บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1085 ข้ามขีดจำกัด
บทที่ 1085 ข้ามขีดจำกัด
แผ่นหยกสามใบที่มาจากมือเหลียงปิง เหลียงเฉียว และเหลียงเจ๋อถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้อาวุโสทุกคนในท้องโถง
มันไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับสิ่งตกทอดแห่งการขัดเกลาศัสตรา หากเป็นกระบวนวิธีขัดเกลาสมบัติอมตะที่เฉินซีสร้างขึ้นตามข้อบกพร่องที่แตกต่างกันของสมบัติอมตะของแต่ละคน
หากบุคคลอื่น ๆ ได้รับแผ่นหยกทั้งสามแผ่นนี้ไป จะไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้นได้เลย เคล็ดวิชาขัดเกลาศัสตราจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจช่วงชิงได้อย่างแท้จริง
สำหรับผู้อาวุโสตระกูลเหลียงในที่แห่งนี้ แผ่นหยกทั้งสามมีความหมายและคุณค่าต่ออย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นกระบวนวิธีที่ถูกบันทึกไว้บนแผ่นหยก หัวใจของพวกเขาพลันสั่นระรัว
“เยี่ยม! ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนี้จะมาจากชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง!”
“อัศจรรย์! ง้าวจันทร์เสี้ยวน้ำแข็งเป็นสมบัติอมตะที่แม้แต่พวกเรายังจนปัญญาจะรับมือ ทว่าเฉินซีกลับได้ตระเตรียมวิธีการไว้มากถึงสิบสามวิธี! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะวิธีไหน ๆ ในนี้ก็ล้วนแต่กล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นทักษะวิชาอันศักดิ์สิทธิ์!”
เสียงชื่นชมดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเหลียงอัดแน่นไปด้วยความตะลึงลาน
เหล่าผู้อาวุโสมาจากตระกูลเลื่องชื่อในเต๋าแห่งยันต์อักขระทั้งยังมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน หนึ่งในพวกเขาเป็นถึงปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระขั้นสุดยอด ดังนั้นแล้วความสามารถในการขัดเกลาอุปกรณ์จึงไม่ธรรมดาเลย
ทั้งนี้ การที่พวกเขาลึกซึ้งในเต๋าแห่งการหลอมประดิษฐ์ ก็ทำให้พวกเข้าสามารถเข้าใจวิธีการที่บันทึกไว้ในแผ่นหยกได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น หากจะกล่าวว่ามันช่วยขยายขอบเขตแห่งการรับรู้ให้กว้างไกลขึ้นก็คงไม่ผิดนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงเฉียวและเหลียงเจ๋อได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนแต่แสดงท่าทางตกใจและชื่นชมออกมาโดยไม่คิดปิดบัง มันทำให้คนทั้งสองอดนึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ และพลันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแผ่นหยกในมือนี้มีค่ามากเพียงใด
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากเฉินซี ชายหนุ่มขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง!
สหายเต๋าผู้นี้มาจากไหนกันแน่?
เหตุใดระดับการบรรลุในเต๋าแห่งยันต์อักขระและเต๋าแห่งการหลอมประดิษฐ์จึงน่าเกรงขามตั้งแต่อายุยังน้อย? การทำให้บรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้โห่ร้องออกมาด้วยความชื่นชมไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้!
หากจะกล่าวว่าตระกูลทั้งสี่ซึ่งมีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นกลุ่มคนที่ขัดเกลาศัสตราได้ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีปทักษิณาก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย แต่เฉินซีกลับสามารถทำในสิ่งที่บรรดาผู้อาวุโสไม่สามารถทำได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงได้อย่างไร?
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่ลังเลเลยที่จะจัดการกับตระกูลอินเพื่อปกป้องเฉินซี” ตอนนั้นเอง เหลียงเทียนเหิงที่นิ่งเงียบมานานก็เงยหน้าขึ้น พลางกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสบางท่านไม่พอใจต่อการกระทำของข้าเท่าใดนัก ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกท่านเปลี่ยนใจแล้วหรือไม่”
เหลียงเฉียวและเหลียงเจ๋อมองหน้ากันไปมา ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าท่านผู้นำตระกูลไม่ได้เรียกรวมตัวในครั้งนี้เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเฉินซีนั้นพิเศษเพียงใด หากเป็นการเตือนเหล่าผู้อาวุโสต่างหาก!
