บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 106 อสูรปรสิตหกปีก
บทที่ 106 อสูรปรสิตหกปีก
บทที่ 106 อสูรปรสิตหกปีก
บนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ มีเพียงโขดหินและดินทรายทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลุ่มควันสีเหลืองหม่นปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ เฉินซีกดปลายเท้าเหยียบลงบนพื้น ฉับพลันเขาสัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงใต้เท้า ในใจกระตุกวูบ… ‘พลังปฐพีที่ห้าช่างแน่นหนาอะไรเช่นนี้!’
‘ที่นี่หรือคือบททดสอบสรวงสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง’ เฉินซีสังเกตไปรอบข้าง ทันใดนั้นเสียงแก่ ๆ บ่งบอกอายุดังมาเข้าหู
“ขอบเขตปฐพีที่ห้า!”
“ยืนหยัดหกชั่วยาม ต้านจู่โจมอสูรปรสิตหกปีก!”
“หากกำจัดอสูรปรสิตหกปีกได้มาก รางวัลก็ยิ่งมาก!”
“ผู้ที่เคยฝึกวิชาแปลงดาราสังหารเอกภพ หากกำจัดอสูรปรสิตหกปีกได้เก้าพันเก้าร้อยตัวด้วยปราณจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าของตนเอง เจ้าจะได้รับพลังอิทธิฤทธิ์ ฝ่ามือมหาดาราของเรา!”
‘ฝ่ามือมหาดาราอย่างนั้นหรือ’ เฉินซีรู้สึกใจเต้นระทึกขึ้นทันที
‘หลังจากฝึกบ่มเพาะปราณจ้าววิญญาณทักษะแปรสภาพกายาได้อย่างหนึ่งแล้ว จะสามารถฝึกพลังอิทธิฤทธิ์อันน่าพรั่นพรึงมากมายได้อีกอย่างหนึ่ง พลังดังกล่าวสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างในโลกนี้ อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาลอย่างร่างแปลงสวรรค์ หมัดแปลงภูผาและกายาเงาทองคำ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังอิทธิฤทธิ์อันโด่งดังลือเลื่อง!
เสียงพูดที่ดังขึ้นก่อนหน้าเอ่ยประโยคสุดท้าย สำหรับข้ามันฟังชัดเจนแจ่มแจ้งมาก ใช่แล้ว …ข้าฝึกวิชาแปลงดาราสังหารเอกภพ และมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับการสืบทอดผ้าคลุมของผู้อาวุโสฝูซี’
‘แตกต่างกับผู้ฝึกบ่มเพาะคนอื่นที่บุกเข้าไปถึงที่พำนัก ข้าอาจโดนทำลายด้วยบททดสอบสรวงสวรรค์ขั้นที่หนึ่งนี่แหละ หากต้องตายก็ไม่กังวลเลยสักนิด…’ เฉินซีหวนนึกถึงข้อมูลที่ได้รับจากจี้อวี๋ทั้งหมด ในเมื่อมาแล้วก็ลงมือเลยแล้วกัน ไม่ว่าเจ้าอสูรปรสิตหกปีกจะน่าเกรงขามเพียงใด อย่างน้อยก็จะสู้ให้ถึงที่สุด และจะสู้จนกว่าจะหมดแรง ข้าต้องนำพลังอิทธิฤทธิ์ฝ่ามือมหาดารามาให้ได้!
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว! ฟิ้วววว!
จู่ ๆ ในอากาศก็ปรากฏกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มออกมาทะยานหมุนเวียนรอบเฉินซี กระบี่ทุกเล่มสาดแสงเปล่งรัศมีขณะที่เหินวนไปมา ‘ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าไอ้เจ้าอสูรปรสิตหกปีกมันคืออะไร กันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ข้าจะใช้ทักษะกระบี่จัดการพวกมัน เมื่อใดที่พบจุดอ่อนก็ค่อยใช้ปราณจ้าววิญญาณ…’
ปัง! ตุบ! ตุบ!
