บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1090 แสงเรืองแห่งทิศบูรพา
บทที่ 1090 แสงเรืองแห่งทิศบูรพา
โลกแห่งดารา
ร่างอวตารของเฉินซีในชุดเต๋าสีเหลืองอมส้มกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยใบหน้าเคร่งขรึม พลังชีวิตภายในร่างเริ่มเดือดพล่าน
ฟึบ!
เบื้องหน้าคือศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายหนาแน่นบริสุทธิ์ของแก่นโลหิตจากเทพอสูร มันเริ่มลอยขึ้นมา ก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นคลื่นพลังขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่ร่างอวตารของเฉินซี
ศิลาโลหิตนั้นกลั่นมาจากเลือดของเทพอสูร เต็มไปด้วยปราณจ้าววิญญาณอมตะอันทรงพลัง การจะกลั่นพวกมันหลายร้อยชิ้นพร้อมกันก็นับว่าถึงขีดจำกัดของผู้ขัดเกลากายาธรรมดาแล้ว หากมากกว่านั้นอาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกและร่างระเบิดจากแรงพลังที่สั่งสมไว้ได้
ทว่าสำหรับร่างอวตารของเฉินซีแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เขาติดอยู่ที่การขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดมานานแล้วหากนับตามเวลาโลกแห่งดารา ก็ผ่านไปอย่างน้อยหลายร้อยปี
ทำให้ชายหนุ่มมีรากฐานมั่นคงล้ำลึกยิ่ง นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีเลยก็ว่าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะใช้ศิลาโลหิตไปเท่าไหร่จึงไม่อาจสั่นคลอนรากฐานของเฉินซีได้เลย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวว่าจะพบอันตรายใด
ครืน!
ทันทีที่ปราณจ้าววิญญาณอมตะทรงพลังไหลเข้าสู่ร่าง คลื่นเสียงกึกก้องราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกรากก็ดังกึกก้องออกมาจากร่างอวตารของเฉินซี ปราณจ้าววิญญาณอมตะทรงอำนาจก็พุ่งออกมาเหมือนอสูรคลั่ง แล้วเริ่มอาละวาดกระจายตัวไปทั่วผิวหนัง เนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นทั้งหลาย ไม่ว่ามันผ่านไปที่ใด เส้นปราณ จุดชีพจร กระดูกและเส้นเอ็นต่างให้รู้สึกเหมือนถูกเฉือนเป็นชิ้น ๆ จนเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย
เฉินซีส่งเสียงร้องคำรามในลำคอด้วยพยายามฝืนทนความเจ็บปวดไว้ก่อนกัดฟันแน่น ขณะโคจรวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ
เคราะห์ดีที่ร่างอวตารนี้ได้รับการฝึกฝนจนแกร่งกว่าเหล็กกล้า ทั้งดาบและกระบี่ฟันแทงไม่เข้า เมื่อได้จิตสัมผัสเทพคอยนำทาง กระแสปราณจ้าววิญญาณอมตะก็เริ่มโคจรไปตามเส้นทางในร่างกาย
ทุกครั้งที่โคจรสำเร็จก็เหมือนเป็นการฝึกฝนได้ขั้นหนึ่ง คล้ายกับเป็นการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทั้งเลือด เนื้อ ผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก ไปจนถึงรูขุมขนทั่วร่างปลดปล่อยแสงเรืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นออกมาสว่างจ้า
ทั้งยังสามารถเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีร่องรอยเต๋าปรากฏขึ้นตามรอยย่นบนผิวหนัง ถึงขนาดที่มีอักขระเต๋าขนาดเล็กเท่าเส้นผมจำนวนไม่ถ้วนกลั่นอยู่ในเส้นเอ็นและกระดูก
ทั้งเลือดภายในกายก็เริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายลึกล้ำแห่งเต๋าออกมา!
ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งเซียนผ่านร่างกาย หากใครใฝ่หาวิธีเช่นนี้ ขั้นแรกคือต้องฝึกฝนร่างกายจนสามารถสร้างอักขระเต๋าขึ้นมาให้ได้เสียก่อน
มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะสามารถขึ้นสู่การขัดเกลากายาของขอบเขตเซียนสวรรค์ และสร้างร่างที่ไม่มีใครทำลายได้ขึ้นมา
ตอนนี้ร่างของเฉินซีกลั่นแน่นจนถึงขีดสุดแล้ว แก่นโลหิตเดือดพล่าน ทุกจุดในผิวกาย เส้นเอ็นและกระดูกถูกย้อมไปด้วยแววประกายเหมือนผลึกแก้ว ปลดปล่อยเสียงใสกระจ่างน่าฟังคล้ายเป็นเสียงที่เกิดจากธรรมชาติออกมา
อีกทั้งปราณจ้าววิญญาณอมตะที่ซัดสาดดั่งคลื่นสมุทรก็ยังโคจรและเสริมกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ทุกขณะ เพราะได้พลังที่มาจากศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนนั่นเอง
กระบวนการทั้งหมดนี้ดำเนินการติดต่อกันนานกว่าสามเดือน!
สามเดือนให้หลัง หลังจากที่เขาดูดกลืนศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนพันชิ้นเข้าไป ร่างอวตารของเฉินซีในตอนนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยปราณจ้าววิญญาณอมตะ หากมองจากระยะไกลก็ไม่ต่างจากหนอนในรังไหมที่ไม่ส่งเสียงใดออกมาอีก
เหมือนทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบเงียบ
แต่เฉินซียังไม่หยุดบ่มเพาะพลัง และยังคงฝึกฝนร่างกายต่อไปไม่หยุดด้วยสมาธิแน่วแน่ ไม่รับรู้ถึงสิ่งอื่นรอบตัวแม้แต่น้อย
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เมื่อร่างกายถูกปราณจ้าววิญญาณอมตะปะทะเข้าใส่ไม่รู้จบ ร่างของเฉินซีที่มาถึงขั้นสมบูรณ์ก็เริ่มมีส่งสัญญาณ คล้ายใกล้จะระเบิดออกในอีกไม่กี่อึดใจ
ตู้ม!
เป็นตอนนั้นเองที่เกิดเสียงลั่นดังขึ้นประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า สะเทือนไปทั่วโลกแห่งดารา ราวกับเสียงคำรามแห่งเทพอสูร เสียงอวยชัยแห่งมหาเต๋า ดึงใจผู้ที่หูหนวก ดลบันดาลคนตาบอดให้บรรลุ และสะท้านสะเทือนไปถึงดวงใจ
ร่างหลักของเฉินซีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างพลันลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่าร่างอวตารสร้างปรากฏการณ์เช่นนั้นออกมาได้ ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว…
ร่างหลักและร่างอวตารมีความสัมพันธ์กันเหมือนมือซ้ายกับมือขวา เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเดียวกัน ตอนนี้เฉินซีสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของเขาใสกระจ่างเหมือนบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจรู้สึกใสสะอาดกระจ่างแจ้ง
อีกทั้งจุดชีพจรทั้งสี่ร้อยแปดสิบล้านจุดได้ปรากฏขึ้นบนผิวกายร่างอวตารของเฉินซี ส่วนหนึ่งเปิดกว้างออกมา แต่ส่วนใหญ่ยังคงปิดสนิท
สำหรับผู้ขัดเกลากายาแล้ว ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนจักรวาลแห่งหนึ่ง จุดชีพจรทั้งหลายเป็นเหมือนโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งเปิดจุดชีพจรได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเข้าใจในจักรวาลของตนเองมากขึ้นเท่านั้น ก็จะยิ่งความแข็งแกร่งมากขึ้น!
เมื่อสามารถเปิดจุดชีพจรทั่วร่างได้แล้ว ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกายเซียนขึ้นมาได้นั่นเอง!
ตอนนี้ร่างอวตารของเฉินซีขึ้นสู่การขัดเกลากายาของขอบเขตเซียนสวรรค์ได้อย่างราบรื่น เปิดจุดชีพจรทั้งสามสิบหกล้านบนร่างได้แล้ว ทั้งจุดชีพจรทั้งหลายยังเต็มไปด้วยปราณจ้าววิญญาณอมตะ!
