญ้าเขียวขจียาวไกลไปจนสุดลูกหูลูกตา แม่น้ำกว้างใหญ่ไหลหลากด้วยระลอกคลื่นสาดกระเซ็น หากชำเลืองเพียงแวบเดียวอาจไม่เห็นว่าภาพสายน้ำทอดยาวนี้จะสิ้นสุดลงที่ใด
ขุนเขาสูงชันราวกับจะพุ่งทะลุท้องนภาตั้งตระหง่านกลางแม่น้ำ แลดูสันโดษ เย็นเยือกและดำมืด บนนั้นไม่มีแม้แต่หญ้าสักต้น มันปกคลุมไปด้วยข้อห้ามต่าง ๆ มากมายเหลือคณาซึ่งเห็นได้อย่างเลือนราง และกำลังแผ่คลื่นพลังที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกลัว
เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทำให้เฉินซีหวนนึกถึงคราวที่ตนมาเยือนเป็นครั้งแรก ยามนี้ก็ยังอดตะลึงไม่ได้ “ขณะนั้นการฝึกฝนบ่มเพาะหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเท่านั้น ทว่าเวลานี้ไม่เพียงพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ทักษะแปรสภาพกายาควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า ทำให้ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่บททดสองสรวงสวรรค์ขั้นแรก!”
“เฉินซีมาแล้วหรือ… ฮ่า ๆๆ! เร็วนี่!”
ตู้ม! ตู้ม!
ลูกคลื่นทะยานจากแม่น้ำขึ้นสู่ท้องฟ้าเกิดแรงสะเทือนเลือนลั่น พร้อมกันนั้นชายชราร่างผอมบางเหยียบอยู่บนน้ำขณะก้าวออกมา เขาคือจี้อวี๋นั่นเอง!
“ผู้อาวุโสจี้อวี๋!” เสียงเฉินซีเรียกขานเสียงสะท้านเมื่อมองเห็นบุคคลที่คุ้นเคย เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นยินดีมากล้นนั้นกลั่นออกมาจากหัวใจ
“ไม่เลว เจ้าควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าแล้ว” จี้อวี๋พิจารณาเฉินซีอย่างถ้วนถี่ พลันใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ตามปกติแล้วหาได้ยากนัก
เฉินซียิ้มกว้างขณะตอบว่า “ไม่นึกฝันว่าข้าจะได้ศิลาวิญญาณดารามาครอบครอง จึงทำให้สามารถพัฒนาขึ้นได้ในช่วงเวลาเพียงไม่นานขอรับ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” จี้อวี๋พยักหน้าพลางกล่าวเป็นเชิงยอมรับ “วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ยาก แรกเริ่มเดิมทีข้าคิดว่าเจ้าต้องใช้เวลาสักสองสามปีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่คิดว่าจะได้ครอบครองศิลาวิญญาณดารา โชคเข้าข้างเจ้าอย่างเยี่ยมยอดเช่นนี้”
เมื่อพูดถึงโชคเข้าข้าง ชายหนุ่มพานให้นึกถึงลูกไป๋คุยทันที จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ เจ้าไป๋คุยอยู่ที่ไหนขอรับ”
จี้อวี๋ชี้ให้ดูแม่น้ำกว้างใหญ่ที่ด้านหลังและกล่าวว่า “มันหาสมบัติล้ำค่ากินไม่ได้มานานมากแล้ว ก็เลยหลับใหลอยู่ที่ก้นแม่น้ำโน่นแหละ”
ไม่มีอะไรกินเลยหลับไปอย่างนั้นหรือ เฉินซีฟังแล้วไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารู้ว่าไป๋คุยสามารถรวบรวมเคราะห์กรรมและเป็นอสูรสัตว์มงคลชั้นสูงของสวรรค์และโลก อย่างไรก็ตามความที่มันโปรดปรานสมบัติล้ำค่าของโลกมนุษย์โดยเขมือบเป็นอาหาร ดังนั้นพอมาอยู่ในสถานที่ที่ว่างเปล่าแห่งนี้ ก็ต้องอดโซเป็นธรรมดา
“หืม? ตาเฒ่าประหลาดนี่เป็นใคร” หลิงไป๋ที่ตามมาข้างหลังเฉินซีเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ ก่อนตวาดด้วยเสียงดังด้วยความไม่พอใจที่ไม่มีใครสนใจตนเอง
“จิตวิญญาณกระบี่” เสียงจี้อวี๋อุทานด้วยความแปลกใจขณะเดียวกันก็เพ่งพิศหลิงไป๋ ราวกับต้องการจะล้วงลึกไปถึงความลับในตัวของเจ้าเด็กผู้นี้
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงไป๋ก็หน้าซีดเผือดลงไปถนัดตา ดวงตาลึกล้ำของตาเฒ่าพิลึกคนที่อยู่ตรงหน้าบ่งบอกถึงตนอาบน้ำร้อนมาก่อนทำให้มองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่ง และนั่นเองได้สร้างแรงกดดันให้กับเขาอย่างมหาศาล!
