บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1078 สังเกตโดยละเอียด
บทที่ 1078 สังเกตโดยละเอียด
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องโถงตระกูลหลัว
ผู้นำตระกูลหลัว หลัวตู่ฟู มองไปยังหลัวจื่อเฟิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าต้องการคำอธิบาย”
หลัวตู่ฟูมีรูปร่างผอมจนเห็นกระดูก คิ้วบาง ดูแล้วเหมือนคนแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อเอ่ยคำพูดกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงอำนาจ ไม่สมกับรูปลักษณ์ภายนอกเลยสักนิด
เหมือนว่าภายในร่างมีพลังพร้อมปะทุอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลัวจื่อเฟิงที่ยืนอยู่ด้านล่างมีสีหน้านิ่งสงบ เหมือนไม่สังเกตเห็นแววความโกรธภายในน้ำเสียงหลัวตู่ฟู เขาคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะเฉินซีคู่ควรให้ข้าต้องทำเช่นนั้น”
หลัวตู่ฟูยังคงสีหน้าไร้อารมณ์เอาไว้แล้วมองหลัวจื่อเฟิงเงียบ ๆ
เขาต้องการคำอธิบายจริง ๆ ไม่ได้อยากรู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะอย่างไรเรื่องขัดแย้งระหว่างพวกตนและตระกูลอินก็เกิดขึ้นเพราะชายหนุ่มคนเดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องของตระกูลหลัวเลยด้วยซ้ำ
“เฉินซีมีพรสวรรค์และมีฝีมือในการต่อสู้เหนือกว่าอัจฉริยะทั่วไป ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ก็นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นเขา” หลัวจื่อเฟิงรู้จุดยืนของบิดาตนเองดี ดังนั้นจึงคิดอยู่นานก่อนเอ่ยอธิบาย “แน่นอนว่าข้ารู้ดีว่าหากมีเพียงเท่านี้ก็เป็นเพียงบุคคลที่น่าผูกมิตรด้วยเท่านั้น แต่พอข้าได้เห็นอาวุธที่เขามี ข้าเลยตัดสินใจว่าควรช่วยเหลือเขา!”
พูดจบชายหนุ่มก็ใช้ศาสตร์เซียนล้ำลึก กลั่นรวมกันเป็นภาพซึ่งโอบล้อมไปด้วยหมอกสีขาวหยก ก่อนกระบี่เซียนธรรมดาเล่มหนึ่งจะปรากฏอยู่ในนั้น
กระบี่เซียนนั้นมีสีดำสนิทไม่ได้ดูพิเศษอะไร ตัวกระบี่ยาวสามฉื่อ อยู่ในมือเรียวสีขาวแกร่ง อยู่ในท่ากำลังฟันลงมากลางอากาศ สามารถสัมผัสได้จาง ๆ ว่าคมกระบี่เต็มไปด้วยอักขระยันต์หนาแน่นส่องแสงสว่างจ้า
หลัวตู่ฟูเคลื่อนสายตาประเมินสิ่งนั้นเงียบ ๆ
หลัวจื่อเฟิงไม่พูดอะไรอีกแล้วรอไปเช่นนั้น เขารู้ว่าท่านพ่อกำลังประเมินความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ และต้องสังเกตเห็นบางอย่างแน่
และก็เป็นไปเช่นนั้น ไม่นานนัยน์ตาของหลัวตู่ฟูก็เป็นประกาย เหมือนตะวันกรุ่นสำแดงอำนาจอันยิ่งใหญ่
“ยันต์ศัสตรา!” เขาเอ่ยขึ้นมาทีละคำด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เหมือนเสียงฟ้าดังก้องไปทั่วห้องโถง
หลัวจื่อเฟิงเองก็ตกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเพียงสงสัย มั่นใจเพียงเจ็ดถึงแปดส่วนเท่านั้นว่าเป็นยันต์ศัสตรา แต่พอได้ยินท่านพ่อยืนยันมาเช่นนี้ นอกจากในใจจะรู้สึกคลายกังวลลงแล้ว ยังรู้สึกตกตะลึงด้วย เป็นไปอย่างที่ข้าคิดจริง ๆ เป็นของจริงสินะ!
