บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1088 แขกไม่ได้รับเชิญ
บทที่ 1088 แขกไม่ได้รับเชิญ
เข้าแถว!
คำนี้เป็นสิ่งที่เกินไปสำหรับเซียนทองคำเหล่านี้ เพราะด้วยฐานะในปัจจุบัน มีสิ่งใดที่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าแถวด้วยหรือ?
ดังนั้นเมื่อได้ยินเหลียงปิงกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสเหล่านี้ที่ถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจมากมายในทวีปทักษิณา ต่างก็ตกตะลึง
แต่ไม่นานพวกเขาก็ฟื้นจากอาการตกใจ เพราะตอนนี้พวกเขากำลังขอความช่วยเหลือจากเฉินซี จึงจำต้องโอนอ่อนไปตามสถานการณ์
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยแสดงท่าทีอ่อนน้อมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เฉินซีก็สมควรที่จะได้รับกระทำเช่นนี้!
มันไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่เฉินซีสามารถขัดเกลาพลังของสมบัติอมตะได้ แม้จะถูกเฉินซีไหว้วาน ให้ทำธุระให้ พวกเขาก็จะทำด้วยความเต็มใจ…
เพราะนี่คือความเป็นจริง
สำหรับคนรุ่นเก่าที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน การรับรู้และการควบคุมตนเองเป็นสิ่งที่เหนือกว่าคนรุ่นหลังอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นในพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งหมดต่างตั้งแถวอย่างมีสติ และไม่กล้าทำอะไรที่ไร้ระเบียบอีกต่อไป แม้ว่ามันจะเสียศักดิ์ศรีไปบ้าง แต่ยามนี้ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก กล่าวตามตรง แม้แต่เขาก็รู้สึกกดดันราวกับกำลังถูกภูเขากดทับ และไม่สามารถตั้งสมาธิได้ เมื่อถูกโอบล้อมด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนทองคำที่มากไปด้วยพลังมากมาย
“น้องชายเฉินซี นี่คือเจดีย์ประกายหิมะของข้า ซึ่งเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลขั้นกลาง โปรดดูด้วย โอ้ นี่คือศิลาโลหิตวิญญาณทั้งสิบหกก้อน ส่วนที่เกินมานั้นเป็นของกำนัลด้วยความปรารถนาดีจากข้า ฮ่า ฮ่า!”
“น้องเฉินซี จงรับไม้หยกทองขัดเกลาดาราซึ่งเป็นวัตถุดิบเซียนระดับสูงนี้ด้วย อย่าได้ปฏิเสธเพราะความสัมพันธ์ของเจ้ากับยัยหนูปิง เจ้าจะถูกข้ามองว่าเป็นคนนอก หากเจ้าตอบปฏิเสธ!”
“น่าเสียดายที่พ่อหนุ่มเฉินซีอาจจะต้องออกจากเมืองจตุรเทพในอนาคต แต่ไม่เป็นไร ข้าจะยังคงเก็บที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้เจ้า และมันจะเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมื่อเจ้ากลับมา”
“…”
เวลาผ่านไป เฉินซีได้ประเมินและจัดเตรียมวิธีการต่าง ๆ ในการขัดเกลา และไม่เพียงแต่จะได้รับศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนจำนวนมากเท่านั้น เขายังได้รับของขวัญมากมายจากผู้อาวุโสตระกูลเหลียงเหล่านี้
พวกมันมีทั้งวัตถุดิบเซียน โอสถเซียน สมบัติอมตะ ที่พำนัก… มันเป็นสมบัติที่ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนา และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้อาวุโสของตระกูลเหลียงร่ำรวยเพียงใด
แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ทรัพยากรและความมั่งคั่งของเซียนทองคำเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริง ๆ
จนกระทั่งถึงเที่ยง เฉินซีได้ประเมินสมบัติอมตะไปแล้วกว่าสิบชิ้น และได้รับศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนเกือบสองร้อยก้อน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ วัตถุดิบเซียนและสมบัติที่ได้รับกลับมีจำนวนมากกว่า
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนนั้นล้ำค่าและหายากเพียงใด แม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลเหลียงเหล่านี้ก็ยังสามารถผลิตได้มากสุดเพียงสิบกว่าก้อนเท่านั้น
“ยังขาดอีกเท่าใดหรือ?” เฉินซีใช้เวลาว่างเล็กน้อยเพื่อถามเหลียงปิงด้วยเสียงที่นุ่มนวล
“ประมาณครึ่งหนึ่ง” เหลียงปิงตอบกลับ ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนทั้งหมดได้ถูกนางรวบรวมไว้ ดังนั้นนางจึงรู้จำนวนแน่ชัดมากกว่าเฉินซี
เฉินซีขมวดคิ้ว เพราะตามแผน ร่างอวตารต้องการศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนอย่างน้อยหนึ่งพันก้อน เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา
แต่ตอนนี้ยังขาดศิลาเหล่านี้อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขาสงสัยเล็กน้อยว่าผู้ขัดเกลากายาในภพเซียนเหล่านั้น สามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ได้อย่างไร?
