บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1061 ประกาศคำท้า
บทที่ 1061 ประกาศคำท้า
บทที่ 1061 ประกาศคำท้า
ความตกตะลึงเริ่มก่อตัวท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงัน
พวกเขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมภายในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ในไม่ช้า และแน่นอนว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นที่ตัวเปล่าเปลือยสามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่ใช้สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬได้!
ใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น?
เฉินซียังคงมีท่าทางสงบนิ่งยามเผชิญกับเหตุการณ์นี้ บางที เขาอาจจะไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่เอาชนะอินหุนมาได้ เขาก็พุ่งตัวออกไปเพื่อเก็บกระบี่เซียนสีโลหิตที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
มันเป็นถึงสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ อย่างไรศิษย์ตระกูลอินก็สร้างความขุ่นเคืองใจให้ไม่น้อย อย่างน้อยสิ่งนี้ก็น่าจะพอชดเชยได้
แต่ทันทีที่เคลื่อนไหว ความผันผวนที่ไร้รูปร่างพลันห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เหมือนกระแสลมอันเย็นยะเยือกที่เปล่งรัศมีอันทรงพลังและเฉียบคม สามารถทำลายพลังที่เขาพยายามคว้าเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ม่านตาของเฉินซีหรี่ลง เขาสะบัดมือซ้ำ ๆ ราวกับมันเป็นกระบี่อันคมกริบ และทำลายคลื่นพลังที่ผันผวนนี้ให้กระจายออกไปในอากาศ
ทว่าจังหวะนั้นเอง กระบี่เซียนสีโลหิตทั้งสิบหกเล่มก็พลันเปลี่ยนตัวเองเป็นสีแห่งเพลิงด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีมีสีหน้าตึงเครียดยิ่งขึ้น ดวงตาของเขาฉายแสงวาววับก่อนจะมองออกไปไกลด้วยแววตาเย็นชา
แม้เฉินซีจะไม่ได้เคลื่อนไหวจริงจังนัก ทว่านั่นก็เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถต้านทานมันได้ นับประสาอะไรกับที่พลังเขาพยายามคว้าเอาไว้กัน
คนที่เคลื่อนไหวในตอนนี้ต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน แม้แต่อินหุนก็ไม่อาจเทียบได้
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ พวกเขามองไปยังทิศทางที่กระบี่เซียนสีโลหิตหายไปอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“สหายเต๋า ชัยชนะเจ้าก็ได้ไปแล้ว เหตุใดยังคิดจะครอบครองสิ่งที่เป็นของตระกูลอินอีกเล่า?” ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างเพรียวบางสง่างามก็เคลื่อนมาจากระยะไกล นางมีผมสีฟ้าอ่อนทอดยาวถึงบั้นเอวคอดกิ่ว คิ้วโก่งเรียวดังใบหลิว จมูกโด่งเชิด ริมฝีปากแดงสด รูปลักษณ์อันงดงามเกิดหาใครเปรียบของนางเด่นชัดด้วยแต้มสีแดงที่อยู่ตรงหว่างคิ้ว
นางสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำพลิ้วไหวตามแรงลม ท่าทางเยือกเย็นไม่ต่างกับบัวหิมะที่เบ่งบางกลางหน้าผาสูงชัน เปี่ยมไปด้วยรัศมีอันบริสุทธิ์ เด็ดเดี่ยว และเย็นชา แม้แต่เสียงของนางยังปราศอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
“อินเหมียวเมี่ยว!”
“เป็นนางจริง ๆ ด้วย!”
“ยอดฝีมือแห่งตระกูลอินคนนั้นน่ะหรือ? มิใช่ว่านางกำลังบ่มเพาะในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ที่สูงกว่านี้อยู่หรอกหรือ เหตุใดนางจึงมาที่นี่ด้วยเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้?”
“ชู่! เสียงดังเกินไปแล้ว! เจ้าน่ะไม่รู้อะไร กระบี่เซียนสีโลหิตนั้นเป็นสมบัติอมตะที่นางใช้ในการสร้างชื่อเสียงเชียวนะ”
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายเห็นเรือนร่างอันสง่างามและเยือกเย็นลอยอยู่กลางอากาศ พวกเขาก็พลันตกใจและเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบ การแสดงออกของคนส่วนใหญ่บ่งบอกถึงความเคารพและกริ่งเกรง
นั่นก็เพราะนางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในอันดับสี่ของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ห่างชั้นจากขอบเขตเซียนทองคำเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เมื่อครั้งที่นางยังอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น นางก็สามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบได้แล้ว!
ปัจจุบันนางมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง โดยความแข็งแกร่งของนางนั้นน่าเกรงขามมากเสียจนมิอาจหยั่งได้
เพราะนอกจากเจียงจูหลิว กู่เยวหมิง และเหลียงเริ่นที่ถูกจัดอันดับให้อยู่สามอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ก็ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับคนใดที่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง!
“อินเหมียวเมี่ยว…” เฉินซีได้ยินบทสนทนาซุบซิบเหล่านั้นเช่นกัน ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาบ่มเพาะในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
แต่ถึงกระนั้น บรรดาวีรกรรมคำเยินยอที่มีต่อนางก็ไม่อาจทำให้ความขุ่นมัวในใจสงบลงได้ กลับกันเขายิ่งนึกรำคาญบรรดาศิษย์ตระกูลอินพวกนี้ที่คอยมายั่วโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่เอาชนะไอ้พวกบัดซบเหล่านี้ได้ และหวังจะได้ยึดของที่ได้มาในระหว่างการต่อสู้ ทว่าถูกขัดขวางเอาเสียก่อน แน่นอนว่าใครจะพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้
“ข้าได้ยินเรื่องระหว่างเจ้ากับเฟิงเอ๋อร์แล้ว เฟิงเอ๋อร์นั้นมุทะลุเกินไป ข้าต้องขออภัยแทนนางและจะไม่คิดติดใจเรื่องนี้อีก หวังว่าอย่างน้อยเจ้าจะให้อภัยนาง” อินเหมียวเมี่ยวเข้ามายืนตรงหน้าเขาด้วยความรวดเร็ว สายตาที่จับจ้องเฉินซีเผยให้เห็นถึงความทระนงและสงบนิ่ง
ทุกคนลอบพยักหน้าเห็นด้วยในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ อินเหมียวเมี่ยวนั้นอยู่ในอันดับที่สี่ของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอิน ตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระ ด้วยสถานะของนาง ไม่ง่ายนักที่จะได้เห็นนางก้มหัวขอโทษให้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเช่นนี้
ไม่คาดคิด เฉินซีกลับตอบโต้อีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนั้น หากข้าไม่ยอมรับคำขอโทษนี้ ตระกูลอินของเจ้าก็จะไม่เลิกติดใจในเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง
คำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดนี้ทำเอาคนที่ได้ฟังหัวใจกระตุก พวกเขาได้แต่รำพันในใจว่าเจ้าเด็กนี้ช่างหยิ่งทระนงเสียเหลือเกิน เหตุใดถึงกล้าพูดกับอินเหมียวเมี่ยวเช่นนั้น? หรือว่าพอเขาเอาชนะอินหุนได้ ก็คิดว่าตนไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายกัน?
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?” อินเหมียวเมี่ยวจ้องมองยังเฉินซีอย่างเฉยเมย สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสุขุมและเยือกเย็น แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ยังแสดงถึงความสูงส่ง
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการอะไร แต่เป็นพวกเจ้าตระกูลอินที่ต้องการอะไรมากกว่า” เฉินซียืนกรานไม่ยินยอม “เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการกระทำของตระกูลอินของเจ้า ทว่าตอนนี้เจ้ากลับต้องการลบล้างมลทินทุกอย่างด้วยคำขอโทษเพียงคำเดียวอย่างนั้นหรือ? ไม่คิดว่าโอหังเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?”
ทุกคนต่างตกตะลึงด้วยไม่อาจจะเชื่อหูตัวเอง นี่เขากล้าวิจารณ์อินเหมียวเมี่ยวขนาดนี้เลย?