“ใช่แล้ว เป็นยันต์ศัสตราจริง มันมียันต์เทวะและมีผังอักขระยันต์อยู่ ไม่อาจนำสมบัติอมตะมาเทียบได้เลย…” หลัวตู่ฟูมองมันโดยละเอียดอีกครั้ง น่าเสียดายที่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงภาพที่มาจากศาสตร์เซียน ไม่ใช่ของจริง ดังนั้นจึงไม่สามารถมองอะไรได้มากนัก
แต่เขามั่นใจว่ามันเป็นยันต์ศัสตราแน่นอน!
“หรือว่าตระกูลเหลียงนั่นจะได้วิธีการสร้างมันขึ้นมาแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลัวตู่ฟูเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาหรี่ตาลง ตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลางพึมพำออกมา
หลัวจื่อเฟิงได้ยินก็รู้ว่าท่านพ่อคงเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยแย้ง “ท่านพ่อ นั่นเป็นสิ่งที่ตระกูลเหลียงไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเหลียงปิงก็คงสร้างกระสวยแสงเงินของนางขึ้นมาได้อีกครั้งแล้ว”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ไม่ใช่เพียงตระกูลเหลียง กระทั่งตระกูลหลัวของเราและตระกูลกู่ก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงวิธีสร้างยันต์ศัสตราได้เลย”
“อ้อ?” หลัวตู่ฟูมุ่นคิ้วหัวเราะ “หรือเจ้าคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็นคนสร้างมันขึ้นมา?”
หลัวจื่อเฟิงเอ่ยเสียงเครียด “ถูกต้องแล้วขอรับ”
หลัวตู่ฟูยิ่งมุ่นคิ้วแน่นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าตัวเขารู้สึกว่ามันไร้สาระ แต่ก็ยังอุตส่าห์ถามขึ้นว่า “มีเหตุผลอะไร?”
“ท่านพ่อดูนี่ก่อน” หลัวจื่อเฟิงหยิบป้ายหยกแล้วเปิดใช้งานมัน มันเผยให้เห็นภาพหลากฉาก และมันเป็นภาพงานเลี้ยงของเหลียงปิงเมื่อหลายวันก่อน
มันเป็นภาพชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนลานประลอง เขาถือพู่กันยันต์อักขระไว้ในมือแล้วเขียนบางอย่างไม่หยุด จากนั้นก็วางมันลง ใช้เวลาเพียงชั่วยี่สิบห้าลมหายใจเท่านั้น
ถัดจากภาพนั้นป้ายหยกก็ส่องสว่างขึ้นอีก เผยให้เห็นภาพธารดารากระจายทั่วฟ้า ประกายดาวแผ่ไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่องแสงดาวประกายระยับ
จากนั้นภาพจากป้ายหยกก็หายไป
ทว่าหลัวตู่ฟูตกอยู่ในภวังค์ เขาจ้องมองมันด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่พูดอะไร ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน
“ไม่ว่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระคนไหนก็สามารถสร้างยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ดชิ้นแรกได้ทั้งนั้น แต่น้อยคนนักที่จะสามารถสร้างได้ภายในชั่วยี่สิบห้าลมหายใจ ในหมู่สี่ตระกูลใหญ่ของเราก็ไม่มีใครที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ธารดาราเต็มฟ้าในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนั้นได้มาก่อน” หลัวจื่อเฟิงเอ่ยขึ้นช้า ๆ ยามเอ่ยต่อก็ไม่อาจปกปิดอารมณ์ในน้ำเสียงไว้ได้ “แต่เฉินซีสามารถทำได้ และช่วยเหลียงปิงรับมือกับการยั่วยุของอู๋อี้ฟ่านจากตระกูลอู๋แห่งทวีปนภาเหมันต์”
ชายหนุ่มหยุดไปเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “ท่านพ่อ หรือท่านจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งบรรพบุรุษตระกูลอู๋เคยเป็นบริวารเต๋าเคียงข้างนายท่านแห่งเขาเทพพยากรณ์ หลายปีนับจากนั้น พวกเขาก็เรียกตนเองว่าเป็นผู้สืบทอดสายย่อยของเขาเทพพยากรณ์มาตลอด”
“อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลอู๋ไม่เคยเห็นสี่ตระกูลใหญ่ของเราอยู่ในสายตา ทว่าตอนนี้ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลอู๋กลับพ่ายแพ้ให้เฉินซี” เมื่อพูดถึงจุดนี้ หลัวจื่อเฟิงก็สูดลมหายใจเข้าลึก “เมื่อคิดควบรวมกันแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากเฉินซีไม่ใช่คนจากเขาเทพพยากรณ์ ก็คงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเขาเทพพยากรณ์เป็นแน่!”