“เต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน มันน่าจะเป็นมรดกหลักเต๋าแห่งกระบี่ของผู้สืบทอดนิกายกระบี่แดนนิพพานตั้งแต่สมัยบรรพกาล ถ้าใครที่ได้ครอบครองจิตวิญญาณกระบี่แดนนิพพาน พลังบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่จะบรรลุถึงขั้นสูงสุด และความแกร่งกล้าจะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ทีเดียว” จี้อวี๋กล่าวอย่างครุ่นคิดพลางพยักหน้า
‘ในที่สุดผู้อาวุโสจี้อวี๋ได้แสดงให้เห็นว่ารู้จักตัวตนของเจ้าตัวเล็กแล้ว!’ เฉินซีก็นึกยินดีในใจเงียบ ๆ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยบอกสักนิดว่าตัวตนของนายข้าเป็นใคร จริงไหม” หลิงไป๋มองตรงมาด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อต่อสิ่งที่ได้ยิน
หากจี้อวี๋ยิ้ม ๆ และนิ่งเฉยไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นหันไปถามชายหนุ่ม “เจ้าไปได้จิตวิญญาณกระบี่แดนนิพพานมาจากไหน คุณลักษณะบริสุทธิ์สะอาดและกระจ่างชัดเช่นนี้ แสดงว่าได้รับการสั่งสมสืบทอดเต๋าแห่งกระบี่ของผู้เป็นนาย กระทั่งบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ยังเข่นฆ่ากันเพื่อชิงสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้”
‘น่ายำเกรงขนาดนั้นเชียว แม้คนขอบเขตเซียนสวรรค์ยังถึงกับเข่นฆ่ากันอย่างนั้นหรือ’ ในใจของเฉินซีไหววูบด้วยความตกใจ จากนั้นก็เล่าทุกอย่างที่ได้พบเจอ นับตั้งแต่ได้เข้าไปยังห้วงทะเลทรายแห่งความตายทันที
“ทะลวงช่องอากาศ ซากหักพัง กฎข้อห้าม สุสานกระบี่แดนนิพพาน…” จี้อวี๋พึมพำครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาสาดเป็นประกายวาววับ “ไม่ใช่ว่าเป็นลานต่อสู้ของเหล่าอสูรกับเซียนหรอก… ใช่ไหม”
“เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ทันใดนั้นหลิงไป๋ก็อุทานออกมาอีกครั้ง พลันสายตาที่จ้องเขม็งไปยังจี้อวี๋บอกว่าเจ้าตัวรู้สึกชื่นชมไม่น้อย
คนถูกถามได้แต่อมยิ้ม เขาไม่ได้สนใจจะตอบคำของเจ้าหนุ่มน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “กระบี่ไผ่ทองคำนิลของเจ้ายังไม่เคยขัดเกลาเลยใช่ไหม ส่งมันมาให้ข้า ส่วนเจ้าจงเข้าสู่บททดสอบสรวงสวรรค์เสียก่อน พอกลับออกมา ข้าจะทำให้เจ้าประหลาดใจด้วยเรื่องที่น่ายินดี” ขณะนั้นสายตาผู้พูดเหลือบมองไปที่หลิงไป๋แวบหนึ่ง
“ไม่มีทาง!” หนุ่มน้อยหลิงไป๋ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็รีบตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ข้าจะไม่สยบให้ศัสตราใดอีกแล้ว ทำแบบนี้ข้าก็ต้องถูกกักขังจนไม่สามารถออกมาได้อีกน่ะสิ”
เฉินซีออกจะอึดอัดอยู่ไม่น้อย ส่วนตัวเขารู้สึกชอบหนุ่มน้อยตัวเล็กที่สูงเพียงไม่กี่ชุ่นคนนี้ไม่น้อย อันที่จริงตนเองไม่ต้องการผนึกหลิงไป๋ไว้ในศัสตราที่เยือกเย็นเช่นนี้