“อย่าได้กังวล เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงสองเดือน แต่เรารวบรวมศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนได้เกือบห้าร้อยก้อนแล้ว เท่านี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับข้าแล้ว” เหลียงปิงปลอบใจเฉินซีด้วยเสียงที่แผ่วเบา “หลายปีก่อน ตอนที่เหลียงคุนได้บรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา เขาต้องใช้เวลาเกือบร้อยปี แต่กลับรวบรวมศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนได้เพียงสามร้อยก้อนเท่านั้น”
เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ เฉินซีก็เข้าใจทันที และตั้งใจที่จะดำเนินการต่อ ทว่ากลับมีเสียงหัวเราะดังก้องมาจากนอกห้องโถง
“คุณหนูเหลียงปิง คุณชายเฉินซี เจ้าคงไม่ตำหนิพวกเราที่มาโดยไม่ได้รับเชิญกระมัง?” เจ้าของเสียงนี้ คือกลุ่มคนที่เดินเข้ามาห้องโถงในคราวเดียว น่าแปลกที่ผู้นำคือหลัวจื่อเฟิงและกู่อวี่ถัง ซึ่งข้างหลังของพวกเขาก็คือชายหนุ่มหญิงสาวและผู้อาวุโสสองสามคนที่มีกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม
กลุ่มคนดังกล่าวอาจถือได้ว่ามีกลิ่นอายที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้อยู่ในตระกูลเหลียง ดังนั้นคนของตระกูลกู่และตระกูลหลัวจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่เฉินซีที่ประหลาดใจ แม้แต่เหลียงปิงและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลเหลียง ก็ต่างมีท่าทางประหลาดใจและงุนงงเมื่อเห็นฉากนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีฉากเช่นนี้เกิดขึ้น
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้ามาที่นี่” สีหน้าของเหลียงปิงกลายเป็นเย็นชา และถามอย่างตรงไปตรงมา
หลัวจื่อเฟิงทราบอย่างชัดเจนถึงนิสัยของเหลียงปิง และกังวลว่านางจะเปิดฉากโจมตี จึงรีบอธิบายว่า “เหลียงปิง เจ้าโปรดใจเย็นก่อน การที่เรามาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยนั้น เจ้าจะไม่สามารถคาดเดาเหตุผลได้หรือ?”
คิ้วเรียวงามของเหลียงปิงเชิดขึ้น “ท่านพ่ออนุญาตหรือ?”
