บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1084 ร้อยวิธีฉกาจ
บทที่ 1084 ร้อยวิธีฉกาจ
เฉินซีกลายเป็นจุดสนใจ
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะนับตั้งแต่เอาชนะเหลียงเจ๋อไปได้ เขาก็ตรวจสอบผังอักขระยันต์ที่อยู่ภายในง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งอยู่หลายครั้ง
จริง ๆ แล้วผังอักขระยันต์ในนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย ทั้งยังมาจากยันต์เทวะเซียงเถาเช่นกัน การจัดเรียงเรียบง่ายกว่ากระสวยแสงเงินของเหลียงปิงด้วยซ้ำ
แต่ส่วนที่ยากคือง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งเป็นสมบัติอมตะคู่ที่ใช้เพื่อเสริมกันและกัน ไม่ใช่สมบัติที่นำมารวมกันให้เป็นชิ้นหนึ่งที่สมบูรณ์
หากเขาคิดอยากขัดเกลาเพิ่มอำนาจให้มัน ไม่เพียงแต่ต้องซ่อมแซมผังอักขระยันต์ในง้าวสั้น แต่ต้องให้ง้าวทั้งสองมีความเชื่อมโยงพิเศษกันด้วย
มีแต่วิธีนี้จึงจะสามารถดึงเอาพละกำลังที่แท้จริงของมันออกมาได้
ผังอักขระยันต์ซ่อมแซมง่าย ส่วนน่าปวดหัวคือการที่ต้องเชื่อมง้าวสั้นทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เข้าคู่กันได้ดีขึ้นมา
ก็เหมือนกับการหายใจเข้าออกประสานกัน ทำให้ง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่
ซึ่งเป็นปัญหาที่รับมือยากไม่น้อย
นับเป็นครั้งแรกที่เฉินซีเห็นอะไรแบบนี้ แต่ไม่นานในหัวก็นึกถึงกว่าร้อยวิธีฉกาจเพื่อรับมือกับปัญหานี้ขึ้นมาได้ แต่ละวิธีอาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ก็เน้นกันไปคนละอย่าง มีวิธีการที่แตกต่างกัน
เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าจะมีวิธีใดที่สามารถดึงเอาพลังที่แท้จริงของง้าวออกมาได้ และทำให้เหลียงเจ๋อรู้สึกเหมือนอาวุธเป็นแขนขาในร่างกายไปพร้อมกัน เพื่อให้สามารถดึงพลังต่อสู้ของเจ้าตัวออกมาได้เต็มที่
…
บรรยากาศบนสนามต่อสู้เงียบสนิท
เมื่อเวลาผ่านไป สายตาคนตระกูลเหลียงก็เริ่มเผยแววกังวลยามมองเฉินซี ขนาดที่มีความสงสัยเจือปนอยู่ด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอกนะ?”
“ไอ้หยา อำนาจของง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งไม่ใช่ว่าจะขัดเกลากันง่าย ๆ มันเป็นสมบัติที่ส่งต่อกันมาในตระกูลเหลียงเรา กระทั่งบรรพบุรุษยังหาทางไม่ได้ เจ้าหนุ่มคนนั้นจะทำได้อย่างไร?”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ เฉินซีมีความสามารถแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถชี้แนะเหลียงเฉียวและสอนวิธีขัดเกลาตะบองมังกรขดให้ได้ แต่สุดท้ายง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งก็เป็นสมบัติที่พิเศษเกินไป”
ได้ยินเสียงพูดคุยดังมา ถึงแม้ว่าจะลดเสียงจนไม่ต่างจากการกระซิบ แต่ในบรรยากาศเงียบเชียบเช่นนี้ก็ยังได้ยินกันได้ทั่ว
เหลียงเจ๋อที่อยู่บนสนามก็ได้ยินเช่นกัน แต่ยังคงความสงบไว้ แสงประกายแห่งความหวังที่มองเฉินซีไม่หม่นแสงลงแม้แต่น้อย
เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างขมขื่นมานานหลายปี กล่อมเกลาให้จิตใจเข้มแข็งแน่วแน่ยิ่ง แค่รอระยะสั้น ๆ เช่นนี้ทำไมจะทำไม่ได้?