ในขณะเดียวกันนั้น หลัวตู่ฟูก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด รับฟังด้วยความนิ่งสงบก่อนสายตาที่มองหลัวจื่อเฟิงจะแปรเปลี่ยน น้ำเสียงเจือแววชื่นชมจริงใจ “สังเกตได้ดี มีความคิดรอบคอบ จื่อเฟิง เจ้าเติบโตแล้วสินะ”
การเติบโตที่เขาพูดถึงเป็นคำชมและรับรู้ถึงความสามารถของบุตรชาย
หลัวจื่อเฟิงรู้สึกดีใจมาก เพราะรู้ดีว่าท่านพ่อสงวนคำชมยิ่งกว่าอะไร ตั้งแต่ที่เริ่มบ่มเพาะพลังมาตั้งแต่เด็ก ท่านพ่อเอ่ยชมเขาแทบนับนิ้วได้!
“เช่นนี้ตระกูลเหลียงที่มีเด็กคนนี้ไว้คงต้องเจริญรุ่งเรืองเป็นแน่” หลัวตู่ฟูถอนหายใจ ด้วยฐานะและตัวตนของเขาทำให้อดรู้สึกอิจฉาเล็ก ๆ ไม่ได้
เมื่อพูดเช่นนี้ก็หันมาพยักหน้าให้หลัวจื่อเฟิงแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ถึงจะไม่สามารถเอาชนะใจเฉินซีให้มาอยู่กับตระกูลหลัวของเราได้ ขอแค่มีสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้ก็เพียงพอแล้ว”
หลัวจื่อเฟิงยิ้มแล้วรีบปฏิเสธอย่างถ่อมตัว เขารู้ดีว่าหากท่านพ่อพูดมาเช่นนี้ ฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลัวของตนจะมั่นคงยิ่งขึ้น
“อ้อใช่ ตระกูลอิน คืนนี้แพะเฒ่าอินเตอจ้าวนั่นกำลังจะไปตระกูลเหลียงเพื่อต่อว่าการกระทำของเฉินซี ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าเหลียงเทียนเหิงผู้โหดเหี้ยมจะตอบกลับเช่นไร” หลัวตู่ฟูหัวเราะลั่น
หลัวจื่อเฟิงพลันถามขึ้น “ท่านพ่อ หากตระกูลอินล่วงรู้ถึงคุณค่าของเฉินซี คงมองเขาแตกต่างไปจากเดิมมากเลยใช่หรือไม่?”
