บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1097 ศัตรูมาเยือนถึงหน้าประตู
บทที่ 1097 ศัตรูมาเยือนถึงหน้าประตู
พู่กันยันต์อักขระรอยดารา!
อสูรเซียนวิญญาณดารา!
และกล่องหยกสีม่วงซึ่งถูกปิดทับด้วยยันต์อักขระอันล้ำลึกจนทึบแน่น!
สิ่งเหล่านี้เป็นของกำนัลที่ตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ และตระกูลหลัวมอบให้กับเฉินซีก่อนจะเดินทางออกจากทวีปทักษิณา การมอบของล้ำค่าควรเมืองเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจเฉินซีมากเพียงใด
แน่นอน เฉินซีรู้ดีว่าเหตุผลที่พวกเขายอมทุ่มถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะตัวตนอื่น… ศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เฉินซีก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมากที่สามารถสร้างไมตรีกับคนสามตระกูลนี้ได้ เพราะตระหนักดีว่าตนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยืนหยัดเพียงลำพังในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
และถึงแม้จะสะสมกำลังมากพอที่จะต่อกรกับตระกูลจั่วชิวได้ ทว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของตนเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้ การสร้างพันธมิตรกับตระกูลต่าง ๆ ย่อมส่งผลต่อแผนการในอนาคตอย่างยิ่ง
ทั้งตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว และตระกูลกู่ต่างก็มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเขาเทพพยากรณ์ ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวเฉินซี
เมื่อได้รับของขวัญจากทั้งสามตระกูลเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ออกไปจากทวีปทักษิณาในที่สุด
…
ภายในภพเซียนนั้นมีทวีปทั้งหมด 4,900 ทวีป แต่ละทวีปกว้างใหญ่ไพศาล งดงาม และเรืองรองอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะทวีปใดก็ล้วนให้กำเนิดยอดคนในตำนานและสร้างเรื่องราวเล่าขานมานับไม่ถ้วน
ในบรรดาทวีปทั้งหมด ทวีปนภาเหมันต์ ทวีปดาราวีรบุรุษ ทวีปรัตติกาล และทวีปวิถีล้ำลึกนั้นตั้งอยู่บนแกนกลางของภพเซียน ทวีปเหล่านี้ถูกปกครองโดยราชันเซียนผู้มีพลังยิ่งใหญ่และเป็นจ้าวแห่งนิกายที่ทรงพลัง อาจกล่าวได้ว่านิกายเหล่านั้นเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์เป็นก้อนเมฆบนท้องฟ้า!
ทวีปทั้งสี่นี้เปรียบเสมือนไข่มุกส่องแสงศักดิ์สิทธิ์แพรวพราว พวกมันหยั่งรากลึกบนใจกลางของภพเซียนและทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายในมิติที่สามต้องแหงนมอง!
เส้นทางระหว่างทวีปทักษิณาและทวีปดาราวีรบุรุษมีทวีปขั้นกลางอยู่มากกว่าร้อยทวีป มองผิวเผินอาจให้ความรู้สึกที่ธรรมดา แต่หากวัดจากระยะทางแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดในภพเซียนสามารถเดินทางไปถึงในตลอดช่วงชีวิตนี้
แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเซียนทองคำที่มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมิติ แต่ก็ไม่อาจเดินทางข้ามหลายร้อยทวีปโดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
โชคดีที่ภพเซียนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่สามารถพาเฉินซีเดินทางข้ามทวีปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลใจว่าจะไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษทันภายในสามเดือน
ณ เมืองจตุรเทพ ที่ตั้งแห่งค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
ร่างสูงโปร่งย่างเท้าพร้อมศิลาอมตะในมือจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน ก่อนจะเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทันที เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองดูผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ
คนผู้นี้คือเฉินซีไม่ผิดแน่
