บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1066 ต้องชังหน้าถึงขั้นไหน
บทที่ 1066 ต้องชังหน้าถึงขั้นไหน?
บทที่ 1066 ต้องชังหน้าถึงขั้นไหน?
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในศิษย์ตระกูลอินชั้นยอดในหมู่รุ่นเยาว์ อินว่านเฟิงมีพรสวรรค์มากกว่าคนธรรมดามาก ถึงจะมีพลังบ่มเพาะอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น แต่ทั้งกำลังต่อสู้หรือฐานะในตระกูลก็ไม่ใช่สิ่งที่อินหุนจะเทียบได้เลย
เห็นได้ชัดจากอันดับบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของเขา
อินว่านเฟิงอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าส่วนอินหุนอยู่อันดับที่สามร้อยกว่า
ฝ่ายไหนเหนือกว่ากันย่อมเห็นได้ชัดเจน
แม้ว่าอินว่านเฟิงจะด้อยกว่าอินเฟิงเอ๋อร์เจ้าของอันดับที่สิบเอ็ดหรืออินเหมียวเมี่ยว เจ้าของอันดับที่สี่อยู่มาก แต่ก็ยังนับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
แต่ก่อนแค่ตัวตนและพลังต่อสู้ของเขาก็ทำให้ผู้อื่นชื่นชมได้แล้ว อาจกล่าวได้ว่าอยากได้อะไรก็ได้ มีตอนไหนที่ต้องให้รู้สึกอับอายขายหน้าเช่นนี้บ้าง?
อีกทั้งยังมีคนตระกูลเหลียงหน้าไหนมาเรียกเขาว่าเจ้าโง่ท่ามกลางสายตาผู้อื่นเช่นนี้?
อินว่านเฟิงรู้สึกอับอายและโกรธเคืองนัก ทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้า ส่งสายตาโกรธเกรี้ยว กัดฟันแน่นแล้วชี้นิ้วไปทางเหลียงเจิ้น “เจ้ากล้าทำให้ตระกูลอินของข้าต้องอับอายหรือ? เจ้าไม่รอดแน่!”
เหลียงเจิ้นมุ่นคิ้วกลอกตาใส่ “นี่ข้าทำให้ตระกูลอินของเจ้าต้องอับอายหรือ? เจ้าโง่!”
“อย่าบังอาจ…” ความแค้นในอกอินว่านเฟิงสงบลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินส่วนต้นของประโยค ทว่าเมื่อส่วนท้ายถูกพ่นออกมา ใบหน้าเขาก็ขึ้นสีแดงเข้ม นัยน์ตาเกือบถลนออกจากเบ้า ศีรษะแทบระเบิดออกมาทีเดียว “เจ้า! เจ้านี่มัน! เจ้ากล้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เหลียงเจิ้นก็ขัดขึ้นมาก่อน “อะไร? สรุปจะท้าหรือไม่? ไม่เคยเห็นใครโง่เช่นเจ้ามาก่อนเลย”
โง่… มันหาว่าข้าว่าโง่อีกแล้ว!
อินว่านเฟิงโกรธจนกระอักเลือด ร่างกายสั่นเทิ้ม ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกกระทำเช่นนี้ ทั้งยังถูกด่าว่าโง่ซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาเขาโกรธจนแทบคุมสติไม่อยู่
“ไอ้หยา คุณชายอินว่านเฟิง วิธีการพูดของเหลียงเจิ้นออกจะไม่น่าฟังไปสักหน่อย อย่าไปใส่ใจเลย ในเมื่อเจ้าหมายท้าต่อสู้คุณชายเฉินซีของข้า หรือว่าแค่ศิลาอมตะหมื่นชิ้นยังหามาไม่ได้? ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย”
เหลียงเลี่ยงหัวเราะออกมา พยายามประนีประนอม แต่เมื่อพูดจบกลับทำสีหน้าเคลือบแคลงใจ น้ำเสียงเจือแววเสียดสี
เห็นดังนี้ผู้ชมรอบข้างก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที เหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงจงใจทำอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งมีท่าทางเย็นชาภาคภูมิ ทั้งยังว่าอินว่านเฟิงว่าโง่อยู่หลายครั้ง อีกคนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ สร้างเรื่องไร้สาระ เป็นคู่ที่ประหลาดดีแท้
“เจ้า…บังอาจหาว่าข้าไม่สามารถหาศิลาอมตะหมื่นชิ้นได้อย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าแดงก่ำของอินว่านเฟิงเปลี่ยนสี ร่างพลันซวนเซ เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธจัด
“แล้วทำได้ไหมเล่า?” เหลียงเลี่ยงยังคงสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย
“แน่นอนว่า…” อินว่านเฟิงเอื้อมมือออกมาคิดจะหยิบกระเป๋าเก็บของ แต่ต่อมาก็ชะงักค้างไป สีหน้าดูตกตะลึง นี่มันดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ จะนำกระเป๋าเก็บสมบัติเข้ามาได้อย่างไรกัน!?
