บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1056 หญิงสาวผู้ดื้อรั้น
บทที่ 1056 หญิงสาวผู้ดื้อรั้น
เสียงนั้นเผยให้เห็นถึงความเย็นชา ความดื้อรั้น และความเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยน้ำเสียงแกมออกคำสั่ง ทำให้คนอื่นรับรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มาด้วยเจตนาร้าย
ทว่าเหลียงปิงยังคงเฉยเมย และไม่สนใจเสียงนั้นเลยสักนิด ก่อนจะพาเฉินซีจากไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงนั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง เฉินซีเห็นร่างงดงามพุ่งเข้ามาจากระยะไกล และทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใกล้เคียงตกใจจนต้องหลีกทาง นางดูดื้อรั้นมาก
แต่เมื่อเห็นใบหน้าของร่างนั้นชัดเจน ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นก็ได้แต่โกรธ แต่ไม่กล้ากล่าวอะไร ในขณะที่ท่าทางของพวกเขายังปรากฏร่องรอยของความนอบน้อมและความเคารพอยู่
นางคือหญิงสาวที่สวมชุดราชวงศ์สีน้ำเงินเข้มปักลวดลายดอกไม้สีทอง มีเอวสมส่วน รูปร่างบอบบาง หน้าตาขาวสวยและสะกดสายตา แต่ถึงนางจะสวยเยี่ยงไร แต่หว่างคิ้วกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและดุร้าย เหมือนนกยูงที่เย่อหยิ่งและดูจองหองในทุกกระเบียดนิ้ว
“อินเฟิงเอ๋อร์จากตระกูลอินแห่งเมืองจตุรเทพ!”
“ไม่น่าแปลกใจที่กล้ากล่าวเช่นนี้กับเหลียงปิง ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง”
“ข้าได้ยินมาว่า อินเฟิงเอ๋อร์ได้เข้าพักในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เพื่อรอเหลียงปิง ทั้งยังประกาศว่า นางตั้งใจที่จะขับเหลียงปิงออกจากสิบอันดับแรกด้วย”
“หากเป็นเช่นนั้น วันนี้คงมีการที่ต่อสู้น่าตื่นใจแล้วกระมัง?”
การมาถึงของหญิงสาวได้ดึงดูดความสนใจจากผู้เยี่ยมยุทธ์โดยรอบสนามประลองระดับแรกเป็นอย่างดี ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามประลองก็ยังให้ความสนใจกับเรื่องนี้เช่นกัน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ชื่อเสียงของอินเฟิงเอ๋อร์ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลียงปิงเลยแม้แต่น้อย
“ที่แท้นางคืออินเฟิงเอ๋อร์ ไม่น่าแปลกใจที่เหลียงปิงเรียกนางว่า ‘หยิ่งยโส’ เพราะดูเหมือนนางจะดื้อรั้นมากจริง ๆ… ” เฉินซีนึกถึงฉากที่กำแพงแสงก่อนหน้านี้ หลัวจื่อเฟิง บุตรชายคนโตของตระกูลหลัวได้กล่าวว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนจะท้าทายเหลียงปิงในอนาคตอันใกล้นี้
ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในนั้นคืออินเฟิงเอ๋อร์ ตัวตนอันน่าเกรงขามในอันดับที่สิบเอ็ดของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมอินเฟิงเอ๋อร์ถึงดื้อรั้นและหยิ่งยโสขนาดนี้
เพราะความสามารถของนางอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พลังฝีมือของนางได้ยืนอยู่เหนือผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลาย นอกจากนี้นางยังมาจากตระกูลอิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ดังนั้นภูมิหลังของนางจึงได้รับความเคารพอย่างมาก ทำให้นางสามารถทำตัวหยิ่งผยองและดื้อรั้นได้ตามอำเภอใจ
ทันทีที่อินเฟิงเอ๋อร์มาถึง นางก็ยืนขวางทางเหลียงปิง ก่อนจะเชิดคางขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหลียงปิง เจ้าไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวหรือ?”