จี้อวี๋ส่ายหน้าเอ่ยขึ้นมาอย่างจนปัญญา “ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้ เดิมทีตั้งใจว่าจะใช้วิชาสลายวิญญาณช่วยเจ้าให้มีร่างกายพอที่จะฝึกฝนได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่า…”
“วิชาสลายวิญญาณ!” ยังไม่ทันขาดคำของจี้อวี๋ หลิงไป๋กลับอุทานออกมาอย่างตกใจขึ้นมา “เจ้าบอกว่าจะใช้วิชาสลายวิญญาณช่วยข้าจริงหรือ ข้าใฝ่ฝันว่าจะได้ฝึกทักษะนี้มานานนับหมื่นปีแล้ว!”
“วิชาสลายวิญญาณอะไรขอรับ” เฉินซีถามขึ้นขณะมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงงัน เขาใคร่ครวญอย่างหนักก็แล้วแต่นึกถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิชาสลายวิญญาณไม่ออกเลย แต่ก็ดีไปถ้าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิน
“เจ้าโง่…ไม่เคยได้ยินชื่อวิชาสลายวิญญาณอย่างนั้นหรือ” เจ้าหนุ่มหลิงไป๋เกทับทันควัน “ทักษะนี้มันเป็นวิชาขัดเกลาที่น่าอัศจรรย์ ทำให้จิตวิญญาณมีสมบัติวิเศษซึ่งสามารถฝึกฝนได้ เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะเพื่อก้าวขึ้นสู่การบรรลุมหาเต๋าได้อย่างไรล่ะ!”
“อย่างนั้นหรือ” เฉินซีได้ฟังแล้วรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ ด้วยความสามารถที่ทำให้สมบัติวิเศษสามารถฝึกการบ่มเพาะได้เหมือนกับผู้ฝึกบ่มเพาะขึ้นสู่มหาเต๋าได้นั้น กล่าวได้คำเดียวว่าเป็นการท้าทายสวรรค์โดยแท้
“จริง” จี้อวี๋พยักหน้าตอบ “ทักษะชนิดนี้เดิมทีถูกครอบครองโดยคนที่มีอำนาจมากตั้งแต่สมัยโบราณเท่านั้น แต่สูญหายและถูกทำลายไปนานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ แต่แม้ว่าทักษะที่ว่านี้จะน่าเกรงขาม แต่การที่สมบัติวิเศษจะกลายเป็นเซียนสวรรค์เหมือนกับมนุษย์นั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง แม้แต่ในสมัยก่อน สมบัติวิเศษที่ตระหนักรู้ในมหาเต๋าก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“แต่ใช่ว่าข้าจะหวังบ้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ เดิมทีข้าเป็นจิตวิญญาณของกระบี่เซียน ที่นายข้าชำระล้างและบ่มให้แกร่งโดยเต๋าแห่งกระบี่สูงสุด จนมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ข้าจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไร” ใบหน้าของหนุ่มน้อยหลิงไป๋เผยความหนักแน่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ตอนที่นายข้าตกอับ ข้าได้ปฏิญาณไว้ว่าจะฝึกบ่มเพาะพลังให้ได้ ข้าจะก้าวขึ้นไปถึงมหาเต๋า และในที่สุดข้าก็จะกำจัดศัตรูและล้างแค้นให้นาย!”
ในขณะที่นิ่งมอง เฉินซีก็เห็นภาพของตัวเองทาบทับไปบนหนุ่มน้อยหลิงไป๋และทำให้เกิดเสียงสั่นพ้องดังออกมา
มิใช่ว่าเขามุมานะบากบั่นในการฝึกฝนเพื่อจะแก้แค้นให้ท่านปู่กับคนตระกูลเฉินทั้งหมด …อย่างนั้นหรือ?