“แล้วทำได้ไหม?” เหลียงเลี่ยงถามอีกครั้งด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เส้นเลือดข้างขมับอินว่านเฟิงปูดขึ้นมา อดคำรามเสียงต่ำออกมาไม่ได้ “บัดซบ! เช่นนั้นเจ้าไม่สร้างศิลาอมตะในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ให้ข้าเห็นบ้างเล่า!? ดูเหมือนเจ้าจะตั้งกฎบัดซบนี้ขึ้นมาเพราะเกรงกลัวตระกูลอินของข้าละสิ! ถึงได้จงใจไม่ให้ข้าท้าสู้เจ้านั่น!”
เหลียงเลี่ยงหัวเราะคิกคัก ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วถอนหายใจเบา ๆ “คุณชายอินว่านเฟิง ไม่แปลกใจที่เหลียงเจิ้นเรียกเจ้าว่าคนโง่ คุณชายสร้างศิลาอมตะมิได้ แต่เขียนสัญญาหนี้ได้นี่นา”
สัญญาหนี้…
มีวิธีเช่นนั้นอยู่จริงด้วย!
อินว่านเฟิงเบิกตากว้าง นี่มันไม่ใช่วิธีการของผู้บ่มเพาะติดเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปด้วยซ้ำ กระทั่งพ่อค้าไร้ยางอายยังไม่กล้าทำเช่นนี้เลย?
“มาประทับฝ่ามือตรงนี้สิ พอกลับไปโลกภายนอกเมื่อไหร่ เราจะไปทวงหนี้ที่ตระกูลอิน” เหลียงเจิ้นหยิบหยกขนาดเท่าพัดรูปใบไม้ที่ส่องประกายแสงออกมา
อินว่านเฟิงอึ้งไป นี่มันอะไรกัน? สามารถนำเข้ามาในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เหมือนสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬได้ด้วยหรือ?
“ผลึกวิญญาณแสงลอยเป็นสิ่งที่คุณหนูใหญ่ขอยืมมาจากโถงวิญญาณยุทธ์อย่างยากลำบาก เพียงแค่ประทับฝ่ามือลงไป สัญญาหนี้ก็จะมีผลทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง ทั้งยังไม่สามารถปฏิเสธหนี้ได้ด้วย” เหลียงเลี่ยงช่วยอธิบายอย่างใจดี
ผู้ชมที่เห็นเข้าได้แต่มุมปากกระตุกยิก ๆ เจ้าบ้าสองคนนี้เตรียมตัวมาพร้อมเชียว!
ณ โลกภายนอก อินว่านเฟิงย่อมสามารถหาศิลาอมตะหมื่นชิ้นมาได้แน่ แต่การต้องเขียนสัญญาหนี้เพื่อท้าต่อสู้กับเฉินซีทำให้เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าจึงเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“ก็ได้ ข้าจะทำ!” สุดท้ายอินว่านเฟิงยอมทำตามด้วยใบหน้าไม่สู้ดี ในอกสุมไปด้วยไฟโกรธที่ร่ำร้องอยู่ในใจ ข้าขึ้นสนามต่อสู้ไปเมื่อไหร่ ข้าจะทรมานไอ้เฉินซีนั่นจนตายเลยคอยดู!
“เอาล่ะ ไปรอด้านข้างก่อน” เหลียงเจิ้นเหลือบมองรอยฝ่ามือบนผลึกวิญญาณแสงลอย เมื่อมั่นใจแล้วว่ามันชัดเจนและถูกต้องจึงพยักหน้าให้
อินว่านเฟิงอึ้งไปแล้วเอ่ยเสียงขรึมขึ้น “หมายความว่าอย่างไรให้ไปรอด้านข้าง? ข้าลงนามในสัญญาหนี้แล้ว ยังไม่สามารถท้าต่อสู้กับเฉินซีได้อีกหรือ?”