ทว่า…
มันรู้สึกเหมือนต้องรอนานเป็นปีเสียจริง! เหลียงเจ๋อเอ่ยเยาะตนเองอยู่ในใจ ถึงเขาจะใจแข็งดั่งเหล็กกล้า แต่ก็อดรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวายเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนโชคชะตาของตนได้เช่นกัน
“เงียบ!” เหลียงปิงทนฟังเสียงกระซิบกระซาบไม่ไหว คิ้วงามขมวดเข้าหากันแล้วเอ่ยดุเสียงต่ำ
บรรยากาศจึงเงียบลงอีกครั้ง ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป สายตาคนตระกูลเหลียงที่ใช้มองเฉินซีก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าเฉินซีคงไม่อาจทำได้สำเร็จ
ท่ามกลางความเงียบนั้น เฉินซีหลุดออกจากภวังค์ความคิด แล้วหยิบป้ายหยกออกมาบันทึกวิธีที่เขาคิดออก จากนั้นส่งให้เหลียงเจ๋อ “นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่ข้าคิดออก เจ้าเลือกมาหนึ่งอย่าง”
พูดจบทุกคนก็ตกตะลึง นี่เขา… ทำสำเร็จจริงหรือ?
ขนาดเหลียงเจ๋อที่มีจิตใจมั่นคงยังถึงขั้นตัวสั่นปากสั่น สีหน้านิ่งสงบเผยแววตื่นเต้นยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด
เขาสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายครั้งเมื่อมองป้ายหยกนั่น จากนั้นรับมันมาอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่ามันจะแตกสลาย เป็นภาพที่ดูน่าขันไม่น้อย
แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา เพราะหากพวกเขาเป็นเหลียงเจ๋อ คงได้ทำเรื่องน่าอับอายมากกว่านี้เป็นแน่ เพราะอย่างไรสำหรับเหลียงเจ๋อแล้ว นี่นับเป็นโอกาสที่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้เลย!
ดังนั้นทุกสายตาจึงมาบรรจบที่เหลียงเจ๋อและป้ายหยกในมือ และเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ
เหลียงเจ๋อย่อมรู้ดีว่าโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตตนอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่พอได้โอกาสนั้นมาจริง ๆ เขากลับไม่อาจบังคับตัวเองให้มองมันได้!
เป็นความรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง คล้ายเวลาได้กลับบ้านหลังจากไม่ได้กลับมานานจะกลับเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันมองป้ายหยก พริบตาต่อมาก็เบิกตากว้าง ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปหลากสี อารมณ์หลากหลายปรากฏอยู่บนใบหน้าทั้งดีใจ ทั้งขุ่นเคืองใจ ทั้งตกตะลึง ทั้งรู้สึกชื่นชม โล่งใจ และไม่อยากเชื่อสายตาตนไปพร้อมกัน…
อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นคล้ายกระจกสีสะท้อนแสงหลากสีสัน เป็นภาพที่ดูมีชีวิตชีวายิ่ง หากใครไม่ได้เห็นด้วยตาตนคงไม่เชื่อว่าคนเราจะมีหลากหลายสีหน้าได้เช่นนั้น
ทุกคนรู้สึกคันอยู่ในใจยิบ ๆ และรู้สึกสงสัยยิ่ง
“ยังมีวิธีอยู่… สิบสามวิธีจริงหรือ?” เหลียงเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจและสีหน้าตกตะลึง แต่อารมณ์ที่เด่นชัดที่สุดคือไม่รู้จะเลือกอะไรดี เพราะประเมินดูแล้วแต่ละวิธีล้วนสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกไม่ถูก!
เมื่อไร้สิ่งใด ก็อยากได้สิ่งนั้นมาเพื่อให้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง แต่เมื่อสิ่งนั้นมาปรากฏมากกว่าหนึ่ง เจ้าตัวกลับเลือกไม่ถูก!
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความยินดีอันน่าประหลาดใจจนแทบอธิบายไม่ได้
สิบสามวิธี!
