บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1094 ตระกูลจั่วชิวแห่งทวีปเนตรสวรรค์
บทที่ 1094 ตระกูลจั่วชิวแห่งทวีปเนตรสวรรค์
ในค่ำคืนอันมืดมิด ห้องโถงของตระกูลอินสว่างไสวด้วยเปลวเพลิงของโคมไฟ ผู้อาวุโสของตระกูลต่างมารวมตัวกันที่นี่ เสียงคำรามอันน่ากลัวของผู้นำตระกูล ‘อินเตอจ้าว’ ที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างไร้ขอบเขต ดังก้องมาจากภายในห้องโถงอยู่บ่อยครั้ง
เหล่าข้ารับใช้และสาวใช้ที่อยู่นอกห้องโถงต่างรู้สึกหวาดกลัว อีกทั้งยังไม่สบายใจ พวกเขาถือน้ำชาร้อน ๆ อยู่ในมือ แต่ไม่กล้าก้าวเข้าไป เพราะกลัวอย่างยิ่งว่าเปลวไฟแห่งโทสะที่อัดแน่นอยู่ในห้องโถงจะถูกระบายใส่พวกตน
ราตรีนี้เป็นค่ำคืนที่ยากลำบากของตระกูลอิน
เนื่องจากผู้อาวุโสอินเทียนหูล้มเหลวในการลอบสังหารเฉินซี และเสียชีวิตในปฏิบัติการครั้งนี้ สร้างความตกใจให้กับทั้งตระกูล จากนั้นตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ และตระกูลหลัวยังต้องการให้ตระกูลอินชดใช้ มิฉะนั้นพวกเขาจะขีดเส้นแบ่งระหว่างตระกูล และถือว่าตระกูลอินเป็นศัตรูอย่างสมบูรณ์
หายนะโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ตระกูลอินได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ดังนั้นแม้ว่าจะล่วงเลยมาถึงยามดึกแล้ว แต่ในฐานะของผู้นำตระกูลอิน อินเตอจ้าวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกรวมผู้อาวุโสทั้งหมด เพื่อหารือหนทางแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี
ภายใต้แสงจันทร์อันน่าพิศวง อินเหมียวเมี่ยวฟังเสียงร้องและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่ดังมาจากภายในห้องโถง ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในที่สุดนางก็ส่ายศีรษะ ก่อนจะหันหลังและจากไป นางรู้ดีว่าแม้ว่าตนจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถง ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้อยู่ดี
ค่ำคืนนั้นแสงจันทร์ยังคงทอแสงอันน่าพิศวง
อินเหมียวเมี่ยวไม่ได้กลับไปยังที่พักของนาง แต่เดินเล่นอยู่บนทางเดินในลานบ้าน ร่างโดดเดี่ยวและเย็นชา งดงามราวกับภาพลวงตาขณะอาบไล้ภายใต้แสงจันทร์
ดูเหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและสงบเสงี่ยม กลับเผยสีหน้าว่างเปล่าเล็กน้อย “หรือว่าข้ามองเขาผิดไปจริง ๆ?”
ร่างสูงใหญ่ได้ปรากฏในความคิดของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเสียงที่สงบและไม่แยแสของเขาก็ดังก้องขึ้นมา “เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่จะท้าทายข้าในอนาคต”
คิ้วบอบบางและดำขลับขมวดเข้าหากันฉับพลัน สีหน้าของนางเยือกเย็นยิ่งขึ้น “เขาอยู่ในอันดับที่ห้าเท่านั้น และมันยังเร็วเกินไป ข้าจะไม่ให้โอกาสเขาได้แซงหน้าเด็ดขาด…”
อินเหมียวเมี่ยวจึงตัดสินใจหันหลังกลับ และออกจากลานบ้าน เพื่อกลับไปยังที่พักของตน
นางทราบว่าทุกสิ่งที่ตระกูลอินประสบในคืนนี้ เป็นฝีมือของตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่ที่กดดันตระกูลอิน แต่แท้จริงแล้ว เฉินซีคือกุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมด
ชัดเจนว่า นางไม่สามารถช่วยเหลือตระกูลได้ในขณะนี้ แต่นางก็เชื่อมั่นว่า ตราบเท่าที่นางทุ่มเทฝึกฝนมากพอ นางจะสามารถล้างแค้นศัตรูได้ในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน!