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินั้นมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล มันสามารถเชื่อมต่อทวีปต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ โดยปัจจุบันมันอยู่ภายใต้การดูแลของศาลเซียน อย่างค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองจตุรเทพนี้ ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของตำหนักราชันเซียน
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้สามารถใช้งานได้เพียงสามครั้งต่อวันเท่านั้น ทุก ๆ การใช้งานจะต้องใช้ศิลาอมตะจำนวนหนึ่งล้านก้อน พูดอีกอย่างก็คือ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้สามารถบรรจุคนได้สูงสุดครั้งละหนึ่งร้อยคน โดยแต่ละคนต้องจ่ายด้วยศิลาอมตะจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน
ตอนที่เฉินซีมาถึง มีคนอยู่ที่นี่เพียงแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น หมายความว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติจะยังไม่ถูกเปิดใช้งานในตอนนี้
เฉินซีกางแผนที่ที่เหลียงผิงมอบให้อย่างระมัดระวังด้วยไม่มีสิ่งใดให้ทำในตอนนี้ แผนที่ดังกล่าวระบุเส้นทางจากทวีปทักษิณาไปสู่ทวีปดาราวีรบุรุษไว้โดยละเอียด
ตามแผนที่ เขาจำต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทั้งหมดหกครั้ง โดยค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติแต่ละเครื่องนั้น ตั้งอยู่ในทวีปร้อยวสันต์ ทวีปอุดรคีรี ทวีปสัปยุทธ์เรืองรอง ทวีปพันวังวน ทวีปเมฆาพำนัก และทวีปสารทตามลำดับ
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าเหลียงปิงจะเป็นคนละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง นางทำเครื่องหมายพิเศษบนที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติแต่ละแห่งไว้ ด้วยวิธีนี้ เฉินซีจะสามารถประหยัดเวลาสำหรับการเดินทางได้มาก
สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อยก็คือ เดิมทีในทวีปเมฆาพำนักไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ เนื่องจากลักษณะของทวีปมีความแตกต่างจากแห่งอื่น ๆ มันมีชายแดนติดกับทวีปสารท และมีเทือกเขาขนาดใหญ่นามว่าเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าเป็นตัวแบ่งพรมแดน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากต้องการจะเดินทางไปยังทวีปสารท เขาจำเป็นจะต้องเดินทางข้ามเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าเสียก่อน!
ถึงอย่างนั้น เส้นทางต่อจากนี้ก็ราบรื่นขึ้นมาก เพราะหลังจากที่ไปถึงทวีปสารทแล้ว เขาก็จะสามารถเข้าไปสู่ทวีปดาราวีรบุรุษได้ทันทีโดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของที่นั่น
ถ้าหากเลือกเส้นทางที่ไม่ได้ระบุไว้บนแผนที่นี้ ก็สามารถไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษได้เช่นกัน แต่จะต้องเดินทางผ่านทวีปกว่าพันทวีปเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจได้พบกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนทวีปเหล่านั้นโดยไม่ทันตั้งตัว และอาจต้องใช้เวลามากกว่าสามเดือนในการเดินทางไปทวีปดาราวีรบุรุษ
กล่าวได้ว่าเส้นทางที่เหลียงปิงวางแผนไว้เป็นเส้นทางไปสู่ทวีปดาราวีรบุรุษที่สั้นและราบรื่นที่สุด
เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า… เฉินซีทอดมองชื่อนี้เป็นเวลานาน ก่อนจะเก็บแผนที่อย่างระมัดระวัง และต้องการหยุดคิดเกี่ยวกับมัน
ตอนนั้นเอง กลุ่มคนจำนวนมากได้เข้ามาภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดจำนวนคนก็เต็มด้วยความรวดเร็ว
องครักษ์ของตำหนักราชันเซียนผุดลุกแทบจะในทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาสร้างผนึกหนึ่งขึ้นมาบนฝ่ามือด้วยหมายจะเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
ทันใดนั้น พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล
“เดี๋ยว!”
“ช้าก่อน!”