กู่อวี่ถังที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวขัดจังหวะ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่พวกเรา แม้แต่ท่านพ่อของข้าและบิดาของพี่หลัวก็มาด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังพูดคุยกับบิดาของเจ้าอยู่”
คำว่าบิดาถึงสามคนได้ปรากฏอยู่ในประโยคนี้ และอาจกล่าวได้ว่าน่าอึดอัดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความหมายภายในคำเหล่านี้ก็แสดงออกในลักษณะที่ชัดเจนอย่างยิ่ง เป็นหลัวตู่ฟูผู้นำของตระกูลหลัว กับกู่เจินอวี่ผู้นำของตระกูลกู่ที่ได้มาเยี่ยมเยียนเหลียงเทียนเหิงผู้นำของตระกูลเหลียงในวันนี้
นี่จึงสามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดกู่อวี่ถัง หลัวจื่อเฟิง และคนอื่น ๆ ถึงปรากฏตัวที่นี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะมาพร้อมกับผู้นำตระกูลของตน
“โอ้? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปก่อน แล้วข้าจะเลี้ยงรับรองทุกคนในภายหลัง” สีหน้าของเหลียงปิงผ่อนคลายลง แต่นางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม และตั้งใจจะไล่พวกเขาออกไป
“เหลียงปิง เรามาที่นี่หลังจากได้รับการอนุญาตจากบิดาของเจ้าแล้ว ไยถึงต้องขับไล่พวกเราด้วย? แม้ว่าโดยปกติแล้วเราจะแข่งขันกันอย่างเข้มข้น แต่เราทุกคนต่างก็มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ดังนั้นเราจึงไม่ควรขีดเส้นแบ่งระหว่างกันเพียงเพราะเหตุนี้” เมื่อเขาเห็นเหลียงปิงทำท่าทางราวกับว่านางกำลังป้องกันหัวขโมย
หลัวจื่อเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นและอธิบายว่า “เรามาที่นี่ เพราะได้ยินว่าเจ้ากำลังรวบรวมศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน ดังนั้นเราจึงนำบางส่วนติดมาด้วย”
หัวใจของเหลียงปิงกระตุกวูบ ขณะที่นางเดาเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ได้ราง ๆ นางจึงกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าทุกคนก็คงมาร่วมแบ่งปันภาระของข้าด้วยหรือ?”
หลัวจื่อเฟิงเพียงยิ้มและดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ยินการเยาะเย้ยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเหลียงปิงเลยสักนิด จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้า แต่บางทีมันอาจช่วยเฉินซีได้ด้วย”
เมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหลียงปิงก็ยืนยันได้ในทันทีว่า พวกเขาจะต้องได้ข่าวมาอย่างแน่นอนว่าเฉินซีสามารถขัดเกลาพลังของสมบัติอมตะได้ ดังนั้นจึงถือวิสาสะมาที่นี่ในวันนี้!
ไม่ใช่แค่เหลียงปิงที่เข้าใจ แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลเหลียงรวมถึงเฉินซีก็เข้าใจ
เฉินซีเพียงขมวดคิ้วแต่ไม่ได้กล่าวอะไร
แต่สำหรับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเหลียง ใบหน้าของพวกเขามืดมนลงเล็กน้อยและมีท่าทางไม่เป็นมิตร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กู่อวี่ถังก็จ้องมองที่หลัวจื่อเฟิงด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังตำหนิ หลัวจื่อเฟิงที่ตรงเกินไป
“ทุกท่านโปรดฟังข้า ท่านลุงเหลียงเป็นคนนำเรื่องนี้มา และถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เราคงไม่กล้าที่จะมาอย่างหยาบคายเช่นนี้” กู่อวี่ถังอธิบาย
ลุงเหลียงที่กล่าวถึง ย่อมเป็นเหลียงเทียนเหิง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหลียงปิงก็ตกตะลึง และไม่เข้าใจว่า เหตุใดบิดาถึงทำเช่นนี้
“ยัยหนูปิง นี่ไม่ชัดเจนอีกหรือ? ที่ท่านผู้นำทำเช่นนี้ เพื่อต้านทานแรงกดดันจากตระกูลอินอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเริ่มติดต่อกับตระกูลหลัวและตระกูลกู่ เพื่อให้พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น จากปฏิกิริยาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขายินดีมาก ข้าสามารถทำนายได้ว่าจากนี้ไป สถานการณ์ของตระกูลอินจะมีแต่เลวร้ายลงเท่านั้น”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวผ่านกระแสปราณเพื่ออธิบายให้นางเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น นางทราบดีว่าเหตุผลที่ตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่สามารถรวมเข้าด้วยกันได้ ก็เป็นเพราะเฉินซี
