บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1051 จากไปพร้อมกับความขุ่นเคือง
บทที่ 1051 จากไปพร้อมกับความขุ่นเคือง
บทที่ 1051 จากไปพร้อมกับความขุ่นเคือง
ธารดาราพร่างพรายเต็มไปทั้งท้องฟ้า รัศมีสุกใสหลั่งไหลไปยังบริเวณโดยรอบ บรรยากาศเงียบสงัดในห้องโถงก็เผยให้เห็นร่องรอยของความผิดปกติ
ปัง!
สีหน้าของอู๋อี้ฟ่านเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มันเต็มไปด้วยความโกรธ จนไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป เขาทุบยันต์อักขระในมือลงบนพื้นอย่างแรง เสียงของมันฟังดูแหลมคมและเสียดหู ทันใดนั้นปรากฏการณ์ธารดาราก็หายไป
“เป็นไปไม่ได้!” อู๋อี้ฟ่านคำรามเสียงดังและตีโพยตีพาย “ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเช่นเจ้าจะสร้างยันต์ดาราเริงระบำได้อย่างไร!? มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่รู้วิธีสร้างยันต์อักขระ เจ้าจะสร้างหนึ่งในยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ดได้อย่างไร?”
ยามนี้ท่าทางสง่างามและสุขุมของเขาได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แสดงออกราวกับภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง เคียดแค้นคำรามและร้องไห้อย่างโกรธเกรี้ยว
เฉินซีเพียงยิ้ม แต่ไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป จากนั้นจึงหันหลังกลับ เดินออกจากสนามประลอง เฉินซีได้มอบความประหลาดใจอันน่ายินดี และที่เหลือก็เป็นหน้าที่เหลียงปิงในการจัดการต่อจากนี้
ทั้งห้องโถงเงียบกริบ มีเพียงเสียงคำรามของอู๋อี้ฟ่านเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในอากาศ
แขกทุกคนในห้องโถงต่างมีการแสดงออกที่หลากหลาย
บางคนที่เคยมีรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า ยามนี้รู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้าเข้าอย่างจัง
บางคนที่เคยส่ายหัวและถอนหายใจก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับมีเพียงสีหน้าตกตะลึง
บางคนที่เคยเอามือกอดอกขณะเย้ยหยันและเฝ้ารอฉากโกลาหลก่อนหน้านี้ ยามนี้ร่างกายต่างแข็งทื่อ กรามเกือบจะหล่นลงกับพื้น
สีหน้าท่าทางนับพันได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขา
“ธารดาราพร่างพรายเต็มนภา มันเป็นหนึ่งในสุดยอดยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด!”
มีคนร้องทำลายความเงียบงัน และทำให้แขกทุกคนหายจากอาการตกใจ ก่อนจะอ้าปากค้างพร้อม ๆ กัน ขณะรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
แม้ว่าแขกส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่จะไม่ได้บ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระมากนัก แต่คนที่ไม่เคยสัมผัสก็ยังคงเคยได้ยินเรื่องนี้ นี่เป็นยันต์อักขระลำดับแรกที่มีชื่อเสียงของยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นมาตรฐานหนึ่งเดียวในการทดสอบปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ ดังนั้นพวกเขาจึงทราบดีว่า การสร้างยันต์ดาราเริงระบำนั้นยากเพียงใด
ยันต์ดาราเริงระบำที่เฉินซีสร้างขึ้น ทำให้ม่านแห่งราตรีปกคลุมไปทั่วทั้งโถง ปรากฏธารดาราพร่างพรายเต็มไปทั้งท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่านี่เป็นยันต์อักขระที่ยอดเยี่ยมที่สุด และคุณภาพของมันก็คือขั้นสุดยอด
หากกล่าวถึงขั้นสุดยอด มันเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระจะได้มาโดยวาสนาเท่านั้น ในบรรดาปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระนับพัน อาจไม่มีใครสามารถสร้างยันต์อักขระเซียนขั้นสุดยอดได้แม้แต่คนเดียว นับประสาอะไรกับยันต์ดาราเริงระบำ ในในภพเซียน บรรดาปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ก็มีไม่มากนัก
สิ่งนี้เป็นเหมือนกับการเชี่ยวชาญด้านทักษะประดิษฐ์ตัวอักษร ประสบการณ์ และสภาพจิตใจได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งปรมาจารย์ แต่การสร้างผลงานศิลปะที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ซึ่งสามารถสืบทอดอยู่ในประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นเรื่องสำหรับผู้มีวาสนาเท่านั้น
แต่ยามนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น กลับสามารถสร้างยันต์ยันต์ดาราเริงระบำขั้นสุดยอดได้สำเร็จ!