ช่วงที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นเป็นลูกคลื่นปานฟ้าร้องพลันดังมาแต่ไกล เสียงนั้นดังกึกก้องเหมือนเวลาก่อนที่กองทหารเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในสนามรบ ถึงกับทำให้ทั่วผืนฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน กลุ่มหมอกควันที่ลอยหมุนสูงขึ้นไปสองร้อยจั้งเริ่มฟุ้งกระจาย
‘นั่นมันอะไร?’ เฉินซีหรี่ตาลง
ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันที่ปกคลุมกำลังม้วนตัว สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาก็พุ่งทะยานราวทำนบแตก เหมือนเสือโคร่งแต่ไม่ใช่ เหมือนเสือดาวแต่ก็ไม่ใช่อีก มันตัวใหญ่มหึมาราวกับช้างโบราณและมีสีเหลืองเข้มตลอดตัว ดวงตาแดงก่ำเหมือนคบเพลิงที่กำลังลุกโชน บนหลังประกอบด้วยปีกหกปีกงอกออกมา กีบเท้าใหญ่สี่กีบขนาดเท่ากับเสายักษ์สี่ต้น
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วอย่างเต็มที่จนบังเกิดเสียงดังสนั่น คลื่นพลังอำมหิตและดุร้ายแผ่ออกมาทั่วร่าง
ชั่วพริบตาเสียงฝีเท้าดังกระหึ่มมาจากรอบด้าน ขณะที่การเคลื่อนที่ของพวกมันเกิดจากพลังผลักดันบางอย่างที่น่าเกรงขาม
อสูรปรสิตหกปีกสินะ เฉินซีหรี่ตามอง ในใจปราศจากซึ่งความหวาดกลัว จะมีก็เพียงอารมณ์คุกรุ่นของความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ที่กำลังพลุ่งพล่านดุจหินร้อนหลอมละลายรอการปะทุ
ฟิ้ววว!
เฉินซีกระตุ้นเคล็ดวาตะเหินทะยาน ร่างกายเหมือนดั่งกระแสลมกระโชกแรงอย่างกะทันหัน พลันสายฟ้าแลบแปลบปลาบขณะที่เหินขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งอยู่ออกไปกว่าสิบลี้ และมีความสูงกว่าสองร้อยจั้งทันที เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรปรสิตหกปีกที่พุ่งมาจากรอบทิศทาง การปักหลักต่อสู้อยู่กับที่จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกตัดสินโทษประหาร
“กรรร! กรรร! กรรร!” เหล่าอสูรปรสิตหกปีกนับหลายร้อยตัวที่โอบล้อมอยู่รอบตัวส่งเสียงคำรามข่มขวัญ ขณะที่เท้าย่ำลงไปบนก้อนหินก็เกิดเสียงกึกก้องพร้อมกับพุ่งเข้าหาเฉินซี พวกมันมีรูปร่างใหญ่โตก็จริงแต่ว่องไวอย่างน่าตกใจ เพียงวูบเดียวก็เข้าประชิดถึงตัวชายหนุ่มเสียแล้ว
“ตายเสียเถอะ!” เขาดีดตัวลอยขึ้นสูง แปรสภาพกลายเป็นกระแสลมอื้ออึง ไร้รูปลักษณ์ไปพร้อมกับกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มทะยานวนรอบกาย ขณะพุ่งตรงไปยังกลุ่มอสูรปรสิตหกปีก
กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งเฉียบคมและยิ่งผนึกเต๋าแห่งสายลม ด้วยพลังอำนาจจึงน่ากลัวอย่างหาสิ่งใดเปรียบ เมื่อสามอสูรปรสิตหกปีกที่กระโจนเข้าใส่ตรง ๆ พวกมันจึงมิทันตอบโต้กลับก็ถูกกระบี่ท่องปรภพฟาดฟันแหลกสลายไปทันที จนแข้งขาขาดสะบั้น เศษชิ้นส่วนกระจายทั่วพื้นดิน
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
ลำแสงกระบี่ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังขณะที่เคลื่อนไปรอบตัวเฉินซี พวกมันไม่ต่างอะไรกับลมพายุที่อยู่ในรูปใบมีดคมกริบจำนวนมากฟาดกวาดไปทุกทิศทาง อีกทั้งยังหักเลี้ยวเบี่ยงหลบราวกับเป็นบ้าเป็นหลัง ที่ใดที่ตวัดฟาดฟันจะปรากฏเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชดังขึ้นและมีซากล้มตาย ชิ้นส่วนอวัยวะแข้งขา ทั้งกระดูกกระเดี้ยวถูกตัดขาดกระจายว่อนไปในอากาศ เป็นภาพเหตุการณ์การนองเลือดอย่างแท้จริง
“ฆ่ามัน!” ยามนี้ความมุ่งมั่นการต่อสู้ของเฉินซีพุ่งทะยานอย่างแรงกล้า เมื่อตั้งหน้าตั้งตาที่จะสังหารหมู่พวกมัน แต่ในจิตใจอดหวนนึกไปถึงเบาะแสของแก่นแท้ของเต๋าแห่งกระบี่ที่สังเกตเห็นบนแผ่นจารึกในสุสานกระบี่
ทักษะกระบี่ของเขายามนี้ค่อยเฉียบคมขึ้นและตวัดเร็วขึ้นทุกขณะ อีกทั้งยังปลดปล่อยญาณแห่งนิพพานเป็นเงาเลือนราง ปัดผ่านกวาดเอาทุกสิ่งอย่างด้วยความมุ่งมั่นและทำลายล้างอย่างรุนแรงได้ง่ายดาย
‘เป็นอย่างที่คิด นายเก่าของหลิงไป๋น่าเกรงขามมากจริง ๆ เขาเพียงจารึกมันไว้บนแผ่นป้ายสุสานกระบี่ แต่ก็ยังมีประโยชน์แก่ข้าซึ่งเพียงแค่สังเกตเห็นเท่านั้น ถ้าเชี่ยวชาญเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อนั้นทักษะกระบี่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างแน่นอน!’
ฟิ้ววว!
ฝูงอสูรปรสิตหกปีกหลายร้อยตัวถูกกำจัดแล้ว แต่เมื่อมองไปยังไกลห่าง เขาก็พบว่ายังมีปรสิตหกปีกไหลทะลักออกมาเรื่อย ๆ จนเนืองแน่น!
“ฆ่ามัน!” เฉินซีไม่มัวเสียเวลาอีกต่อไป เขาพุ่งเข้าหากลุ่มอสูรร้ายและลงมือฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ขณะเดียวกันก็พยายามสังเกตจุดอ่อนและจุดตายของเจ้าอสูรปรสิตหกปีกไปด้วย
สำหรับเฉินซี การใช้ปราณจ้าววิญญาณปราบฝูงอสูรปรสิตหกปีกมากถึงเก้าพันเก้าร้อยตัว เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ด้วยที่สุดแล้วเขาเพียงแต่ควบคุมปราณจ้าววิญญาณได้เท่านั้น ซึ่งยังขาดการฝึกฝนและลงมือใช้งานปราณจ้าววิญญาณอย่างจริงจัง ยิ่งกว่านั้นไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ ชายหนุ่มเพียงใช้หมัดถล่มทลายอย่างเดียวเท่านั้น!
สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าใช้พลังปราณแท้ไม่ได้ก็จะใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานไม่ได้ และทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงมาก ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกฝูงอสูรปรสิตหกปีกจู่โจมเป็นวงกว้างเช่นนี้ เมื่อความว่องไวลดทอนลง ส่งผลให้แรงกดดันของเฉินซีเพิ่มมากขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าได้ล่วงรู้จุดอ่อนหรือจุดตายของอสูรปรสิตหกปีก การต่อสู้ของเขาคงจะง่ายขึ้นมาก และการใช้ปราณจ้าววิญญาณทำลายอสูรปรสิตหกปีกเก้าพันเก้าร้อยตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“หือ” เฉินซีเริ่มสิ้นหวังขณะเดียวกันก็สังเกตพบว่าฝูงอสูรปรสิตหกปีกที่พุ่งออกมาเรื่อย ๆ กลับมีพลังแกร่งกล้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว พลังแกร่งกล้าหรือสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ยิ่งยากจะเอาชนะกว่าเดิมมาก
จากเดิมที่ใช้ทักษะกระบี่เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถทำลายอสูรปรสิตหกปีกทั้งฝูง ทว่าตอนนี้อาจต้องใช้สองกระบวนท่าหรือสามหรือมากกว่านั้น…
ราวหนึ่งก้านธูปผ่านไป
ชายหนุ่มกำจัดอสูรปรสิตหกปีกไปแล้วไม่น้อยกว่าสองถึงสามพันตัว พื้นดินเวลานี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาตา และเป็นไปได้ยากที่จะกำจัดพวกมันอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยมอย่างคราแรกเสียแล้ว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ลำแสงกระบี่ว่องไว ทั้งเด็ดขาดและเฉียบคม ในสามอึดใจภายใต้วงล้อมของกระบี่ท่องปรภพทั้งแปด กำจัดอสูรปรสิตหกปีกได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น อสูรสัตว์ประหลาดอำมหิตเหล่านี้ดูเหมือนผ่านการแปลงสภาพภายนอกมาแล้ว พวกมันมีผิวหนังแข็งดั่งหินผาและพละกำลังก็เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า เมื่อจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน แค่กลิ่นพลังอำมหิตรอบกายก็ทำให้แรงกดดันพุ่งขึ้นอย่างกะทันหัน
ให้ตายสิ! ถ้าสัตว์อสูรมีพลังแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นต่อไปเช่นนี้ หากไม่ใช้ปราณจ้าววิญญาณ ข้าคงไม่อาจต้านทานพวกมันไม่ได้แน่! ยิ่งต่อสู้มาก ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ทวีขึ้น อีกอย่างจนถึงบัดนี้เขายังมองไม่เห็นจุดอ่อนร้ายแรงของอสูรปรสิตหกปีกพวกนี้เลยน่ะสิ!!
ถ้ารู้อย่างนี้คงใช้ปราณจ้าววิญญาณต่อสู้ไปแล้ว ช่างเหอะ… ตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะนำออกมาใช้ เฉินซีขบกรามแน่นก่อนทะยานวูบออกไปอย่างรวดเร็ว จนไปถึงยังพื้นที่ที่อสูรปรสิตหกปีกค่อนข้างจะเบาบางพร้อมกับเก็บกระบี่บินเข้าที่
กายาดั่งคันธนู!
กำปั้นดั่งศรคม!
เฉินซีผลักปราณจ้าววิญญาณให้เกิดการหมุนเวียน ก่อนจะเหวี่ยงหมัดถล่มทลายฟาดใส่ฝูงอสูรปรสิตหกปีกอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
ระเบิดเสียงดังสนั่นเลือนลั่น พร้อมกับร่างขนาดมหึมาของอสูรปรสิตหกปีกราวกับช้างโบราณพลันแหลกละเอียด มันถูกบดขยี้ราวกับเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น
น่าเกรงขามนัก! พลังหมัดถล่มทลายที่ใช้ควบคู่กับปราณจ้าววิญญาณนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่ากระบี่บิน! เฉินซีรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที ชายหนุ่มไม่รีรอกระหน่ำพลังหมัดซัดออกไป
มันเป็นภาพเงาหมัดก่อตัวขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ทุกที่ที่หมัดวาดผ่าน เจ้าอสูรปรสิตหกปีกในบริเวณจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และตามด้วยเสียงระเบิดดัง ไม่ช้าพวกมันก็ถูกกำจัดจนเกลี้ยง!