ทุกคนตกใจจนตาแทบถลน ไม่คิดเลยว่าไม่เพียงเฉินซีจะทำได้สำเร็จ แต่ยังเสนอถึงสิบสามวิธีให้เหลียงเจ๋อได้ด้วย!
บางคนอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เหลียงเจ๋อ แน่ใจหรือว่าทั้งสิบสามวิธีนั่นใช้ได้ผลจริง?”
“ยอดเยี่ยมไปเลย ทุกวิถีล้วนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ!” เหลียงเจ๋อเผลอตะโกนออกมาแล้วเอ่ยชมไม่รู้จบ
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกตะลึง เป็นเรื่องจริงหรือนี่…
อึดใจต่อมา ใบหน้าเหลียงเจ๋อก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “พี่เฉิน ทั้งสิบสามวิธีนี้สมบูรณ์ไร้ที่ติจริง ๆ แต่ข้าจะเลือกสักวิธีมาใช้กลั่นสมบัติอมตะได้อย่างไร?”
บางคนถึงกับกลอกตาใส่ ได้โอกาสขนาดนั้นยังมาทำท่าทีเช่นนี้ ต้องเลือกด้วยหรือ? ก็เลือกสักอันที่ดูจะมีประโยชน์ต่อตนที่สุดมาสักอันก็ได้นี่?
เฉินซีคิดอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าคิดได้เป็นร้อยวิธีด้วยซ้ำ คิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานก่อนจะเลือกมาสิบสามวิธีที่น่าจะเหมาะกับเจ้ามากที่สุด ส่วนจะเลือกวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
กว่าหนึ่งร้อยวิธีเลยหรือ!
ฮือฮา!
คนได้ยินก็อ้าปากค้าง รู้สึกชาวาบไปถึงหนังศีรษะ ยืนนิ่งประหนึ่งรูปปั้น มันจะน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
กระทั่งเหลียงปิงที่มั่นใจในตัวเฉินซีมากยังชะงักและตกตะลึงไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉินซีจึงยืนเงียบอยู่นาน ไม่ใช่ว่าคิดหาวิธีไม่ออก แต่กำลังเลือกวิธีที่ไม่เหมาะกับเหลียงเจ๋อออกนั่นเอง!
คิดได้ดังนี้ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยความสามารถของเฉินซีอีกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น สายตาที่มองยังแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง กลายเป็นสายตาร้อนแรงที่เคล้าไปด้วยความชื่นชมบูชาอีกต่างหาก
“ขอบคุณพี่เฉินมาก ต่อไปหากต้องการให้ข้าเหลียงเจ๋อช่วยเหลือสิ่งใด ข้าย่อมช่วยเหลือได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ข้าก็จะเสี่ยงชีวิตทำให้สำเร็จ!” บนลานประลองนั้น จู่ ๆ เหลียงเจ๋อก็โค้งคำนับให้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงให้ความเคารพ
ท่าทีมั่นคง จริงใจ เคารพ ส่วนน้ำเสียงเผยถึงการตัดสินใจแน่วแน่
พูดจบเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินลงจากลานต่อสู้
เฉินซีชะงักไป จากนั้นก็เริ่มยิ้มออกมา เขารู้ดีว่าเมื่อขัดเกลาง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งของเหลียงเจ๋อได้สำเร็จ จะสามารถไต่อันดับขึ้นได้สูงอีกมาก อนาคตเจ้าตัวก็จะยิ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
การที่สามารถสานสัมพันธ์อันดีกับยอดฝีมือได้นั้นมีคุณค่ามากกว่าวิธีการขัดเกลาอาวุธที่มอบให้เหลียงเจ๋อเสียอีก
เหลียงเจ๋อจากไปพร้อมกับโชคดี ทำให้คนอื่น ๆ ในตระกูลเหลียงรู้สึกเกิดความกระหายอยาก พากันถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน แย่งกันจะลับฝีมือกับเฉินซี เป็นภาพที่โกลาหลไม่ใช่น้อยทีเดียว