‘พวกเจ้าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลอินของข้า เพียงเพราะเห็นแก่เฉินซี พวกเจ้าจะต้องเสียใจในสักวันหนึ่ง!’ อินเหมียวเมี่ยวนั่งในห้อง ขณะเหม่อมองแสงจันทร์ที่สว่างไสวอยู่นอกหน้าต่าง แววตาที่ผิดหวังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยแววตาแน่วแน่
นางตัดสินใจแล้วว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ และจะมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
มีเพียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่นางจะได้ปลดปล่อยความทะเยอทะยานของนาง และวันที่นางกลับมาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า คือช่วงเวลาที่นางจะแก้แค้นศัตรูในวันนี้!
…
ณ ตระกูลเหลียง
ในขณะนี้ เฉินซีก็นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในโลกแห่งดาราเช่นเดียวกัน และตกอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง ขณะที่มองไปยังร่างอวตารที่ทำสมาธิอยู่
ในวันนี้เขาทะยานขึ้นสู่อันดับที่ห้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ซึ่งอันดับด้อยกว่าเจียงจูหลิว กู่เยวหมิง อินเหมียวเมี่ยว และเหลียงเริ่นเท่านั้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า เฉินซีเป็นดั่งม้ามืดที่โดดเด่น และทำให้ผู้คนตกตะลึง
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ สายตาของเขาไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทวีปทักษิณาเท่านั้น แต่จับจ้องไปทั้งภพเซียนทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้เจตจำนงไม่ได้รับผลกระทบจากความประหลาดใจที่น่ายินดีและความสำเร็จจากการได้อันดับดังกล่าว
อันที่จริง เมื่อเห็นว่าตนเองได้อันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เฉินซีก็ไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่ามีคนอย่างน้อยเก้าร้อยกว่าคนที่ขอบเขตเซียนทองคำ!
ด้วยเหตุผลนี้ มันยังมีค่าพอให้รู้สึกยินดีอยู่อีกหรือ?
ไม่ต้องกล่าวถึงนี่เป็นเพียงเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ซึ่งภพเซียนกว้างใหญ่ไพศาล แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดยอดฝีมือ ซึ่งยังเป็นที่ไม่ทราบในการจัดอันดับ
เพราะอย่างไร ไม่ใช่ทุกคนที่สนใจเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า
สิ่งที่ทำให้หัวใจของเฉินซีรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย เพราะจู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่า นับตั้งแต่ชื่อของตนปรากฏในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าแล้ว นอกจากจะหมายความว่าตัวตนถูกเปิดเผย ผู้คนที่ให้ความสนใจก็สังเกตเห็นได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ปิงซื่อเทียน ตระกูลจั่วชิว กองกำลังศัตรูที่ทำลายนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน… ด้วยเหตุนี้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างแน่นอน
ปัจจุบัน เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายใด ๆ ในขณะที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลเหลียง แต่ออกจากตระกูลเหลียงเมื่อใด ความสงบสุขนี้อาจจะถูกทำลาย
‘จากสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าคงต้องไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าให้เร็วที่สุดเท่านั้น เพียงไปถึงที่นั่น ข้าก็ไม่ต้องกังวลจากการคุกคามของตระกูลจั่วชิว… ’ หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เฉินซีก็ถอนหายใจยาว เขาเลือกละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด และเริ่มบำเพ็ญสมาธิ
สำหรับความเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลอิน เขาไม่จำเป็นต้องสนใจอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด เพราะได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเหลียง ตระกูลหลัวและตระกูลกู่แล้ว
เขาเชื่อว่าเหลียงปิงจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เขาอย่างแน่นอน
…
ทวีปเนตรสวรรค์ ณ เมืองจั่วชิว
เมืองนี้มีขุมพลังเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือตระกูลจั่วชิว!