มิใช่เพราะต้องการเป็นเซียนสวรรค์และจะได้พบกับมารดา …อย่างนั้นหรือ?
“เจ้าจะตกลงหรือไม่” เสียงถามของจี้อวี๋ดังขึ้น
“ผู้อาวุโส ช่วยแปรสภาพให้ข้าด้วย” ร่างของหลิงไป๋ทรุดฮวบลงไปกับพื้น จากนั้นก็คุกเข่าแสดงความเคารพด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
พลันจี้อวี๋หันไปทางเฉินซีซึ่งยืนมองด้วยแววตาว่างเปล่าไม่พูดไม่จาอยู่ข้าง ๆ “แล้วเจ้าล่ะ ยอมรับเขาหรือไม่ พลังของกระบี่ไผ่ทองคำนิลของเจ้าจะแข็งแกร่งมากขึ้นทันทีที่เจ้าหนุ่มน้อยเข้าไปสถิตอยู่ภายใน”
ชายหนุ่มจะไม่เต็มใจอย่างนั้นหรือ ทันใดเขาดึงกระบี่ไผ่ทองคำนิลออกมาก่อนจะส่งต่อให้จี้อวี๋
“ไปได้แล้ว เข้าสู่บททดสอบสรวงสวรรค์เพื่อผ่านขั้นที่หนึ่ง และหมั่นเพียรฝึกฝนให้มาก ไม่ช้าไม่นานเมื่อออกไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นมากพอที่จะสังหารคนทั้งเจ็ดคนได้” เสียงเรียบนิ่งของจี้อวี๋ชี้แนะมาให้ได้ยิน
“ออกไป” คนฟังรำพึงด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้อาวุโส ท่านมีวิธีเปิดทางสุสานกระบี่แดนนิพพานอย่างนั้นหรือขอรับ”
“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดช่างมีคำถามมากมายนัก ข้าบอกให้ไปก็ไปเสีย! อย่ามารบกวนข้า” รอยยิ้มฉายแววดุปรากฏขึ้นบนในหน้ายิ้มยากของจี้อวี๋ จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อพาหลิงไป๋เข้าไปในแม่น้ำก่อนลับกายหายไป
‘เมื่อข้าผ่านบททดสอบสรวงสวรรค์ขั้นที่หนึ่งด้วยระยะเวลาฝึกฝนข้างในนี้สามวันเท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก ทำให้ข้าเป็นคนที่พลังแกร่งกล้าเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้นอีกครั้ง!’
‘เมื่อถึงปีหน้า ระหว่างเดินทางไปในการจัดอันดับมังกรซ่อนที่เมืองทะเลสาบมังกร ข้าต้องแวะเยี่ยมเยียนพวกต้วนมู่เจ๋อและคนอื่นสักครั้ง ที่สำคัญต้องไปเยี่ยมเฉินฮ่าวด้วย อยากรู้ว่าเขาอยู่ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรยังสบายดีหรือไม่…’
เฉินซีสูดหายใจเข้าพลางมองไปยังภูเขาโดดเดี่ยวที่ยืนหยัดอยู่กลางแม่น้ำ บัดนี้ชายหนุ่มไม่นึกลังเลอีกต่อไป จากนั้นจึงกดปลายเท้าแตะไปบนพื้นก่อนส่งร่างทะยานไปทางภูเขาประหนึ่งลูกศรที่ปล่อยออกจากแล่ง
ครืน!
สภาพรอบ ๆ ภูเขาโดดเดี่ยวมืดดำอันมีข้อห้ามมากมายผนึกแน่นอย่างไร้ร่องรอยที่ถูกกระตุ้นเปิด
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นครั่นครืน จากนั้นพลังงานดึงดูดอย่างรุนแรงพุ่งพรวดออกมาจากภายใน ดุจสัตว์อสูรโบราณขนาดยักษ์อ้าปากน่าสยดสยอง ไม่เปิดโอกาสให้ต่อต้านขณะที่มันกำลังเขมือบเฉินซีเข้าไปข้างใน!