พละกำลังที่อยู่ในจุดชีพจรเหล่านี้สามารถเทียบได้กับปราณแท้ของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตตำหนักอินทนิล ดังนั้นเมื่อรวมจุดชีพจรทั้งสามสิบหกล้านเข้าด้วยกัน พลังที่กักเก็บเอาไว้ภายในจึงมากเกินประเมินได้ ลึกล้ำดุจก้นหุบเหว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะร่างอวตารเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ ต่อไปเมื่อพลังบ่มเพาะลึกล้ำยิ่งขึ้น จำนวนปราณจ้าววิญญาณอมตะที่อยู่ในจุดชีพจรและจำนวนการเปิดจุดชีพจรก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วย
การขัดเกลากายาของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ระดับเช่นกัน โดยเรียงลำดับคือ แสงเรืองแห่งทิศบูรพา ยอดทองคำแห่งทิศประจิม บ่อวารีแห่งทิศอุดร ลำธารแห่งทิศทักษิณ
ทั้งสี่ระดับนี้ถูกเรียกว่า สี่ขั้นสุดยอดเช่นกัน และมีความสอดคล้องกับการขัดเกลากายาขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสมบูรณ์
และตอนนี้ร่างอวตารของเฉินซีถึงขั้นแสงเรืองแห่งทิศบูรพาแล้ว!
แสงเรืองแห่งทิศบูรพาคืออะไร? หากมองดูดี ๆ ลวดลายที่เผยออกมาจากจุดชีพจรทั้งสามสิบหกล้านบนร่างกายเฉินซีออกมาเป็นรูปลักษณ์คล้ายดวงอาทิตย์ร้อนระอุที่ลอยเด่นเหนือท้องฟ้าทิศตะวันออก ส่วนปราณจ้าววิญญาณอมตะภายในจุดชีพจรก็เหมือนแสงตะวันส่องสว่างถึงทุกรายละเอียดของพลังชีวิตในร่าง
ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าระดับแสงเรืองแห่งทิศบูรพานั่นเอง
เมื่อบ่มเพาะพลังมาถึงระดับนี้ ศัตรูจะไม่มีวันสังหารเฉินซีได้ หากไม่ทำลายจุดชีพจรสามสิบหกล้านจุดบนร่างเสียก่อน!
‘ร่างอวตารของข้าขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว สามารถดึงความอัดอั้นในใจข้าออกไปได้ ตอนนี้เหลืออีกไม่ถึงครึ่งปีก็จะถึงวันรับศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ร่างหลักของข้าจะต้องขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด เพราะมีแต่ต้องถึงขั้นนั้นข้าถึงจะสามารถติดร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้… ’ เฉินซีคิดอยู่นาน ก่อนจะปัดความคิดพวกนั้นตกไป และเข้าสู่ห้วงสมาธิอันลึกล้ำอีกครั้ง
ฟุบ!
หลังจากร่างอวตารขึ้นสู่อีกขอบเขตแล้วก็ยังคงดูดกลืนศิลาโลหิตที่เหลืออยู่อีกสี่ร้อยกกว่าชิ้นเข้าไปต่อ ทำให้ปราณจ้าววิญญาณอมตะพุ่งเข้าสู่ร่างเฉินซีและทำให้พลังบ่มเพาะมั่นคงยิ่งขึ้น
…
เวลาผ่านไปดั่งสายลม พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้วนับตั้งแต่เฉินซีเข้าสู่โลกแห่งดาราและปิดด่านบ่มเพาะ
สามเดือนที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดเรื่องน่าตกใจใดขึ้น แต่ใครที่ช่างสังเกตก็จะสามารถเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสี่ตระกูลใหญ่แห่งเต๋าแห่งยันต์อักขระมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
ตระกูลเหลียง หลัว และกู่ย้ายเข้ามาอยู่ใกล้กัน มีการแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์กันบ่อยครั้ง อย่างน้อยฉากหน้าก็พอเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ทว่าตระกูลอินเหมือนถูกแยกตัวออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์ของทั้งสามตระกูลล้วนมีท่าทีเย็นชาต่อตระกูลอิน ทั้งยังเผยความเป็นปฏิปักษ์ออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง
ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร
ถึงคาดเดาได้ก็คงไม่เชื่อ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุจากกระบี่เล่มเดียวที่เฉินซีถืออยู่ และตัวตนที่ยังไม่มีใครออกมายืนยัน
ส่วนอันดับบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ไม่เคยขาดยอดอัจฉริยะ ผู้ที่ไต่อันดับขึ้นสูงได้อย่างมั่นคง ผู้คนทั้งหลายต่างชื่นชมสรรเสริญ
และยังมีพวกที่มีอันดับคงเดิมอยู่เช่นกัน แล้วก็มีพวกที่ถูกแซงหน้าไปไกล ถูกรัศมีผู้อื่นบดบังเสียมิด เรียกความสงสารจากผู้คนได้ดีทีเดียว
อย่างไรนี่ก็คือภพเซียน!