ดังนั้นมันจึงเหมือนกับความฝัน!
นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้สึกในใจ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่เฉินซีพูดคุยกับอู๋อี้ฟ่าน ในขณะสร้างยันต์อักขระ และหยุดมือในช่วงลมหายใจที่ยี่สิบห้า ก่อนจะเสร็จสิ้นในจังหวะสุดท้ายในลมหายใจที่สามสิบเจ็ด…
สิ่งนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้หรือว่า หากสร้างยันต์อย่างมีสมาธิ อย่างน้อยที่สุดเขาจะสามารถสร้างยันต์ดาราเริงระบำที่มีคุณภาพเช่นนี้ได้ภายในยี่สิบห้าลมหายใจ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจและรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้
“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้…” ในสนามประลอง อู๋อี้ฟ่านกล่าวคำเดิมซ้ำ ๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผลกระทบที่เขาได้รับนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นดวงตาสีแดงโลหิตคู่หนึ่ง และสีหน้าซีดเผือด สายตาจับจ้องไปยังเฉินซีที่กลับมายืนด้านข้างเหลียงปิง ก่อนจะคำรามออกมา “เจ้าต้องโกงแน่! ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์อย่างเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร? หากเจ้ามีความสามารถจริงก็มาประลองกันอีกครั้ง ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
เฉินซียิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “คุณชายอู๋ ข้าเตือนเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนสร้างยันต์อักขระ น่าเสียดายที่เจ้ายังคงยืนยัน เมื่อผลลัพธ์ถูกตัดสินแล้ว เจ้าก็ไม่ควรหลอกลวงตัวเองและผู้อื่นอีก”
“เจ้า เจ้า เจ้า…” อู๋อี้ฟ่านกัดฟันแน่น แต่ไม่สามารถกล่าวอะไรได้ เพราะเฉินซีได้กล่าวเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขากลับมองว่ามันเป็นการยั่วยุ
เถิงหลานที่อยู่ใกล้เคียงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คุณชายอู๋ โปรดระงับโทสะของเจ้า มันเป็นความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว และเป็นเพียงการประลองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก ข้าหวังว่าเจ้าจะอภัยให้แก่ตระกูลเหลียงของข้า หากเราทำให้เจ้าขุ่นเคือง ไม่ว่าทางใดก็ตาม”
แม้จะดูเหมือนเถิงหลานกำลังให้คำแนะนำ แต่แท้จริงแล้ว กลับเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยเพราะคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวโดยอู๋อี้ฟ่านมาก่อน และตอนนี้เถิงหลานได้คืนคำพูดนี้ให้แก่เจ้าของ
สีหน้าของอู๋อี้ฟ่านพลันแปรเปลี่ยนซ้ำไปซ้ำมา
ในขณะเดียวกัน ใครบางคนในฝูงชนก็กล่าวออกมาว่า “คุณชายอู๋ พวกเราทุกคนก็อยู่ที่นี่ จะปล่อยให้มีการโกงเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“แน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนสนามประลองนั้นเปิดเผยและตรงไปตรงมา จะมีคนใช้กลอุบายได้อย่างไร”
เพียงชั่วพริบตา สถานการณ์ในห้องโถงก็เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มกล่าวสนับสนุนเฉินซี และยกย่องชายหนุ่มสำหรับพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กล่าวทุกคำสรรเสริญที่พอจะนึกออกมาจนหมด
มันเกินจริงไปหรือไม่?
พวกเขาไม่คิดเช่นนั้น เพราะชายหนุ่มคนนี้สามารถสร้างยันต์ลำดับแรกของยันต์ต้องห้ามทั้งเจ็ดได้สบาย ๆ จะมีปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระในภพเซียนสักกี่คนที่ทำสิ่งนี้ได้?