และหากกล่าวให้ถูกก็คือ ทั้งเมืองเป็นเหมือนบ้านของตระกูลจั่วชิว ซึ่งนอกจากคนของตระกูลจั่วชิว คนนอกไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปในเมืองได้
เห็นได้ชัดจากการตั้งชื่อเมืองว่า ‘จั่วชิว’ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอำนาจของตระกูลจั่วชิวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ในฐานะหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในภพเซียน ตระกูลจั่วชิวไม่เพียงแค่ควบคุมทวีปเนตรสวรรค์เท่านั้น แต่ก็ยังตั้งรกรากอยู่ภายในหนึ่งในสี่มหาทวีป นั่นคือทวีปวิถีล้ำลึก ยิ่งกว่านั้น รากฐานของมันอาจจัดได้ว่า เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทวีป!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มอำนาจสูงสุดในมหาทวีปทั้งสี่นั้นมีบรรพบุรุษที่น่าตกตะลึงของโลกที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียน ผู้แข็งแกร่งจนสามารถสั่นคลอนใต้หล้า เพราะนี่เป็นหนึ่งในมาตรฐานที่กำหนดว่าขุมพลังนั้นเป็นมหาอำนาจในภพเซียน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากขุมพลังนั้นไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียน ขุมพลังนั้นก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นมหาอำนาจในภพเซียนได้อย่างแน่นอน
ในขณะนี้ ภายในตำหนักขนาดใหญ่บริเวณใจกลางเมืองจั่วชิว
จั่วชิวคงนั่งตัวตรงอยู่ใต้ต้นสนที่สูงตระหง่านซึ่งอยู่ตรงกลางลานบ้าน เขาสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ สีขาว เส้นผมสีดำขลับปรกไหล่ ดวงตาคู่หนึ่งที่ลึกล้ำราวกับดวงดาว และมีหมอกหนาทึบปกคลุม เสริมให้ภาพลักษณ์สูงส่งราวกับเทพเจ้า
เบื้องหน้าคือคนที่นั่งตัวตรงเช่นกัน คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนสูงสง่าในชุดสีม่วง และเขาคือ ราชันเซียนลิ่นฮ่าวแห่งทวีปสันติบูรพา!
“เจ้าควรทราบไว้ว่าตระกูลจั่วชิวของข้าต้องจ่ายไปมากมาย เพื่อทำให้เฉินซีที่ขึ้นมาสู่ภพเซียนปรากฏที่ทวีปสันติบูรพา น่าเสียดายที่เจ้ากลับพลาด” จั่วชิวคงลูบกระบี่สีดำบนตักที่สะอาดและโปร่งแสงเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นก็กล่าวอย่างใจเย็น “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมันเป็นแค่ไอ้สารเลวที่ไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้ ดังนั้น ตราบใดที่มันยังอยู่ในภพเซียน ก็ไม่ทีทางที่มันจะรอดพ้นความตายได้”
เมื่อจั่วชิวคงกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็เงยศรีษะขึ้นเพื่อมองไปที่ราชันเซียนลิ่นฮ่าว “แต่สิ่งที่ทำให้ข้าผิดหวังก็คือ ไม่เพียงแต่เจ้าพลาด แต่ยังทำให้มู่จวินหลินขุ่นเคือง ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจ”
เสียงของเขาสงบและไม่แยแสอย่างยิ่ง
ถึงกระนั้น ราชันเซียนลิ่นฮ่าวกลับรู้สึกสยดสยอง และนิ่งเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว ซึ่งคงไม่มีใครจินตนาการได้ว่าในฐานะผู้ปกครองของทวีปสันติบูรพา และครอบครองการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปราชญ์ จะเผยท่าทางเช่นนี้
มีเพียงราชันเซียนลิ่นฮ่าวเท่านั้นที่ทราบอย่างชัดเจนว่า จั่วชิวคงสมควรได้รับปฏิกิริยาดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงตำแหน่งหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าในภพเซียน เพียงตัวตนในฐานะผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลจั่วชิว ก็ทำให้ราชันเซียนลิ่นฮ่าวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดศักดิ์ศรีลงเมื่อเผชิญหน้ากับคนผู้นี้
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จากตระกูลมู่จะขึ้นสู่ทวีปสันติบูรพาเช่นกัน ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกว่านางเป็นญาติผู้น้องของมู่จวินหลินแห่งทวีปรัตติกาล ข้าคงไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน” ราชันเซียนลิ่นฮ่าว หายใจเข้าลึก ๆ และอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
จั่วชิวคงชำเลืองมองหลินฮ่าวอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะถอนสายตาออกและกล่าวว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว ครั้งนี้ข้าจะไม่โทษเจ้าเพราะมู่จวินหลิน แต่ข้าไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวใด ๆ อีก”
ราชันเซียนลิ่นฮ่าวรีบลุกขึ้นยืนและป้องมือคารวะ ก่อนจะก้มศีรษะจากไป
“พี่ใหญ่ ในที่สุดข้าก็บรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสักครู่ ข้าผ่านชั้นที่สิบหกของเจดีย์วิญญาณนักรบ ข้าจะต้องติดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้อย่างแน่นอน!”
