บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1053 เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้
บทที่ 1053 เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้
บทที่ 1053 เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้
อันดับที่สองร้อยสามสิบเก้า!
อันดับนี้ถือว่าไม่สูงมากนัก และไม่ค่อยเป็นที่สนใจ มันเหมือนกับพีระมิดที่ผู้คนมักจะให้ความสนใจกับยอดของมัน
แม้แต่ตัวเหลียงปิง นางอยู่ในอันดับที่แปดของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และมักให้ความสนใจกับชื่อทั้งเจ็ดที่อยู่เหนือนาง สำหรับผู้ที่อยู่ด้านล่างอย่างอินเฟิงเอ๋อร์และหลินเส้าฉี นางก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเขา
แต่ในยามนี้ สายตาของนางหยุดอยู่ที่อันดับสองร้อยสามสิบเก้าเป็นเวลานาน และไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้ ดูเหมือนนางจะไม่คาดคิดถึงเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ จากการประเมินของนาง การที่สามารถติดห้าร้อยอันดับแรก ก็เกินขีดจำกัดของเฉินซีแล้ว เพราะถึงอย่างไร ห้าร้อยอันดับแรกเกือบทั้งหมดก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับทั้งนั้น
ในทางกลับกัน เฉินซีที่อยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น และอยู่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนลึกลับ นางประเมินเฉินซีจากหลาย ๆ อย่างเช่น พรสวรรค์ พลังต่อสู้ เคล็ดวิชาบ่มเพาะ มรดกตกทอด และอื่น ๆ เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่าการประเมินก่อนหน้านี้ของเหลียงปิงนั้นเกินจินตนาการของคนจำนวนมากไปแล้ว
แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่านางยังคงประเมินศักยภาพของเฉินซีต่ำไป เขาไม่เพียงแค่พุ่งเข้าสู่ห้าร้อยอันดับแรกเท่านั้น แต่ยังแซงหน้าหลายอันดับไปอยู่ในอันดับที่สองร้อยสามสิบเก้าได้อีกด้วย!
เหลียงปิงจึงอดเหลือบมองชื่อที่อยู่ในอันดับที่สองร้อยสามสิบแปดไม่ได้ เหลียงถง ซึ่งบังเอิญเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเหลียง ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น และเข้าใจกฎแห่งมหาเต๋าได้สองชนิดแล้ว ทั้งพลังต่อสู้ในหมู่ศิษย์รุ่นใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของตระกูล
แต่ตอนนี้ เหลียงถงผู้มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียลึกลับขั้นต้น กลับถูกแซงหน้าโดยเฉินซีซึ่งอยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น! นี่หมายความว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีที่มีอยู่ตอนนี้ เพียงพอที่จะเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นที่เข้าใจพลังของกฎสองชนิดหรือไม่?
เหลียงปิงตกใจมาก ดังนั้นสีหน้าของนางจึงแปลกไป ดูทั้งตกใจ งงงวย ประหลาดใจ และเต็มไปด้วยความชื่นชม เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก
“มีอะไรผิดปกติหรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม และสงสัยเล็กน้อย เมื่อเห็นเหลียงปิงเงียบไปนาน “อาจเป็นเพราะอันดับของข้าต่ำเกินไป? แต่ข้าอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้นเอง…”
เหลียงปิงมองเฉินซีด้วยสายตาอ่านยาก “หรือเจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย?”