ก่อนหน้านี้พวกเขาล่วงเกินเฉินซีอย่างเลวร้าย ดังนั้นหากไม่แก้ไขในตอนนี้ ก็จะผิดต่อเส้นทางการบ่มเพาะของพวกตน อย่างไรก็ตาม สถานะของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระในภพเซียนนั้นมีเอกลักษณ์และสูงส่งเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบุคคลนั้นเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระรุ่นเยาว์ พวกเขายิ่งต้องปฏิบัติด้วยความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น และแม้จะไม่สามารถผูกมิตร แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินได้เช่นกัน
บนสนามประลอง อู๋อี้ฟ่านโกรธจนตาแทบถลน และเกือบจะเป็นลม เขามีชาติกำเนิดอันสูงส่ง มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา เป็นตัวตนที่เหมือนพระจันทร์ล้อมรอบด้วยหมู่ดาวมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้วจะเคยได้รับความดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ได้อย่างไร?
ไม่ต้องกล่าวถึงการแสดงของเฉินซีที่ทั้งงดงามและอหังการ ดังนั้นแม้แต่ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระคนอื่นก็คงไม่อาจอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ได้
“ประเสริฐ ประเสริฐมาก! ข้าอู๋อี้ฟ่านจะจำสิ่งนี้ไว้ แล้วข้าจะมาขอคำชี้แนะจากคุณหนูเหลียงปิงในภายภาคหน้า!” หลังจากหายใจเข้าสองสามครั้ง อู๋อี้ฟ่านก็สามารถควบคุมความคลุ้มคลั่งในใจได้สำเร็จ จากนั้นจึงมองไปที่เฉินซีกับเหลียงปิงอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ทางออก แล้วหายไปในพริบตา
“คุณชายอู๋ คุณชายอู๋ โปรดรอสักครู่!” สีหน้าของเหลียงผิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด และตั้งใจจะไล่ตามอู๋อี้ฟ่านไป
ทว่าเสียงอันเยือกเย็นและไม่แยแสของเหลียงปิงก็ดังขึ้นรั้งเขาไว้จากทางด้านหลัง “เหลียงผิง จงมาที่ลานด้านหลัง มีบางสิ่งที่เราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!”
คำพูดของนางทั้งเด็ดขาดและดุดัน
ถ้าเฉินซีไม่อยู่ที่นี่ในเวลานี้ นางคงไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร และทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของเหลียงผิง แล้วเหลียงปิงจะทนให้เขาทำตามอำเภอใจต่อหน้านางได้อย่างไร?
สีหน้าของเหลียงผิงพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง เมื่อเขารู้ว่าคราวนี้จะต้องจบสิ้นด้วยน้ำมือของเหลียงปิงอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน เถิงหลานก็เดินออกมาได้ในเวลาที่เหมาะสม เขาชำเลืองมองฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก่อนจะแย้มยิ้ม แล้วกล่าวด้วยเสียงดังชัดเจน “ช่างเป็นการประลองที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ สหาย งานเลี้ยงเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งทาง ขอให้สนุกอย่างเต็มที่”
ทุกคนในห้องโถงชำเลืองมองซึ่งกันและกัน พวกเขาโล่งใจขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าเหลียงปิงไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในห้องโถงก็ไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะที่คึกคักเหมือนเดิม
นอกจากนี้ คนฉลาดบางคนยังก้าวไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่จะทำความรู้จักกับเฉินซี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจทำได้
เพราะเหลียงปิงได้ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับเฉินซีแล้ว
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เฉินซีและเหลียงปิงเดินเคียงข้างกันผ่านทางเดินคดเคี้ยว ดอกไม้และต้นไม้เติบโตที่ข้างทางเดิน ซึ่งถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกจาง ๆ ในขณะที่กลิ่นหอมสดชื่นลอยออกมาจากพวกมัน
“ขอบคุณ” เหลียงปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและเย่อหยิ่งพลันอ่อนโยนขึ้นมาก กลิ่นอายแห่งสูงส่งดั่งราชินีที่น่าเกรงขามของนางก็ลดลงเล็กน้อย
เฉินซีส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เจ้าช่วยข้ามามากแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นในภพยันต์อักขระ นิกายเก้ากระบี่เรืองรอง หรือทวีปสันติบูรพา เหลียงปิงได้ช่วยเหลือเขาไว้มาก และนี่คือเหตุผลที่เขายืนหยัดเพื่อนางในคืนนี้
ที่สำคัญเขาถือว่าเหลียงปิงเป็นสหาย และสหายก็ต้องช่วยเหลือกัน จริงหรือไม่?