“เทียนเหิง เจ้าเองก็น่าจะบอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เช่นนั้นความเข้าใจผิดมากมายนี้คงไม่เกิดขึ้น” ผู้อาวุโสในชุดสีดำคนหนึ่งเอ่ยอย่างเถรตรง “ใช่แล้ว จริงอยู่ที่ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อาวุโสตระกูลอินหลายคน ทั้งยังนึกไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ข้าเลือกที่จะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่เทียนเหิง”
“พูดกันตามตรง บัดนี้เฉินซีได้พิสูจน์คุณค่าของเขาแล้ว แน่นอนว่าเพื่อประโยชน์ของตระกูลเหลียง เราจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง”
“ฮึ่ม! พูดอะไรของเจ้ากันเทียนเหิง ในภายภาคหน้าหากใครกล้าหาเรื่องเฉินซี ข้า เหลียงหลงเซียว จะเป็นคนแรกที่หยุดมัน!”
ผู้อาวุโสพูดขึ้นตามลำดับด้วยท่าทางหนักแน่น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหลียงเทียนเหิงรู้ได้ทันทีว่าเขาบรรลุจุดประสงค์แล้ว ดังนั้นเสียงหัวเราะจึงดังลั่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อผู้อาวุโสทั้งหลายเห็นพ้องต้องกัน แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้แล้ว”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศในห้องโถงก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้นโดยมิอาจหักห้ามความคลางแคลงในใจได้ “เทียนเหิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฉินซีจะเป็นผู้สืบทอดจากเขาเทพพยากรณ์?”
สิ้นคำถาม ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เริ่มแสดงท่าทีใคร่รู้ อันที่จริงพวกเขาคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้อย่างปรุโปร่งแล้ว แต่ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่กล้าคาดเดากันไปโดยพลการ
อย่างไรเสียเฉินซีก็อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางเท่านั้น ไม่มีศิษย์คนใดในเขาเทพพยากรณ์ที่อ่อนแอเช่นนี้
อีกทั้งตั้งแต่ยุคบรรพกาลมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยไม่ได้ยินว่าเขาเทพพยากรณ์ได้คัดเลือกศิษย์ใหม่ แม้จะนึกสงสัยอยู่บ้าง ทว่าไม่อาจเชื่อมโยงเฉินซีและเขาเทพพยากรณ์เข้าด้วยกันได้
เหลียงเทียนเหิงยิ้มก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ส่วนตัว ข้าให้ความสำคัญกับศักยภาพ หาใช่ภูมิหลัง”
ผู้อาวุโสทุกคนรู้ว่าเหลียงเทียนเหิงพูดไปอย่างนั้นด้วยไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้ กระนั้นการแสดงออกเช่นนี้ ก็ทำให้บรรดาผู้อาวุโสไม่กล้าปฏิบัติต่อเฉินซีอย่างไร้ค่า
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาตำแหน่งของเฉินซีในตระกูลเหลียงก็มั่นคงอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ต้องกังวลว่าตนจะถูกทรยศหักหลังอีกต่อไป
“ถ่ายทอดคำพูดของข้าไป หากใครต้องการขัดเกลาศัสตราก็ให้เร่งมือเสีย มิฉะนั้นหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ก็ไม่อาจได้พบกับโอกาสที่ดีเช่นนี้อีกชั่วชีวิต” เมื่อการหารือสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นของตระกูลเหลียงซึ่งนั่งเงียบอยู่นานพลันลืมตาขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระนักก่อนจะเลือนหายไป
แม้ตัวจะจากไปแล้ว แต่คำพูดของเขากลับทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
คำพูดนั้นทำเอาคนที่เหลือคิดไม่ตก
แสดงให้เห็นว่าผู้อาวุโสที่มีชีวิตมาอย่างยาวนาน และมีระดับการบ่มเพาะที่ล้ำลึกผู้นี้ มีมุมมองต่อเฉินซีอย่างไร
“ท่านบรรพชนหมายถึงอะไรกันแน่? หรือว่าอีกไม่นานเฉินซีก็จะไปจากตระกูลเหลียง?” เสียงงุนงนหนึ่งดังขึ้น
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เหลือล้นเช่นนี้ย่อมต้องเปิดเผยความเปล่งประกายของตนเข้าสักวัน ภายในภพเซียนนี้ ตระกูลเหลียงก็เป็นเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ ไม่เพียงพอให้กิเลนทองที่จะกลายเป็นมังกรได้แหวกว่ายหรอก”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ถอนใจอย่างพร้อมเพรียง
…
ณ โลกแห่งดารา
เฉินซีนั่งขัดสมาธิตัวตรงมั่น ท่าทางของเขาสงบนิ่งด้วยอยู่ในห้วงฌานอันยากหยั่งถึง
รัศมีแสงอันหนาแน่นหมุนวนและโอบล้อมรอบ ๆ ร่างกาย สุ้มเสียงบริกรรมเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา สอดประสานกับเสียงกึกก้องของมหาเต๋า
ระดับการบ่มเพาะของเฉินซีดำเนินมาถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางอย่างสมบูรณ์ และสามารถเข้าใจกฎแห่งมหาเต๋าทั้งเก้าได้ ส่งผลให้ระดับพลังทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง
หากสามารถก้าวข้ามไปสู้ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงได้สำเร็จในระหว่างการปิดด่านฝึกวิชานี้ ความแข็งแกร่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!