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองร่างของคนสองคนที่พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งมีรูปร่างสูงโปร่ง สวมอาภรณ์สีดำสนิท คิ้วคมเข้มเหมือนใบมีด ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง
อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำที่มีหน้าตาธรรมดา รอยสักรูปเปลวไฟที่แก้มซ้ายเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดุดันและทระนงองอาจ
สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกใจก็คือ คนทั้งสองเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วและมีรัศมีพลังที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในทุก ๆ ย่างก้าว
ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่เซียน แต่เป็นเครื่องจักรสังหาร!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับหรือ? มีคนเช่นนี้อยู่ในทวีปทักษิณาด้วยอย่างนั้นหรือ? เฉินซีตั้งคำถามขึ้นภายในใจ ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของคนทั้งสองนี้อาจจัดอยู่ในสิบลำดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และน่าจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดเสียด้วยซ้ำ แน่นอนเขาไม่เคยใส่ใจมาก่อนว่าจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่ในเมืองจตุรเทพหรือไม่
ในภพเซียนมีมังกรหลับซ่อนตัวอยู่จริง ๆ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดูได้จากเทียบอันดับเซียนเพียงอย่างเดียว อย่างไรเสีย เทียบอันดับก็ไม่สามารถจัดอันดับของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในภพเซียนได้ทั้งหมด… เมื่อครุ่นคิดเสร็จ เฉินซีก็ละสายตาไป
“ตอนนี้เต็มแล้ว พวกเจ้าต้องรอการเคลื่อนย้ายมิติในคราวต่อไป” องครักษ์มีสีหน้าเรียบเฉย ครั้นพูดจบ เขาก็เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในทันที เสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้น ก่อนจะเกิดความผันผวนประหลาดแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
เพียงพริบตา ผู้คนในค่ายกก็หายไปจนหมด
…
“เจ้าน่ะ… รนหาที่ตายเสียแล้ว!” ชายชุดดำอยู่ห่างจากทางเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเพียงก้าวเดียว แต่กลับไปไม่อาจเข้าไปข้างในได้ด้วยการขัดขวางขององครักษ์ ส่งผลให้ดวงหน้ากลายเป็นสีเขียวคล้ำ คิ้วคู่คมประหนึ่งมีดขมวดเข้าหากัน จิตสังหารอันน่าเกรงขามโอบล้อมร่างกายทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องหวาดผวา
บัดนี้ ชายในอาภรณ์สีดำไม่ต่างกับสัตว์อสูรที่เผยรูปลักษณ์แท้จริง จิตสังหารที่แผ่กระจายออกมาส่งผลให้สิ่งของโดยรอบสั่นสะเทือน แม้แต่อากาศก็หนาแน่นขึ้นจนยากจะหายใจ
องครักษ์ที่เห็นฉากนี้ไม่อาจต้านทานต่อความกลัวได้ ใบหน้าถอดสีจนซีดเผือด ท่อนขาสั่นเทาใกล้จะล้มพับลงไปเสียให้ได้ กระนั้นเขาก็พยายามข่มความประหวั่นในใจและตะโกนออกไปด้วยความขุ่นเคือง “ข้าเป็นถึงคนของตำหนักราชันเซียน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาใช้กำลังข่มเหงข้า!”
ชายในชุดสีดำพูดขึ้นด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้ามดปลวก! ฆ่าเจ้าทิ้งเสียเลยดีไหม”
“พอเถอะ เจี่ยงหนิงไม่มีอะไรที่เราทำได้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือรอค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเปิดใช้งานในรอบถัดไป” ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำมาถึงพอดี เขาถอนหายใจและดึงชายชุดดำออกจากการวิวาท
“หึ้ย! พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดหรือว่าฆ่าข้าแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะ!” องครักษ์เม้มปากก่อนจะถ่มน้ำลายรดพื้น เขาสถบเสียงแผ่วเบาหลังจากที่ร่างทั้งสองเลือนหายไปจากสายตา
“เยว่เจิ้น เจ้าคิดว่าข้ามีปากเสียงกับองครักษ์ชั้นต่ำของตำหนักราชันเซียนเพียงเพราะเรื่องเล็ก ๆ หรือ?” เจี่ยงหนิงที่ยังไม่คลายโทสะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นว่าเป้าหมายเหมือนจะอยู่ด้านในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ทว่าไอ้สารเลวชั้นต่ำนั่นกลับทำแผนข้าพังหมด สมควรตายจริง ๆ!”