“เห็นค่าแล้วอย่างไร? จากที่เจ้าว่ามา พวกเขาล่วงเกินชายหนุ่มผู้นั้นอย่างร้ายแรงไปแล้ว คงไม่หันมาประนีประนอม แต่เลือกทำลายภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเสียมากกว่า” หลัวตู่ฟูเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “หากข้าเป็นอินเตอจ้าวก็คงทำเช่นนั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าเฉินซีเป็นใครกันแน่ และมีความสำคัญใดกับเขาเทพพยากรณ์ หากไม่สังหารคงได้กลายเป็นความวิบัติ และถึงแม้การสังหารเขาจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”
“หากเขาเทพพยากรณ์โกรธเคืองเล่า?” หลัวจื่อเฟิงถามขึ้น
“ในเมื่อตายไปแล้ว ตระกูลอินจะหาแพะมารับบาปแทนก็ยังได้ แล้วก็คงโยนความผิดทุกอย่างให้คนผู้นั้นเพื่อคลายความโกรธของเขาเทพพยากรณ์ลง” หลัวตู่ฟูเอ่ยเสียงสบาย “แน่นอนว่าหากเฉินซีเป็นศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์จริง ตระกูลอินก็คงมีจุดจบเดียว คือถูกทำลายสิ้น”
ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายใจยิ่ง ทว่าหลัวจื่อเฟิงได้ยินแล้วรู้สึกหวาดผวา ทั้งยังยิ่งรู้สึกนับถือเขาเทพพยากรณ์ขึ้นกว่าเดิม
เขารู้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อของนิกายที่ลึกลับที่สุดในสามภพแห่งหนึ่ง แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับความสามารถของเขาเทพพยากรณ์เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ก็อดรู้สึกหวั่นเกรงไม่ได้
นั่นก็ยังเป็นเพราะเหตุผลเดิม อำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ในทวีปทักษิณานั้นมีเพียงไหนกัน? สุดท้ายบรรพบุรุษของพวกตนก็เป็นเพียงบริวารเต๋าข้างกายนายท่านแห่งเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะเป็นคนของเขาเทพพยากรณ์ นับแต่บรรพกาลมาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขาเทพพยากรณ์รับศิษย์มาก่อน…” หลัวตู่ฟูถอนใจ มีเพียงตนที่รู้ดีว่ากาลเวลาเปลี่ยนผันมานานเท่าใด มีคนมากมายที่มีความสามารถไม่ธรรมดาในภพเซียนหมายอยากเข้าเขาเทพพยากรณ์มากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยมีใครมีวาสนาเลย
ถึงขนาดที่คนในขุมพลังหลักทั้งสี่ในทวีปยังอยากไปเป็นศิษย์นิกายนั้นทีเดียว!
ดังนั้นชายหนุ่มขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางผู้นั้นจะไปเป็นศิษย์เขาเทพพยากรณ์ได้อย่างไร? หากเป็นจริง แล้วจะมาปรากฏตัวในทวีปทักษิณาได้อย่างไรกัน?
หลัวตู่ฟูไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลัวจื่อเฟิง ก็อย่างที่หลัวจื่อเฟิงกล่าวไปก่อนหน้านี้ แม้เฉินซีจะไม่ใช่คนจากเขาเทพพยากรณ์ แต่ในเมื่อเฉินซีมีความสามารถด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระถึงเพียงนั้น ทั้งยังมียันต์ศัสตราของจริงอยู่ในครอบครอง อีกฝ่ายก็คงมีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับเขาเทพพยากรณ์เป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงสนับสนุนให้หลัวจื่อเฟิงสานสัมพันธ์ไมตรีกับเฉินซีเอาไว้
…
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในตระกูลกู่เช่นกัน
ความแตกต่างเดียวก็คือ บุคคลที่พูดคุยกันอยู่คือผู้นำตระกูลกู่ กู่เจินอวี่กับกู่อวี่ถัง
ในฐานะผู้นำตระกูลกู่ กู่เจินอวี่เป็นคนเด็ดขาดดุดัน ทำอะไรแน่วแน่และไร้ความลังเล
เมื่อได้ยินข่าวที่กู่อวี่ถังนำกลับมาบอก เขาก็ตัดสินใจทันที “มอบอำนาจตระกูลให้เจ้ากับเยวหมิงหนึ่งวัน ให้พวกเจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ จะถูกหรือผิดก็เป็นเพียงการฝึกฝนเท่านั้น”
ว่าจบ เขาก็ส่งกู่อวี่ถังออกไป ไม่สนใจสายตาลังเลของกู่อวี่ถังสักนิด
“บัดซบเอ๋ย จะลงมือทำอะไร เหตุใดต้องหวาดกลัวต้องลังเลด้วยเล่า? เจ้ายังเยาว์วัยนัก…” กู่เจินอวี่ส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงภายในห้องโถงแล้วถอนหายใจออกมา
จากนั้นก็หัวเราะ เพราะเขาก็รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของกู่อวี่ถังเช่นกัน
อีกทั้งเขายังอยากรู้ว่าเหลียงเทียนเหิงที่ยิ้มซ่อนมีดจะรับมือกับอินเตอจ้าวที่กำลังเดินทางไปตระกูลเหลียงเพื่อต่อว่าการกระทำของเฉินซีอย่างไรด้วย