เฉินซีคิดกับตัวเองในใจ ‘เป็นเพราะอันดับของข้าต่ำเกินไปจริง ๆ’
เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ “เข้าใจแล้ว ข้าจะทุ่มเทบ่มเพาะให้หนักยิ่งขึ้นในอนาคต หากข้าสามารถควบแน่นกฎได้อีกสักสองสามชนิด ข้าเชื่อว่าอันดับของข้าจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย”
“เอ่อ…” ดวงตาสุกใสของเหลียงปิงเบิกกว้าง นางจ้องมองเฉินซีอย่างว่างเปล่า และไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
เถิงหลานมองจากด้านข้างด้วยความสนุกสนาน และระเบิดเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “เฉินซี เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าอันดับของเจ้าต่ำเกินไป แต่มันสูงเกินไปต่างหาก”
แล้วเขาก็อธิบายเกี่ยวกับเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปในทวีปทักษิณาให้เฉินซีฟัง
ทวีปทักษิณามีเมืองอยู่เก้าหมื่นเก้าพันเมือง มีสิ่งมีชีวิตมากมาย และอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ในขณะที่ขุมพลังภายในทวีปก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนมัจฉาในแม่น้ำ หากคาดการณ์ไม่ผิดเฉพาะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ในทวีปนั้นย่อมไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน
สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ แม้ว่าพวกเขาจะน้อยกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน
ภายใต้ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมหาศาลเช่นนี้ ผู้ที่สามารถมีชื่อติดอยู่ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปได้ ย่อมถือเป็นคนที่โดดเด่น และแม้จะไม่ใช่หนึ่งในล้าน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ถือได้ว่ามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
ในทางกลับกัน ผู้ที่สามารถติดอันดับหนึ่งพันอันดับแรกได้นั้น ถือเป็นบุคคลชั้นยอดของทวีปทักษิณา พวกเขาทั้งหมดล้วนมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและไม่ธรรมดา
ไม่ต้องกล่าวถึงห้าร้อยอันดับแรก ไม่มีเซียนสวรรค์ในพันอันดับแรกด้วยซ้ำ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่ามันยากเพียงใดที่เฉินซีจะติดอันดับที่สองร้อยสามสิบเก้า ในขณะที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น
คำอธิบายดังกล่าวทำให้เฉินซีเข้าใจในที่สุด แต่หาได้มีความสุขไม่
สี่พันเก้าร้อยทวีปในภพเซียน และทวีประดับแนวหน้าอย่างสี่มหาทวีป ซึ่งเป้าหมายของเฉินซีคืออยู่เหนือผู้คน ดังนั้นเขาจึงพุ่งเป้าไปที่เทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และอาณาเขตทั้งหมดของภพเซียน
อาจเป็นเพราะเฉินซีมีความมุ่งมั่น ทำให้เขาสามารถรักษาความสงบได้ตลอดเวลาและไม่มีอะไรมาสั่นคลอนจิตใจของตนได้
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าถ้าไม่ใช่เพื่อเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เฉินซีก็จะไม่ใส่ใจกับเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เพราะความคิดของเขาอยู่บนเส้นทางสู่เต๋า เฉินซีจะมีเวลาสนใจเกี่ยวกับอันดับของตนได้อย่างไร?
“ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะติดอันดับหนึ่งในพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าภายในหนึ่งปี มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ลับ” เหลียงปิงหายจากอาการตกใจแล้ว และดวงตาของนางก็เปล่งประกายราวกับดวงดาว
“สถานที่ลับหรือ?” เฉินซีครุ่นคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าหรือไม่?
…
ที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจตุรเทพ ณ โถงวิญญาณยุทธ์
นี่เป็นอาคารที่ใหญ่โต แต่ไม่จอแจ
เมื่อเหลียงปิงมาถึงพร้อมกับเฉินซี มีเพียงชายชราง่วงซึมอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่า เขากำลังสัปหงกในขณะใช้มือยันคางไว้
เฉินซีกวาดสายตาพินิจโดยรอบ และรู้สึกสับสนมากขึ้น เมื่อเขาไม่สังเกตเห็นอะไรที่พิเศษเลยในอาคารนี้ จึงไม่เข้าใจว่าเหลียงปิงพามายังสถานที่เช่นนี้ทำไม
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถาม เพราะเหลียงปิงจะเปิดเผยคำตอบในไม่ช้า
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องโถง เหลียงปิงก็โยนถุงลงบนโต๊ะ และกล่าวว่า “นี่คือศิลาอมตะหมื่นก้อน เตรียมป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ให้ข้า”
ชายชราลืมตาขึ้นและมองไปที่เหลียงปิงด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวพึมพำ “ยัยหนูปิง เมื่อไหร่เจ้าจะเรียนรู้ที่จะเคารพผู้เฒ่าเสียที?”