“ข้าตั้งใจว่าจะไปหาท่านพ่อก่อน จากนั้นข้าจะเตรียมการเพื่อช่วยเจ้าเข้าสู่เทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปในวันพรุ่งนี้” เหลียงปิงไม่ใช่คนเสแสร้ง นางเปลี่ยนหัวข้อทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าเจ้าจะมีเวลาเตรียมตัวเพียงปีเดียว แต่ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะทำได้อย่างแน่นอนหาก”
เฉินซียิ้มและสงสัยเล็กน้อย เหลียงปิงตั้งใจจะเตรียมอะไรให้ตนบ้าง
แต่น่าเสียดาย พวกเขาได้มาถึงที่หน้าลานบ้านพักของเฉินซีแล้ว และเหลียงปิงก็กล่าวออกมาว่า “พักผ่อนเถิด ข้าจะมาหาเจ้าในตอนเช้า”
างยิ้มก่อนจะหันหลังจากไป รูปร่างเพรียวบางและสง่างามของนางก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วภายใต้ม่านราตรี
เดิมที เฉินซีตั้งใจจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมแพ้ไป
“ดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระหรือ? ข้าสงสัยว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ และเหตุใดถึงมียันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด… ”
หลังจากเฉินซีกลับมาที่ห้องของตน เขาหวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระที่เถิงหลานกล่าวถึงโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าถ้ายันต์ดาราเริงระบำมาจากดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระ แน่นอนว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับเจดีย์ต้าเหยี่ยน ในขณะที่เจดีย์ต้าเหยี่ยนมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเขาเทพพยากรณ์
น่าเสียดายที่ความรู้ของเฉินซีมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดเดาได้ เขาส่ายศีรษะและละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด ก่อนที่จะเข้าสู่โลกแห่งดาราในพริบตาต่อมา
โดยไม่รอช้า เขาเริ่มควบแน่นกฎแห่งหยินและหยาง
ในขณะเดียวกัน ในที่พักในส่วนลึกของตระกูลเหลียง เหลียงปิงมองไปที่ชายวัยกลางคนผู้สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ สีขาว มีท่าทางอบอุ่น และนั่งที่เก้าอี้ของผู้นำตระกูล “ข้าตั้งใจจะจัดการกับตระกูลสายรองของเหลียงผิง”
“ทำตามที่เจ้าต้องการเถิด” ชายวัยกลางคนยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเป็นกันเอง “เหลียงผิงนั้นไร้ค่า แต่เฉินซีคือคนที่ข้าสนใจ”
“ท่านอยากรู้อะไรหรือ?” เหลียงปิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง และนางรู้ว่าไม่สามารถปกปิดมันได้อีกต่อไป
ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มอันสง่างามและอ่อนโยน ดวงตาของเขาก็สงบนิ่ง แต่พวกมันกลับส่องกระพริบด้วยประกายระยิบระยับ “ในฐานะบิดา ข้าย่อมต้องการรู้ว่า ชายหนุ่มที่บุตรสาวของข้าห่วงใยเป็นใครกัน”
ใบหน้าที่สวยงามของเหลียงปิงแดงระเรื่อ “ท่านพ่ออยากรู้จริง ๆ หรือ?”
“แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าก็เป็นบุตรสาวของเหลียงเทียนเหิง ดังนั้น ข้าจึงต้องดูว่าเด็กคนนั้นคู่ควรกับเจ้าหรือไม่” ชายวัยกลางคนหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งแกมหยอกเย้า
มันคือบารมี อำนาจ และอิทธิพลของคนที่ปกครองตระกูลเก่าแก่ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดมาเป็นเวลานาน
เหลียงปิงลังเล ก่อนจะกล่าวในตอนท้ายว่า “เขาเป็นผู้สืบทอดแห่งเขาเทพพยากรณ์…”
พรู่ด!
เหลียงปิงยังกล่าวไม่ทันจบ แค่ได้ยินคำว่า ‘เขาเทพพยากรณ์’ เหลียงเทียนเหิงก็ตาเบิกกว้าง เขาพ่นชาออกมาจากปาก ทำให้อยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ อิทธิพล หรือความเย่อหยิ่ง มันไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว
—————————————