“ใจเย็นก่อน ๆ” เหลียงเลี่ยงหัวเราะ “คุณชายอินว่านเฟิง นี่เป็นเพียงเงื่อนไขในการท้าสู้กับเฉินซีเท่านั้น ส่วนจะได้สู้หรือไม่นั้นอีกเรื่อง หากไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ดูสิ่งนี้” พูดแล้วก็ชี้ขึ้นไปบนอากาศ
“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่คู่ควร เช่นนั่นเจ้าก็ไม่คู่ควร ข้าเฉินซีจะเป็นผู้ตัดสินว่าเจ้ามีค่าพอหรือไม่…” อินว่านเฟิงมองตามนิ้วเหลียงเลี่ยงขึ้นไปด้านบน อ่านเนื้อหาบนป้ายออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง ไฟโทสะในใจยิ่งโหมกระพือขึ้นจนคุมไม่อยู่ ทำให้ปลดปล่อยกลิ่นอายบ้าคลั่งเกินควบคุม
ไอ้เวรตะไลนี่! มันจะมากเกินไปแล้ว!
ก็แค่ท้าสู้ไม่ใช่หรือ? พวกนั้นกลับหาว่าข้าโง่ ให้ข้าลงนามสัญญาหนี้เช่นนี้ยังไม่จบอีกหรือ!?
“อ๊าก!!!! อ๊าก!!!!! อ๊าก!!!!!” เขาแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ชั่วชีวิตนี้ข้าเคยถูกปั่นหัวเช่นนี้ด้วยหรือ? ไม่เคย!
ไม่ได้การ! ข้าต้องสังหารไอ้บัดซบสองตัวนี้!
พริบตาต่อมา อินว่านเฟิงก็จ้องเหลียงเลี่ยงเขม็งพลางหอบหายใจหนักหน่วง จิตต่อสู้พลุ่งพล่านขึ้นอย่างรุนแรง
ผู้ชมรอบข้างเห็นดังนี้ก็เริ่มรู้สึกกลัว คนแปลกคู่นี้หลอกผู้อื่นให้ทำเรื่องงี่เง่าได้เก่งนัก ถึงขั้นที่สามารถยั่วยุยอดฝีมือตระกูลอินได้! หากอยู่ในโลกภายนอกคงถูกฆ่าตายเป็นพันครั้งไปแล้ว…
เหลียงเลี่ยงสั่นไปทั้งร่าง มองอินว่านเฟิงด้วยสายตาแสนบริสุทธิ์แล้วเอ่ยเสียงอ่อน “คุณชาย เรื่องพวกนี้เป็นกฎ เหตุใดจึงต้องโกรธเคืองกันด้วย?”
พูดจบแล้วยังอุตส่าห์อธิบายเพิ่มอย่างใจดี “ที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ หากลงมือจะถูกไล่ออกไปนะ”
อึ่ก!
ได้ยินดังนั้นอินว่านเฟิงก็เหมือนถูกสกัดจุด เลือดคำหนึ่งพุ่งมาติดอยู่ในลำคอ ทำเอาใบหน้าแดงก่ำบิดเบี้ยว สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมา
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา เงาร่างของเขาก็เลือนราง ก่อนจะระเบิดออกเป็นลูกบอลแสงสลายหายไปในอากาศ
ทุกคนตกตะลึงยิ่ง นี่เขาโกรธจนถึงขั้นจิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสจนต้องออกไปจากที่นี่เลยหรือ!?
เหลียงเลี่ยงส่ายหน้าถอนหายใจ “ไอ้หยา พลังบ่มเพาะของดวงจิตแห่งเต๋าของเขาต่ำต้อยมาก”
เหลียงเลี่ยงหันไปทางคนที่เหลือแล้วหัวเราะออกมา “แม้ว่าคุณชายอินว่านเฟิงจะกลับไปทั้งที่ยังไม่ทันได้ดำเนินการอะไร แต่ก็ลงนามในสัญญาหนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางไปทวงหนี้ที่ตระกูลอิน อ้อใช่ ทุกคนต่อเลย โปรดอย่าถือสา”
ทุกคนอ้าปากค้าง ไอ้พวกบัดซบนี่ยังคิดจะไปทวงหนี้ที่ตระกูลอินอีก! ถึงขนาดทำเรื่องบ้าเช่นนี้ได้ต้องชังหน้าถึงขั้นไหนกัน?