ในโลกแห่งดารา เวลาได้ล่วงผ่านไปถึงสองเดือนโดยไม่รู้ตัว ขณะที่เวลาในโลกจริง บัดนี้ผ่านมาไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้น
ตอนนี้เอง เสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าคำรามก็ดังรัวจากภายในร่างกายที่อาบไล้ไปด้วยแสงจ้าไม่ต่างกลองศึก มันดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน
แดนฮุ่นตุ้นหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง มันปลดปล่อยปราณเซียนออกมาราวคลื่นยักษ์กลางสมุทรให้ไหลเวียนผ่านรยางค์กาย เส้นลมปราณ และช่องลมปราณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โฮก~
โฮก~~
ขณะเดียวกันนั้นเอง คลื่นเสียงคำรามดังก้องมาจากภายในมหาสมุทรเต่าดำและมหาสมุทรมังกรฟ้า ก่อกำเนิดเป็นคลื่นแห่งปราณเซียนที่ทรงพลานุภาพ
ทันใดนั้น แก่นแท้ พลัง วิญญาณ และพลังชีวิตของเฉินซี ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดและปลดปล่อยแสงส่องสว่างโชติช่วง!
โครม!
สภาวะเช่นนี้คงอยู่ตลอดสามวันเต็ม เฉินซีสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนที่ใต้ท้องทะเลแห่งลมปราณสั่นสะท้านและถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงโดยกลุ่มพลังที่ทรงอานุภาพ เหตุการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนที่แม้แต่จิตวิญญาณยังต้องสั่นไหว
ความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความหยั่งรู้แบบฉับพลัน หากให้เปรียบ คงเหมือนกับผีเสื้อที่พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อสลัดคราบดักแด้ออกจากกาย!
เพียงครู่ เฉินซีรู้สึกว่าตนเองนั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทั่วทั้งร่างกายโปร่งใสในขณะที่เส้นใยอันทรงพลังและกว้างใหญ่โคจรไปทั่วทั้งร่างกายก่อนจะไหลเข้าสู่ท้องทะเลแห่งลมปราณและก่อตัวเป็นมหาสมุทรสีแดงเพลิง
มหาสมุทรสีแดงเพลิงตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแดนฮุ่นตุ้น ณ ที่ตรงนั้น ภาพของวิหคสีแดงเพลิงที่มีปีกอันงดงามและเปล่งประกายดุจเปลวไฟปรากฏสู่สายตา ยามเมื่อมันกระพือปีก คลื่นของลูกไฟขนาดมหึมาพลันพัดโหมกระหน่ำ เสียงร้องดังกังวานพร้อมกับหัวที่เชิดสูง!
วิหคเพลิงกำลังร่ายรำกลางกองไฟ!
มหาสมุทรวิหคเพลิงเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง!
สิ่งนี้ถือเป็นสัญญาณถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง เต่าดำเป็นรากฐาน มังกรฟ้าเป็นตัวเสริม ในขณะที่วิหคเพลิงร่ายรำกลางกองไฟ
ตึง!