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ตามด้วยอสูรปรสิตหกปีกแหลกละเอียดและสลายไปอีกหลายสิบตัว
ในช่วงนี้การต่อสู้เป็นที่น่าพอใจ ทักษะปราณจ้าววิญญาณของเฉินซีครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น ทั้งถล่ม ฟาด ผ่า ตอก ตี… เขาใช้วิธีพิสดารส่งปราณจ้าววิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่กำปั้น ทำให้พลังทำลายล้างของหมัดแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ในเวลาเดียวกันปราณจ้าววิญญาณที่ถูกใช้ไปลดลงทุกขณะ
ฝึกมากก็เก่งมาก!
หลังจากที่ทักษะเกิดความชำนาญ อีกทักษะก็สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับว่าไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลย การใช้งานเป็นไปอย่างอิสระ และดูราวกับใช้ได้ตามใจชอบ แต่ก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี
นานแล้วที่เฉินซีตระหนักรู้ในเต๋าแห่งสายลมโดยครบถ้วน และเมื่อผสานพลังของหมัดถล่มทลายกับปราณจ้าววิญญาณที่กำลังไหลเวียน พลังนั้นก็แข็งแกร่งจนถึงจุดที่อาจทำลายสมบัติวิเศษด้วยการจู่โจมตีเพียงหนึ่งกระบวนท่า!
ถึงกระนั้นเวลาที่ผ่านไป ฝูงอสูรปรสิตหกปีกที่ยังทะยานออกมาทุกทิศทุกทางยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น จนเฉินซีรู้สึกว่ายากขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มจำเป็นต้องเพิ่มพลังจู่โจมตี
สองพันตัว!
สามพันตัว!
สี่พันตัว!
ฉับพลันปราณจ้าววิญญาณภายในเลือดเนื้อของเฉินซีค่อย ๆ ส่งสัญญาณว่ากำลังแห้งเหือดลงทุกที เขารู้สึกว่าพลังแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะจนถึงตอนนี้ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายในการกำจัดอสูรปรสิตหกปีกกว่าเก้าพันเก้าร้อยตัว!
เปรี้ยง!
เสียงฟาดลงกลางแผ่นหลังของเฉินซีอย่างรุนแรง จนร่างของเขาร่วงลงไปกว่าหกจั้งเศษทันที หากไม่ทันที่คนจะตกลงถึงพื้นด้วยซ้ำ กลุ่มอสูรปรสิตหกปีกกว่าสิบตัวก็กรูเข้ามา แผ่นหลังของคนปรากฏรอยคมเล็บแหลมทิ้งไว้เป็นบาดแผลนับสิบ ซึ่งเป็นภาพที่น่าหวาดเสียวยิ่งนัก!
บาดแผลเหล่านี้กลับคืนเป็นปกติในชั่วพริบตา ภายหลังจากที่เฉินซีฝึกพลังทักษะแปรสภาพกายาจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล เขาสามารถก่อร่างสร้างอวัยวะแขนขาใหม่เองได้แล้ว ความบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวนัก ถึงกระนั้นถ้าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ยิ่งทำให้เขาต้องผลาญปราณจ้าววิญญาณมากขึ้นอีก
“โธ่เว้ย!” เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามอย่างอัดอั้น สีหน้าเผยความบ้าระห่ำและเด็ดเดี่ยว ปราณจ้าววิญญาณภายในโลหิต เนื้อและผิวหนังเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน แต่ยังมีอสูรปรสิตหกปีกที่ต้องกำจัดอีกสองพันตัว จึงถึงเป้าหมายที่จะได้รับพลังอิทธิฤทธิ์ฝ่ามือมหาดารา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงใช้ปราณจ้าววิญญาณหมดก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
ความรู้สึกขัดใจอย่างรุนแรงเอ่อท่วมท้น ส่งแรงกระตุ้นร้อนรุ่มราวกับมีไฟสุมอยู่ภายในกาย พลอยให้ใบหน้าคมคายกลายเป็นบิดเบี้ยวดุร้ายไปด้วย
‘ข้าจะต้องได้ครอบครองฝ่ามือมหาดาราให้ได้ ข้างนอกโน่นมีพวกสารเลวตระกูลซูอีกหกคนคอยขัดขวาง ข้าไม่อยากซ่อนตัวทนรับความคับแค้นใจแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!’