สังเกตได้จาก การที่เหลียงเทียนเหิงอนุญาตให้หลัวจื่อเฟิงและคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน เพื่อขอคำชี้แนะจากเฉินซี
เมื่อนางคิดมาถึงตรงนี่ เหลียงปิงก็เข้าใจในที่สุด การกระทำของบิดาของนางนั้นก็เพื่อประโยชน์ต่อเฉินซีและเป็นอันตรายต่อตระกูลอินในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจถือว่าเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
แต่เหลียงปิงยังคงมีความรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยในใจ เพราะอย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนจากตระกูลกู่และตระกูลหลัวได้เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของนางและเฉินซีภายในพิภพยันต์อักขระ…
แน่นอนว่านอกจากเฉินซี เถิงหลาน และนางแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก
“ฮึ่ม! ถ้าเจ้าอธิบายเร็วกว่านี้ เราจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดเช่นนี้ เจ้าเอาแต่กล่าววาจาไร้สาระ แย่ยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างข้าเสียอีก” เหลียงปิงจ้องมองที่หลัวจื่อเฟิง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
แต่ทุกคนต่างทราบว่าเหลียงปิงได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้ว สิ่งนี้ทำให้หลัวจื่อเฟิงและกู่อวี่ถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฮ่า ฮ่า! ข้าจะกล้าดูหมิ่นเจ้าได้อย่างไร เหลียงปิงผู้มีชื่อเสียงจากการเป็นหญิงงามที่ชอบกล่าววาจาเยี่ยงบุรุษ” หลัวจื่อเฟิงหัวเราะเบา ๆ
“แต่อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป เรื่องนี้ต้องได้รับการยินยอมจากเฉินซีเสียก่อน” เหลียงปิงแค่นเสียงเย็น เพราะนางทนไม่ได้กับสายตาของคนเหล่านี้
เหตุผลก็คือ จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกราวกับพวกเขามาแย่งเฉินซีไปจากนาง และทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นที่เข้าใจได้ เพราะไม่มีใครเต็มใจที่จะเห็นส่วนแบ่งของตนถูกแย่งชิงไปโดยผู้อื่นอยู่ดี
“พี่เฉิน เจ้าคงไม่ปฏิเสธความตั้งใจดีของเราใช่หรือไม่” หลัวจื่อเฟิงจ้องมองไปที่เฉินซี และกล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลก ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเฉินซี
คำพูดของเขาทำให้เฉินซีกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทันที
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีลังเลว่าจะทำอย่างไร เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหลัวจื่อเฟิงและกู่อวี่ถังถือได้ว่าไม่สนิทกันมากนัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชื่นชมความมีน้ำใจนี้ เพราะในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ทั้งคู่ต่างเป็นฝ่ายออกหน้าและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือยามต้องเผชิญหน้ากับอินเฟิงเอ๋อร์ที่โวยวายอย่างหยิ่งยโส
แต่ถ้าตอบตกลง เขาก็กังวลว่ามันจะเป็นการฉีกหน้าเหลียงปิง
เฉินซีจึงส่งสายตาให้เหลียงปิง
การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ทำให้เหลียงปิงรู้สึกมีความสุขอย่างสุดจะพรรณนา อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเฉินซีไม่ได้มองข้ามความรู้สึกของนาง เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน
อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเฉินซีนั้นห่วงใยนางจริง ๆ!
เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว
ร่องรอยของความหดหู่ใจในหัวใจของเหลียงปิงถูกชะล้างออกไป และนางกล่าวทันทีว่า “เฉินซี ข้าคิดว่าเจ้าควรเห็นด้วย ในเมื่อคนเหล่านี้มีความปรารถนาอันดีต่อเจ้า เช่นนั้นคงจะเป็นการเสียมารยาทถ้าไม่รับน้ำใจของพวกเขาแล้ว”
เหลียปิงจงใจกล่าวเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน ทำให้หลัวจื่อเฟิงและกู่อวี่ถังเหลือบมองกันและกัน และหัวเราะอย่างขมขื่น
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ลอบถอนหายใจ “จากสถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะซื้อใจเฉินซีมาจากตระกูลเหลียงได้…”