แค่ในทวีปทักษิณาก็มีเมืองกว่าเก้าพันเก้าร้อยแห่ง มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ดังนั้นที่นี่จึงไม่เคยขาดยอดอัจฉริยะ
ที่น่าเอ่ยถึงคืออันดับของเหลียงปิงนั้นไต่สูงขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้ พุ่งจากอันดับเก้ามาอันดับห้าทิ้งห่างจากหลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังจนผู้คนตกตะลึง
ทุกคนซุบซิบกันว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าเหลียงปิงอาจไต่อันดับขึ้นได้สูงกว่านี้เหมือนอินเหมียวเมี่ยว อาจได้กลายเป็นหกสุริยันอันเจิดจ้าเลยก็เป็นได้!
แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น หากจะมีใครอยากขึ้นเป็นสุริยันอันเจิดจ้าดวงใหม่ ไม่เพียงแต่ต้องมีพลังบ่มเพาะอยู่ขอบเขตเซียนทองคำเท่านั้น และฝีมือต่อสู้ต้องดังสะท้านจนได้รับการยอมรับไปทั่วภพเซียนด้วย
ไม่เช่นนั้น ภพเซียนยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้จะมีสุริยันอันเจิดจ้าเพียงแค่หกดวงได้อย่างไร?
ในวันนี้ เฉินซีได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ
แม้ว่าโลกภายนอกจะผ่านไปเพียงสามเดือน แต่ในโลกแห่งดารา เฉินซีได้ใช้เวลาปิดด่านบ่มเพาะไปมากกว่าหนึ่งปี
เฉินซีไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากโลกภายนอกเลยสักนิด หลังจากเดินออกมาจากห้องลับ เขาก็ตรงไปหาเหลียงปิง หมายจะประมือกับนาง
วันรับศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบประเมินว่าทักษะการต่อสู้ของตนยังห่างจากพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าอยู่เท่าไหร่
ทว่าเฉินซีไม่รู้เลยว่าตอนพบเหลียงปิงที่โถงเมฆารุ้ง กลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่บรรยากาศดูสงบสุขยิ่ง
เฉินซีชะงัก ความสัมพันธ์ของเหลียงปิงกับสองคนนี้ไปสนิทสนมกันตอนไหน? สามเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น?
“เฉินซี?”
“เอ๋ ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้วหรือ?”
“ฮ่า ๆ! นึกว่าใคร เป็นพี่เฉินนี่เอง”
เมื่อพวกเขาเห็นเงาร่างเฉินซีปรากฏอยู่นอกห้องโถง เหลียงปิง หลัวจื่อเฟิง และกู่อวี่ถังก็ชะงักไป จากนั้นก็คลี่ยิ้มเดินเข้ามาทักทาย
เฉินซีพยักหน้ายิ้มให้ แล้วก็ต้องประหลาดใจอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าหลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังดูมีท่าทางอบอุ่นและให้ความเคารพเขามากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
“หืม? พลังบ่มเพาะของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้วหรือ?” เฉินซียังคิดไม่ออก ก็เห็นเหลียงปิงมองมาด้วยความประหลาดใจ “ข้าจำได้ว่านับตั้งแต่เจ้าขึ้นสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงวันนั้นก็ผ่านมาเพียงสามเดือนเองไม่ใช่หรือ?”
หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังที่กำลังคลี่ยิ้มน้อย ๆ ชะงักไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้าง สามเดือนอย่างนั้นหรือ?