บนสนามต่อสู้ เฉินซีมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา รู้ดีว่าเหลียงเลี่ยงกับเหลียงเจิ้นทำเช่นนี้ด้วยคำสั่งจากเหลียงปิง เพื่อช่วยเขาระบายความโกรธ
อินเหมียวเมี่ยวกล่าวว่าเขาไม่คู่ควรที่จะท้านางต่อสู้
ดังนั้นเหลียงปิงจึงทำเช่นนี้เพื่อเอาคืน แม้จะฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย แต่เฉินซีก็รู้สึกซาบซึ้ง ดังนั้นเขาย่อมไม่หยุดเหลียงเลี่ยงกับเหลียงเจิ้น
แต่ไม่คิดเลยว่าอินว่านเฟิงจะทนการยั่วยุไม่ไหว ต้องออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไปเช่นนั้นได้ ซึ่งเป็นภาพที่น่าขันไม่น้อย
เฉินซีไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ดังนั้นจึงเหลือบตามองเหลียงเจิ้น
เหลียงเจิ้นพยักหน้าน้อย ๆ เข้าใจความนัยที่สื่อมา
แท้จริงแล้วเมื่อมีตัวอย่างของอินว่านเฟิง ทุกคนจึงคิดไปแล้วว่าจะท้าสู้ได้ก็ต้องทำตามกฎ
“หึ! ก็แค่เรื่องน่าขันที่ไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งหรืออันดับอะไรนี่นะ” มีคนเอ่ยเยาะขึ้น
นับว่าคำนี้เป็นคำในใจของหลายคนทีเดียว
“เจ้ากล้าต่อสู้อย่างยุติธรรมให้ทุกคนเห็นไหมเล่า?”
“ใช่แล้ว ชื่อเสียงคุณหนูเหมียวเมี่ยวไม่ควรถูกดูหมิ่นหรอกนะ!”
ทุกคนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมา ส่วนมากล้วนเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว หลังจากรู้ความแข็งแกร่งและอันดับของเฉินซีแล้ว ต่างรู้สึกว่าตนเองมีกำลังมากพอต่อกรกับเขาได้
อีกทั้งในหมู่คนมากมายเหล่านี้ยังมีผู้ที่ชื่นชมอินเหมียวเมี่ยวอยู่มาก ดังนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเฉินซียิ่ง
ไม่นาน ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งก็ขึ้นมาบนสนามต่อสู้
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าเหยียนผิง น่าแปลกใจนักที่เขาอยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ แต่อันดับบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปกลับสูงกว่าอินว่านเฟิงเพียงเล็กน้อย โดยอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยเก้าสิบสาม
“โปรดชี้แนะด้วย” เหยียนผิงมีร่างผอม ท่าทางธรรมดายิ่ง แสดงท่าทีไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตัวจนเกินไป มีความสุขุมนุ่มลึก ทั้งยังไร้ความลังเลใด ๆ อีกด้วย
เสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้างเงียบสนิทลงทันที ทุกคนมองประเมินว่าเหยียนผิงเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง ท่าทางสุขุมย่อมเป็นสิ่งที่ได้มาจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน
แม้จะดูธรรมดายิ่ง แต่คนประเภทนี้เป็นประเภทที่ไม่ควรประมาทมากที่สุด เห็นได้จากอันดับบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของเขา
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะติด สองร้อยอันดับแรกได้อย่างไร?
เฉินซีพยักหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เริ่มเลย”
พริบตาต่อมาก็เปิดฉากการต่อสู้ ทั้งสองลงมือพร้อมกันด้วยความแน่วแน่และมั่นคง กระโจนเข้าใส่กัน ก่อนจะดีดตัวกลับมายังจุดที่ตนเคยยืนอยู่
ทั้งสองเชี่ยวชาญในการควบคุมระยะทางและพลังระดับหนึ่งแล้ว
เฉินซีก้มหน้ามอง บริเวณซี่โครงด้านซ้ายมีบาดแผลเป็นทางยาว พริบตาเดียวกลับได้แผลเสียแล้ว!
ทว่าเหยียนผิงเองก็ไม่ต่าง ตรงท้องปรากฏบาดแผลแคบ ด้วยถูกนิ้วเฉินซีที่แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่กรีดเป็นทางยาว
เฉินซีหรี่ตาลง
เหยียนผิงสูดลมหายใจเข้าลึก
ในใจพวกเขาคิดขึ้นพร้อมกันว่า อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่น่าหวั่นเกรงไม่น้อยเลยทีเดียว!