แต่คนตระกูลเหลียงบางคนก็ไร้คุณสมบัติในการท้าสู้เฉินซี ทำได้เพียงตีอกชกหัวกระทืบเท้าตัวเองด้วยความเศร้าโศกเสียใจยิ่ง
เทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของพวกเขาอยู่ต่ำกว่าเฉินซี ทั้งยังมีฝีมือด้อยกว่า ย่อมไร้คุณสมบัติในการขึ้นสนามประลองกับเฉินซีอยู่แล้ว
อีกทั้งหลังจากเหลียงเจ๋อจากไป ก็มียอดฝีมือรุ่นเยาว์จากตระกูลเหลียงมากมายที่ได้ยินข่าวพากันเดินทางมา หมายจะประมือกับเฉินซี ทำให้บรรยากาศตรงนั้นดุดันยิ่ง
แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ม่านราตรีโรยตัวลงมา เมื่อเหลียงปิงส่งสัญญาณ เฉินซีก็ปิดการประลองของวันนี้ลงทันที
…
แท้จริงแล้ว ด้วยพลังบ่มเพาะและดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซี รวมถึงต้นอ่อนเงาทมิฬ ถึงจะสู้ทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันหลายวันเขาก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด แต่หากทำเช่นนั้นจะดูน่าตื่นตะลึงเกินไปหน่อย
สุดท้ายชายหนุ่มจึงลงจากสนามประลองไปตามที่เหลียงปิงจัดแจงให้
สำคัญที่สุดคือเขาสามารถเอาชนะเหลียงเจ๋อซึ่งอยู่อันดับเก้าสิบสองทำให้อันดับของตนพุ่งขึ้นมาติดในหนึ่งร้อยอันดับแรกได้แล้ว หลังจากนี้จึงเป็นไปการยากที่จะไต่อันดับแบบก้าวกระโดดแล้ว
ประการแรก ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนในหนึ่งร้อยอันดับแรกล้วนมีฝีมือการต่อสู้ชั้นสูง ไม่สามารถนำมาเทียบกับอันดับล่าง ๆ ได้
ประการที่สอง ระหว่างการต่อสู้กับเหลียงเจ๋อ เขาก็ทุ่มกำลังต่อสู้ไปจนแทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว ฉะนั้นถึงจะสู้ต่อไปก็คงไต่อันดับไม่ได้อีก เหมือนสู้ไปอย่างไร้ความหมาย
คืนนั้นเฉินซีเข้าสู่โลกแห่งดาราเพื่อปิดด่านบ่มเพาะ หมายขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง
แต่ในคืนเดียวกันนั้นก็มีการประชุมค่อนข้างใหญ่จัดขึ้นภายในห้องโถงตระกูลเหลียง
ไม่เพียงแต่ผู้นำตระกูลอย่างเหลียงเทียนเหิงเท่านั้นที่ปรากฏตัว ยังมีผู้อาวุโสที่ปิดด่านบ่มเพาะมาปรากฏกายด้วย ถึงขนาดมีผู้เฒ่าที่เหลือเพียงอีกครึ่งก้าวก็จะขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนก็ยังมา ดังนั้นจึงเป็นการประชุมระดับสูงไม่ใช่น้อย
เหลียงปิง เหลียงเฉียว และเหลียงเจ๋อเป็นบุคคลรุ่นยาว์ที่สุดในหมู่ผู้เข้าประชุมทั้งหมด
พอเห็นว่ามีเหล่าผู้อาวุโสมากมายที่มีอำนาจแก่กล้าพากันมาปรากฏตัวที่นี่ ทั้งที่นั่งตรงกลางยังมีผู้อาวุโสเฒ่าที่อีกครึ่งก้าวจะขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนนั่งอยู่ เหลียงเฉียวกับเหลียงเจ๋อก็รู้สึกประหม่าและสงวนท่าทียิ่ง
มีเพียงเหลียงปิงที่ยังคงความสงบไว้ได้ เพราะนางรู้ดีว่าการประชุมในคืนนี้จัดขึ้นด้วยเหตุใด
เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว ผู้นำตระกูลเหลียงเทียนเหิงก็ส่งเสียงกระแอมแห้ง ๆ ก่อนสะบัดแขนเสื้อกล่าวขึ้นว่า “ปิงเอ๋อร์ ให้เหล่าผู้อาวุโสได้ดูวิธีกลั่นที่พวกเจ้าทั้งสามได้รับมาเสียสิ!”