‘ฆ่ามัน!’
‘ไม่มีใครมาขวางทางข้าได้ทั้งนั้น!’
‘ฆ่ามัน!’
‘ข้าต้องการความแข็งแกร่ง! ข้าต้องสู้ให้ถึงที่สุด! ข้าต้องการทำให้สำเร็จ!’
ทั่วทั้งฟ้าดินสีเหลืองหม่น ฝูงอสูรปรสิตหกปีกล้มตายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยิ่งโผล่ขึ้นมามากขึ้น พลังของมันยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้น คลื่นพลังของมันยิ่งดุร้ายและแข็งแกร่งมากขึ้นดุจเดียวกัน
ในบริเวณปรากฏฝูงอสูรปรสิตหกปีกจำนวนมากโผล่ขึ้นมา โดยรอบรับช่วงรุมเฉินซีแทนพรรคพวกที่ล้มตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บัดนี้ ชายหนุ่มไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว การดิ้นรนต่อสู้อย่างแข็งขันของเขาเริ่มแผ่วลงทุกที ทว่าในความรู้สึกยังคงมุ่งมั่นชนิดบ้าเลือด!
ข้าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!
ถ้าให้เขายอมแพ้ในตอนนี้ เท่ากับขอให้เขาละเลิกจากความพยายามและความมุ่งมาดปรารถนาอย่างไม่ต้องสงสัย
ในภาวะที่ขาดความกระตือรือร้นเช่นนี้ เฉินซีสัมผัสได้ถึงโลหิตทุกหยาดหยด เนื้อหนังและเส้นเอ็นทั่วร่าง เสียงเพรียกหาจากทุกรูขุมขน พลังความโหยหาจากเบื้องลึกของจิตวิญญาณ
เปรี้ยง!
เฉินซีรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังหลุดออกจากร่าง ก่อนจะล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและเมื่อมองลงมา ฝูงอสูรปรสิตหกปีกที่ไม่อาจนับได้ผุดออกมาบนพื้นดินราวกับกระแสน้ำหลาก
ขณะที่หมอกควันสีเหลืองหม่นไหลเนืองนองแผ่ขยายไปทั่วบนผืนดินกว้างใหญ่ กลุ่มควันม้วนตัวขึ้นสู่เบื้องบน ทั้งยังเปล่งคลื่นพลังบริสุทธิ์และหนาแน่นออกมา
ชายหนุ่มยืดแขนออกไปใช้ฝ่ามือกอบเอาไว้ หมอกสีเหลืองคล้ำเหมือนถูกกระตุ้นให้ตื่น มันเหมือนฝูงฉลามที่สัมผัสกลิ่นคาวโลหิตจึงปรี่เข้าทุกสารทิศ
เส้นกลั่นเป็นเกลียว เกลียวกลั่นเป็นกระแส…
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!
ทันใดนั้นเฉินซีก็ตื่นจากภวังค์ความคิด เขาพบว่าพลังปฐพีที่ห้าแห่งฟ้าดินอันบริสุทธิ์ไหลหลั่งเข้าสู่ร่างกายของตนอย่างหนักหน่วง ประหนึ่งสิ่งหล่อเลี้ยงกายา
ปราณจ้าววิญญาณที่แห้งเหือดไปในตอนแรกค่อย ๆ พุ่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน จากนั้นก็เพิ่มอย่างต่อเนื่องราวกับต้นไม้ที่เฉาตายกลับมาผลิดอกออกผลและฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง!