บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1074 ปัญหาอุบัติขึ้นอีกครา
บทที่ 1074 ปัญหาอุบัติขึ้นอีกครา
บทที่ 1074 ปัญหาอุบัติขึ้นอีกครา
ทุกคนต่างคิดว่า เฉินซีผู้ถูกเล่นงานด้วยเข็มสังหารเทพ ย่อมมีจุดจบด้วยวิญญาณแตกสลายในพริบตา
แม้กระทั่งอินหว่านซวินก็มีความคิดไม่ต่างกัน ถึงอย่างไรสิ่งนั้นก็คือเข็มสังหารเทพ มันสามารถทำลายวิญญาณเทพได้ เทพปีศาจก็ไม่เว้น มันคือสิ่งที่ชั่วช้าและทรงอำนาจที่สุด แล้วอีกฝ่ายจะรอดได้อย่างไร?
เพียงแต่ เฉินซีผู้ยืนนิ่งในตอนแรก กลับลืมตาขึ้นมา!
สายตาของเขาเย็นเยือกลึกล้ำ มันเอ่อล้นไปด้วยแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวาดหวั่น ขณะนี้อินหว่านซวินอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง วิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง เขารู้สึกถึงแรงบีบรัดตรงลำคอ ก่อนถูกฝ่ามือทรงพลังกุมไว้มั่น ทำให้ทั้งร่างแข็งทื่อ ไม่ว่าจะพยายามขัดขืนแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ ทำให้ใบหน้าค่อย ๆ แดงก่ำจากการขาดอากาศ
ยามทุกคนเห็นเช่นนั้น พวกเขาพลันได้สติ เพียงแต่ยามเห็นเฉินซีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แล้วจับอินหว่านซวินเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ความรู้สึกภายในหัวใจของพวกเขาล้วนปั่นป่วน
เฉินซียังมีชีวิตอยู่!
มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อกว่าฉากเมื่อครู่ หากไม่ได้ฟื้นคืนสติเมื่อครู่ พวกเขาคงนึกไปว่าตนมองผิดไป!
“โอ้!”
“สหายผู้นี้!”
ไกลออกไป กู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงต่างตกตะลึง พวกเขาแผดเสียงร้องด้วยความประหลาดใจออกมา มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก จนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
“เจ้า… เจ้า…”
ลำคอของอินหว่านซวินถูกกุมเอาไว้จนหายใจไม่ออก แก้มบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสีแดง แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยามสายตาจับจ้องเฉินซี เขาพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าอีกฝ่ายรอดจากเข็มสังหารเทพได้อย่างไร
ตุบ!
เฉินซีออกแรงแขน กดอินหว่านซวินให้คุกเข่าลงตรงหน้า “เจ้าชอบให้ผู้อื่นคุกเข่าไม่ใช่หรือ? ลองลิ้มรสด้วยตัวเองเป็นอย่างไร”
ยามอยู่ภายใต้สายตาของทุกคน มันช่างน่าอัปยศอดสู จนโลหิตของอินหว่านซวินเดือดพล่าน ราวกับศีรษะกำลังจะระเบิดออกมา ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงอันเกรี้ยวกราด “เฉินซี ฆ่าข้าถ้าเจ้ากล้าพอ!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
เฉินซีจับศีรษะของอีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่งเอาไว้มั่น เพื่อปิดกั้นโอกาสในการหลบหนี เขาพลิกฝ่ามืออีกข้าง เผยให้เห็นสมบัติรูปทรงเข็มเรียวสีดำ มันคือเข็มสังหารเทพ!
ยามเห็นฉากนี้ ผู้คนรอบข้างจึงกล้าเชื่อสนิทใจว่า เฉินซีหลบเลี่ยงหายนะครั้งนี้สำเร็จ แต่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายวิธีลับใด ถึงสามารถใช้เข็มสังหารเทพได้!
เมื่อเห็นเข็มสังหารเทพในฝ่ามือของเฉินซี สีหน้าของอินหว่านซวินพลันหวาดกลัว ลูกตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า ก่อนหน้าชายหนุ่มยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ต่อให้เฉินซีสังหารตนที่นี่ แต่เพียงออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เขาก็ยังสามารถขัดเกลาบ่มเพาะต่อไปได้
เพียงแต่ตอนนี้มันต่างออกไป หากเฉินซีใช้เข็มสังหารเทพเพื่อปลิดชีพ ยามนั้นวิญญาณของเขาจะแตกสลาย ต่อให้สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เขาย่อมถูกลดสถานะกลายเป็นคนโง่!
ด้วยเหตุนี้อินหว่านซวินจึงหวาดกลัว เขารู้สึกถึงภัยคุกคามจากความตายที่ย่างกรายเข้ามา
“ปล่อยข้าไป! ข้าสาบานต่อสวรรค์! ความขัดแย้งระหว่างเราเป็นอันสิ้นสุดแล้ว!” ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว ขณะเปล่งเสียงออกจากลำคออย่างยากลำบาก
“เจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ?”
ริมฝีปากของเฉินซีขยับเป็นรอยยิ้มหยันอันเย็นเยือก เขาไม่หลงเหลือความลังเลอีกต่อไป ก่อนยกมือขึ้นเพื่อทำการฟาดเข็มสังหารเทพลงไป
“อย่านะ!”
มีเสียงคำรามดังมาจากนอกสนามประลอง
โชคไม่ดี เฉินซีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สิ้นเสียงฉึก! เข็มสังหารเทพแทงทะลุศีรษะของอินหว่านซวิน ก่อนร่างของอีกฝ่ายถูกเตะออกจากสนามประลอง
ปัง!
ร่างของอินหว่านซวินยังไม่ทันกระแทกลงกับพื้น มันกลับระเบิดกลางอากาศ กลายเป็นแสงสว่างโปรยปรายระยิบระยับ พวกมันคือเศษเสี้ยววิญญาณ ขอเพียงออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไปได้ ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องวิญญาณถูกทำลาย
แต่พลังของเข็มสังหารเทพช่างร้ายกาจ มันกลายเป็นลำแสงสีดำ ราวกับตั๊กแตนหิวกระหาย ทันทีที่เศษเสี้ยววิญญาณของอินหว่านซวินปรากฏ มันทำการกลืนกินละอองวิญญาณเข้าไป ก่อนสูญสลายไปในอากาศธาตุ
ยามเห็นฉากนี้ ยอดฝีมือรอบด้านต่างหวาดกลัว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวเพราะวิธีการอันโหดเหี้ยมของเฉินซี แต่หวาดกลัวในพลังทำลายล้างที่เข็มสังหารเทพสำแดงต่างหาก
“เจ้า… สมควรตาย!”
เสียงก่อนหน้าดังขึ้นอีกครา มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธเกรี้ยว
เฉินซีหันหน้ามองไปทางต้นเสียง ก่อนพบอินว่านเฟิงอยู่ท่ามกลางฝูงชน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังสั่นเทาด้วยโทสะ ใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
“พี่ชายของเจ้าพิการ จนกลายเป็นคนโง่เขลา ในฐานะน้องชาย เจ้าไม่คิดจะมาช่วยแก้แค้นเพื่อเขาหรือ?”
เฉินซีเอ่ยถามอย่างสงบ การที่เขาทำลายวิญญาณของอินหว่านซวิน ไม่ได้ส่งผลต่อจิตใจแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าโทสะในใจยังไม่ได้รับการระบาย จึงทำการชี้นิ้วไปที่อินว่านเฟิงผู้อยู่นอกสนามประลอง
ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ หัวใจของทุกคนแทบหยุดเต้น พวกเขาลอบเดาะลิ้น เฉินซีผู้นี้วางแผนที่จะไล่ล่าจนถึงที่สุด ไม่คิดปล่อยให้ผู้ใดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
ยามคิดถึงตรงนี้ พวกเขาจึงเข้าใจความรู้สึกของเฉินซี
ก่อนหน้านี้อินหว่านซวินและน้องชายยั่วยุเฉินซีซ้ำไปซ้ำมา ไม่เพียงแต่ใช้เข็มสังหารเทพเท่านั้น แต่ถึงขั้นอยากทำลายวิญญาณของอีกฝ่าย ก่อนข่มขู่ว่าจะตามไปล้างแค้นเฉินซีในโลกภายนอก
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกที่เฉินซีจะลงมือเช่นนี้
“เจ้า…”
อินว่านเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ราวกับไม่คาดคิดว่า เฉินซีจะเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เข้ามาสู้ เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยน
“อะไร? เจ้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะแก้แค้นให้พี่ชายอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเขาพยายามแก้แค้นเพื่อเจ้า ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้หรอกหรือ?”
เฉินซีเอ่ยอย่างเชื่องช้า
นิสัยของอินว่านเฟิงไม่อาจทนต่อการยั่วยุได้เป็นที่สุด หาไม่แล้วเขาย่อมไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงในครานั้น จนถึงขั้นต้องถอนตัวจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ในสภาพน่าอับอาย
ยามเห็นเฉินซีกล่าวถึงอินหว่านซวินผู้เป็นพี่ชายซ้ำไปซ้ำมา ทำให้โลหิตสูบฉีดทั่วร่าง และไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนสารเลว คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า!”
สิ้นคำ เขาพุ่งเข้าสู่สนามประลอง
“เจ้าโง่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องพลันดังขึ้น ในเวลาเดียวกัน ร่างสีแดงเพลิงวูบไหวออกจากฝูงชนที่อยู่ไกลลิบราวกับสายฟ้า นางคืออินเฟิงเอ๋อร์จากตระกูลอิน
นางเอ่ยได้ถูกจังหวะ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าภายใต้ความคลุ้มคลั่งดังกล่าว อินว่านเฟิงสูญสิ้นสติ เขาเมินเฉยราวกับวัวบ้า เช่นนี้นางจะหาทางหยุดยั้งได้อย่างไร?
ขณะที่นางกำลังร้องห้าม อินว่านเฟิงก็ได้ก้าวขึ้นสู่สนามประลองเป็นที่เรียบร้อย ก่อนทะยานเข้าหาเฉินซีด้วยหมายจะปลิดชีพ
“เจ้าโง่! เจ้าโง่! พวกโง่ไร้ประโยชน์!”
อินเฟิงเอ๋อร์เดือดดาลจนแทบขบฟันจนแตก หน้าอกอวบอิ่มของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่นางคือลูกหลานของตระกูลอิน จึงไม่อาจทนดูอินว่านเฟิงรนหาที่ตายได้
อึดใจต่อมา นางตะโกนไปทางเฉินซีผู้อยู่บนสนามประลอง “เฉินซี หยุดมือเดี๋ยวนี้! ขืนเจ้ายังล่วงเกินตระกูลอินของข้าต่อไป เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
เฉินซีหาได้สนใจนางไม่ เมื่ออินว่านเฟิงเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาเองเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้อย่างไร?
ฟ้าว!
พริบตาต่อมา เฉินซีรวบรวมพลังทั้งหมดแล้วฟาดฟันปราณกระบี่เจิดจ้าที่รวมเข้ากับกฎแห่งมหาเต๋าทั้งห้าออกไปอย่างไม่ลังเล
ในตอนนี้ ปราณกระบี่กระจายทุกหนแห่ง อินว่านเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย เขาพลันหลุดพ้นจากการครอบงำของโทสะ ก่อนหยุดนิ่งกับที่ และรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป เกิดอะไรขึ้นกับตัวข้า? ขนาดพี่ใหญ่ยังไม่ใช่คู่มือของมัน แล้วเหตุใดข้าถึงต้องมาล้างแค้นด้วย?
“เจ้าโง่ มัวยืนทำอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่หนี!?”
ยามเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของอินเฟิงเอ๋อร์ดังขึ้น ทำให้สีหน้าของอินว่านเฟิงพลันเปลี่ยนไป เขาทราบว่าจิตใจถูกรบกวน จนส่งผลต่อการตอบสนอง เพียงแต่ยามที่กำลังจะหลบเลี่ยง เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงหน้า วิสัยทัศน์เบื้องหน้าถูกปกคลุมด้วยปราณกระบี่ห้าสีอันยิ่งใหญ่และเจิดจ้า…
ฉัวะ!
ภายใต้สายตาหวาดหวั่นของทุกคน อินว่านเฟิงไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่สูญเสียวิญญาณ ไร้การขัดขืน ร่างของเขาถูกปราณกระบี่ของเฉินซีฟาดฟันจนขาดสองท่อน ก่อนกลายเป็นแสงสว่างระยิบระยับ แล้วสูญสลายไปจากสนามประลอง
มันไม่ใช่การปลิดชีพในทันที เพียงแต่ทำให้วิญญาณบาดเจ็บสาหัส ถึงอย่างไรที่แห่งนี้คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ หากไม่ใช่อาวุธชั่วร้ายต้องห้ามอย่างเข็มสังหารเทพ ย่อมไม่สามารถปลิดชีพเขาได้
ถึงกระนั้น การโจมตีนี้มากพอที่จะทำให้อินว่านเฟิงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงนานสามถึงห้าปี
“เจ้า… สมควรตาย!”
ยามอินเฟิงเอ๋อร์เห็นดังนี้ คิ้วงามขมวดแน่น ดวงตาร้อนรุ่มราวกับลุกเป็นไฟ นางจ้องมองเฉินซีผู้อยู่บนสนามประลองด้วยสายตาเย็นชา ราวกับต้องการสังหารอีกฝ่ายด้วยการจ้องมอง
“ข้าขอท้าเจ้า เจ้ากล้ารับหรือไม่!” อินเฟิงเอ๋อร์สูดหายใจเข้า ก่อนเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะมาถึงจุดนี้ อินเฟิงเอ๋อร์ผู้นี้อยู่อันดับสิบเอ็ดบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป แต่นางก็ยังท้าเฉินซีผู้อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางอย่างนั้นหรือ?
นี่มันไม่ต่างจากการกลั่นแกล้งเลยสักนิด!
“ข้าเคยบอกไปแล้ว แม้แต่พี่สาวของเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติจะท้าทายข้า”
คำตอบของเฉินซีเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยการยั่วยุ มันสื่อเป็นนัยว่า ต่อให้อินเหมียวเมี่ยวผู้เป็นพี่สาวมาท้าทาย ข้าก็ไม่รับ เจ้าคิดว่าตัวเองมีค่าพอหรือ?
แม้อินเฟิงเอ๋อร์จะเป็นคนอวดดีไร้ยางอาย แต่นางไม่ใช่คนโง่ ยามที่นางเข้าใจความหมายของมัน ใบหน้างดงามจึงเคร่งขรึมขึ้น ก่อนเอ่ยเย้ยหยันว่า “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น กลายเป็นว่าเจ้ากลัวพี่สาวข้าจะตามมาแก้แค้น ดังนั้นเจ้าจึงจงใจพูดมันออกมาสินะ ข้าพูดถูกหรือไม่ เจ้าเด็กสารเลว?”
ทันทีที่เงียบไป เฉินซีเอ่ยอย่างสงบ “พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”
เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะหาเรื่องอีกฝ่าย เรื่องบางอย่าง มีแต่ต้องลงมือทำให้สำเร็จ จึงจะมีน้ำหนัก หากใช้เพียงคำพูด ย่อมเบาบางไร้ค่า
“ถ้าเจ้ากลัวก็บอกว่ากลัว เหตุใดต้องเสแสร้งด้วย?”
เพียงแต่อินเฟิงเอ๋อร์ไม่คิดรามือ นางแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “จริงสิ ที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ตามกฎแล้ว ข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ แต่อย่าให้ข้าพบเจ้าที่โลกภายนอกเชียว หาไม่แล้วจุดจบของเจ้าจะต้องแย่ยิ่งกว่าเหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงเป็นแน่!”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ประกายคมปลาบอันเย็นเยือกปรากฏขึ้น เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “หมายความว่าเจ้าตั้งใจจะไม่รามือตราบจนวันตายหรือ?”
“ฮ่า ๆ!”
อินเฟิงเอ๋อร์คล้ายกับได้ยินเรื่องน่าขัน นางจึงหัวเราะอย่างเหยียดหยันออกมาคำหนึ่ง “ตราบจนวันตายหรือ? เด็กสารเลวเช่นเจ้าควรค่าที่จะอยู่ใต้ชายคาของตระกูลเหลียงตลอดกาลอย่างนั้นหรือ?”
เฉินซีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เข้าใจอะไร?
ทุกคนต่างสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเฉินซีหมายถึงอะไร
แม้อินเฟิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจ เฉินซีไม่มีความตั้งใจจะประนีประนอมหรือโอนอ่อนแม้แต่น้อย ดังนั้นนางทำได้เพียงคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่สุด “เจ้าคงไม่คิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลอินใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการเหยียดหยันไร้ที่สิ้นสุด
“พอได้แล้ว! อินเฟิงเอ๋อร์ วันนี้ตระกูลอินของเจ้าทำเกินไปแล้ว” ในขณะนั้นเอง เสียงอันแจ่มชัดดังก้องมาจากระยะไกล