เหลียงปิงย่อมได้ยิน แต่นางไม่ได้ใส่ใจอินเฟิงเอ๋อร์เลยสักนิด “ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า เจ้าไม่คู่ควร ขอจงระวังคำพูดแล้วหลีกทางซะ”
เสียงของนางเย็นชา ราบเรียบ และแข็งกร้าวอย่างถึงที่สุด
เฉินซีลอบหัวเราะในใจ ถ้าอินเฟิงเอ๋อร์ถูกกล่าวว่าเป็นเจ้าหญิงน้อยที่ดื้อรั้นและหยิ่งยโส เหลียงปิงก็เป็นราชินีที่สูงส่งและสง่างาม คำพูดสบาย ๆ ของนางก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจอย่างชัดเจน เหมือนกับกำลังตำหนิเด็กน้อยไม่มีผิด
ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ย่อมสามารถรับรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนี้ได้อย่างดี ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ คงมีเพียงเหลียงปิงเท่านั้นที่กล้าตำหนิอินเฟิงเอ๋อร์เช่นนี้
เมื่ออินเฟิงเอ๋อร์ได้ยินเหลียงปิงดูถูกนาง ใบหน้าสวยงามพลันเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย “ฮึ่ม! ดูเหมือนว่าเจ้าจะหวาดกลัวข้าสินะ เพราะเจ้าคงกังวลว่าจะไม่สามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในเมืองจตุรเทพได้ หากฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับข้า”
เหลียงปิงขมวดคิ้ว “สาวน้อย บางทีข้าอาจสนใจหากคู่ต่อสู้คืออินเหมียวเมี่ยว พี่สาวของเจ้า แต่สำหรับตัวเจ้าอย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย ก่อนที่ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าจะต่ำลงมากกว่านี้”
ว่าจบก็เดินนำเฉินซีต่อไป และไม่สนใจอินเฟิงเอ๋อร์ที่ยังคงขวางทางเลยสักนิด
ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่จั้ง ดังนั้นเมื่อนางเห็นเหลียงปิงแสดงท่าทีเช่นนี้ ใบหน้าของอินเฟิงเอ๋อร์ก็ยิ่งเย็นยะเยือก ราวกับถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง จนกระทั่งถึงจุดที่เหลียงปิงอยู่ห่างเพียงสามก้าว อินเฟิงเอ๋อร์ก็กัดฟันและหลบไปทางด้านข้างอย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
การกระทำนี้ แสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นระหว่างพวกนางทันที
แต่ทุกคนล้วนทราบอย่างชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอ เพราะตามกฎของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เว้นแต่จะเป็นการทะเลาะวิวาทในสนามประลอง การกระทำทั้งหมดที่อาจถูกมองว่าเป็นการยั่วยุนั่นเป็นสิ่งต้องห้าม มิฉะนั้น บุคคลนั้นจะถูกขับออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
“ช่างน่ารังเกียจ! นังสาวเลว! เจ้าไม่กล้ายอมรับคำท้าทายของข้า แต่ใช้กฎของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เจ้าเป็นทายาทของตระกูลเหลียง แต่เจ้ากลับไม่มีความกล้าเลยด้วยซ้ำ!” แต่สำหรับอินเฟิงเอ๋อร์ การกระทำนี้นับว่าเป็นการดูถูกอย่างใหญ่หลวง และไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้อีกต่อไป นางจึงกรีดร้องออกมาเสียงแหลม
ทุกคนประหลาดใจ และไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง
“ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ แม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้าที่นี่ไม่ได้ แต่ในโลกภายนอกก็จงควรระวังตัวไว้ให้ดี มิฉะนั้น แม้แต่ไอ้พวกเฒ่าในตระกูลเหลียง ก็ไม่อาจสามารถช่วยเจ้าได้”
ทันใดนั้น เหลียงปิงก็หยุดเคลื่อนไหว แม้จะไม่หันกลับมา แต่เสียงของนางก็เผยให้เห็นถึงจิตสังหารอันแข็งแกร่ง ราวกับกำลังตัดสินโทษตาย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนอ้าปากค้าง ตามอุปนิสัยของเหลียงปิงแล้ว หากนางยื่นคำขาดเช่นนี้ นางจะต้องทำตามที่กล่าวอย่างแน่นอน
ใบหน้าของอินเฟิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จากนั้นหัวเราะเยาะ “ประเสริฐมาก แล้วข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองจตุรเทพ!”
ดูเหมือนนางยังรู้สึกไม่พอใจ จึงสบถออกมาอีกคำ “นังแพศยา”
เพียะ!
ในชั่วพริบตา เหลียงปิงก็หันกลับมา และเหวี่ยงมือออกไป ทำให้เกิดแรงไร้รูปร่างฉีกผ่านอากาศและตบลงบนใบหน้าของอินเฟิงเอ๋อร์อย่างรุนแรง ทำให้ผิวขาวของนางกลายเป็นสีแดงและปูดบวมทันที ในขณะที่ร่างของนางปลิวว่อนประหนึ่งว่าวป่านขาด พร้อมกับร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช!
ทุกคนตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น แม้แต่อินเฟิงเอ๋อร์เองก็ไม่เคยคาดคิดว่าเหลียงปิงจะกล้าละเมิดกฎของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ และลงมือกับนางโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มิฉะนั้นนางคงสามารถรับมือกับการโจมตีนี้ได้สบาย ๆ ไปแล้ว
“เจ้า…เจ้า…เจ้า… เจ้ากล้าที่จะฝ่าฝืนกฎจริง ๆ หรือ!? หรือเจ้าไม่กลัวถูกขับไล่ออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้?” อินเฟิงเอ๋อร์จับใบหน้าที่แดงและปูดบวมของตน ในขณะที่กล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ถ้าข้าถูกขับไล่แล้วจะทำไม? ข้าตั้งใจจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ไม่มีเวลาเล่นกับเจ้าในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้หรอก” เสียงของเหลียงปิงนั่นไม่แยแสและสงบนิ่ง ราวกับกำลังมองคนโง่ มันทำให้อินเฟิงเอ๋อร์ทั้งโกรธและอับอาย จนแทบกลายเป็นบ้า
โอม!
ทันใดนั้น คลื่นความผันผวนพลันปรากฏขึ้น แผ่กลิ่นอายเยือกเย็น เฉยเมย และไร้ความรู้สึก ก่อนจะควบแน่นเป็นเงาร่าง ฟ้าดินก็เหมือนจะเงียบสนิททันควัน
ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนรู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจอย่างพร้อมเพรียงกัน เทพที่รวมตัวจากกฎแห่งฟ้าดินและจุติลงมา ทำให้พวกเขาตัวแข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนใด ๆ
เช่นเดียวกับเฉินซี เขารู้สึกตกตะลึง กฎแห่งฟ้าดินกำลังก่อตัว?
“ก่อการทะเลาะวิวาทและสร้างปัญหา ทั้งยังฝ่าฝืนกฎบัญญัติ เจ้าถูกห้ามเข้าดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เป็นเวลาหกเดือน!” น้ำเสียงนั้นปราศจากอารมณ์ มันสงบและไร้ความรู้สึก และเมื่อร่างที่ปกคลุมด้วยแสงอันไร้ขอบเขตโบกมือ เฉินซีก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งแวบวับผ่านตาของเขา ก่อนที่ร่างของเหลียงปิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จะหายไป
หลังจากนั้น ร่างเรืองแสงก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พลังงานในฟ้าดินกลับคืนสู่ปกติ พร้อมกับการหายตัวไปของเหลียงปิง กลิ่นอายอันน่ากลัวในอากาศก็หายไปเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ ทำให้เฉินซีเข้าใจความไม่ปกติของกฎในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้มากขึ้น และมันยากมากที่จะจินตนาการว่า จักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้สร้างดินแดนอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไรในช่วงบรรพกาล
“เพียงหกเดือนเองหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” อินเฟิงเอ๋อร์พึมพำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง อีกทั้งดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชัง
นางเหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่ไกลออกไป ความแค้นและความเกลียดชังในใจพลันรู้สึกเหมือนได้พบที่ระบายในทันที นางจึงตวาดเสียงกร้าว “ไอ้เด็กโสโครก! เจ้าเป็นชู้รักของนังเหลียงปิงใช่หรือไม่? หากเจ้าไสหัวกลับไปแล้ว จงไปบอกเหลียงว่าข้าอินเฟิงเอ๋อร์ จะตอบแทนความเกลียดชังนี้เป็นสิบเท่าอย่างแน่นอน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”
นางไม่เพียงดื้อรั้นแต่ยังป่าเถื่อนหยาบคาย เสมือนหญิงปากร้ายที่ไร้เหตุผลตามท้องตลาด ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ในบริเวณใกล้เคียงส่ายศีรษะเมื่อเห็นสิ่งนี้
เฉินซีเพียงขมวดคิ้ว และรำคาญเกินกว่าจะใส่ใจกับหญิงบ้าคนนี้ เขาจึงหันหลังกลับ ตั้งใจจะจากไป
“เจ้า…หยุดอยู่ตรงนั้นซะ!” เมื่อนางเห็นว่ามดตัวน้อยที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นกล้าเมินนาง อินเฟิงเอ๋อร์ก็โกรธจัด และพุ่งไปข้างหน้าหมายจะขัดขวางเฉินซี
แต่นางเห็นเพียงแสงเส้นหนึ่ง ก่อนที่ร่างของเฉินซีจะหายวับไปจากตรงนั้น
“มันหนีไปแล้ว ไอ้สารเลว! อย่าให้ข้าเจอเจ้าในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ มิฉะนั้นละน่าดู!” อินเฟิงเอ๋อร์โกรธจนใบหน้าซีดขาว และนางเกือบจะกลายเป็นบ้า
นางยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนที่จะฟื้นคืนสติเล็กน้อย จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นผู้คนรอบ ๆ มองนางด้วยสายตาแปลก ๆ คิ้วอันงดงามขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไม? พวกเจ้าก็รนหาที่ตายด้วยหรือ?