ชายร่างกำยำที่ชื่อเยว่เจิ้นชะงัก ก่อนจะแสดงสีหน้าตึงเครียด “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ค่อนข้างแน่ใจ” เจี่ยงหนิงตอบ
“รีบรายงานเรื่องนี้ต่อผู้บัญชาการหลูเฉิน บอกเขาว่าเรามาช้าไปหนึ่งก้าว เจ้าหนุ่มนั่นออกจากทวีปทักษิณาโดยมีปลายทางเป็นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในทวีปดาราวีรบุรุษ ดังนั้นเราต้องจัดการเขาให้ได้เสียก่อน!” เยว่เจิ้นพูดอย่างรวดเร็วทั้งน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เพราะตระหนักดีว่าหากเป้าหมายหลบหนีเข้าไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้สำเร็จ ภารกิจจะล้มเหลวทันที
เจี่ยงหนิงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน เขาหยิบแผ่นหยกสีแดงเลือดออกมา และบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ด้านใน
ขวับ!
แผ่นหยกตัดผ่านท้องฟ้าไปยังที่ที่ไกลลับตา
…
หลูเฉินนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินใต้น้ำตก แผ่นหลังตั้งตรงในขณะที่ร่างกายผอมบางเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สามารถสยบการเคลื่อนไหวของผู้พบเห็น
เขาเป็นบุรุษที่มีโฉมสะคราญ นัยน์ตาใสกระจ่าง ผิวขาวราวหยก เส้นผมสลวยม้วนมวยไว้ด้านหลัง เผยถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย
หากมองผิวเผิน ชายหนุ่มไม่ต่างจากบัณฑิตหนุ่มผู้ทรงภูมิในตระกูลชนชั้นสูงของโลกมนุษย์ แต่ใครจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เย็นชาที่สุดในบรรดาองค์รักษ์โมฆะของจั่วชิวคง!
บริเวณโดยรอบตอนนี้มีองค์รักษ์โมฆะเก้าคนกำลังยืน นั่งกระซิบกระซาบกับคู่สนทนาหรือแม้แต่สรรหาความรื่นรมย์ให้ตัวเอง พวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่ตระกูลจั่วชิวเลือกเฟ้นมาจากทั้ง 4,900 ทวีปของภพเซียน
ตั้งแต่ได้รับเลือก พวกเขาก็ได้รับการบ่มเพาะระดับสูง ได้รับโอสถที่ดีที่สุด และได้รับบททดสอบที่โหดหินที่สุดเท่าทีใครจะได้รับ
อันที่จริง องครักษ์โมฆะไม่ได้มีเพียง 64 คนเท่านั้น แต่มีมากกว่าหนึ่งพันคนเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเพียงแค่ 64 คนที่รอดชีวิต คนอื่น ๆ หากไม่ตายขณะเผชิญบททดสอบ ก็ถูกลดขั้นให้ไปทำงานอย่างอื่นเนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานที่ตั้งไว้
สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าคนที่จะเป็นองครักษ์โมฆะได้ต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่น พรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา และร่างกายอันยอดเยี่ยม!
ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาโดดเด่นเพียงใด คนเหล่านี้เกิดมาเพื่อฆ่า และมีชีวิตอยู่เพื่อต้อสู้!
สำหรับหลูเฉินนั้น เขาเก่งที่สุดในบรรดาองครักษ์โมฆะทั้งหมด แน่นอนว่าความสามารถและความแข็งแกร่งน่าเกรงขามยิ่งกว่าใครทั้งปวง
แม้กระทั้งตอนนี้ สายตาของบรรดาองครักษ์โมฆะคนอื่น ๆ ที่เผลอมองชายหนุ่มเพียงแวบก็เปิดเผยให้เห็นถึงความเคารพยำเกรงอย่างเห็นได้ชัด
ตุบ!
ตอนนั้นเอง แผ่นหยกส่องประกายสีแดงเพลิงเมื่อมันเดินทางมาถึง
หลูเฉินที่นั่งขัดสมาธิท่ามกลางความเงียบลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแสงสีม่วงอันลึกล้ำ ราวกับพายุคลั่งโหมกระหน่ำด้วยความตั้งใจจะกวาดล้างโลก