บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1101 ผนึกตามกลิ่น
บทที่ 1101 ผนึกตามกลิ่น
เมืองหยกขจีไม่เหมือนกับเมืองใด ๆ ที่เฉินซีเคยเห็นมาก่อน เพราะมันถูกสร้างขึ้นบนภูเขามากมาย และทุกที่ที่มองเห็นก็มีสีเขียวหยกที่อุดมสมบูรณ์
ต้นไม้โบราณจำนวนมากตั้งสูงตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันหยั่งรากบนภูเขาเขียวขจี ไล่ระดับขึ้นลงเหมือนมหาสมุทรสีเขียวหยก สายลมสดชื่นพัดโชยมาแผ่วเบา ทำให้เกิดระลอกคลื่นสีเขียวที่แต่งแต้มเป็นฉากที่งดงาม
และชื่อเมืองก็มาจากสิ่งนี้
ศาลาและอาคารจำนวนมากถูกสร้างขึ้นบนภูเขา มันซ่อนตัวอยู่ระหว่างกิ่งก้านและใบไม้เขียวขจี ทันทีที่เฉินซีเข้ามา ราวกับได้เข้าไปในป่าโบราณที่จอแจและมีชีวิตชีวา
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางของที่นี่ก็แตกต่างจากที่อื่นเช่นกัน เส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาระหว่างภูเขา บางที่ก็มีร่างของคนทะยานไปมาระหว่างต้นไม้โบราณมากมาย ทำให้เส้นทางของมันคดเคี้ยวและซับซ้อนราวกับเขาวงกตตามธรรมชาติ
ร่างที่ทะยานไปมาระหว่างต้นไม้โบราณและเส้นทางบนภูเขา ทำให้สถานที่นี้ดูคึกคักอย่างมาก
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในเมือง เฉินซีก็เห็นฉากของความสงบท่ามกลางเสียงอึกทึก และทะเลต้นไม้เขียวขจีอันอุดมสมบูรณ์ จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและพุ่งตรงไปข้างหน้า
เขาไม่มีเวลาชื่นชมทิวทัศน์ และกำลังถูกไล่ล่าอยู่ จึงไม่มีความคิดที่จะรั้งรอ และถอนหายใจเกี่ยวกับทิวทัศน์อันงดงามของเมืองนี้
แผนที่ที่เหลียงปิงมอบให้ตราตรึงอยู่ในใจ และสิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่หลงทางในถนนของเมืองหยกขจีที่ซับซ้อนประหนึ่งใยแมงมุม
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้เร่งรีบไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปทางซ้ายและขวา ก่อนจะมาถึงส่วนลึกของถนนที่เปลี่ยวและเงียบสงบ มองดูบริเวณโดยรอบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นทั้งร่างก็สว่างวาบและหายไปทันที เมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้เคียง
…
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างผอมบางก็เดินออกมาจากถนนที่เปลี่ยวและเงียบสงบช้า ๆ
ชายสวมเสื้อคลุมนักพรตสีเหลืองอมส้ม ผิวเป็นสีข้าวสาลี หน้าตาธรรมดาทั่วไป และมีดวงตาคู่หนึ่งลึกล้ำและสว่างไสวราวกับดวงดาว รอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้า ในขณะที่ท่าทางนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก เพราะแม้ว่ามันจะดูธรรมดา แต่กลับมีกลิ่นอายของความสง่าผ่าเผยและไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
คนผู้นี้ย่อมคือเฉินซีอย่างแน่นอน ทว่านี่คือร่างอวตาร
นับตั้งแต่ร่างอวตารบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา เขาก็เริ่มบ่มเพาะหนึ่งในเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาจากเทพอสูร เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก
เคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ได้มาจากเซวียนอวิ๋น ปรมาจารย์คนหนึ่งของสำนักศึกษาจตุรเทพ ซึ่งเดิมทีมันถูกซ่อนอยู่ในยันต์โบราณที่เสียหาย และเฉินซีได้ไขความลับของมันด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง จึงทำให้เขาได้รับมรดกนี้มา
ซึ่งอาจถือได้ว่า เคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกนั้นเป็นสุดยอดมรดก เพราะมันศึกษาความลับของมหาเต๋าจนถึงขีดสุด และเปลี่ยนมวลพลังให้เป็นรูปแบบของหม้อกลั่นเก้าใบ อีกทั้งยังเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมและหาได้ยาก
สำหรับเงื่อนไขพื้นฐานในการบ่มเพาะนั้น ผู้ฝึกฝนจะต้องมีความเข้าใจในมหาเต๋าอย่างน้อยเก้าประเภทที่ขอบเขตสมบูรณ์แบบ และนี่เป็นเพียงเงื่อนไขพื้นฐานเท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเคล็ดวิชานี้ไม่ธรรมดาเพียงใด เพราะเป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดที่สุด เท่าที่เฉินซีเคยเห็นตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมา
ยิ่งไปกว่านั้น ตามการอนุมานของเฉินซี เคล็ดวิชานี้ถูกเตรียมการเป็นพิเศษสำหรับเซียนที่จะเข้าสู่วิถีของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ที่มีการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา จะไม่สามารถบ่มเพาะมันได้เลย
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะนี้แบ่งออกเป็นเก้าระดับ และเรียกว่าเก้าระดับของเทพยมโลก
ทุกระดับจะทำให้ความแข็งแกร่งของผู้ขัดเกลากายาได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คล้ายกับการเกิดใหม่ เมื่อถูกบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด ก็เพียงพอที่จะดูแคลนผู้ยิ่งใหญ่ในโลกได้!
ปัจจุบัน ร่างอวตารของเฉินซีเพิ่งจะบ่มเพาะพื้นฐานของเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก หรือระดับที่หนึ่งของเทพยมโลก ถือได้ว่าเพิ่งเรียนรู้พื้นฐานเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตามบันทึกของเคล็ดวิชาบ่มเพาะ เมื่อปราณจ้าววิญญาณอมตะถูกขัดเกลาจนก่อตัวเป็นเหมือน ‘หม้อกลั่น’ ก็จะถือว่าบรรลุในระดับแรกของเทพยมโลก
และ ‘หม้อกลั่น’ ที่ว่านี้ ก็ไม่ใช่หม้อกลั่นธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหม้อกลั่นต้นกำเนิดจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงยุคโกลาหลก่อนที่โลกจะล่มสลาย พวกมันมีทั้งหมดเก้าใบ และพลังของหม้อแต่ละใบ ก็เพียงพอที่จะบดขยี้โลกใบใหญ่ได้!
เมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุระดับแรกของเทพยมโลกได้สำเร็จ แม้ว่าพลังที่ ‘หม้อกลั่น’ ครอบครองนั้นจะไม่น่ากลัวเท่าหม้อกลั่นต้นกำเนิดจักรวาลที่แท้จริง แต่มันก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก และมันก็มากเกินพอที่จะบดขยี้โลกใบเล็กได้
ปัจจุบัน แม้ว่าเฉินซีจะเพิ่งบ่มเพาะขั้นพื้นฐาน และยังไม่ประสบความสำเร็จในการขัดเกลาพลังของ ‘หม้อกลั่น’ แต่ความแข็งแกร่งในการขัดเกลากายาของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เลือดเดือดพล่าน ในขณะที่ปราณจ้าววิญญาณลึกล้ำดุจหุบเหวลึกในทุก ๆ การเคลื่อนไหว ยิ่งกว่านั้น พลังชีวิตก็เป็นเหมือนหม้อกลั่นที่ปะทะกัน และพวกมันสร้างเสียงดังกึกก้องที่ฟังเหมือนเสียงกัมปนาทของมหาเต๋า
หากคาดเดาไม่ผิด เพียงความแข็งแกร่งในการขัดเกลากายาในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับกฎแห่งมหาเต๋าทั้งเก้าประเภทที่ควบแน่นสำเร็จ ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสามารถบ่มเพาะพลังของ ‘หม้อกลั่น’ ได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเกินจินตนาการอย่างแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด เฉินซีก็อนุมานได้ว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ ร่างหลักก็ไม่อาจเทียบได้กับร่างอวตาร
นี่คือความน่าเกรงขามของเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก แต่ด้วยเหตุนี้ มันจึงทำให้การฝึกฝนเป็นเรื่องที่ยากมาก และด้วยพรสวรรค์ของเฉินซี เขาสามารถเข้าใจระดับที่หนึ่งของเทพยมโลกได้เพียงสามส่วนเท่านั้น
นี่เป็นขีดจำกัดที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นในการขัดเกลากายาจะสามารถบรรลุได้ หากต้องการพัฒนาไปอีกขั้น มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อทะลวงเข้าสู่ยอดเขาทองคำแห่งทิศประจิม หรือขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางในการขัดเกลากายา
ตอนนี้ เหตุผลที่เฉินซีปรากฏตัวด้วยร่างอวตาร ประการแรก เพราะเขาสงสัยว่าร่างหลักอาจถูกศัตรูลอบประทับตรา ทำให้พวกมันติดตามมาได้
แต่ที่สำคัญที่สุด หลังจากที่ร่างอวตารได้บ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกแล้ว มันก็สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ ท่าทาง โครงสร้างของกระดูก เส้นลมปราณ หรือแม้แต่จุดชีพจรได้ตามต้องการ ซึ่งบังเอิญทำให้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ และหลีกเลี่ยงไม่ให้ศัตรูสังเกตเห็น
ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่การปลอมแปลง ดังนั้นแม้ว่าจะมีเนตรเทวะแห่งความจริง เนตรทองคำล้ำลึก เนตรสัญลักษณ์ พรสวรรค์อื่น ๆ หรือพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ แม้แต่บ่มเพาะเคล็ดวิชาจำพวกการตรวจจับที่ทรงพลังก็ไม่มีทางที่จะแยกแยะรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้
และนี่คืออานุภาพของเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก!