ทุกคนต่างเบือนหน้าไปทางอื่นในทันที แล้วจากไปโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาไม่ใช่เหลียงปิง และไม่ว่าจะเป็นพลังฝีมือหรือภูมิหลัง ก็ไม่สามารถเทียบกับอินเฟิงเอ๋อร์ได้แม้แต่ปลายเส้นผม
อินเฟิงเอ๋อร์รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นนางก็กัดฟันแค่นเสียงเย็น “ไม่มีทาง! ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด!”
…
ภายในห้องลับ ร่างของเฉินซีนั่งนิ่งขัดสมาธิอยู่ ก่อนจะลืมตาขึ้น ขณะนึกถึงทุกสิ่งที่เขาประสบก่อนหน้านี้ ยังรู้สึกว่าเหมือนกับฝันอยู่เสียสักหน่อย
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหลียงปิงที่อยู่ใกล้เคียงเอ่ยถาม
“ดีมาก” เฉินซีพยักหน้า “อินเฟิงเอ๋อร์คนนั้น…”
เหลียงปิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องกังวล นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่หยิ่งผยองและเจ้าเล่ห์ เมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ในอนาคต เจ้าก็ต้องระวังเล่ห์เหลี่ยมสกปรกของนางไว้ให้ดี ยัยเด็กนั่นเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและพยาบาทมาก เมื่อไม่สามารถทำอะไรข้าได้ นางจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าแทน”
เฉินซียิ้มและไหวไหล่ “เข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัว”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางสิ่งได้และถามว่า “ร่างนั้นที่เคลื่อนไหวต่อต้านเจ้า เกิดจากกฎแห่งฟ้าดินในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว นั่นคือราชทูตของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เป็นร่างที่ก่อตัวขึ้นจากกฎแห่งเต๋าสวรรค์ ถือว่าเป็นผู้พิทักษ์กฎของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ก็ว่าได้” เหลียงปิงอธิบาย “เจ้าขาดสิ่งใดในการบ่มเพาะหรือไม่? เช่นพวกศิลาอมตะ สมบัติวิเศษ โอสถทิพย์ ข้าจะได้เตรียมให้ เจ้าจะได้ปิดด่านบ่มเพาะอย่างไม่เป็นกังวล อ้อ ที่ใต้ห้องส่วนตัวนี้ก็มีชีพจรเซียนอันยอดเยี่ยม และจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเจ้าอย่างมาก”
เฉินซีตกตะลึง เพราะยังมีหลายอย่างที่ยังขาดอยู่ เช่น ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน วัตถุดิบเซียนสำหรับขัดเกลาคุณภาพของยันต์ศัสตราเป็นต้น
“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้ามีเวลาเตรียมตัวแค่หนึ่งปี ถ้าเจ้าพึ่งพาตัวเองเพียงอย่างเดียว เจ้าอาจถูกรบกวนด้วยเรื่องเล็กน้อยต่าง ๆ ได้ ดังนั้นทำไมเจ้าถึงไม่มอบหมายมันให้กับข้า ข้าจะได้ช่วยเจ้าแบ่งเบาภาระ เจ้าจะได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างเต็มที่” เหลียงปิง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เฉินซีก็ไม่ใช่คนโลเลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทันที “เอาล่ะ ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
เหลียงปิงเพียงยิ้มเบา ๆ รอยยิ้มของนางเหมือนดวงตะวันในฤดูหนาว เปล่งประกายความงามที่ทำให้ดวงวิญญาณสั่นคลอน
นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเฉินซีไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเหมือนคนนอกอีกต่อไป