บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1075 กฎระหว่างตระกูลใหญ่
บทที่ 1075 กฎระหว่างตระกูลใหญ่
ใครกันที่กล้าต่อว่าอินเฟิงเอ๋อร์เช่นนี้?
ทุกคนต่างตกตะลึง และมองไปยังที่อันห่างไกล มีร่างสองร่างกำลังบินมาจากทางนั้น คนหนึ่งมีดวงตาและคิ้วคมกริบ รูปร่างผอมแห้ง และท่าทางเย็นชา ส่วนอีกคนสวมเสื้อคลุมหนังพังพอนปักลาย พร้อมเผยท่าทีหยิ่งผยอง
สองคนนี้คือ กู่อวี่ถังซึ่งอยู่อันดับเจ็ด และหลัวจื่อเฟิงซึ่งอยู่อันดับห้า
ทั้งสองเพิ่งไต่อันดับของในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับการสนับสนุนของกองกำลังขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครไม่มีรู้จักคนทั้งสอง
ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคน ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่รอบข้างก็เข้าใจอย่างฉับพลัน เพราะมีเพียงสองคนนี้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและสถานะเท่านั้น จึงจะกล้ากล่าวเช่นนี้กับอินเฟิงเอ๋อร์ได้
และคนที่กล่าวก่อนหน้านี้คือกู่อวี่ถัง
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อนางเห็นว่ามีคนสอดมือเข้ามาขัดขวางการประณามเฉินซี อินเฟิงเอ๋อร์ก็โกรธจัด นางเชิดคางขึ้นสูงและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ทำไม? เจ้าทั้งคู่คิดจะมาเพื่อไกล่เกลี่ยหรือ?”
กู่อวี่ถังขมวดคิ้ว “ท่าทีเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
อินเฟิงเอ๋อร์แค่นเสียงเย็น “ท่าทีของข้าจะดีกว่านี้ หากเจ้ายืนห่าง ๆ และรอให้ข้าจัดการกับไอ้สารเลวน้อยตัวนี้ก่อน ถ้าข้าอารมณ์ดี บางทีข้าอาจจะพูดคุยกับพวกเจ้าทั้งสอง”
หลัวจื่อเฟิงไม่คิดทนอีกต่อไป และกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “อินเฟิงเอ๋อร์ แม้แต่พี่สาวของเจ้าก็ยังไม่กล้ากล่าวเช่นนี้กับข้า”
“แล้วจะให้กล่าวเยี่ยงไร?” อินเฟิงเอ๋อร์เลิกคิ้วงดงามของนาง “ตระกูลหลัวและตระกูลกู่ของพวกเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับไอ้สารเลวน้อยนี้หรือไม่? ไยต้องมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาของข้า แล้วเจ้ายังบอกว่าข้านั้นทำเกินไป? หากคนในตระกูลของพวกเจ้าต้องอับอายขายหน้า แล้วพวกเจ้าจะทนได้หรือ?”
“ช่างไร้เหตุผล!”
“หยิ่งยโสโอหัง!”
อินเฟิงเอ๋อร์ผู้นี้สมคำร่ำลือจริง ๆ นางมีนิสัยที่เยือกเย็น ก้าวร้าว และหยิ่งยโส
เมื่อเห็นความขัดแย้งนี้ ทุกคนก็เปลี่ยนความสนใจจากเฉินซีไปที่กูอวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงแทน พวกเขาต่างประหลาดใจเล็กน้อย และรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่าทีหยิ่งยโสของอินเฟิงเอ๋อร์ทั้งสิ้น
การที่กู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงมาที่นี่ ย่อมไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากเพื่อคว้าโอกาสนี้ชนะใจเฉินซี และดูว่าจะสามารถสานสัมพันธ์อันดีได้หรือไม่ แน่นอนว่า เมื่อเห็นการโต้เถียงที่รุนแรงระหว่างเฉินซีกับอินเฟิงเอ๋อร์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขารีบเข้ามามีส่วนร่วม
แต่ไม่คิดเลยว่าอินเฟิงเอ๋อร์จะหยาบคายและไร้เหตุผลถึงเพียงนี้
ใบหน้าของกู่อวี่ถังพลันมืดลงทันที ในฐานะที่เป็นอันดับเจ็ดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลกู่ที่มีอิทธิพลมากในตระกูล เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีภาคภูมิใจในตัวเอง
เขาหัวเราะทันที “จริงสิ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการท้าทายเฉินซีหรอกหรือ? ไยเราไม่ประลองกันสักตั้งเล่า?”
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนต่างตกใจ เพราะไม่คิดว่ากู่อวี่ถังจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทนี้ด้วยอีกคน
แม้แต่เฉินซีก็ยังค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นก็หวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับกู่อวี่ถังเมื่อเดือนก่อน ท่าทีของกู่อวี่ถังค่อนข้างอบอุ่น และแสดงความปรารถนาที่จะเป็นสหายอย่างชัดเจน
เดิมทีเฉินซีคิดว่ามันเป็นการหยั่งพลังฝีมือหรืออาจเป็นวิธีการที่หาทางเอาชนะ แต่เมื่อเขาเห็นกู่อวี่ถังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทในครั้งนี้ ท่าทีที่มีต่อกู่อวี่ถังก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทว่าหลัวจื่อเฟิงที่คอยสังเกตเฉินซีอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทีที่มีต่อกู่อวี่ถังอ่อนลงหลายส่วน เขาก็ร้องในใจทันที ‘บัดซบ!’
เขาก็เหมือนกับกู่อวี่ถัง มีความสนใจต่อเฉินซีอย่างมาก และตั้งใจที่จะชนะใจเฉินซีให้ได้ ดังนั้นเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?
“เช่นนั้นก็นับข้ารวมเข้าไปด้วย อินเฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องการต่อสู้หรอกหรือ? ข้าจะเล่นกับเจ้าเอง” หลัวจื่อเฟิงยิ้มอย่างเบิกบานและกล่าวทันที
ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลัวจื่อเฟิงที่ติดอันดับห้าตั้งใจจะเข้าร่วมด้วย?
อันที่จริงหากสังเกตดี ๆ จะสังเกตได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเลย น่าตกใจที่เงาของสี่ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ อย่างตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ ตระกูลหลัว และตระกูลอิน จะยืนอยู่ข้างหลังคนหนุ่มสาวทั้งสี่นี้
ตระกูลทั้งสี่เป็นสี่อันดับแรกของมหาอำนาจในทวีปทักษิณา และครอบครองกองกำลังขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีทรัพยากรและทุนทรัพย์ที่ลึกล้ำ
ซึ่งตอนนี้ศิษย์ของกู่และตระกูลหลัว ไม่ลังเลที่จะต่อสู้กับอินเฟิงเอ๋อร์แห่งตระกูลอินแม้แต่น้อย เพื่อชายหนุ่มจากตระกูลเหลียง ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงกระตุ้นผู้คนให้ครุ่นคิดเป็นอย่างมาก
อินเฟิงเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน ทำให้รู้สึกกังวลในใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน? หรือพวกเจ้าทั้งสองตั้งใจที่จะรังแกผู้อ่อนแอกว่าหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้มีความหมายถึงการยอมรับความด้อยฝีมือของตน แต่นางก็กล่าวในลักษณะที่สมเหตุสมผลและภาคภูมิใจ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความคิดและนิสัยของนางนั้นไร้เหตุผลเพียงใด
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ได้ลอดเข้าหูของผู้ชมโดยรอบ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกขบขันอย่างมาก ถึงขนาดที่บางคนอดที่จะดูถูกในใจไม่ได้
‘รังแกผู้อ่อนแอหรือ? แล้วการที่เจ้าท้าทายเฉินซีเล่า?’
แน่นอน พวกเขาทั้งหมดได้แต่คิดในใจ แต่ไม่กล้ากล่าวออกมาดัง ๆ
แต่กู่อวี่ถังกล้าและไม่ได้ปิดบังความรังเกียจแม้แต่น้อย เขายิ้มและกล่าวว่า “รังแกผู้อ่อนแอหรือ? เจ้าคิดว่าตนเองสามารถกล่าวเช่นนี้ได้จริง ๆ หรือ? แล้วการที่เจ้าท้าทายเฉินซีเล่า?”
“อินเฟิงเอ๋อร์ ให้ข้าได้ชี้แนะบางอย่างแก่เจ้าเถิด จงไปเสียเดี๋ยวนีัและหยุดสร้างปัญหา มิฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น” หลัวจื่อเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย
อินเฟิงเอ๋อร์เข้าใจในที่สุดว่ากู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงตั้งใจที่จะช่วยเฉินซีอย่างแน่นอน ทำให้นางทั้งงุนงงและขุ่นเคืองเล็กน้อย
นางงุนงงว่าทำไมสองคนนี้ไม่มีอะไรทำหรือ ถึงได้มาแทรกแซงปัญหาของนาง และไม่พอใจที่พวกเขาไม่ได้มาเพื่อช่วยนาง แต่กลับมาเพื่อช่วยไอ้สารเลวที่ชื่อเฉินซี!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าข้าตั้งใจจะประณามไอ้สารเลวนั่น เจ้าทั้งสองจะขัดขวางข้าอย่างแน่นอนกระมัง?” อินเฟิงเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
กู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงมองกันและกัน ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง กลับไป เสียงอันเย็นชาเสียดแทงดังก้องแทรกขึ้นมา “เฟิงเอ๋อร์ถอยกลับมาก่อน ถ้าพวกเขาต้องการสู้ ก็สู้กับข้า”
เสียงนี้แฝงด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางความเย็นชา มองไปทั่วทั้งทวีปทักษิณา เห็นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น อินเหมียวเมี่ยว!
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ รวมถึงกู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงล้วนจ้องมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น
แน่นอนว่าพวกเขาเห็นร่างที่สง่างามของอินเหมียวเมี่ยว ยืนอยู่บนก้อนหินที่แหลมคมในระยะไกล นางสวมเสื้อผ้าโปร่งสีดำ มีรูปร่างหน้าตางดงาม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจ
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างมีสีหน้าตกใจ เนื่องจากมันยากที่จะจินตนาการว่าอินเหมียวเมี่ยวจะปรากฏตัวที่นี่จริงๆ
นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ และนี่เป็นเพียงหนึ่งในสนามประลองทั้งหลายบนชั้นที่ห้า ในอดีตไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในสิบอันดับแรก แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในร้อยอันดับแรกก็ไม่เคยปรากฏตัวที่นี่
แต่ตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับสาม อันดับห้า อันดับเจ็ด และอันดับสิบเอ็ดได้มารวมตัวกันที่นี่แล้ว!
หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไปยังโลกภายนอก รายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ได้
กู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นใบหน้าของทั้งสองก็มืดลง เพราะอินเหมียวเมี่ยวกำลังพูดกับพวกตนแน่นอน
แต่พวกเขาไม่กล้าตอบตกลง
แม้พวกเราจะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่อันดับ แต่ในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับ เพียงห่างกันอันดับเดียวก็แตกต่างราวกับฟ้ากับเหว อีกทั้งมันยังโหดร้ายและรุนแรงกว่าอันดับที่ต่ำกว่า
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ตรงนั้น มีเพียงเฉินซีที่ไม่หันไปมองอินเหมียวเมี่ยว เพราะรู้ว่านางจะมาอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลให้หันไปมองนาง
ในทำนองเดียวกัน มีเพียงสีหน้าของเขาเท่านั้นที่สงบที่สุด ไม่ต้องกล่าวถึงอินเหมียวเมี่ยว ต่อให้ราชันเซียนลิ่นฮ่าวมาที่นี่ก็ไม่คิดแยแส เพราะที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ตามกฎของที่นี่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด
“ฮ่า ฮ่า ไยพวกเจ้าถึงไม่กล่าวอะไรเลยเล่า” เมื่อนางเห็นกู่อวี่ถังและหลัวจื่อเฟิงเงียบไป อินเฟิงเอ๋อร์ก็ไม่สามารถยับยั้งความสุขในใจได้ และกล่าวเยาะเย้ยทันที
“ยัยโง่ แม้เราจะเกรงกลัวพี่สาวเจ้าก็จริง แต่เราหาไม่ได้กลัวเจ้า ถ้าลองคิดทบทวนให้ดีแล้ว ไยเจ้าถึงไม่ถามพี่สาวล่ะ ว่าตอนนี้นางกล้าท้าทายพี่ชายของข้าหรือไม่” กู่อวี่ถังหัวเราะเยาะกลับ
พี่ชายที่เขากล่าวย่อมหมายถึงกู่เยวหมิง ซึ่งอยู่ในอันดับสองและอยู่เหนืออินเหมียวเมี่ยวหนึ่งอันดับ
อินเฟิงเอ๋อร์กล่าวไม่ออกในทันที เพราะนี่คือความจริงที่เถียงไม่ได้
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินซีก็อดที่จะขบขันในใจไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้คือศิษย์ของตระกูลที่มักจะใช้ตัวตน เกียรติยศ อันดับ และภูมิหลังในการโอ้อวด ทว่าความแข็งแกร่งก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้จะถูกยกมาโอ้อวดกันมากที่สุดรองจากความแข็งแกร่ง
แน่นอนว่าเฉินซีไม่ได้มีเจตนาดูแคลนแต่อย่างใด เขารู้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นกฎระหว่างศิษย์ของตระกูลที่ยิ่งใหญ่และผู้มีอำนาจ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ใช้กับตนไม่ได้ และไม่เคยคิดที่จะปฏิบัติตาม
เมื่อเฉินซีลอบถอนหายใจ อินเหมียวเมี่ยวที่อยู่ห่างไกลก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ ในเวลาไม่เกินหนึ่งปี กู่เยวหมิงพี่ชายของเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน”
นี่คือคำตอบของนางต่อคำพูดของกู่อวี่ถัง นางกำลังกล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมันดูน่าเชื่อถือ เมื่อมันกล่าวออกจากปากของอินเหมียวเมี่ยว
ยามนี้นางได้กลายเป็นบุคคลในหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในทวีปทักษิณาแล้ว นางเป็นดั่งดวงดาวที่พร่างพราวและเจิดจรัส ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเมินเฉยต่อคำพูดของนาง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของกู่อวี่ถังมืดมนมากขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะรอ”
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพราะเขาไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่อินเหมียวเมี่ยวกล่าวได้
“เฟิงเอ๋อร์ ไปกันเถอะ” อินเหมียวเมี่ยวไม่แยแสกับเรื่องนี้ นางกล่าวกับอินเฟิงเอ๋อร์ ก่อนจะจากไป
“พี่ใหญ่ แล้วไอ้สารเลวน้อยนั่นล่ะ?” อินเฟิงเอ๋อร์จะปล่อยเฉินซีไปเช่นนี้ได้อย่างไร นางจึงพุ่งเป้าไปที่เฉินซีทันที
“ข้าจะคุยกับผู้นำตระกูล เพื่อใช้ทุกวิถีทางให้ตระกูลเหลียงเลิกปกป้องเขา ถึงเวลานั้น…เขาก็เป็นได้เพียงปลาในเขียงของเจ้า” อินเหมียวเมี่ยวเอ่ย ราวกับกำลังกล่าวถึงการตัดสินใจที่ไม่มีสำคัญ และนางไม่ได้ละสายตาจากเฉินซีเลยแม้แต่น้อย แต่คำพูดของนางไม่ต่างจากการตัดสินโทษประหารชีวิตเฉินซี
ทุกคนต่างตกตะลึง และตระหนักดีถึงน้ำหนักในคำกล่าวของอินเหมียวเมี่ยว การที่นางกล้าแสดงจุดยืนเช่นนี้ อีกไม่นานก็คงได้รู้!
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็เต็มไปด้วยอารมณ์ มีทั้งชื่นชมยินดี แปลกใจ สมเพช หรือดีใจในคราวเคราะห์ของเขา
“ถึงอย่างไร ผู้คนไม่สามารถถูกฆ่าในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้ หากเราต้องการตัดสินปัญหา โลกภายนอกก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” อินเฟิงเอ๋อร์ยิ้มหวาน ขณะที่มองเฉินซีหยิ่งผยอง จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นสูง แล้วหันหลังจากไป