“เดิมทีข้ามาที่นี่ก็ด้วยมีเจตนาอันดีที่จะแก้ไขทุกอย่าง อย่างไรเสีย หากความวุ่นวายนี้ยังดำเนินต่อไป แน่นอนว่าคงไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดเลย แต่หากเจ้าไม่ยอมรับ ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยมาก็แล้วกัน” อินเหมียวเมี่ยวพูดพลางส่ายหน้าระอา ราวกับว่านางไม่อยากจะเสียเวลากับเฉินซีอีกต่อไป
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” ท่าทางของเฉินซียังคงสุขุมและไร้อารมณ์ “การต่อสู้นี้เริ่มขึ้น เพราะคนตระกูลอินของเจ้ายั่วยุข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เจ้ากลับไม่คิดจะปรากฏตัวเพื่อหยุดมัน พอตอนนี้เจ้าสูญเสียคนในตระกูลไป ซ้ำร้ายสมบัติอมตะของเจ้ากำลังจะกลายเป็นของผู้อื่น เจ้าถึงเพิ่งจะมาเอาป่านนี้เนี่ยนะ? นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
ความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังคำพูดของของเขาก็คือ หากเฉินซีเป็นฝ่ายแพ้ นางก็คงไม่มีใจจะปรากฏตัวเลยอย่างนั้นสินะ?
คำพูดนี้นับว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย ยากจะหาข้ออ้างใดมาหักล้างได้ แต่ถึงอย่างนั้น ในโลกใบนี้ นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว เหตุผลจะไปมีค่าอะไร
เสียงของเขาจะมีค่าก็ต่อเมื่อความแข็งแกร่งและมีสถานะเทียบเท่าอินเหมียวเมี่ยวเท่านั้น เมื่อเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น มันก็เป็นได้แต่เพียงลมปากที่แสนอ่อนแอและน่าขัน
“เฮ้ย ๆ น้องชาย เจ้าควรรู้ว่าเมื่อไรควรหยุด เมื่อไรควรพอ ไม่อย่างนั้น จะกลายเป็นเจ้าที่ล้ำเส้น ไม่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะยอดเยี่ยมมากเพียงใด ความตายก็ยังเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในโลกใบนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์ตายเกลื่อนอยู่ทุกวัน” ใครบางคนที่ทนต่อไปไม่ไหวเริ่มพูดขึ้นเพื่อเรียกสติเฉินซี
“ใช่แล้ว หรือว่าเจ้าตั้งใจจะท้าทายอินเหมียวเมี่ยวกันแน่?” คนอื่น ๆ เริ่มพูดตาม
“หึ ๆ! ทั้งที่คุณหนูใหญ่ก็แสดงความใจกว้างโดยการไม่คิดติดใจเอาความต่อแล้ว แต่ไอ้บัดซบนี้กลับไม่รู้ความ ได้คืบแล้วจะเอาศอก ถ้าเขาอยู่ในโลกภายนอกคงจะตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน!”
คนตระกูลอินส่งเสียงเย้ยหยัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
เฉินซีหาได้แยแสกับคำพูดเหล่านั้นไม่ เขาเพียงแต่จ้องมองอินเหมียวเมี่ยวด้วยท่าทางสงบนิ่ง
พวกเขารู้ว่าความแข็งแกร่งและสถานะของเฉินซีด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่มาก และอันดับภายในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปก็ต่ำกว่านางเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกว่าชายหนุ่มควรจะยอมรับคำขอโทษของนางแต่โดยดีและขอบคุณในความใจกว้างที่ละเว้นตน
ทว่าคนเหล่านี้ลืมไปว่าที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้! สถานที่สำหรับการบ่มเพาะ!
ถ้ามีใครมาบ่มเพาะที่แห่งนี้โดยคำนึงถึงสถานะและระดับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ก็คงจะไร้ความหมาย หากไม่ว่าใครก็สามารถแผ่อิทธิพลของตนได้ทั้งในโลกภายนอกและที่แห่งนี้ การเข้ามาในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้จะมีประโยชน์อันใด?