ปราณเซียนยังคงปะทุออกมาจากแดนฮุ่นตุ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้รวมตัวกันเป็นมหาสมุทรเต่าดำ มหาสมุทรมังกรฟ้า และมหาสมุทรวิหคเพลิง พวกมันได้สร้างสายใยที่ไม่อาจแยกจากกัน ส่งผลให้พวกมันสามารถเชื่อมโยงกันได้แม้จะอยู่ห่างไกล นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!
เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทั้งความแข็งแกร่ง พลังชีวิต แก่นแท้ จิตวิญญาณ พลังปราณ… ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการเปลี่ยนแปลง
เจ็ดวันต่อมา ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะเสถียรอย่างสมบูรณ์ บัดนี้เฉินซีได้กลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงแล้ว!
สิ่งที่สุดยอดของเรื่องนี้คือ นับตั้งแต่เข้ามาภายในภพเซียนจนได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงนั้น เวลาได้ผ่านไปเพียงสามเดือนกว่า ๆ เท่านั้น หากคนอื่นรับรู้ถึงเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออกอย่างแน่นอน
แต่เวลาที่กล่าวถึงนี้เป็นเวลาของโลกภายนอกเท่านั้น สำหรับเวลาในโลกแห่งดารา เขาใช้เวลาไปนานกว่าหนึ่งปีเต็มถึงจะมายังจุดนี้ได้
ถึงอย่างนั้น การบรรลุระดับการบ่มเพาะได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์คนไหนจะสามารถทำได้!
‘ไม่เลว หลังจากที่การบ่มเพาะของข้าบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง ความแข็งแกร่งนตอนนี้ก็เพียงพอที่จะใช้กฎแห่งมหาเต๋าทั้งเจ็ดประการได้พร้อมกัน… ’ ทันทีที่เฉินซีสะบัดฝ่ามือ สายใยแห่งปราณกระบี่ทั้งห้าเส้นก็ปรากฏขึ้น พวกมันเป็นตัวแทนของกฎแห่งเบญจธาตุ ภายในกลุ่มก้อนของปราณกระบี่ทั้งห้านี้ มีเส้นที่เป็นสีดำหนึ่งเส้นและสีขาวอีกหนึ่งเส้น ปราณกระบี่ทั้งสองสายสะบัดโบก ถือเป็นตัวแทนของกฎแห่งหยินหยาง
เมื่อชายหนุ่มออกคำสั่งในใจ ปราณกระบี่สีดำและสีขาวก็เลือนหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยปราณกระบี่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยกฎแห่งวายุและกฎแห่งสายฟ้า
เมื่อเห็นภาพนี้เฉินซีก็ถอนหายใจยาว มุมปากยกยิ้มแสดงให้เห็นถึงความปีติที่เกิดขึ้นในหัวใจอันพองโต
ชายหนุ่มหยัดตัวอย่างมั่นคงและออกไปจากโลกแห่งดาราโดยไม่ลังเล
นี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่การไต่อันดับในวันนั้น บัดนี้เขาอยากจะรู้ว่าตนอยู่อันดับที่เท่าไรในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป
ทว่าเมื่อเฉินซีเดินออกมาจากห้องพัก เขาก็ต้องตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ปรากฏว่าบัดนี้มีผู้คนมากมายกำลังรออยู่ที่ด้านนอก บ้างก็หาวง่วง บ้างก็นอนบนพื้นเพื่อพักผ่อน ในขณะที่บางคนถึงกับเลื่อนเก้าอี้ไปเป็นวง ๆ เพื่อใช้สำหรับนั่งดื่มรอ
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้คงจะรออยู่นานทีเดียว ไม่อย่างนั้นแล้ว ภาพที่ดูวุ่นวายเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น
ขวับ!
เมื่อร่างของเฉินซีปรากฏขึ้น บรรดาคนที่กำลังง่วนอยู่กับเรื่องของตัวเองก็พลันยืนขึ้นและจ้องมองมาอย่างพร้อมเพรียง
ท่าทางที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของทุกคนเผยให้เห็นถึงความสุขอันล้นเหลือ เฉินซียืนมองคนเหล่านั้นด้วยท่าทางสงบนิ่งทั้งหัวใจที่รู้สึกตงิดพิกล แน่ละ ก็สายตาของพวกเขาเผยเจตนาโจ่งแจ้งอย่างตรงไปตรงมาเสียขนาดนี้!