ไม่นานหลังจากที่ราชันเซียนลิ่นฮ่าวจากไป หญิงสาวสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว รูปลักษณ์งดงาม รูปร่างทั้งสง่างามและบอบบาง ทั้งดวงตาก็สุกใสเปล่งประกาย ทำให้นางดูงดงามราวกับว่าอยู่คนละโลก
จั่วชิวคงยิ้มอย่างอบอุ่น ดวงตาลึกล้ำเต็มไปด้วยความรักอันอ่อนโยน หญิงสาวคนนั้นคือ จั่วชิวเคอ ผู้เป็นน้องสาว นางได้บ่มเพาะเพียงไม่กี่สิบปี แต่ก็สามารถบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับได้ ทำให้เขาผู้เป็นพี่ชาย รู้สึกภาคภูมิใจในตัวนางอย่างมาก
“เจ้าผ่านชั้นที่สิบหกของเจดีย์วิญญาณนักรบแล้วหรือ? เคอเอ๋อร์ช่างแข็งแกร่งจริง ๆ เจ้าโดดเด่นกว่าข้าเมื่อหลายปีก่อนมาก มาเถอะ ไปลองทดสอบกันดูว่าเจ้าจะได้อันดับใดในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า” จั่วชิวคงยิ้มในขณะที่เขาดึงมือน้องสาว พาเดินออกจากลานบ้าน
ในเวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงหน้ากำแพงลอยแห่งแสงในเมืองจั่วชิว
จั่วชิวเคอก้าวไปข้างหน้าและถ่ายเทญาณมหาเทวะอมตะลงไป หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นและร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ อันดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า!”
“โอ้? ไหนข้าดูหน่อย” จั่วชิวคงรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขานึกไม่ถึงมาก่อนว่าจั่วชิวเคอจะสามารถไต่อันดับทีเดียวสี่พันอันดับ และติดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้ทันที
เขาถ่ายเทญาณมหาเทวะอมตะลงไปบนกำแพงแสง และพินิจอยู่ชั่วครู่ แน่นอนว่าเขาเห็นว่าคำว่า ‘จั่วชิวเคอ’ ปรากฏขึ้นบนอันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า ทำให้ริมฝีปากอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เขาอ้าปากด้วยความตั้งใจที่จะชมเชยน้องสาว แต่กลับต้องตกตะลึง เพราะสังเกตเห็นแสงสีทองพุ่งวูบวาบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
มันพุ่งเข้าสู่สองพันอันดับแรกทันทีจากกว่าแปดพันอันดับ และยังคงพุ่งขึ้นสูงไปอีก
“เอ๊ะ เป็นผู้ใดกัน? เขาสามารถไต่อันดับได้มากขนาดนี้เชียวหรือ?” จั่วชิวเคอก็สังเกตเห็นฉากนี้เช่นกัน และนางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า เหนือฟ้าย่อมมีอยู่ฟ้าอยู่เสมอ เคอเอ๋อร์เจ้าต้องจำไว้ว่า เจ้าต้องไม่พึงพอใจในตัวเองเพราะในภพเซียนแห่งนี้…” จั่วชิวคงยังกล่าวไม่ทันจบ แต่ก็ต้องตกตะลึงทันที
เพราะแสงสีทองได้ครอบครองอันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า และผลักจั่วชิวเคอลงไปที่อันดับหนึ่งพันแทน
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักก็คือ แสงสีทองนั้นคือชื่อของ… เฉินซี!