‘ด้วยวิธีนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังเกตเห็น… ’
เฉินซีครุ่นคิดในขณะออกจากถนนที่เงียบสงบ และเดินเข้าไปในถนนสายหลักที่จอแจไปด้วยผู้คน หลังจากนั้น ร่างของเขาก็สว่างวาบ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทันที
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ และมีผู้คนมากมายบนท้องถนนในเมืองหยกขจี ทำให้มันคึกคักอย่างยิ่ง
“อะไรกัน? มีคนทุบตีคนของตระกูลเว่ยหรือ?”
“ถูกต้อง การต่อสู้ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่นอกประตูเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ และมีคนมากมายที่เห็นเหตุการณ์ ตอนนี้คนร้ายทั้งสามคนได้เข้ามาในเมืองหยกขจีของเราแล้ว”
“สวรรค์! คนเหล่านี้เป็นใครกัน? พวกมันช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าเสียจริง! ตระกูลเว่ยเป็นผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งในเมืองหยกขจี หลังจากที่พวกมันล่วงเกินตระกูลเว่ย แล้วคิดว่าจะสามารถหนีออกจากเมืองหยกขจีได้หรือ?”
“ฮิ ฮิ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นร่างสองร่างพุ่งเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างเร่งรีบ บางทีพวกเขาอาจเป็นคนร้ายจากสองในสามคนก็เป็นได้”
“ฮึ่ม! ทุกคนเห็นแล้วกระมัง? สองคนนั้นเป็นเหมือนเทพแห่งความตาย อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายออกมาอย่างท่วมท้น ขณะบินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างรวดเร็ว มันเด่นชัดเกินไป ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีใครไม่สังเกตเห็นพวกเขา”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกในใจ ขณะที่ฟังการสนทนาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นได้เข้ามาในเมืองหยกขจีแล้ว
แต่เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะทั้งสองคนรีบมุ่งหน้าไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคาดเดาแผนการของเฉินซีไว้ แต่ยังไม่อาจระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้ มิฉะนั้นคงรีบมาที่นี่นานแล้ว จะรีบมุ่งไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างไอ้โง่ได้อย่างไร?
‘ตอนนี้ข้ากำลังใช้ร่างอวตาร พวกมันคงจำข้าไม่ได้หรอก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนี้มาจากที่ใดกัน? ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?’
เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งขณะพยายามหาคำตอบจากผู้คนที่เป็นศัตรูกับตน แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว และความรู้สึกเช่นนี้ก็อึดอัดมาก เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูเป็นใคร แล้วจะรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไร?
ในไม่ช้า เขาก็มาถึงบริเวณที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติตั้งอยู่
ขณะนี้ มีประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบร่างกำลังยืนอยู่ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติขนาดมหึมา และค่ายกลจะเปิดใช้งานในเวลาไม่ถึงหนึ่งช่วงถ้วยชา
ทันใดนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่า เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นก็อยู่ที่ด้านนอกของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างน่าประหลาดใจ!
ทั้งสองคนมีสีหน้ามืดมนเล็กน้อย อีกทั้งยังมีสายตาระแวดระวังและเย็นเฉียบประหนึ่งดาบ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตามองทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็สังเกตเห็นว่า สายตาของคนมากมายที่ยืนอยู่ในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ต่างก็มองไปที่เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงบางคนถึงกับอับอายอย่างมาก แม้ว่าพวกนางจะรู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าโวยวายออกมา
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย และคิดในใจ ‘ตั้งแต่พวกมันมาถึงที่นี่ สองคนนี้ก็ทำให้หลายคนไม่พอใจเสียแล้ว’
เขาเดินตรงไปด้านข้าง และจ่ายศิลาอมตะหนึ่งหมื่นก้อนให้กับทหารยามจากตำหนักราชันเซียนที่ยืนคุ้มกันอยู่นอกค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
ในระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้ เขารับรู้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกสัมผัสตัวเหมือนหนวดปลาหมึกยักษ์ มันพินิจทั้งร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ในลักษณะที่หยาบคายอย่างยิ่ง
“ฮึ่ม!” เฉินซีหันศีรษะ แล้วมองไปที่เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ เขากล้าที่จะแสดงความรู้สึกโกรธออกมาอย่างเปิดเผย แต่ไม่กล้าโวยวาย เพราะตอนนี้รูปลักษณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว หากดูสงบเกินไป อาจถูกมองผิดปกติได้
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจว่า เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นคงทำเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ทั้งหมดในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ทำให้ทุกคนต่างมีอาการขุ่นเคือง
“โชคดีที่ข้าได้เปลี่ยนกลยุทธ์ก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นหากปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริง ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ดุเดือดได้…”
เฉินซียืนอยู่ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในขณะเดียวกัน เจี่ยงหนิงก็ถอนสายตาออกจากเฉินซี และกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “คนผู้นี้ยังไม่ใช่เป้าหมายของเรา เนตรมารใต้พิภพของข้าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นผู้ขัดเกลากายา มันไม่สอดคล้องกับวิถีการบ่มเพาะของเจ้าเด็กนั้นเลย”
เยว่เจิ้นที่อยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้ว “มันเป็นไอตัวแสบที่เจ้าเล่ห์จริง ๆ ผนึกที่ข้าวางไว้ก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นกัน ทำให้ยากต่อการแกะรอย และบางทีตอนนี้มันอาจรู้ตัวตนของเราแล้วก็เป็นได้”
“นั่นไม่ถูกต้อง ผนึกตามกลิ่นที่เจ้าบ่มเพาะเป็นสิ่งที่แม้แต่เซียนทองคำก็ไม่สามารถกำจัดได้ เจ้าเด็กขอบเขตเซียนสวรรค์จะทำสำเร็จได้อย่างไร” คิ้วของเจี่ยงหนิงที่คมเหมือนดาบยกขึ้น ขณะกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “แม้มันจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองหยกขจี แต่ก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากการไล่ล่าของเราได้”
“บางทีมันอาจฝึกฝนเคล็ดวิชาลับบางอย่าง ที่ไม่เพียงสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังสังเกตเห็นผนึกที่ข้าวางไว้บนด้วยตัวมันอีกด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน”
เยว่เจิ้นหายใจเข้าลึก ๆ และดูสงบมาก “ข้าสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่ในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินั้นอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ และมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเพียงไม่กี่คน เจ้าจงเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติพร้อมกับพวกเขา เมื่อไปถึงทวีปสัปยุทธ์เรืองรองให้จับตัวและสอบปากคำทีละคน ถ้าเจ้าเด็กนั้นอยู่ท่ามกลางผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ เจ้าก็จะสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เรื่องแค่นี้น่าจะสำเร็จได้โดยง่าย”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ในทางกลับกัน ข้าจะรั้งอยู่ที่เมืองหยกขจี และค้นหาร่องรอยของเจ้าเด็กนั้นต่อไป ไม่ว่าใครจะพบร่องรอยของเจ้าเด็กนั้นก่อน จำไว้ว่าต้องรายงานเรื่องนี้ต่อผู้บัญชาการหลูเฉินในทันที”
เจี่ยงหนิงตกตะลึง “เหตุใดเราถึงไม่ขับไล่ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทั้งหมด ให้ออกไปเสียตอนนี้”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ? น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาแล้ว” ร่องรอยความขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเยว่เจิ้น และสายตาของเขาก็พุ่งไปยังระยะไกลขณะที่กล่าว “ดูสิ แมลงวันน่ารำคาญพวกนั้นกลับมาอีกแล้ว…”