เหลียงปิงกอดอก และทำเสียงฮึดฮัด “บางทีข้าอาจจะเคารพเจ้า ในวันที่เจ้าไม่โลภกระมัง”
“ผายลมอันใด ถ้าข้าไม่โลภ ข้าก็คงไม่อาจปกป้องสถานที่นี้มาได้ถึงแปดพันปี” ชายชราเม้มริมฝีปาก ขณะที่เก็บถุงตรงหน้าไป จากนั้นเขาก็โยนป้ายคำสั่งสีม่วงเข้มลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเฉื่อยชา “มาเถิด จงเพ่งญาณมหาเทวะอมตะของเจ้าเข้าไป ถ้าเจ้าต้องการจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้”
เหลียงปิงส่งสัญญาณให้เฉินซีลงมือเสีย และเขาไม่ลังเลที่จะทำทันที ชายหนุ่มเพ่งญาณมหาเทวะอมตะของตนลงในป้ายคำสั่งหยกสีม่วงเข้มตามที่ได้รับคำสั่ง
โอม!
อึดใจต่อมา เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนถูกพัดพาไปกับคลื่นผันผวนที่แปลกประหลาด จากนั้นก็รู้สึกราวกับเปลวไฟกำลังลุกโชนในหน้าอกของเขา จิตต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบได้พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย เหมือนกลองศึกถูกตีภายในร่างกาย ทำให้เกิดเสียงดังก้องโหยหวนจากภายใน
มันร้อน!
มันร้อนมาก!
เหมือนทั้งมวลพลัง แก่นแท้ และจิตวิญญาณในร่างกายถูกจุดไฟพร้อมกับโลหิตของเขา แต่ก็เหมือนประตูที่ถูกเปิดขึ้น ณ ส่วนลึกของหัวใจเช่นกัน ทำให้จิตต่อสู้ที่ถูกขัดเกลาผ่านการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน ตลอดเส้นทางในการบ่มเพาะได้ถาโถมออกมาดุจกระแสน้ำเชี่ยวกราก
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เฉินซีไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าเงยหน้าขึ้น และกรีดร้องจนสุดเสียง และต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดกับสวรรค์
แต่บังเอิญว่าจิตใจของเขาสงบเหมือนหิมะ แต่การเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิตก็เผยให้เห็นถึงรายละเอียดเล็กน้อยภายในจิตใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดทนต่อจิตต่อสู้อันมหาศาลนี้อย่างแข็งขัน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้
ในเวลาเดียวกัน เหลียงปิงและเถิงหลานได้ขยับออกไปด้านข้าง เพื่อถอยห่างจากเฉินซี และแม้แต่ชายชราที่ปกป้องโถงวิญญาณยุทธ์ก็หลบออกไปไกลเช่นกัน
ทั้งสามคนแสดงอาการตกใจเล็กน้อย เพราะในสายตาของพวกเขา ร่างกายของเฉินซีกำลังส่งเสียงดังก้องด้วยจิตต่อสู้ที่ควบแน่นจนเป็นเหมือนวัตถุจับต้องได้ และมันพุ่งขึ้นไปที่ด้านบนสุดของห้องโถงเหมือนเสาควัน
จิตต่อสู้ที่เกรี้ยวกราดดุจมหาสมุทร เดือดพล่านเหมือนภูเขาไฟ เจิดจรัสเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์ คุกคามเหมือนดาบ… หากเป็นเซียนสวรรค์อื่น ๆ จิตต่อสู้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำลายเจตจำนงที่จะต่อสู้ของเซียนสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!
“จิตต่อสู้ที่เดือดพล่านจนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า! นี่มันกี่ปีแล้ว? หรือว่าสุริยันอันเจิดจ้ากำลังจะปรากฏขึ้นอีกดวงหนึ่ง” ดวงตาของชายชราที่เฝ้าห้องโถงเบิกกว้าง พวกมันระเบิดแสงเป็นวงโค้งที่น่าตกใจ และไม่มีอาการง่วงงุนอีกต่อไป
เขามีชีวิตอยู่มายาวนาน ได้เห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์มามากมาย แต่เขาจำได้ชัดเจนว่า ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ การดำรงอยู่ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ของจิตต่อสู้ที่เดือดพล่านจนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าได้นั่น ล้วนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในภพเซียน!