สิ่งนี้ไม่ใช่ความต้องการของจักรพรรดิแห่งการต่อสู้บรรพกาล ไม่อย่างนั้น เหตุใดดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้จึงได้ถูกจำกัดไว้ด้วยกฎมากมายเพื่อป้องการไม่ให้มีผู้ใดสร้างปัญหา เหตุใดทุกคนที่นี่จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความตายขณะกำลังบ่มเพาะ
ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง เมื่อผู้บ่มเพาะไม่สนใจกฎและคำนึงถึงแต่สถานะหรือความแข็งแกร่งของผู้อื่น ผู้บ่มเพาะคนนั้นก็จะต้องสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นผู้บ่มเพาะไป
น่าเสียดายที่แม้ทุกคนในยุคบรรพกาลจะเข้าใจถึงหลักการง่าย ๆ นี้ แต่สุดท้ายมันกลับถูกกลืนหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา มิหนำซ้ำ ยังดูเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาไปเสียหน่อย เมื่อตรรกะเช่นนี้ใช้ไม่ได้ในโลกของภพเซียน
เฉินซีไร้เดียงสาไหม? คำถามนี้ต่างหากที่โง่เง่าสิ้นดี
เขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าทุก ๆ คนจะเชื่อหรือยอมรับในแนวคิดนี้เช่นเดียวกับตน มันเป็นหลักการเดียวกันกับที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามแสวงหามาทั้งชีวิตเพื่อนำมิติที่สามกลับเข้าสู่วัฏสงสารตามครรลองที่ควรจะเป็น ให้ผู้ผิดบาปต้องชดใช้อย่างน่าสังเวชและให้ผู้ประพฤติกรรมดีได้รับผลตอบแทน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังต้องการให้ทุกสรรพสิ่งกลับคืนสู่สภาวะที่อยู่ภายใต้กฎดังเดิม
เหตุผลที่เฉินซีไม่เชื่อว่าทุกคนจะยอมรับสิ่งเหล่านี้เหมือนกับเขา นั่นก็เพราะสถานการณ์ภายในภพเซียนนั้นโหดร้ายและป่าเถื่อน ในบางครั้งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิ้งตรรกะเหตุผลไป
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ในเมื่อเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ก็ทำได้เพียงยอมรับมัน
ถึงกระนั้น เฉินซีก็ยังเชื่อมั่นในแนวคิดนี้ และความเชื่อนั้นทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่ออีกฝ่าย
จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของเขาด้อยกว่าอินเหมียวเมี่ยว แต่เฉินซีก็ไม่คิดกลัว เพราะที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ สถานที่แห่งการบ่มเพาะ เขาไม่มีทางตายหลังจากเผชิญกับความพ่ายแพ้ และสามารถกลับเข้ามาได้ใหม่ในภายหลัง ตราบใดที่ยังสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้อยู่ การเข้าออกซ้ำ ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก
อีกอย่างหนึ่ง ในเรื่องของสถานะ ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าขันสำหรับเฉินซีไม่น้อย จริงอยู่ที่เขาไม่รู้ว่าสถานะของเขาเทพพยากรณ์อันน่าเกรงขามยิ่งในมิติที่สามนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลอินไม่สามารถเทียบเทียมได้
หากพินิจอย่างถี่ถ้วน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวินผู้เป็นบรรพชนตระกูลอิน ก็เป็นเพียงบริวารเต๋าของปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ฝูซี อาจารย์ของเฉินซีเท่านั้น ตัวของจักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวินนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจและไม่คิดหวั่นเกรง
“เกินไปอย่างนั้นหรือ?” อินเหมียวเมี่ยวไม่ได้ผละจากไป นางมองเขาคล้ายกำลังชมเรื่องตลกขบขัน รอยยิ้มเย้ยหยันเหยียดยกขึ้นบนดวงหน้างาม
สายตาที่ทอดมองยังเฉินซีมีเพียงความเฉยเมย “ในฐานะคนตระกูลอิน ข้าย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลอยู่แล้ว จำเป็นด้วยหรือที่ข้าต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเจ้า? ข้าคิดผิดจริง ๆ ที่เมตตาเจ้าไปก่อนหน้านี้ เจ้าน่ะอย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ไม่ว่าด้านไหน ๆ เจ้าก็ด้อยกว่าข้าไปเสียหมด ดังนั้นแล้วเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนน ไม่อย่างนั้น ก็มีเพียงความตายที่รอเจ้าอยู่”
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาจ้องมองไปยังอินเหมียวเมี่ยวก่อนจะพ่นคำสามคำออกมา “ข้าขอท้า!”
ทุกคำที่เขาพูดออกมาเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและมั่นใจ!