“ลุงหลาน ถ้าข้าจำไม่ผิด สุริยันอันเจิดจ้าทั้งหกของภพเซียน วิหคอมตะหยกว่านเจี้ยนเซิง อเวจีเหล็กเยี่ยถัง และพิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋ ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้เมื่อพวกเขาได้รับการทดสอบเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ ใช่หรือไม่?” เหลียงปิงกล่าวพึมพำ ดวงตาเผยให้เห็นความงดงามที่ไม่ธรรมดาและพลุ่งพล่านด้วยแสงหมอก ขณะจ้องมองเฉินซี
“ใช่แล้ว สิ่งที่สะท้อนออกมาโดยตรงที่สุดของเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ จะอยู่ในรูปแบบของจิตต่อสู้ เนื่องจากเฉินซีมีจิตต่อสู้เช่นนี้ เขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าในอนาคต”
เถิงหลานอุทานด้วยความชื่นชมเช่นกัน “ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต แต่เขาจะต้องไปถึงยอดที่สูงที่สุด ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน”
“ไม่ว่าในกรณีใด เมื่อเขาบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาย่อมเทียบได้กับสุริยันอันเจิดจ้าทั้งหก ถึงอย่างไร ยามว่านเจี้ยนเซิงทดสอบวิญญาณยุทธ์ เขาก็อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ในขณะที่เฉินซีอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น!” มุมปากของเหลียงปิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เนื่องจากเขาสามารถขัดเกลาเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ที่น่าตกตะลึงในขอบเขตเซียนสวรรค์เช่นนี้ เขาจะด้อยกว่าสุริยันอันที่เจิดจ้าทั้งหกดวงได้อย่างไร”
ในขณะเดียวกัน ชายชราที่ดูแลโถงวิญญาณยุทธ์ได้หันกลับมาและเอ่ยถาม “ยัยหนูปิง เจ้าไปพบคนผู้นี้มาจากที่ใด ถ้าข้าจำไม่ผิด ไม่มีใครในตระกูลเหลียงของเจ้าที่มีจิตต่อสู้ในระดับนี้”
เหลียงปิงตกตะลึง ก่อนจะคำรามออกมา “อยากรู้มากหรือ? ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
ยิ่งมีคนรู้เกี่ยวกับเฉินซีน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ดังนั้นนางจะไม่แพร่งพรายความลับกับคนอื่นเป็นอันขาด
ชายชรามีสีหน้าหดหู่ และกระทืบเท้า “ยัยหนู เจ้าอยากให้ข้าอยากรู้จนตายจริง ๆ หรืออย่างไร”
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหลียงปิงก็ยังคงเงียบ และทำให้ชายชราโกรธจนเดือดดาล เขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
ในที่สุดชายชราก็ถอนหายใจ “อันที่จริง ข้าจะได้รู้ในไม่ช้าก็เร็ว เพราะคนเช่นนี้จะกลายเป็นดวงดาวที่พร่างพรายในภพเซียน และโด่งดังไปทั่วใต้หล้าอย่างแน่นอน”
เฉินซีที่ตกอยู่ในสภาพประหลาดไม่ได้ยินสิ่งนี้ เมื่อเขาตื่นขึ้น เหลียงปิงกับคนอื่น ๆ ก็กลับสู่ความสงบ แต่สายตามองมา ยังคงเต็มไปด้วยความตกใจที่ไม่สามารถขจัดออกได้
“ทำไมพวกเขาถึงมีสายตาแปลก ๆ เช่นนั้น?”
เฉินซีขมวดคิ้ว มองเหลียงปิง เถิงหลาน และชายชราด้วยความงุนงงอย่างมาก
“นี่คือป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ของเจ้า จงดูแลมันให้ดี ไว้ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟัง เมื่อเราออกจากที่นี่แล้ว” เหลียงปิงคว้าป้ายคำสั่งหยกสีม่วงเข้มบนโต๊ะและมอบให้เฉินซี ก่อนที่นางจะเหลือบมองชายชราด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นก็รีบจากไปพร้อมกับเฉินซี ราวกับกลัวว่าชายชราจะใช้กำลังเพื่อหยุดเฉินซีไม่ให้จากไป